ในธรรมท่านกล่าวไว้ว่า นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักอื่นเสมอด้วยตนไม่มี นี่เป็นบทธรรมที่ซึ้งมาก เข้ากันได้กับเจตนาของทุกท่านที่มุ่งมาปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เพราะความรักตนเป็นเหตุให้เสาะแสวงอรรถธรรมจากตำรับตำรา จากครูจากอาจารย์ ได้ทราบข่าวว่าครูบาอาจารย์องค์ใด จะเป็นที่ให้ความร่มเย็นเป็นคติเครื่องเตือนใจ เป็นอุบายพร่ำสอนเราได้ ย่อมเสาะแสวงหาครูอาจารย์องค์นั้น ๆ เป็นธรรมดาของความรักตน
ด้วยเหตุนี้จึงกรุณาอย่าลืมคำว่ารักตนในธรรมบทที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ จะเป็นผู้มีความเหนียวแน่นแก่นแห่งนักรบ เพื่อให้กิเลสได้จบสิ้นลงจากหัวใจ กลายเป็นอิสระเสรีขึ้นมาภายในตัวเอง ซึ่งเนื่องมาจากความรักตน ซึ่งกำลังถูก ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ไฟทั้งสามกองนี้เผาลนอยู่ภายในใจทั้ง ๆ ที่เรากำลังรักตน ไม่สามารถที่จะกำจัดหรือดับไฟเหล่านี้ได้ จึงต้องได้เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์อันเป็นที่แน่ใจซึ่งจะช่วยอุบายวิธีการต่าง ๆ เพื่อการระงับดับสิ่งเหล่านี้ลงไปได้ ท่านผู้วิเศษทั้งหลายที่เป็นรัตนะของพวกเรา ท่านสิ้นจากไฟทั้งสามกองนี้แล้ว จึงสามารถประกาศตนได้ว่าเป็นผู้สมบูรณ์แล้ว และสมควรรับการกราบไหว้บูชาของประชาชนหรือสัตวโลกทั่ว ๆ ไปได้
นี่บรรดาเราทั้งหลายมาจากสถานที่ต่าง ๆ ใกล้บ้างไกลบ้าง ไกลมากจริง ๆ ก็มี นี่ก็เพราะน้ำใจ กำลังของน้ำใจพาให้มา พาให้อยู่ พาให้ศึกษาอบรม พาให้ปฏิบัติ เรื่องความทุกข์ยากลำบากนั้นมีด้วยกันทุกคน การฝ่าฝันอุปสรรคหรือการบุกเบิกอุปสรรคเครื่องกีดขวางนั้นย่อมเป็นความลำบากด้วยกัน แต่สำคัญที่ความรักตนเป็นต้นเหตุอันใหญ่หลวงอย่างยิ่ง ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ จึงต้องได้เสาะแสวงหาบุกบั่นฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาโดยลำดับ
การปฏิบัติตนด้วยความลำบาก เพราะการต่อสู้กับสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจ อย่าได้คิดย้อนหลังไปถึงเรื่องความเพียร ว่าตนได้ทำเป็นความลำบากลำบนมาเท่านั้น ๆ และต่อไปนี้ก็จะต้องทำเป็นความลำบากเช่นเดียวกัน ถ้าความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นมา จะทำให้อิดหนาระอาใจท้อแท้อ่อนแอในข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าจะคิดย้อนหลังไปอย่างนั้น ก็ให้คิดหาจุดที่สำคัญ ซึ่งเราได้ต่อสู้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มที่เต็มฐาน เต็มกำลังความสามารถ บางครั้งถึงกับต้องสละชีวิตก็มี
ให้เราหาจุดเช่นนั้นมาคิดเพื่อเป็นการส่งเสริมจิตใจเรา โดยความคิดย้ำลงไปอีกว่า เราทำเช่นนั้น ๆ เรายังทำได้ เราเป็นผู้ทำมาเองแล้วทำไมบัดนี้เราจะทำไม่ได้ แล้วควรจะมีกำลังสามารถทำให้ยิ่งกว่านั้นขึ้นไปได้ ไม่ควรที่จะให้ท้อถอยอ่อนแอลงไป ซึ่งไม่ใช่ทางของผู้หวังความชนะ หวังความประเสริฐแก่ตนเอง ถ้าคิดไปอนาคตก็ให้คิดถึงเรื่องความหลุดพ้น จะหลุดพ้นได้ในกาลใดเวลาใด มีความกระหยิ่มต่อความหลุดพ้นแล้วก็รีบเร่งความพากเพียรหรือเข้มแข็งทางความพากเพียรไม่ลดละปล่อยวาง
นี่เป็นทางเดินของศาสดาและพระสาวกทั้งหลาย ซึ่งท่านดำเนินมาแล้วและได้ผลเป็นที่พอพระทัยและพอใจ นี่คือทางเดินแห่งธรรมไม่ใช่ทางเดินของกิเลส ซึ่งเคยพาเราเดินมาแล้ว ได้รับความทุกข์ความลำบากเพราะกิเลสพาดำเนินหรือพาฉุดลากมาเพียงไรบ้าง ควรจะบวกลบคูณหารกันให้ละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับ สมกับเรามาหาความเฉลียวฉลาดใส่ตัวเอง ไม่ใช่มาหาความโง่
ผมมีความเป็นห่วงใยหมู่เพื่อนมากเต็มหัวใจตลอดมา ไม่เคยมีความบกบางลงบ้างเลย นับแต่ขณะที่ได้รับหมู่เพื่อนแต่ละราย ๆ เข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของเรา เรารับตั้งแต่ขณะนั้น และพร้อมอยู่เสมอที่จะแนะนำตักเตือนสั่งสอนเต็มสติกำลังความสามารถของเรา ไม่คิดเห็นสิ่งใดว่าเป็นสิ่งที่จะมีคุณค่าต่อหมู่เพื่อนมากยิ่งกว่าการอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อน ให้ดำเนินเพื่อการถอดถอนกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นตัวภัยอันสำคัญอยู่ภายในจิตใจ
