อย่าตื่น เงาไม่ใช่ตัวจริง
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2545 เวลา 8:00 น. ความยาว 32 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

อย่าตื่น เงาไม่ใช่ตัวจริง

 

         (มีพระวัดศรีจันทร์วนาราม บ้านนาผู้ ต.นาผู้ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานีมากราบเรียนเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับพระพุทธรูป หน้าตัก ๙ คืบว่า เมื่อวันที่ ๓ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นตอนเช้า ประมาณ ๑ โมงเช้า หลวงพ่อได้ไปที่โบสถ์ เปิดกุญแจเข้าไปในโบสถ์เพื่อจะไปจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป ในขณะที่เข้าไปในโบสถ์ได้เห็นสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือแสงวงกลมสีขาวเกิดขึ้นที่พระพุทธรูป แสงสีขาวนั้นได้คลุมที่ศีรษะเป็นวงกลม ไปติดที่ฝาผนังปูน ห่างประมาณ ๓ ศอก หลวงพ่อดูอยู่เป็นเวลานาน ในขณะนั้นจิตใจของหลวงพ่อคิดขึ้นได้ นี่หรือคือฉัพพรรณรังสีเกิดขึ้น หลวงพ่อก็เลยนั่งกราบและได้ลุกขึ้นยืนดู ขณะนั้นแสงสีขาวเป็นวงกลมค่อย ๆ หายไป ก็เลยตกใจ รีบจุดธูปเทียนบูชา ขอความสวัสดีมงคล สถานที่นั้นเป็นโบสถ์เก่า อายุราว ๕๐๐ ปี)

เท่านั้นละ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อละ มันธรรมดา อันนี้มันเป็นอยู่นอก ท่านผู้เป็นด้วยจิตตภาวนายิ่งกว่านี้ไปเท่าไร ๆ นี่มาเป็นนอก ๆ นี้ยังไปตื่นบ้ากัน ให้มันเห็นภายในสักหน่อยซี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาตรัสรู้ยังไง นี่ออกมาจากหลักใหญ่ของธรรมนั่นละ ที่มาแสดงออกต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมเรื่องของกรรมใครจะคาดไม่ได้ ที่แสดงนั้นเหมือนว่าเป็นปริยาย เป็นรัศมีออกจากธรรมแท้ ให้เป็นอยู่ภายในใจซิ ถ้าลงได้จ้าขึ้นนี้เป็นยังไง ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะสอนโลกได้เหรอ ประกาศพระองค์เป็นศาสดาของโลกได้หรือ ไม่อัศจรรย์เหนือโลกที่จะมาสั่งสอนโลกได้ ท่านจะมาสั่งสอนหาอะไร เราอยากให้เห็นภายในยังบอกแล้ว นี่วิบ ๆ แว็บ ๆ ข้างนอกก็ตื่นบ้ากัน แล้วข้างในไม่ดู

ตัวเลวทรามก็อยู่ที่นี่ กองมูตรกองคูถทับหัวธรรมอยู่นี้ ธรรมก็ไม่เห็น ถ้าตั้งใจปฏิบัติก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้าอัศจรรย์ทั่วแดนโลกธาตุจากหัวใจดวงนี้ที่เป็นธรรมทั้งดวงนั้น มีที่ปรากฏที่ตรงไหนเวลานี้น่ะ มีแต่มูตรแต่คูถเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มพระเต็มเณร ไม่มีใครสนใจปฏิบัติที่จะให้เห็นธรรมชาติที่เลิศเลอ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น ธรรมะจึงถูกเหยียบตลอดเวลาด้วยมูตรด้วยคูถคือกิเลสตัณหาต่าง ๆ นั้นแหละ มีเท่านั้นละหลวงพ่อ เอ้า ไปได้ เรื่องรัศมีอะไรมีอยู่ทั่วไปนั่นแหละ พอพูดอย่างนี้ก็ยังพูด ที่โยมทองแดง สถานีทดลอง เคยพูดแล้วไม่ใช่เหรอ