งานใดก็ตามเราไม่เห็นงานนั้นยิ่งไปหรือวิเศษยิ่งกว่างานการแก้กิเลสทุกประเภทด้วยประโยคพยายาม จะเป็นการเดินจงกรมก็ดี นั่งสมาธิภาวนาก็ดี หรือความรำพึงพินิจพิจารณาในธรรมแง่ใดบทใด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นงานของจิต เรามีความประสงค์มีความต้องการ มีความชมเชยในงานประเภทเหล่านี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น งานอื่นแม้จะมีความจำเป็นที่ต้องจัดต้องทำเพราะธาตุขันธ์เป็นสมมุติ โลกเขาอยู่เขาเป็นไปอย่างไรกินอย่างไรใช้สอยอย่างไร เรามาบวชเป็นพระย่อมมาจากโลกคือมาจากคน ธาตุขันธ์นี้ย่อมเป็นเช่นเดียวกันกับมนุษย์ทั่วไป จำต้องเยียวยารักษาจำต้องมีที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องสนับสนุน แต่เพียงให้เป็นไปได้ในวันหนึ่ง ๆ ไม่ถึงกับหรูหรา ไม่ถึงกับถือเป็นการเป็นงานอันวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่างานเพื่อการกำจัดกิเลสไปเสียนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นงานเหล่านั้นเราจึงไม่ถือเป็นสำคัญ เพียงอาศัยไปชั่วกาลชั่วระยะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้นจึงให้มีขึ้นมาตามกาลตามเวลา หรือตามความจำเป็น ไม่ถือเป็นกิจเป็นการเป็นงานอย่างแท้จริงเหมือนงานด้านจิตตภาวนา ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวใดที่เรียกว่างาน ที่เรียกว่าการกระทำ ความเคลื่อนไหวของกายเช่นการเดินจงกรม การนั่งสมาธิก็เป็นความเคลื่อนไหวเพื่อทำงาน การพินิจพิจารณาในธรรมที่เรียกว่าจิตตภาวนาแต่ละแง่ละกระทง ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นการเป็นงาน งานเหล่านี้แลเป็นงานที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับสมณะ
คำว่าสมณะแปลว่าความสงบ งานเหล่านี้จะเป็นไปเพื่อความสงบความผ่องใสของจิต เป็นงานเพื่อชำระสะสางสิ่งที่เป็นมลทิน หรือความสกปรกรกรุงรังอยู่ภายในจิตใจของเรามานาน ให้กระจายหายไปเป็นลำดับ จิตใจจะได้มีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาด้วยรัศมีแห่งธรรม ซึ่งเนื่องมาจากความเพียรอันเป็นงานสำคัญซึ่งเราทำอยู่ทุกวัน ๆ นี้ ดังนั้นจึงขอให้ถือเป็นงานอันสำคัญประจำตนทุกอิริยาบถ งานเหล่านี้เป็นงานสำคัญยิ่งกว่างานอื่นใด นี่เหมาะสมกับความรักตน งานประเภทนี้จะเป็นงานสงเคราะห์ตนโดยตรง เป็นงานแก้งานถอดถอนตน ที่เคยถูกผูกมัดมาเป็นเวลานานด้วยกิเลสอาสวะทั้งหลาย ให้ค่อยเบาบางและหมดไปโดยลำดับโดยตรง ไม่มีงานอื่นใดที่จะวิเศษศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่างานนี้สำหรับสมณะคือนักบวชเรา ด้วยเหตุนี้จงถือเป็นสำคัญ
นับตั้งแต่วันบวชมา สำหรับเราเองก็ได้พิจารณาถึงงานต่าง ๆ ที่ได้เคยดำเนินมากับครูกับอาจารย์ก็ดี อยู่วัดบ้านเราก็เคยอยู่ การก่อสร้างนั้นสร้างนี้ก็เคยทำ เรียนหนังสือก็เคยเรียน ตั้งจิตตั้งใจทำทุกด้านตามความที่เห็นว่าจำเป็นต้องทำ จนกระทั่งก้าวเข้ามาสู่วงปฏิบัติ แล้วได้ดำเนินไปด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาไปตลอดสายจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เมื่อประมวลงานทั้งหลายเหล่านั้นมาแล้ว ฝ่ายเหตุคือการกระทำก็ไม่เห็นงานอื่นใด ที่จะมีความทุกข์ความยากความลำบากจนถึงขั้นแสนสาหัส เหมือนงานจิตตภาวนา เพื่อรื้อถอนกิเลสอันฝังจมอยู่ภายในจิตใจนี้ ให้ออกไปได้โดยลำดับ
งานนี้เป็นงานที่หนักมากทีเดียว แล้วเรายังเชื่ออีกด้วยว่า ความหนักมากแห่งเหตุคืองานที่ดำเนินมาทางด้านจิตตภาวนานี้ เป็นเครื่องส่งเสริมที่จะให้จิตได้รับความศักดิ์สิทธิ์วิเศษขึ้นไปโดยลำดับ ๆ แล้วยังเชื่ออย่างฝังใจด้วยว่า งานนี้แลคืองานเพื่อถึงความพ้นทุกข์ คืองานนี้แล เชื่ออย่างฝังใจจริง ๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงกล้าแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนให้ถืองานเหล่านี้เป็นงานสำคัญอย่าได้ลดละปล่อยวาง
เราอยากพบอยากเห็นอยากได้ยินหมู่เพื่อน ที่แสดงผลแห่งงานขึ้นมา และอยากพบเห็นหมู่เพื่อนที่มีความสนใจต่อการประพฤติปฏิบัติ ด้วยความเข้มแข็งไม่อ่อนแอทุกอิริยาบถเว้นแต่หลับเท่านั้น เราต้องการอย่างยิ่ง สมกับเรามีความห่วงใยในหมู่คณะและให้โอวาทแนะนำสั่งสอนอยู่เรื่อยมา ไม่เคยลดละปล่อยวาง แม้งานอื่น ๆ ซึ่งบางครั้งบางคราวเราก็ผ่านไปได้ ยุติหรืองดได้ แต่งานการอบรมหมู่คณะนี้เราถือเป็นงานสำคัญ หากไม่สุดวิสัยไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่เคยลดละ ต้องให้การอบรมแนะนำสั่งสอนอยู่เรื่อยมา เพราะถือว่าหมู่เพื่อนได้ปล่อยมาหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เพื่อธรรมคือความหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น การทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความหลุดพ้นสำหรับตน จึงเหมาะสมกับการสงเคราะห์ ที่จะต้องสงเคราะห์ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มอรรถเต็มธรรม เต็มสติกำลังความสามารถของผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ ที่จะให้โอวาทอบรมสั่งสอนได้เพียงไร ผมถือนี้เป็นคติฝังใจอย่างลึกทีเดียว
คำว่ากิเลสนี่เป็นชื่ออันหนึ่งของธรรมชาติที่คอยยุแหย่ก่อกวน คอยแสดงอากัปกิริยาอยู่ไม่ลดละ ไม่หยุด ไม่มีการพักผ่อนหย่อนตัวเลยเว้นแต่เวลาหลับสนิทเท่านั้น สิ่งเหล่านี้แลเป็นสิ่งที่ยุแหย่ก่อกวนจิตใจมากที่สุด ให้หาความสุขความสบายหาความเป็นตัวของตัวไม่ได้ ยิ่งไม่เคยได้อบรมทางด้านอรรถธรรมเลย จึงเหมือนกับอยู่กลางมหาสมุทร เรือก็เท่ากำปั้นนี้เท่านั้น พอนั่งลงได้เท่านั้นไม่กว้างยิ่งกว่านั้น เราจะแน่ใจได้ไหมว่าตัวเราเองจะไม่ล่มจมลงในมหาสมุทรในวินาทีใดก็ได้
กิเลสที่มีความหนาแน่นภายในใจของเรานั้นเหมือนกับน้ำมหาสมุทร ใจของเราเองที่ทรงตัวอยู่ในเวลานี้ หากมีอรรถมีธรรมบ้างเล็กน้อยก็เท่ากับพอเหมือนเขานั่งเรือเล็ก ๆ นั้น ถ้าไม่ใช่เรือใหญ่ที่เป็นเรือเดินสมุทรจริง ๆ แล้วเราจะหาความแน่นอนใจไม่ได้เลย
การอยู่ในท่ามกลางแห่งกิเลสอาสวะทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนท้องฟ้ามหาสมุทร ครอบหัวใจเราอยู่ตลอดเวลานาทีนี้ จึงไม่เป็นที่แน่ใจได้เลยว่าเราจะล่มจมกับมันเมื่อไร ในขณะนี้ก็อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรทะเลคือกิเลสประเภทต่าง ๆ อยู่แล้ว เราจึงควรเสาะแสวงหาที่พึ่งตั้งแต่สมาธิขึ้นไป ศีลเรามีแล้วเป็นภาคพื้นรักษาอยู่ตลอดเวลา สมาธิคือความสงบใจก็เทียบกับเรือลำใหญ่ลำหนึ่งเหมือนกัน ให้ใจเราได้มีความสงบเหมือนกับเรือเราทอดสมอไว้กลางมหาสมุทรเราก็เย็นใจ
ฝึกฝนอบรมจิตใจให้มีความแน่วแน่มั่นคงต่อตนเอง มีฐานแห่งความสงบเป็นสำคัญ เพียงเท่านี้เราก็เย็นใจ แม้กิเลสจะยังไม่ฉิบหายตายไปสักตัวเดียว กิเลสก็สงบ ก็เหมือนกันกับคลื่นทะเลสงบไม่แสดงในเวลานั้น เมื่อได้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาตามกาลอันควรของผู้จะใช้ปัญญาแล้ว และใช้ไปโดยลำดับ สิ่งที่ปิดบังอยู่นี้ เพราะอำนาจแห่งความหนาแน่นของกิเลส ปิดบังความจริงทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้น ก็จะค่อยเบิกตัวออกไปเรื่อย ๆ เปิดเผยออกไปเรื่อย ๆ ด้วยอำนาจของสติปัญญา ท่านจึงสอนให้พิจารณา นี่ละถ้าว่ากว้างก็เหมือนมหาสมุทรขันธ์ของเรานี้ จากขันธ์นี้ก็ขันธ์นั้น จากขันธ์นั้นก็ขันธ์นั้น หลงขันธ์นี้แล้วหลงขันธ์นั้น หลงไปทั่วโลกดินแดน จะไม่กว้างยิ่งกว่ามหาสมุทรได้อย่างไร
สติปัญญาที่จะบุกเบิกฝ่าฟันสิ่งเหล่านี้ออกก็มีอยู่กับเราถ้านำมาใช้ พิจารณาให้เห็นตามความจริง ในสกลกายนี้เราก็เรียนอยู่เป็นประจำมาแล้วว่ามีอะไรบ้าง ที่ทำให้เรามืดบอดอยู่เวลานี้มองไม่เห็นทั้ง ๆ ที่ตาเนื้อเห็นอยู่ ตาใจหายไปไหนจึงไม่เห็นมี นอกจากเราไม่พิจารณา ค้นลงในตัวของเรานี้ก็เต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ตามแต่ความต้องการของเราจะแยกให้เป็นประเภทใด จะเป็นประเภทอสุภะอสุภังเราหาจุดไหนแม้นิดหนึ่งอันเป็นความสะอาดสะอ้าน ที่น่ารักชอบหรือชมเชยมีไหมในสกลกายนี้ ตั้งแต่เบื้องบนลงถึงเบื้องต่ำสุด ตั้งแต่ภายนอกเข้าไปสู่ภายใน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดปฏิกูลโสโครกทั้งนั้นตามหลักความจริง ทำไมเราจึงไม่เห็น
ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาตามทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว แม้กำแพง ๗ ชั้นก็แตกกระจาย นี่มันไม่ได้หนายิ่งกว่ากำแพงด้วยซ้ำ และไม่หนาเท่ากระดาษนั้นเลย ทำไมเราจึงมองไม่ทะลุแทงไม่ทะลุ ฟันไม่ขาดตีไม่แตกเป็นเพราะเหตุไร ควรจะตั้งปัญหาถามตนเอง
ถือร่างกายนี้เป็นสนามรบเป็นที่พินิจพิจารณา เห็นหรือไม่เห็นก็วินิจฉัยกันอยู่ที่ตรงนี้ ตั้งปัญหาถามกันอยู่ในวงขันธ์นี้ พิจารณาอยู่ในวงขันธ์นี้ไม่นอกเหนือไปไหน ถ้าออกจากขันธ์นี้ไปขันธ์นั้นก็พิจารณาในลักษณะเดียวกัน พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง ด้วยความสนใจใคร่รู้ใคร่เห็นจริง ๆ จะนอกเหนือสติปัญญาไปไม่ได้เลย นอกจากจะพิจารณาด้วยความโลเลไปตามนิสัยของกิเลสครอบหัวไปเท่านั้น จึงไม่เป็นความเพียรพอจะรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่มีอยู่กับตนแต่อย่างใด นี่ควรจะตั้งเป็นปัญหาถามตนเองให้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ถามแล้วถามเล่า โดยถือเอาขันธ์นี้เป็นสนามเป็นเวทีวินิจฉัยไต่สวนโต้วาทีกันที่ขันธสภานี้ เอาให้เห็นแดงเห็นดำกันตามหลักความจริงมีอย่างไร
นี่ถ้าแยกไปในแขนงที่ว่าเป็นอสุภะอสุภังก็เต็มอยู่แล้วเห็นประจักษ์ ตาเนื้อเราก็เห็นอย่าว่าแต่ใจคิดเลย เป็นแต่เพียงกิเลสมันปิดกั้นไว้ไม่ให้เชื่อความจริงนี้เท่านั้น ให้เชื่อความปลอมของมัน มันพลิกเสียใหม่ว่าสวยงามน่ารักใคร่ชอบใจ นั่นมันพลิกจากความจริงกลายเป็นความปลอม ปลอมทั้งแท่ง ปลอมอย่างชัดเจนเรายังยอมเชื่อมันได้ จะว่าเราฉลาดที่ไหน ถ้าไม่เรียกว่าเราโง่เต็มภูมิเท่านั้นไม่มีทางชมเชย เพราะของจริงแท้ ๆ เป็นอย่างนี้ ของปลอมเป็นอย่างนั้นยังเชื่อได้ นี่ในแง่หนึ่งที่จะพิจารณาเป็นสภาหนึ่งเหมือนกันอันนี้ หรือเป็นปัญหาอันใหญ่โตอันหนึ่ง