เราบิณฑบาตมา แกนั่งอยู่ศาลาหลังเล็ก ๆ เดินเข้ามานี่โวยวายขึ้นเลย อู๊ย มองดูหลวงตามองดูรัศมีนี่จ้าหมดเลยรอบตัว ห่างไปวากว่า ๆ นี้สว่างจ้าไปหมดเลย รัศมีรัดสะหมาอะไรเป็นบ้าเหรอ เราว่าอย่างนั้น ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ  เป็นก็จะเป็นบ้าอะไรนักหนา เพิ่มบ้าหรือนี่ เราว่า ทำให้เราระลึกได้นี่ละ โห ตื่นเต้นจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดา โวยวายขึ้นเลยเพราะนิสัยแกปากเปราะ ที่เราพูด อยู่จันท์ลูกศิษย์มีหลายคนอยู่ อยู่ตราดแห่งหนึ่ง ที่เคยพูดให้ฟัง นั่นเป็นผู้หญิงชื่อ โยมหริ่ง คนนั้นไม่ค่อยชอบพูด นั่งทั้งวันแกก็ไม่พูด ส่วนคนนี้ปากเปราะหน่อย แกถึงโวยวายขึ้นเลย เราบิณฑบาตกลับมา  จะเป็นอะไรของแกก็อยู่ในใจของแกนั่นแหละ แต่แสดงออกมาจนเสียมารยาท ว้ายวี้ขึ้นมา ยังชี้มือด้วยนะ เราก็เลยปราบบ้าแก ว่าเป็นบ้าหรือ เราก็ว่าอย่างนี้ โอ๋ย มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ  ไปอีกนะยังไม่ถอย

เรื่องธรรมใครจะคาดไม่ได้เลย เรื่องธรรมเรื่องกรรมคาดไม่ได้ เป็นขึ้นในหัวใจเจ้าของขึ้นแล้วรู้เอง ๆ ทุกอย่างนั่นแหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ปฏิบัติ แล้วจะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก จะรู้ขึ้นมาจากการปฏิบัติของตัวเอง หายสงสัย ๆ ไม่ต้องถามใคร ๆ นั่นจึงเรียกว่าธรรมแท้ ผู้รู้ผู้เห็นธรรมใดธรรมนั้นก็เป็นสมบัติของผู้นั้น ๆ นั่นละสมบัติของตัวเอง เรียกว่าอัตสมบัติ เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติเอง นี่หางมไปตั้งแต่ข้างนอกซิ หางมเงา ให้มันเห็นธรรมซิ ธรรมเป็นของเลิศเลอมาแต่เมื่อไร ก็เหมือนทองคำที่ถูกพวกขี้ฝุ่นขี้ฝอยทั้งหลายปกคลุมอยู่เต็มไปหมด มิหนำซ้ำมูตรคูถยังปกคลุม มองไม่เห็นทองคำ เปิดออกไปให้เห็นจ้าแล้วเป็นยังไง ปัดออกทันที นั่นเห็นไหมล่ะ พอมองเห็นจ้านี้จะปัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกทันที ๆ

จิตพอมองขึ้นไปเห็นแล้วจะรีบชำระตัวเองด้วยความพออกพอใจ ความพากความเพียรจะขยันหมั่นเพียร สติปัญญาทุกอย่างจะหมุนเข้าสู่ธรรม ๆ เป็นกำลังขึ้นโดยลำดับ เมื่อเห็นสิ่งแปลกประหลาดภายในใจขึ้นมาแล้ว เหมือนมองเห็นทองคำที่ถูกกลบไว้นั้น เปิดออกมาเห็น จิตใจจะเปลี่ยนทันทีเลย แต่ธรรมท่านไม่ได้เหมือนโลกไม่เหมือนกิเลส ไม่ตื่นเต้นนะ ธรรมไม่ตื่น ในขั้นไม่ตื่นแล้วไม่ตื่น ขั้นที่ตื่นมีอยู่บ้างเป็นธรรมดา คือไม่เคยรู้เคยเห็นก็ตื่น เรียกว่าตื่นเต้นดีใจ เป็นไปแปลก ๆ ต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ภายในตัวเอง ตื่นเต้นตัวเอง ส่วนธรรมแท้แล้วไม่มีตื่น รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น สว่างอย่างที่ว่าสว่างขึ้นพระพุทธรูปอะไรเหล่านี้ มันสว่างขึ้นที่ใจของท่านเสียเอง เลิศเลอกว่านี้ขนาดไหน นั่นท่านไม่ตื่น

เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นข้าศึกของธรรมอยู่เวลานี้ ก็คือกิเลส ก็บอกแล้ว กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันตลอดมา ๆ และจะตลอดไป จึงต้องมีศาสดามาตรัสรู้ ถ้าไม่มีศาสดาตรัสรู้แล้ว ธรรมก็ถูกเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลาจากกิเลส ถ้ามีธรรมขึ้นมาก็เปิดออก ๆ เป็นทางเดินพ้นทุกข์ไปเรื่อย ๆ เรื่องธรรมนี่มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์เช่นเดียวกับกิเลส มีมาด้วยกัน ไม่มีใครยิ่งใครหย่อนกว่าใคร แล้วกิเลสก็เป็นข้าศึกต่อธรรมมาตลอด แล้วธรรมก็เป็นเครื่องปราบกิเลสมาตลอด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้เป็นครั้งเป็นคราว เพื่อให้ได้ธรรมขึ้นมาชะล้างกิเลสหรือปราบกิเลสให้สัตว์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีผู้คิดค้นขึ้นมาได้ ธรรมก็มีแต่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่มีผู้นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์แหละ จึงต้องมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ก็คือตรัสรู้ธรรม นำธรรมขึ้นมาชำระล้างสัตว์ทั้งหลาย เปิดหูเปิดตาสัตว์ให้รู้บาปบุญคุณโทษทั้งหลายซึ่งมีอยู่ดั้งเดิม แต่ก่อนนั้นไม่รู้ แล้วเปิดทางให้รู้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่นี้ นี่เห็นไหม ๆ พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วจึงนำมาประกาศสอน ว่านี้เห็นไหม ๆ

มีผู้ปฏิบัติอยู่เมื่อไรก็เหมือนกับมีผู้ขวนขวายหาทรัพย์สมบัตินั่นแหละ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เต็มโลกนี้ ใครมีความขยันหมั่นเพียรในแง่ใดทางใด ก็ได้ทรัพย์สมบัติในแง่นั้นทางนั้นขึ้นมา ๆ เพราะเป็นของมีอยู่ หาเงินได้เงิน หาทองได้ทอง หาวัตถุสิ่งของก็ได้ เพราะมันมีอยู่ ไม่ใช่หาของไม่มีซึ่งหาจนวันตายก็ไม่เจอ ถ้าหาของไม่มี แต่นี้ธรรมมีอยู่ กิเลสมีอยู่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ สิ่งที่เป็นข้าศึกก็เป็นข้าศึกตลอดมา สิ่งที่เป็นคุณก็เป็นคุณตลอดมา และปราบกิเลสได้ตลอดมา ใครจะหยิบยกหรือจะนำมาใช้ในทางใด หรือหมุนไปทางไหนมันก็เป็นไปทางนั้น หมุนทางกิเลส คนทั้งคนก็กลายเป็นเปรตเป็นผีไปได้ ถ้าหมุนทางกิเลสนะ เป็นสัตว์ไปได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหางนะคนเรานี้

จิตใจนั้นละเป็นสัตว์ เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม จนกระทั่งถึงธรรมธาตุ เป็นได้จากจิตดวงนี้ ลงนรกอเวจีเป็นได้ เพราะเจ้าของเสาะแสวงหาเอง แสวงทางชั่วเป็นชั่ว ก็ปกคลุมเจ้าของเป็นภัยต่อเจ้าของ แสวงหาความดีก็เป็นคุณแก่เจ้าของ อันใดชั่วเป็นภัยต่อเจ้าของอย่างนี้ตลอดมาและจะตลอดไป ใครจะว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ๆ ก็มีแต่กิเลสมันปิดเอาไว้ เพื่อเปิดทางเดินของมันให้สัตว์ ลากสัตว์ทั้งหลายลงไปเท่านั้นเอง จะเป็นอื่นเป็นไรไป กิเลสเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