ถ้าจะแยกดูเป็นธาตุมันก็มีแต่ธาตุ อันนี้เป็นความละเอียดลงไปยิ่งกว่าอันดับแรก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็มีความละเอียดยิ่งกว่าอันดับแรก เพราะฉะนั้นควรจะพิจารณาอันดับนี้ให้เข้าใจกันในแง่นี้ประจักษ์ใจแล้ว เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันจะปรากฏขึ้นมาในระยะเดียวกันขณะเดียวกัน จากสิ่งเดียวกันนั้นแหละไม่อยู่ที่ไหน พิจารณาอย่างหนึ่งก็ถูกอย่างหนึ่ง ถูกไปหมดเพราะเป็นสิ่งเกี่ยวโยงและเป็นสภาพอันเดียวกัน มีลักษณะต่างกันนิดหน่อยจากวัตถุอันเดียวกันนี้เท่านั้น
กำหนดพิจารณาให้แตกกระจัดกระจายลงไป เหมือนอย่างเราเห็นในที่ต่าง ๆ เป็นอย่างไรคนตาย เพียงเอาไว้ ๒ คืนเท่านั้นกลิ่นไปถึงไหนแล้ว เราเป็นพระนี้ละไปในงานศพต่าง ๆ เราปฏิเสธไม่ได้เราเห็นด้วยตา รู้ชัดด้วยจมูกของเรา ประจักษ์ด้วยใจของเรา นั่นดูซิเป็นยังไง ถ้าขืนเอาไว้นานกว่านั้นจะเป็นอย่างไรอีก จะแสดงมากเพียงไรในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา คือความปฏิกูลเหล่านั้น แล้วก็ย้อนเข้ามาดูตัวของเรา มันก็ตัวนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ตัวอื่นตัวใด ตัวปฏิกูลตัวอสุภะอสุภัง ตัวเปื่อยตัวเน่าตัวสลายตัวทำลาย ทำไมพิจารณาในตัวเราแล้วมันจึงไม่เปื่อยไม่เน่า มันจึงไม่สลายไม่ทำลาย มันจึงไม่เป็นของปฏิกูลเป็นเพราะเหตุไร ถ้าเราพิจารณาตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ มันต้องเป็นอย่างที่ว่านี้ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าไม่ปล่อยให้กิเลสฉุดลากไปหลอกไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่พิจารณาสิ่งเหล่านี้อยู่โดยความว่าเป็นธรรม แต่มันกลายเป็นของปลอมไปเสียนั้นเท่านั้น นี่หลักการเบื้องต้นพิจารณาอย่างนี้
การกำหนดคำบริกรรมเพื่อเป็นพื้นฐานของสมถธรรม เราก็ทำอย่างจริงจัง ให้มันติดแนบกันไปกับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอ เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตายเช่นเดียวกัน ยังไงก็ทนความสงบไม่ได้ ต้องสงบ นี่ได้เคยทำมาแล้วไม่ใช่มาพูดแบบปาว ๆ เฉย ๆ พูดด้วยเหตุที่เคยดำเนินมาแล้ว และพูดตามผลที่เคยปรากฏมาแล้วเช่นเดียวกัน ถ้าลงจริงจังกับสิ่งใดแล้วสิ่งนั้นจะเห็นจริงขึ้นมาไม่มากก็น้อย เป็นเงื่อนเป็นสักขีพยานได้โดยไม่สงสัย
นอกจากจะทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ เหลว ๆ ไหล ๆ วันไหนก็เหลว ๆ ไหล ๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ผลก็จะเอามาจากไหนนอกจากมีแต่ความเหลวไหลในตัวของผู้นั้นเท่านั้น แล้วสุดท้ายกิเลสก็หนักข้อขึ้นไปทุกวัน แล้วก็กดให้จมลงไปในท้องมหาสมมุติมหานิยมนี้เท่านั้น อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี เลยกลายเป็นเรื่องดีไปเสียหมดในบรรดาสิ่งที่ไม่ดีไม่มีสาระทั้งหลาย กลายเป็นสาระไปเสียทั้งหมดเพราะอำนาจของกิเลสมันฉุดลากไป ธรรมคือความจริงนั้นน่ะแทรกเข้าไปไม่ถึง ผลก็ไม่มีซึ่งจะปรากฏ
พูดท้ายเทศน์
ความพากเพียร พระตาบอดหูหนวกทั้งหลายก็หัวสุมกันเข้าไป พูดบ่นพิไรรำพันแต่เรื่องพระพุทธเจ้าจะพลัดพรากจากไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ของธาตุของขันธ์ แต่ไม่ย้อนมาคิดถึงเรื่องกิเลสมันผูกพันอยู่ภายในจิตใจ มัดใจของตัวเองจนมืดมิดปิดตา ไม่คลี่คลายขยายมันออกพอได้มองเห็นความจริงตามหลักศาสดาที่สอนไว้บ้างพอได้รับความเบาใจ ไปอยู่ที่ไหนก็มั่วสุมกันแต่เรื่องเดียว
พระติสสะท่านไม่สนใจกับใครท่านเข้าในป่าเงียบ ๆ ทีนี้พวกบ้าเหล่านี้ก็นำเรื่องขึ้นทูลพระพุทธเจ้า กราบทูลว่าพระติสสะไม่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ นั่น พวกบ้านี่เป็นพวกจงรักภักดี กลับเป็นอย่างนั้นไปเสียพิจารณาซิ เราอย่าเข้าใจว่าในวงแห่งธรรมไม่มีเรื่องบ้าแฝงอยู่ มันมีอยู่อย่างนี้ หาว่าพระติสสะนั้นเป็นผู้ผิดไปเสีย แต่พระองค์ก็ทรงเป็นศาสดานี่ รู้เต็มพระทัยก็รับสั่งมาเพื่อเป็นสักขีพยานให้ได้เหตุได้ผลทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ได้เข้าใจกัน
เมื่อรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้วก็ซักถาม ไหนพระติสสะ ได้ทราบว่าเธอไม่มีความจงรักภักดีต่อตถาคต เป็นความจริงแค่ไหน ข้าพระองค์มีความจงรักภักดีเต็มหัวใจ เท่าที่ข้าพระองค์ไม่ได้เข้ามามั่วสุมอยู่กับหมู่เพื่อนก็คิดเห็นว่า พระองค์จะไม่นานเลยต้องปรินิพพานอย่างแน่นอน จึงรีบเร่งขวนขวายตั้งแต่บัดนี้ที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ หากที่จะพอหลุดพ้นไปตามเสด็จได้ก็จะได้พ้นไปได้ จึงรีบเร่งขวนขวายต่อความพากเพียรยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทรงประทานสาธุการ ๓ หน ดีแล้ว ติสสะดีแล้ว อย่างนี้แลชื่อว่าบูชาเราตถาคต ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมชื่อว่าบูชาตถาคต นั่นฟังซิ นั่นคือความคิดถูก
นี่ก็เรื่องตาย ตายจุดนั้นตายจุดนี้ ก็จุดนี้ก็จุดจะตายอยู่แล้วนี่ เมื่อไรมันจะตายก็รีบเร่งไปซิ บทเวลาจะตายเอาอะไรติดตัวไปด้วย หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ทั้งท่อนมันได้อะไร ความคิดความปรุงทั้งหมดมันหายซากไปด้วยกันหมด ยังเหลือตั้งแต่วิบากกรรมที่อยู่ภายในกับกิเลสที่ฆ่ามันไม่ออกแกะมันไม่ออกนั่นแหละมันจะไปเหยียบย่ำทำลาย วิบากกรรมที่ทำเพราะอำนาจของกิเลสอันเป็นฝ่ายต่ำนั้น มันก็จะฉุดลากลงไปทางต่ำเรื่อย ๆ นี่ก็คิดย้อนเข้ามาตรงนี้
นี่ทุกข์มีจุดหมายปลายทางที่ไหน ทุกข์ประเภทเป็นไปด้วยกิเลสนี้ หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ แต่ทุกข์เพราะความพากเพียรนั้นเป็นทุกข์ที่มีจุดหมายปลายทาง พร้อมที่จะตัดสินอยู่แล้ว ถ้าเป็นขึ้นโรงขึ้นศาลก็พร้อมที่จะตัดสินอยู่แล้ว จะตัดสินฝ่ายไหนจะแพ้หรือชนะ ก็ตัดสินฝ่ายชนะโดยลำดับนั่นเอง
หลักฐานพยานแห่งความเพียรของเรามีอยู่ภายในตัวของเราอย่างประจักษ์ วันนี้ฆ่ากิเลสได้เท่านั้น วันนี้กิเลสตัวนี้ซบเซาลงไป วันนั้นกิเลสตัวนั้นหมอบราบลงไป วันนี้กิเลสตัวนี้ตายไป เผาศพกิเลสตัวนั้นตัวนี้เรื่อยไปด้วยอำนาจของตปธรรม มีสติปัญญาเป็นเครื่องแผดเผาอันสำคัญ หนุนกันไปโดยลำดับลำดา ทุกข์ประเภทนี้มีขอบเขต มีกฎมีเกณฑ์มีวันจบสิ้นลงไปได้ เอ้า ถ้าทุกข์ให้ทุกข์แบบนี้จึงเรียกว่าลูกศิษย์ตถาคต อย่าไปมัวแบกหามทุกข์อยู่ในวัฏจักรนี้ด้วยความนอนใจ ด้วยความเห็นว่าการประกอบความเพียรเป็นทุกข์เลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจะหาเวลาพ้นจากทุกข์ไม่ได้ เอาให้จริงให้จังซิ
ทุกข์ขนาดไหนก็ทุกข์เถอะทุกข์ในการต่อสู้กับกิเลสนี่ พระพุทธเจ้าพาทุกข์มาแล้ว พระสงฆ์สาวกองค์ใด ๆ ก็พาทุกข์มาแล้วเหมือนกัน ทางมันไปอย่างนี้ ทางสายนี้ไปอย่างนี้ ปลีกแวะไปที่อื่นไม่ได้ หนักเบาขนาดไหนก็ต้องแบกกันไป หามกันไป ต่อสู้กันไป รกรุงรังขนาดไหนก็บุกกันไป เป็นตมเป็นโคลนเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นขวากเป็นหนามเหยียบย่ำมันไปอย่างนั้นแหละ ทางไปตรงนั้นที่อื่นหาที่ไปไม่ได้
ถ้าหากว่ามีที่อื่นที่พอไปได้ พระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติ จะทรงสั่งสอนเราให้ละเอียดลออให้ง่ายที่สุดดังที่เคยเทศน์แล้วนั้น สานทั้งอู่ทั้งเปลให้ทุกสิ่งทุกอย่าง หมอนมัดติดหลังติดคอไปเลย ต้องการล้มที่ไหนล้มลงไปเถอะ กิเลสมันตายไปเองเหมือนพวกเธอทั้งหลายตายลงเดี๋ยวนี้แหละ ตายทั้งเป็นนี่ กิเลสมันก็ตายพร้อม ๆ กันแหละ เราตถาคตเตรียมพร้อมให้แล้ว เสื่อก็มี หมอนก็มี มัดติดตัวทุกสิ่งทุกอย่าง มัดให้หมดติดไปเลย บ้องกัญชาก็มัดให้เลยติดปากไปเลยครอก ๆ นั่น แต่ทางนี้ไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์น่ะซี จึงไม่ทรงทำ จึงไม่ทรงสอน
ใครจะฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในอุบายวิธีสั่งสอนสัตว์ แล้วใครจะสงสารเมตตาสัตวโลกยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ควรจะได้ในแง่ใดวิธีการใด ใครจะเป็นผู้สอนก่อนถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะต้องพร่ำสอนก่อนอื่นเลย แต่นี้ทรงพิจารณาหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วว่าไม่มีทางไป มีทางมัชฌิมาปฏิปทาทางสายเดียวนี้เท่านั้น ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ต้องอันนี้แหละ ยกเครื่องมือนี้ขึ้นปราบกับกิเลส กิเลสกลัวเฉพาะเครื่องมือนี้เท่านั้น เอาให้จริงจังลงไป
ผมก็เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟัง เพราะงั้นพูดมันถึงปลีก ๆ จากนิสัยของตัวเองไปไม่ได้ มันไม่พ้นที่จะเป็นนิสัยอยู่จนได้แหละ เพราะนิสัยเคยทำมาอย่างนั้น ถ้าพูดเออนั่นก็ดี เออนี่ก็ดีเรื่อย ๆ ผมพูดไม่เป็นเพราะผมไม่เคยทำอย่างนั้นได้ผล บางทีเอาหมู่เพื่อนมาพิจารณาดู หมู่เพื่อนท่านทำนั้นทำนี้ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ของท่าน ไอ้เราเดินจงกรมจนจะตายภาวนายังไม่ได้เรื่องได้ราว นั่งภาวนาก็เอา เกิดสงสัย เอ๊ ท่านเหล่านี้ท่านก็ยังเห็นสบาย ๆ เราทำความเพียรแทบตายเรายังไม่เห็นสบาย
บางทีก็เลยลองเอาอย่างท่านดู นี่ฝึกหัดเบื้องต้นนะ ลอง ๆ นั่งพักสบาย ๆ สักหน่อย ถึงไม่ทำอะไรก็นั่งพักสบาย ๆ อ้าว มันไม่เป็นอย่างนั้น มันกวนน่ะที่นี่ เรื่องมันกวนมันกวนขึ้นเรื่อย ๆ หือ เราทำอย่างนี้ไม่ได้นี่ แน่ะ มันเป็นแล้วนะ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็จับมัดคอมันเข้าทางจงกรมทำความเพียร เข้าความเพียรละซี เราจิตหยาบ ๆ ก็ต้องได้ใช้ความหยาบ ๆ ต่อสู้กัน หนักไปแบบหนึ่งเหมือนกันนี่นะ โอ้โห ลำบากจริง ๆ มันก็ได้ผลมาโดยลำดับเพราะความหยาบ ๆ ของเราทำอย่างหยาบ ๆ ของเรานั่นแหละ มันบอกมาโดยลำดับ
ทำลูบ ๆ คลำ ๆ ไปสบาย ๆ เหมือนหมู่เพื่อนทั้งหลายเราทำไม่ได้ มันต้องได้เอากันหนักมือ ๆ ตั้งแต่ขั้นความสงบก็ต้องหนักมือดังที่เคยพูดให้ฟังแล้วเรื่อย ๆ นั่นก็เพื่อให้เป็นคติตัวอย่างหมู่เพื่อน เดินอย่างนี้ให้รู้นิสัยตัวเอง ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันไม่บางแหละ มันหนาด้วยกันนั่นแหละ อย่าไปทำแบบบาง ๆ ใส่มันเลยมันจะหัวเราะเอา มันหนาเราก็หนาใส่กันว่างั้นเลย กำแพงมันหนา ๆ ก็ลูกระเบิดปาเข้าไปซีให้มันแตกกระจายนั่น เราจะไปเอาค้อนตีตะปูไปเคาะป๊อก ๆ ได้เหรอกำแพงหนา ๆ นั่น โยนระเบิดเข้าไปซี ตูม ให้มันพังทลาย