อย่างที่ว่าสว่างขึ้นนั้น เราเห็นอันนั้นเราก็ตื่นเต้นกับสิ่งนั้น มันนอกจากตัวสิ่งนั้นน่ะ เช่นเกิดในพระพุทธรูป เราก็ไปเห็นที่พระพุทธรูป แล้วยินดีก็ยินดีนั้น ตื่นเต้นก็ตื่นเต้นอยู่นอก ๆ นั้นซึ่งเป็นเงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงให้จ้าขึ้นที่นี่ดูซิน่ะ เจ้าของเป็นเองจะเป็นยังไง นั่น รู้เองเห็นเองเป็นเอง แล้วเราเป็นเจ้าของอีกด้วย ทีนี้ต่างกันยังไงกับการไปชมเงาตื่นเงาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงให้ปฏิบัติกันซี ธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่นี่หายไปไหน ไม่เคยหาย มีแต่กิเลสนั่นแหละมันหลอกตลอดเวลา ๆ เชื่อไม่มีวันจืดจาง ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันเข็ดหลาบ ก็คือสัตว์ทั้งหลายเชื่อกิเลสนั่นแหละ

เราพูดจริง ๆ นะถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่วาดออกมาให้เห็นได้ จะเอามาให้เห็น ได้ตีหน้าผากพร้อมด้วย ตาบอดหรือ นี่เห็นไหม ตีหน้าผากพร้อมนะ หน้าผากมันมีตาอยู่ในนี้หรือเปล่า ตีเข้าไปหาตา ฟาดมันหน้าผากแตกก่อน ถ้าไม่เจอตาเอาจนหน้าผากแตกเสียก่อน เห็นไหมนี่น่า ๆ ว่างั้น ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศสอนเหมือนกับว่านี่น่า ๆ อยู่นะ สด ๆ ร้อน ๆ อย่างนั้น แต่กิเลสมันทำให้จืดให้จางตลอด มันเอาของมันสด ๆ ร้อน ๆ ขึ้นแทน ๆ สัตว์ทั้งหลายจึงหลงเป็นบ้าไปตลอดเวลานี้ จะว่ายังไงพูดให้ฟังชัด ๆ พี่น้องหลายนะ มาโกหกเหรอ โกหกหาอะไรก็จะไปชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวโกหกในหัวใจเจ้าของต่างหากนี่นะ มาหาโกหกโลกอะไร ให้ได้ปรากฏขึ้นดูซิที่จิตนี่น่ะ จิตดวงนี้น่ะ ถ้าความเลวก็เลวตลอดหมดคุณค่าหมดราคา ก็คือจิตดวงนี้แหละ

เห็นไหมนักโทษในเรือนจำใครไปเคารพนับถือเยินยอสรรเสริญเขา ไปกราบไหว้บูชานักโทษมีไหม ก็คนเหมือนกันกับเรา ท่านผู้ดีทำไมก็คนเหมือนกันเราไปกราบไหว้บูชาเคารพนับถือ อย่างนักโทษในเรือนจำมันก็เป็นคนเหมือนกัน มองเห็นแล้วตาไม่อยากดูเลย เหมือนลูกตาจะแตก นั่นเพราะหมดคุณค่าหมดราคาเขาถือกันอย่างนั้น มองก็ไม่อยากมองฟังก็ไม่อยากฟัง เรื่องนักโทษแสดงออกมาแง่ใดนี้ไม่อยากฟังทั้งนั้น นั่นเห็นไหมล่ะ ความหมดราคาแสดงอะไรหมดราคาไปหมด ถ้าสิ่งที่มีราคาแย็บออกมาตรงไหนมีราคาไปหมด ฟังซิ คนนั้นแหละคนเหมือนกันนั่นแหละมันเป็นอยู่ที่ใจนะพาให้เป็น ไม่ได้เป็นอยู่ที่ไหน ทำให้หมดคุณค่าหมดราคา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเหมือนโลกเขา มันก็หมดได้อย่างนั้นละ เห็นกันอยู่อย่างในเรือนจำ คนนอกเรือนจำแม้แต่เด็กเขาก็รัก คนในเรือนจำเป็นปู่ออกมาเขาก็ไม่รักเข้าใจไหม อย่าว่าแต่เด็กเลย ขนาดถึงขั้นปู่เขาก็ โอ้.ปู่อะไร นี่ปู่นักโทษ เขาก็ไปนั้นอีกแหละ มันต่างกันที่คนที่ใจ เปลี่ยนได้หมดใจดวงนี้ยังบอกแล้ว

ฟังซิ ก็พูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เคยได้ฟังแล้ว ในหนังสือก็มีที่ว่ากิเลสตัวมันเยี่ยม ๆ เห็นไหมล่ะ ตัวมันเยี่ยม ๆ สุดยอดของกิเลสคือกษัตริย์วัฏจักรได้แก่อวิชชา แสดงลวดลายวาระสุดท้าย เราก็เคยพูดแล้วนี่ เดินจงกรมไปยืนรำพึงอยู่ ก็วัดดอยธรรมเจดีย์นั้นแหละไม่ใช่ที่ไหน เดินอยู่ทางด้านตะวันตกแต่เช้านะ โอ้.มันน่าอัศจรรย์ก็อัศจรรย์ละซิ จะว่าเราบ้าก็เราพูดตามความจริงนี่จะบ้ายังไง ไม่มีที่ใดอัศจรรย์ก็มาอัศจรรย์ตัวนี้แหละ โถ อุทานขึ้นเลยนะ ไม่ลืม โลกทั้งโลกปกติมันก็ว่างอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงยังไม่ว่างตัวเองเท่านั้นเอง สิ่งทั้งหลายมันว่างไปหมดด้วยการชำระของเรา ทีนี้จิตที่เป็นกิเลสส่วนละเอียดมันก็แทรกเข้าตรงนั้น เสริมกันในตรงนั้น เลยความสว่างไสวของตนที่จิตชำระได้ อวิชชาก็แทรกเข้าไปนั้น มันก็เลยกลายเป็นเรื่องของอวิชชาไปหมด แต่ไม่รู้อวิชชาซิ ว่าเป็นธรรมไปเสียหมด หลงมันเสียจน

ถึงขนาดที่ออกอุทาน โห จิตของเราทำไมถึงอัศจรรย์เอาถึงขนาดนี้เชียวหนา ว่าอย่างนั้นนะ มองดูที่ไหนมันก็จ้าไปหมดเลย เวลามันเด่น ๆ อวิชชาแทรกเข้าไปในนั้นไม่รู้นะ เงาของอวิชชามันแทรกเข้าไปในนั้นเราก็ไม่รู้ ทีนี้พระธรรมท่านก็กลัวหลงกลอุบายละซิ นั่นเห็นไหมล่ะ พออุทานขึ้นอย่างนั้นอัศจรรย์ตัวเองว่าเป็นความสว่างไสว เป็นความอัศจรรย์ เรียกว่าเหนือโลกเหนือสงสารไปก็ว่าได้ เวลามันหลงหลงขนาดนั้น

ทีนี้พระธรรมท่านก็กลัวจะหลงละซิ ท่านเตือนขึ้นมา เรายังไม่รู้ว่าพระธรรมเตือนนะ เห็นไหมล่ะอำนาจของกิเลสมันกล่อม เคยพูดแล้วว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ นั่นฟังซิ ความสว่างออกจากจุดนี้ มันไม่ดูจุดนี้ซิ ท่านเตือนเข้าไปตรงนี้ นี่ตัวภัยอยู่ตรงนี้นะความหมาย เลยหลงไปอีก ไม่รู้นะ หลังจากเผาศพหลวงปู่มั่นแล้ว ตอนเดือน ๓ ขึ้นไปบนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ไปภาวนา เพราะเราเคยขึ้นลงเสมอเนื่องจากสถานที่นั่นเหมาะสมมาก ไปอยู่เรื่อย หลงกลอันนี้แก้ยังไม่ตก ฟาดไปอำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ แต่ก่อนไม่มีหลายอำเภอ มีแต่อำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ ๒ แห่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้ดูเหมือนอำเภอศรีเชียงใหม่เพิ่มเข้าไปอีก แล้วยังจะมีอำเภออะไร ไปอยู่นั้นจนกระทั่งเดือน ๖ จวนสิ้นเดือนเมษายนเดือน ๕ กลับมา แล้วเดือน ๖ ก็ขึ้นไปอยู่นั้น กลับมาอีกมาตรงนั้นอีก มาแก้ปัญหาความสว่าง นี่หมายถึงว่าสว่างจุดหนึ่งที่ทำให้หลงอย่างลืมเนื้อลืมตัวเลย ถึงขนาดพระธรรมท่านมาเตือนให้ได้สติ ยังไม่ยอมได้สตินะ ยังแบกไปโน้นแล้วกลับมาอีก ก็มาที่เก่านั้นแหละ