นี่ก็ทุ่มลงไปซีสติกำลังของปัญญาความพากเพียรเรามีมากน้อยเพียงไร ฟาดมันลงไป เอ้า ตายก็ตายให้มันเห็นนี่วะ ไม่งั้นจะเรียกว่านักรบหรือ นักรบกับความตายต้องอยู่ด้วยกัน กับชัยชนะต้องอยู่ด้วยกันแยกจากกันไม่ได้ เอ้า ไม่ตายก็ชนะ ไม่ชนะเอ้าตาย แต่สงครามทางโลกเขานั่นมันมีชนะกับตาย เป็นอย่างนั้นส่วนมาก หรือยังไม่ชนะตายก็มี ยังไม่ตายชนะก็มี ก็มีอยู่ ๒ แง่เท่านี้ แต่ทางความเพียรไม่เป็นอย่างนั้น มันมีท่าจนได้แหละ ชนะไปโดยลำดับ หรือไม่ถึงชัยชนะอันสมบูรณ์ก็เป็นชัยชนะไปโดยลำดับ เพราะความเพียรนี่ เพราะความทุกข์ในการประกอบความเพียรนี่ไม่สงสัย
คิดย้อนหลัง แหม บางทีก็ถึงกับ โอ้โห ขนาดนั้นมันก็ทำได้ คือไม่ได้ตำหนิตัวเองแหละ ไม่ได้ยอนะ คิดย้อนหลังแล้วมันระอา คือทุกวันนี้มันทำไม่ได้นี่ จะทำได้ยังไงกำลังวังชาก็ไม่มี ถ้าทำอย่างนั้นมันตายจริง ๆ นี่จะว่าไง กำลังธาตุขันธ์ก็ไม่มีเหมือนแต่ก่อน และกำลังใจก็ไม่มี นี่ดูซิจะว่าเลวก็แล้วแต่หมู่เพื่อนจะพิจารณา กำลังคือความมุ่งมั่นไม่มี แล้วความเพียรที่จะเป็นไปตามความมุ่งมั่นเพื่อจุดนั้น ๆ มันไม่มี แต่ก่อนมันมีเต็มหัวใจจะว่าไง มันไม่มีจุดไหนละเป็นจุดสำคัญ จุดพ้นทุกข์เท่านั้น
เมื่อตั้งความมุ่งหมายไว้อย่างสูงขนาดนั้นแล้ว จะย่อหย่อนความเพียรได้เหรอ มันก็ไม่สมเหตุสมผลกันซิ ทีนี้จำเป็นต้องทุ่มลงไป ๆ ถึงวาระที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มกันจริง ๆ มันถอยไม่ได้นี่ มีแต่ตายกับรู้ เอ้า ไม่ตายให้รู้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วมันถอยไม่ได้จริง ๆ ต้องทะลุเลย ทุกข์ไหมขนาดนั้นฟังซิ โห พิจารณาย้อนหลังแล้ว โอ้โห ขนาดนั้นมันก็ทำได้ แต่ก็ภูมิใจนะถ้าไม่ถึงขนาดนั้นมันก็ไม่รู้ไม่เห็น แน่ะ อย่างนั้นพอดี คือมันเป็นไปตามจังหวะของความเพียร ตามจังหวะของกิเลสที่มันเจอกันพูดง่าย ๆ ข้าศึกกับการรบมันเจอกัน เจอกันหนักแน่นขนาดไหน ข้าศึกหนาแน่นขนาดไหน อันนี้เราจะไปทำอ่อนแอไม่ได้ มันต้องโหมกำลังเข้าไป
จนกระทั่งได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นมา ๆ ความเพียรค่อยเป็นของมันไปเองที่นี่ ค่อยหมุนไป ๆ แต่ยังไงก็ไม่พ้นว่าทุกข์ ๆ หากไม่สนใจในทุกข์เท่านั้นเอง สนใจแต่จุดมุ่งหมายที่ต้องการนั้น ทุกข์จึงเป็นเหมือนไม่ทุกข์ เวลามาพักรบชั่วขณะนี้ โอ้โห มันจะตายหายใจแขม่ว ๆ มันถึงต้องคิด หือ เราคิดคาดเอาไว้ว่าการประกอบความเพียร จิตมีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไร ยิ่งจะมีความสุขความสบายมากและภาระก็จะน้อยลงไป ๆ นี้ผิดทั้งเพ มันเห็นประจักษ์อยู่ในตัวนี่มันจะไม่ปฏิเสธกันได้ยังไง ผิดทั้งเพความคาดหมายนั้น ไม่ใช่ความจริงที่เป็นอยู่ดังที่ปรากฏอยู่เวลานี้ นี่มีเวลาว่างได้เมื่อไร ทุกข์ขนาดไหนที่นี่ ทุกข์น่ะซีหัวใจทำงานไม่ทุกข์ได้เหรอ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าความมุ่งมั่น มันไปทุ่มอยู่นั้นหมด ความรู้สึกทุกแง่ทุกมุมไปทุ่มอยู่กับงานนั้นหมด เรื่องความทุกข์ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไปเสีย
อย่างทุกวันนี้ โอ๋ย ไม่ได้เรื่องแหละ ว่าเลวที่สุดก็ยอมรับเลย มันเป็นไปไม่ได้ กำลังของจิตก็ไม่มี อยู่เฉย ๆ นี่จะว่าไง แต่ก่อนไม่เป็นอย่างนี้นี่นะ มันเหมือนจะออกแสงแพรวพราว ๆ หรือออกแสงแพรวพราว ๆ ก็ได้นี่ คิดดูซิสมมุติว่าเรานั่งนี่มันทุกข์มากจะสู้มันไม่ได้จนกระทั่งสลบล้มลงไป ล้มลงก็ไม่ถอย นั่นฟังซิจะไม่แข็งแกร่งยังไง พอได้สติแล้วจะลุกขึ้นมานั่งทันทีเลย ที่จะถอยไปเลย ปล่อยให้มันล้มแล้วนอนไปเลยนี้ทั้ง ๆ ที่มีสติอยู่นี้เป็นไปไม่ได้ว่างั้นเลย
แต่มันก็ไม่เคยสลบเป็นเพียงว่าเราตั้งไว้ขนาดนั้นแหละ กำลังต่อสู้กับทุกขเวทนา เอาจนกระทั่งไม่มีสติสตัง สลบล้มลงทางด้านไหนก็ตาม ล้มทั้งหงายก็ตามเถอะ พอได้สติแล้วจะลุกขึ้นต่อสู้ทันที เอาจนถึงจุดที่ต้องการที่กำหนดกันไว้ หรือจนทะลุ มันก็ไม่เคยสลบ ก็คาดไว้อย่างนั้นแหละ คาดบ้า ๆ บอ ๆ ก็ถูก แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่เป็นอย่างอื่น เวลามันแข็งมันแข็งจริง ๆ ความมุ่งมั่นมาก กำลังจิตมาก ธาตุขันธ์ก็อำนวย แต่เวลามาถึงปัจจุบันนี้แล้ว สุขภาพก็ไม่อำนวย อยู่เฉย ๆ ครองตัวอยู่นี้ก็คอยแต่จะหกล้มก้มกราบอยู่แล้วนี่ มันจะไปต่อสู้อะไรได้ กำลังจิตก็ไม่มีเสีย มันไม่มีก็บอกว่าไม่มี มันไม่มุ่งอะไรนี่ อยู่เหมือนหัวตอก็ว่าได้ เป็นแต่เพียงว่ามันรู้อยู่เท่านั้น แต่มันจะมุ่งหมายอะไรมันไม่มุ่ง
อย่างอยู่ทุกวันนี้ก็อยู่ ไม่ว่าเรื่องโลกเรื่องธรรมเรื่องอะไรมันไม่เห็นมุ่งหมายทั้งนั้น โลกก็จะมุ่งเรื่องอะไรกับโลกสงสารเขาก็ไม่เห็นมี มันมุ่งอะไรกับธรรมอีกก็ไม่เห็นมีอีก หากอยู่ด้วยธรรมนั่นแหละปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ความมุ่งไม่เห็นมีก็บอกว่าไม่มี มันก็ไม่มีกำลังใจซี ปฏิบัติไปก็รู้เอง ถึงขั้นมันรู้ปิดได้เหรอ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศอยู่ทุกหัวใจของผู้ปฏิบัตินี่แหละ พระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกขาดแหละ ทำให้รู้ให้เห็นจริง ๆ ซิ
อย่าไปคิดเรื่องอำนาจวาสนาน้อย เป็นเรื่องตำหนิตัวเองด้วยอำนาจของกิเลสทั้งมวล มันจะท้อถอย อย่าไปตำหนิมัน น้อยมากมันก็เต็มหัวใจนี่ อยู่นี่ กิเลสมีมากมีน้อยเท่าไรไม่มองดูมันบ้าง ที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปให้น้อยลง ๆ จนกระทั่งหมดไป นั่นถ้าคิดให้คิดในแง่นั้น อำนาจวาสนาน้อย น้อยที่ไหน เราต่อสู้กับกิเลสอยู่เวลานี้ เราไม่มีกำลังอำนาจวาสนาจะมาต่อสู้กับกิเลสได้ยังไง เราก็นักวาสนาแล้วนี่ กำลังต่อสู้กับกิเลสอยู่เวลานี้
คนไม่มีวาสนามันไม่มีกำลังที่จะมาต่อสู้ นอนแผ่สองสลึงให้มันเหยียบเอา ๆ เหยียบเอาแหลก นี่เราไม่ได้แผ่ให้มันนี่นะ นอกจากจะฟาดกิเลสให้มันแผ่สองสลึงให้ดูต่อหน้าต่อตา พลิกปุ๊บปั๊บ ๆ ซิจึงเรียกว่าปัญญา ไม่งั้นไม่ทันนะ อุบายวิธีการที่จะแก้กิเลส ไหวพริบปัญญาต้องทัน มันคิดขึ้นมาแง่นั้นแก้กันแง่นี้ปุ๊บ จึงเรียกว่านักรบ ไม่ใช่นักหลบ นักรบกับนักหลบมันต่างกัน พูดมันก็อดออกตามนิสัยไม่ได้เพราะเรามันเคยทำมาอย่างนี้ มันจริงจังจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา จริงมากทีเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าลงได้ตัดสินใจลงด้วยเหตุผลแล้วมันจริงแท้ ๆ ขาดไปเลย ที่จะถอยทำลายเหตุผลทำลายความสัตย์ความจริงของตัวที่ตั้งลงไปเรียบร้อยแล้วนั้นมันเป็นไปไม่ได้นี่ มันขาดไปเลย ตายก็ตายไปเลย
พิจารณาโลกธาตุมันไม่มีอะไรก็เอาให้มันเห็นซี มีแต่จิตดวงเดียวนี่ริก ๆ ๆ ไปหลอกเจ้าของอยู่ตลอดเวลา โอ๋ย เป็นภาพวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ขันธ์นี่แหละ แต่มันมีตัวส่งเสริมมีตัวหนุนมีตัวเจ้าของบังคับให้มันแสดงตัว มันไม่เป็นขันธ์ล้วน ๆ เหมือนขันธ์พระอรหันต์ท่านน่ะซี ขันธ์อันนี้มันขันธ์ของกิเลส เป็นเครื่องมือของกิเลส กิเลสนำออกใช้ทุกเวลา ปรุงเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้ ดูซิดูหัวใจมันเป็นอย่างนั้นตลอด มันไม่มีอะไรแหละมีแต่ใจดวงเดียวนี้หลอกเจ้าของรอบด้าน ไปอดีตก็จนสุดกำลังที่จะไป ไปอนาคตก็สุดกำลัง แต่ความจริงไม่ทราบเป็นยังไง ไม่เห็นได้เรื่อง หากคิดหากปรุงหากแต่ง หากเชื่อความคิดเพลินไปตามความคิดตัวเอง
ดีชั่วมันก็เพลินไปตาม มันพอใจด้วยกันทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งเรื่องของสุขกับทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะขันธ์มันปรุงออกไปเพราะอำนาจของกิเลส มันหลอกเราอยู่ได้ตลอดเวลา นี่ซิมันเป็นความเพียรไม่ได้ มันมีแต่ดูหนังตะลุงมันหลอก เพลินดูอยู่นั้นลืมเนื้อลืมตัว ไม่มีสติปัญญาที่จะไปจดจ้องดูเรื่องของมันเพื่อแก้ไขดัดแปลง ให้สิ่งเหล่านี้มันเบาบางลงไปได้ โน่น ขั้นสติปัญญาพอตัวแล้วถึงเห็นได้ชัดทีเดียว เพียงขั้นสงบก็พอทราบได้ จิตที่เคยวุ่นวายกับเรื่องราคะตัณหาต่าง ๆ นี้ มันรู้ได้
พอสงบแล้วมันก็ไม่ยุ่งกับเรื่องนั้น เอ้อ สบายบ้างซิ จากนั้นก็เพิ่มความสงบเข้าไป เพิ่มด้านสติปัญญาถากถางไปเรื่อย ๆ ต่อไปมันก็เป็นกิ่งเป็นก้านแตกแขนงออกไป สติปัญญาแตกแขนงออกไปเรื่อย ส่วนสมาธินี่เวลามันก้าวถึงขั้นปัญญาอย่างเต็มที่แล้ว สมาธิมันเหมือนไม่มีนะ มันไม่มาเพลินกับสมาธิละ งานแก้กิเลสเป็นงานที่เพลินมากกว่า เพราะฉะนั้นมันถึงติดพันกันไปนั้น กลายเป็นอุทธัจจะ ไม่รู้ว่าอุทธัจจะคืออะไร ก็คือความเพลินในการค้นการพินิจพิจารณาจนไม่หยุดยั้งพักผ่อนหย่อนตัวบ้างเลยนั้นแล เรียกว่าอุทธัจจะ เราไม่ทราบแต่ก่อนอุทธัจจะคืออะไร ในตำราบางแห่งว่าอุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ เลยเป็นแบบนิวรณ์ ๕ ไปเสีย
แต่อุทธัจจะนี้ไม่ใช่อุทธัจจะของนิวรณ์ ๕ เป็นอุทธัจจะที่มีความมุ่งหมายต่างกัน อันนี้เพลินในความเพียร เพลินในการแก้กิเลส แต่ว่าเพลินจนลืมเวล่ำเวลาที่จะพักผ่อนจิตใจ อันนั้นมันเพลินไปตามอำนาจของกิเลสตัณหาจริง ๆ นี่ อันนี้เพลินไปตามอำนาจของธรรมมันผิดกัน นี่ละอุทธัจจะ รูปราคะ อรูปราคะ มันเป็นภาพอยู่ภายในจิต ยินดีไม่ใช่ว่าราคะกำหนัดเหมือนอย่างแบบโลกสงสารสามัญธรรมดาทั่วไปกำหนัดกันนะ แต่ว่าไม่มีคำอื่นที่จะเหมาะสมนำมาใช้ ท่านก็ว่า รูปราคะ คือกำหนัดในรูป อรูปราคะหมายถึงความยินดีนั่นแหละ ยินดีอย่างละเอียดเท่านั้นแหละ