ทีนี้มาสรุปความเลยว่า ความสว่างไสวนั้น บทเวลาธรรมชาติที่แท้จริงเต็มสัดเต็มส่วนได้พุ่งขึ้นเท่านั้น ความสว่างไสวเหล่านั้นมันกลายเป็นกองขี้ควายไปได้หมด เป็นยังไงแต่ก่อนว่าอัศจรรย์ ทีนี้ทำไมจึงกลายเป็นกองขี้ควายไปได้ นี่เพราะธรรมชาติที่เลิศเลอเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสมมุติโดยประการทั้งปวงนี้ครอบไปหมดเลย มันเหนือกันขนาดไหน มันถึงว่า โอ้โห มันหลงขนาดนี้เชียวนะ เห็นเป็นกองขี้ควายแล้วนะที่นี่นะ ตอนที่อัศจรรย์แต่ก่อนกลับมาเป็นกองขี้ควาย เพราะอำนาจแห่งธรรมที่เลิศเลอเหนือกว่านั้นครอบไปหมดเลย อันนี้เลยกลายเป็นกองขี้ควายได้ เราลืมเมื่อไหร่ มันเป็นอยู่ที่หัวใจนี่นะ

ปฏิบัติให้ดีซิใจดวงนี้ เวลามันเลิศมันเลอมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เวลามันเลวก็เป็นอย่างนั้นอย่างที่เห็นทั่ว ๆ ไป จิตดวงเดียวนี้นะพาให้เป็น เพราะฉะนั้นจึงให้พยายามดัดแปลงแก้ไขจิตดวงนี้ที่เป็นภัยเต็มตัว ๆ ออกโดยลำดับด้วยการสร้างความดี ฝืนกิเลสบำเพ็ญความดีเข้าไป เราจะเอาแต่เรื่องกิเลสมาเป็นหัวหน้าแล้วสร้างอุปสรรคตลอดเวลาในการสร้างความดี สร้างไม่ได้นะ ต้องฝืนตลอดเวลา นั่นละความอัศจรรย์แท้ ไม่ตื่นเงาไม่ไปตื่นที่ขึ้นที่ตรงนั้น สว่างที่ตรงนี้ ไม่เป็นบ้า ลงนี่จ้าขึ้นมาแล้วลบหมดเลย สามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเหมือน เหนือหมดทุกอย่างเลย

เพราะฉะนั้นพูดตามหลักความจริงจึงพูดว่าสามแดนโลกธาตุนี้คือถังขยะ ว่าอย่างนั้นเลย พูดอย่างอื่นไปไม่ได้เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่เหนือโลกเหนือสงสารไปแล้ว เหนือนั้นมันเลยสมมุติไปแล้วเอามาเทียบกัน สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นถังขยะ จะว่ายังไง แต่ก่อนรู้เมื่อไหร่เห็นเมื่อไหร่ อย่างนี้ แล้วมันเป็นขึ้นในจิตเต็มที่แล้วไม่บอกมันก็รู้ มันก็เห็น นี่แหละธรรมที่ว่าใครจะคาดไม่ได้นะ คาดธรรม คาดกรรมคาดไม่ได้ แล้วแต่จะแสดงขึ้นมาด้วยเหตุผลกลไกอะไรจะขึ้นมาเองเป็นเอง ส่วนที่จะไปคาดอย่าไปฝันว่าอย่างนั้นเลย ฝันดิบฝันสด

นี่สอนแล้วสอนเล่า ไม่ได้มากก็ขอให้ได้มีร่องรอยติดเนื้อติดตัวบ้าง ร่องรอยแห่งความดีทั้งหลาย อย่าปล่อยไปเฉย ๆ นะ วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่กิเลสถลุงตลอดเวลา กิเลสไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ถลุงได้ตลอดในหัวใจสัตว์ ถลุงตลอด ทีนี้ธรรมเวลาบำเพ็ญแล้วก็เป็นอกาลิโก ถลุงกิเลสได้เช่นเดียวกัน มีธรรมเท่านั้นเหนือกิเลส นอกนั้นปราบกิเลสไม่ลง มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องปราบกิเลสได้ เรียกว่าอย่างเยี่ยมที่สุดเลยละ ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติธรรม

ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นแดนแห่งข้าศึกคือกิเลสเต็มไปหมด แล้วธรรมมาปราบมาแก้มาไข ตัวเองนั้นแหละที่อยู่ในถังขยะนั่น แก้ออกไปยังไงมันก็พ้นถังขยะไปได้ อย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เวลาท่านยังครองขันธ์อยู่ พระสรีระและร่างกายของท่านก็เป็นถังขยะเพราะเป็นสมมุติด้วยกัน แต่จิตของท่านพ้นแล้ว ท่านจะพูดว่าเหล่านี้ถังขยะก็ไม่ผิด พูดถึงตัวท่านเองด้วยว่าท่านก็เป็นถังขยะ ในส่วนที่ยังเป็นสมมุติอยู่เป็นถังขยะทั้งหมด นั่น เพราะเมื่อพ้นไปแล้วธรรมชาตินั้นไม่ใช่ถังขยะ จึงดูถังขยะได้อย่างจะแจ้งทีเดียวหายสงสัย เอ้ เมื่อวานนี้ไปไหนนะ ลืม อย่างนี้ละไปไหนมาลืม โอ๋.ไปวัดธรรมอินทร์เมื่อวานนี้นะ ไปนายูง ไปอยู่ประมาณชั่วโมง พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้สั่งเสียอะไร ๆ แล้วก็กลับมา ไปไหนมาไหนแล้วจำไม่ได้นะทุกวัน ไปแล้วหายเงียบเลย

อย่างเมื่อวานนี้ เอ้.เมื่อวานนี้ไปไหนนะ จำไม่ได้ ความจำตัดเข้ามา ๆ นี่เรียกว่าขันธ์ เรียกว่าสมมุติ ขันธ์ทั้งห้าแสดงอยู่ในจิต คือจิตอยู่เหนือนั้นนะ แต่กิริยาของอันนี้มันเป็นสมมุติของมัน มันก็หมุนของมันอยู่อย่างนั้นตลอด เป็นเรื่องของมันเอง มันก็ไม่รู้ว่ามันแสดงนะ จิตนั่นแหละรับทราบ มันก็ไม่รู้ว่ามันกวนอะไร มันก็แสดงของมัน แต่คำว่ากวนก็คือว่ามันทำให้รับทราบอยู่เสมอ ธรรมชาติที่รู้คือจิตรู้อยู่ อันนั้นมันแสดงยังไงก็แสดงของมันอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะหมดสภาพของขันธ์ ๕ แล้ว เรียกว่าสมมุติหมดโดยสิ้นเชิง ปล่อยโดยสิ้นเชิงเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน เวลาท่านครองธาตุครองขันธ์อยู่ก็เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน จิตที่บริสุทธิ์แล้วแต่ยังรับผิดชอบในขันธ์นี้อยู่ พาไป พามา พาอยู่ พากิน พาหลับ พานอน หมุนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาในวงสมมุติ เพราะอันนี้หมดแล้วก็เรียกว่าสมมุติในโลกนี้มายุติสุดท้ายคือขันธ์ดับ หมายถึงพระอรหันต์ท่าน สมมุติสุดท้ายคือขันธ์ที่เกี่ยวข้องกับท่าน แม้ท่านจะไม่ติดไม่พัน ไม่ซึมซาบก็ตาม มันแสดงก็บอกว่าแสดง มีความรับผิดชอบของท่าน

พออันนี้ดับพรึบลงเท่านั้น เรียกว่าตาย สมมุติทั้งมวลก็ขาดสะบั้นลงโดยลำดับ อนุปาทิเสสนิพพานล้วน ๆ ก็เป็นไปอยู่แล้ว มีแต่ขันธ์เท่านั้นที่ทำให้เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน พออันนี้ขาดลงไปก็หมด ท่านแสดงไว้อย่างจะแจ้งนี่นะ แต่เราถ้ามันมืดไม่รู้ในใจ แสดงเท่าไรมันก็สงสัยอยู่นั้นละ พอมันเป็นขึ้นแล้วก็รับกันปึ๋งทันทีเลย หายสงสัย ๆ เวลานี้กิเลสกำลังหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ นะ ธรรมนี้ค่อยอ่อนลง ๆ ถูกทับถูกถมแทบจะไม่มีนะ ต่อไปจะไม่มี คืออำนาจของกิเลสมันมาทุกแง่ทุกมุม มองไม่ทันนะ สิ่งที่ผลิตขึ้นมาให้โลกได้หลงได้เพลิดเพลินนี้มันรอบตัว ๆ มาทุกแบบทุกฉบับล้วนแล้วตั้งแต่กลมายาของกิเลสที่หลอกสัตว์โลกให้หลงทั้งนั้น มันผลิตขึ้นมาเจ้าของผู้ผลิตก็หลง ผู้ไปเป็นบ้านั้นอีกก็หลง ต่างคนต่างหลงด้วยกันนั่นแหละ