มันไม่ใช่เป็นราคะตัณหาแบบโลกสงสารนะ แต่มันไม่มีคำที่จะมาใช้ท่านก็ใช้อย่างนั้นแหละ ให้เข้าถึงความจริงก็รู้กันเอง ความยินดีนั้นท่านเรียกว่าราคะเสีย คือยังมีความยินดียังมีความผูกพันกันอยู่กับอันนั้น รูปราคะที่มันเป็นภาพอยู่ภายในจิต อรูปราคะก็ยินดีในสุขเวทนา มันไม่มีภาพอะไรปรากฏ มันว่างไปหมด มันก็ยินดีในสุขเวทนาของตัวเองนั่นแหละอรูปราคะ
มานะก็ถือความรู้ที่เต็มไปด้วยอวิชชานี่ ถืออันนี้เอง นั่นก็แยกเป็นมานะ ๙ เอาอันนี้ละออกเป็นเขี้ยวเป็นเขาขึ้นมา ยกไปเทียบรายนั้น ยกไปเทียบคนนี้คนนั้น ต่ำกว่าเราหรือเสมอเรา หรือสูงกว่าเรา อย่างนี้เป็นต้น คืออันหนึ่ง ๆ นี้แยกเป็น ได้ ๓ ตนต่ำกว่าเขาสำคัญว่าเสมอเขาหรือสูงกว่าเขา ตนเสมอเขาสำคัญว่าต่ำกว่าเขาหรือเสมอเขาหรือสูงกว่าเขา ตนสูงกว่าเขาสำคัญว่าต่ำกว่าเขาหรือเสมอเขา มานะตัวนี้ตัวความรู้อันนี้ เทียบอุทธัจจะก็ดังที่ว่านี่ อวิชชาก็นี่ละไม่รู้ที่ยกออกไปอวดอยู่นั้นจนกลายเป็นมานะ ๙ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ มีอะไรที่จะยกออกมาอวดไม่เห็นมี เพราะมันไม่ใช่สมมุติจะไปอวดกับสมมุติได้ยังไง วิมุตติมีอันเดียวเท่านั้นจะไปสองกับอะไรพอที่จะเป็นคู่แข่งกัน
สมมุติก็เป็นอันหนึ่งต่างหากของเขาแล้ว พิจารณาแยกตัวออกจากสมมุติแล้วจะไปสู้กับสมมุติอะไร ไปแข่งกับสมมุติอะไรอีก ท่านไม่แข่ง มีแต่พวกบ้าละพวกบ้าแข่ง เอาอะไรมาแข่ง เอโก อันเดียวกัน เอกฟังซิ ถึงธรรมอันเอกอันเดียวแล้วจะไปแข่งกับอะไรอีก ถ้ามีสองยังมีคู่แข่ง สมมุติก็ตัดออกหมดแล้วไม่มีเหลือแล้ว จะเอาอะไรมาแข่ง ท่านจะไปแข่งกับอะไร ออกจากนั้นแล้วเรื่องทุกข์เรื่องความเพียรก็หมดที่นี่ จะทำยังไง เดินจงกรมนั่งสมาธิฟาดจนฝ่าเท้าแตก โอ๋ย ไม่ทำ ท่านจะไปทำอะไรจนฝ่าเท้าท่านแตก แตกหาอะไร ฝ่าเท้าแตกก็เพื่อฟาดกับกิเลสต่างหากนี่ กิเลสมันตายหมดแล้วจะฟาดกับอะไร ตีลมตีแล้งเขาก็ว่าบ้าละซี
ถึงขั้นมันรู้มันรู้เอง สนฺทิฏฺฐิโก ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุด นอกเหนือไปจาก สนฺทิฏฺฐิโก ไม่ได้ เป็นขั้น ๆ โดยลำดับ ๆ สุดท้ายท่านก็สรุปความลงว่า ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายรู้จำเพาะตน ผู้หลงมันรู้ไม่ได้ท่านถึงบอกว่าวิญฺญู วิญฺญูหิ อันผู้รู้ทั้งหลายรู้จำเพาะตน หมายถึงผู้รู้ รู้จำเพาะตน มันก็หมดเขี้ยวหมดเขาแล้วที่นี่ เอาอะไรออกอวด เอาอะไรไปเทียบ เทียบกับอะไร เทียบกับใคร ต่างอันต่างจริงอยู่อย่างนั้นแล้วจะกระทบกันได้ยังไง ไปแข่งกันได้ยังไง
พากันเอาจริงเอาจังนะ เวลามาอบรมศึกษานี้ มันเป็นของไม่แน่นะอยู่กับครูบาอาจารย์ มีความพลัดพรากผันแปรกันไปได้ทั้งเป็นทั้งตาย เป็นได้ทุกรูปทุกนาม เวลามีโอกาสแล้วให้พากันรีบเร่งขวนขวาย อย่างผมเองนี่กำลังวังชาอะไรก็ทรุดลงไป ๆ เดี๋ยวนี้ ตามนิสัยเจ้าของโดดหนีไปอยู่คนเดียวแล้วนะ นี่ก็เพราะเห็นแก่หัวใจนั่นเอง หัวใจแต่ละดวง ๆ มีคุณค่า นี่เราก็ทนเอา ถ้าลำพังตามนิสัยเจ้าของไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ ไปอยู่สบาย ๆ ที่ไหนก็ไป เรื่องหยูกเรื่องยาไม่สนใจกับมัน ยาบำรุงอย่ามาพูดฟาดเข้าป่าทีเดียว ไม่ได้ประมาท ดีดผึงทีเดียวแล้วสบายไปเลย
จะปวดท้องปวดหัวก็เป็นซี อยู่ในโลกอันนี้ โลกเขาเป็นทั้งโลกจะวิเศษแต่เราคนเดียวไม่เจ็บไม่ปวดไม่เป็นอะไรมีเหรอ สัตว์อยู่เต็มป่าเต็มรกเขามีโรงพยาบาลมีหยูกมียามีมดมีหมอที่ไหน ทำไมเขาไม่สูญพันธุ์เขายังมีอยู่ได้ ทำไมเราเป็นคนทั้งคนจะอยู่ไม่ได้ อย่างนั้นก็สู้สัตว์ไม่ได้ละซี นี่ก็อยู่กันไปพยุงกันไป
ความรับผิดชอบอยู่ในวงคณะมันก็เป็นภาระอันหนึ่ง แม้ไม่ยึดไม่ถือมันก็เป็นภาระอันหนึ่งจะว่าไง ดีดออกไปแล้วมันเป็นอันหนึ่งความรู้สึกนี้มันจะเปลี่ยนทันที อยู่ในวงหมู่คณะความรู้สึกจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ออกจากวงหมู่คณะไปแล้ว ความรู้สึกมันจะต้องเป็นของมันอย่างนั้นอย่างนี้ มันรู้สึกของมันเองนี่ ไปที่นี่เห็นที่นั้นไปที่นั้นรู้สิ่งนั้น ๆ ที่ไม่เหมือนกันความรู้จะเหมือนกันได้ยังไง มันต้องเป็นไปตามสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง
อยู่ในป่ามันก็สบาย กินอะไรก็สบายไปหมด สัตว์เขากินอะไรเขากินได้เลี้ยงตัวเขาได้ อาหารมนุษย์คืออะไร มนุษย์เขากินกันได้ยังไง เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเราก็กินได้เหมือนกันกับเขา พอยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น มีอะไรวิเศษวิโสในโลกนี้ ไม่เห็นมีอะไร กินก็พอเยียวยาธาตุขันธ์ให้เป็นไปเท่านั้น จะหาความวิเศษวิโสศักดิ์สิทธิ์อะไรจากอาหารมีเหรอ ถ้ามีจากอาหารแล้ว มนุษย์เรานี้กินอะไรจิปาถะกินพิสดารไม่มีใครเกินมนุษย์ มันควรจะวิเศษจากสัตว์ทั้งหลายไปนานแล้วนี่ แต่มันก็ยังจมอยู่ในกองทุกข์เหมือนกัน พิจารณาอย่างนั้นซิ จากนั้นแล้วมันก็จะไปติดอะไร อยู่ได้กินได้ทั้งนั้นแหละ เป็นเครื่องอาศัยไปเท่านั้น ตื่นอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าตื่นอยู่จะเรียกว่าฉลาดเหรอ สอนเจ้าของเพื่อฉลาดนี่ยังจะไปโง่อีกเหรอ