เอ้า ผลิตอันนั้นขึ้นมาผลิตอันนี้ขึ้นมา อู๊ย.พิสดารมากนะ เรื่องของกิเลสสมมุตินี่นะ ธรรมจับรู้หมดจะว่าไง มันจะแย็บออกมาตรงไหนปิดไม่อยู่ เพราะธรรมเหนือกว่ามันจะออกมาแบบไหนปิดไม่อยู่ จะทราบทันที ๆ ผู้ไม่ทราบมันก็คว้าทันที ๆ เข้าใจไหม อันหนึ่งแย็บขึ้นมาทราบทันที อันหนึ่งพอแย็บขึ้นมาคว้าทันทีเลย เข้าใจไหม พวกเรานี้พวกคว้าทันที เป็นอาจารย์ใหญ่ของลิง ลิงนี้จะไม่มีเหลือแหละ ถ้ามนุษย์ไปที่ไหนลิงนี้แตกฮือเลย ไม่มีป่าอยู่โดดลงทะเล สู้มนุษย์ไม่ได้มนุษย์นี้เก่งกว่าลิง แย็บออกมามันคว้ามับ ๆ หลงทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าจะไม่ให้หลงไม่มี ถ้าลงกิเลสยังมีแทรกอยู่ในใจมันหลงได้ทั้งนั้น พอกิเลสหมดสิ้นเชิงรู้ได้หมด อะไรแย็บขึ้นมานี้รู้ทันที ๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ ท่านจึงเรียกว่าธรรมในหลักธรรมชาติ วันนี้พูดเท่านี้ละธรรมะ ไม่พูดมากอะไรละ

ทองคำเมื่อวานนี้ได้ถึง ๑ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ตั้ง ๕๐๔ ดอลล์นะเมื่อวาน อย่างนี้ละดอลลาร์เราขึ้นเรื่อย ๆ กว่าทองคำได้ถึง ๑๐ ตัน มันจะต้องถึง ๑๐ ล้านแหละเราคิดไว้นะ เพราะมันขยับขึ้นไปเรื่อย เมื่อวานนี้ก็ได้ตั้ง ๕๐๔ ดอลล์ ส่วนกฐินเงินสดได้ ๑ กอง รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๒๘๗ กิโลครึ่ง กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้นได้แล้ว ๘๔,๐๖๖ กอง เกิน ๘๔,๐๐๐ ไป ๖๖ กอง เป็นอันว่าหมดปัญหา เรื่องที่ว่ากฐินก็หมดปัญหากันไป ทีนี้เราก็หมุนเพื่อทองคำไม่บอกว่ากฐิน เพราะกฐินนี้กฐินเพื่อทองคำ เมื่อกฐินนี้ครบตามจำนวนแล้วเราก็บอกไว้เพื่อทองคำ ๆ เพื่อผ้าป่าทองคำ ๆ ไปเรื่อยตามเดิมนั่นแหละ กรุณาทราบตามนี้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้วละเรื่องกฐิน ๘๔,๐๐๐ กองนี้เราเทียบทองคำได้ ๓๐๐ เหรอ

โยม ๓๒๐ กิโลครับ

หลวงตา ๓๒๐ กิโล แต่เงินของเราที่ได้ตามกำหนด ๘๔,๐๐๐ กองนี้ จะไม่พอกับทองคำซึ่งขึ้นราคาขึ้นทุกวันนะ ทองคำนี้มันขึ้นราคาขึ้นเรื่อย ๆ ใช่ไหม แพงขึ้นเรื่อยใช่ไหม เดี๋ยวนี้เท่าไหร่ทองคำหนักบาทหนึ่ง เป็นเงินสดเท่าไหร่

โยม ทองคำบริสุทธิ์ ๙๙.๙๙ มัน ๖,๘๐๐ เจ้าค่ะ ก่อนวันกฐินมันขึ้น ๆ ลง ๆ เรื่อย ๆ แต่ตอนวันกฐินหลวงตาขึ้น ๖,๗๐๐ เจ้าค่ะ

 

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก