ปลอดภัยไร้กังวล
วันที่ 15 สิงหาคม 2523 เวลา 19:00 น. ความยาว 40.12 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓

ปลอดภัยไร้กังวล

 

ผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาตามแนวทางของพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านดำเนินมา นั้นแลคือผู้จะมีทางทรงมรรคผลนิพพานได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล นอกจากนี้ยังมองไม่เห็น  ทั้งการเรียนก็เรียนจำแนวทางแห่งการปฏิบัติโดยทางจิตตภาวนา  แม้ผู้ไม่เรียนมากเรียนเฉพาะอุปัชฌายะสอนในขณะที่บวชก็เรียกว่าเรียน เรียกว่าปริยัติ เช่นสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อันเป็นหลักใหญ่ของงานที่จะรื้อภพรื้อชาติรื้อกิเลสตัณหาอาสวะ ออกจากจิตใจได้โดยสิ้นเชิง  ก็ต้องอาศัยหลักใหญ่ที่ท่านมอบให้นี้  ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย

เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่สอนมากในขั้นเริ่มแรกแห่งการบวช สอนเพียงเท่านั้นก็ครอบไปหมดแล้วในขันธ์นี้  นี่เรียกว่าได้รับการศึกษามาแล้วในขั้นสำคัญ  เพราะศึกษาในขั้นสำคัญขณะที่บวชนี้ ศึกษาเพื่อปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้ศึกษาเพื่อจะสอบเอาชั้นเอาภูมิเอาชื่อเสียงเรืองนามอะไรทั้งนั้น  แต่เรียนเพื่อจะรู้ความจริงของสิ่งเหล่านี้  ที่จิตเข้าไปยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดต่างๆ ด้วยอำนาจของกิเลสพาให้เป็นไป การศึกษาจึงศึกษาเพื่อจะปฏิบัติตามหลักความจริงที่เป็นอยู่อย่างไรของสิ่งที่ได้ศึกษามานี้ ครั้งพุทธกาลท่านศึกษา ท่านศึกษาอย่างนี้

ผู้มอบงานคือกรรมฐานซึ่งเป็นงานใหญ่โตมากให้ ท่านก็มอบด้วยความจริงใจ มอบเพื่อจะให้เป็นต้นทุน หรือเพื่อจะให้สำเร็จประโยชน์จากกิจการ หรือจากงานที่ท่านมอบให้จริง ๆ ไม่ได้สักแต่ว่ามอบ  เพราะท่านไม่สักแต่ว่าบวช  ไม่สักแต่ว่าเป็นอุปัชฌายะบวชกุลบุตรเท่านั้น ท่านบวชด้วยความจงใจ เป็นอุปัชฌายะด้วยความจงใจต่องานของท่านจริงๆ ผู้มาบวชก็ไม่ได้บวชเพื่อประเพณี บวชพอเป็นนิสัย บวชพอได้ชื่อเสียงกับเขาดังที่โลกเขานิยมกัน  แต่บวชเพื่อรู้ความจริง  บวชเพื่อปฏิบัติหาความจริง

เพราะฉะนั้นงานที่อุปัชฌายะมอบให้ด้วยความจริงใจ  กุลบุตรผู้ศึกษาจึงศึกษาด้วยความจริงใจถึงใจ  แล้วนำไปปฏิบัติด้วยความจริงใจ ตามสถานที่ที่อุปัชฌายะท่านชี้บอกให้อย่างแท้จริง  ไม่คลาดเคลื่อนเลื่อนลอย  ไม่สักแต่ว่าบวช ไม่สักแต่ว่าทำว่าศึกษาไป  ไม่สักแต่ว่าอยู่  ท่านรับไปจริง ๆ สมเจตนาของท่านผู้มอบให้ด้วยความจริงใจ

เราจะเห็นได้ตามตำรับตำราที่สาวกทั้งหลายได้มาศึกษาจากพระพุทธเจ้า  หรือบวชจากพระพุทธองค์แล้วออกไปปฏิบัติ ท่านตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ได้เหลาะแหละคลอนแคลนเหมือนอย่างสมัยทุกวันนี้ ที่พวกเราทั้งหลายทำเป็นเรื่องกระพี้ ๆ ไปเสียมาก  นอกจากกระพี้แล้วก็เป็นเปลือก  นอกจากเปลือกแล้วก็กลายเป็นมูลสดมูลแห้งไปโดยไม่รู้สึกตัว ผิดกับเจตนาหรือความมุ่งหมายของธรรมอยู่มาก ด้วยเหตุนี้เรื่องผลที่จะพึงได้รับจากศาสนธรรมนั้น จึงกลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามไป เพราะเหตุพาให้เป็นเช่นนั้น

เราจะตำหนิติเตียนธรรมของพระพุทธเจ้าว่าไร้ผลได้อย่างไร เมื่อตัวของเราเองเป็นผู้ทำตัวเพื่อความไร้ผลอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราจะตำหนิใคร ครั้งพุทธกาลท่านทำจริงจังตามเข็มทิศที่พระองค์ประทานไว้แล้วอย่างใดไม่ให้คลาดเคลื่อน ความเป็นอยู่ของท่านก็เป็นอยู่แบบนักปฏิบัติ แบบนักเห็นภัยในวัฏสงสาร  ไม่ได้อยู่ด้วยความฟุ่มเฟือย ไม่ได้อยู่ด้วยความเหลือเฟือ  ไม่ได้อยู่ด้วยความเกลื่อนกล่นวุ่นวาย  ไม่ได้อยู่ด้วยความหวังสิ่งนั้นสิ่งนี้ในโลกสงสาร นอกจากหวังอรรถหวังธรรม  หวังความพ้นทุกข์ด้วยการปฏิบัติตามหลักความจริงแห่งธรรมโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

ท่านไม่มีทางปลีกแวะที่จะออกนอกลู่นอกทางของศาสนธรรมอันเป็นไปเพื่อ หรืออันชี้แจงเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่แล้ว เมื่อท่านดำเนินตามหลักแห่งศาสนธรรมที่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่แล้ว จะพ้นไปไหนเล่า คำว่ามรรคผลนิพพานไม่ได้นอกเหนือไปจากข้อปฏิบัติ มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ คำว่าปฏิบัติก็คือปฏิบัติจิตตภาวนานั้นเองเป็นเรื่องสำคัญมาก  ท่านไม่สนใจไยดีกับสิ่งใดนอกจากธรรมเท่านั้น

อดอยากขาดแคลนท่านย่อมอดย่อมขาดแคลน ท่านย่อมทุกข์ลำบากด้วยจตุปัจจัยต่างๆ เป็นธรรมดาของคนที่เสาะแสวงหาโดยลำพังตนเองไม่ได้  อาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ อาศัยผู้อื่นเยียวยา หรืออาศัยปัจจัยเครื่องอุดหนุนจากผู้อื่น ย่อมมีเป็นธรรมดา  แต่ท่านไม่ได้ถือเป็นสาระสำคัญในปัจจัยทั้งหลายเหล่านั้น ยิ่งกว่าการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงเท่านั้น  ในอิริยาบถทั้ง ๔ จึงเป็นไปด้วยความพากเพียร  เพื่อจะตักตวงเอามรรคผลนิพพานโดยถ่ายเดียว

การปฏิบัติดำเนินตามหลักศาสนธรรม ไม่ปีนเกลียวกับธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่โดยสม่ำเสมอในอิริยาบถต่างๆ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ตักตวงคุณงามความดี ชำระกิเลสไปโดยลำดับด้วยอำนาจแห่งความเพียรของตน  แล้วในขณะเดียวกันก็ชื่อว่าเป็นผู้เริ่มตักตวงมรรคผลนิพพาน ไปกับความเพียรในท่าอิริยาบถนั้น ๆ อยู่แล้ว  ด้วยเหตุนี้ผลของท่านจึงร่ำลือ ว่าองค์นั้นสำเร็จพระโสดา องค์นั้นสำเร็จพระสกิทา  องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา  องค์นั้นสำเร็จอรหัตอรหันต์อยู่ในสถานที่นั้น ๆ

ส่วนมากเป็นป่าเป็นเขา  เป็นถ้ำเงื้อมผา เป็นสถานที่วิเวกที่โลกเขาไม่ต้องการ  ในสถานที่เช่นนั้นแลเป็นสถานที่บำราบปราบปรามกิเลสให้สิ้นซาก เป็นสถานที่เผาซากศพกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งมีอยู่ในดวงใจ ให้หลุดลอยออกไปเพราะอำนาจแห่งความเพียร คือตปธรรมแผดเผา เผาซากกิเลสท่านเผาอยู่ในสถานที่เช่นนั้น  นี่คือทางดำเนินของพระพุทธเจ้า  ทางดำเนินของพระสาวก  และวิธีการฆ่ากิเลสอาสวะทั้งปวงของพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน  ท่านอยู่อย่างนั้นท่านประกอบความเพียรอย่างนั้น  ท่านฆ่ากิเลสในสถานที่เช่นนั้น ด้วยท่าทาง ด้วยอุบายวิธีการต่าง ๆ เช่นนั้น ๆ ท่านจึงเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล

ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นมัชฌิมาธรรมอยู่เสมอ เหมาะสมกับการปราบปรามกิเลสทุกประเภท ไม่ได้เหนือธรรมเหล่านี้ไปได้เลย  ด้วยเหตุนี้ผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรม จึงชื่อว่าดำเนินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าอย่างใกล้ชิดสนิทกับพระองค์โดยลำดับ  ไม่มีกาลสถานที่หรือสิ่งใด ๆ จะเข้ามากีดขวางหรือกั้นกางมรรคผลนิพพาน  ไม่ให้เกิดแก่ผู้ปฏิบัติด้วยความชอบธรรม ดังที่กล่าวมาแล้วนี้เลย เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านจงเป็นที่มั่นใจในศาสนธรรม ว่าเป็นมัชฌิมาธรรม เหมาะสมอยู่เสมอ ที่เราซึ่งเป็นผู้นำมาประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส  จะได้เห็นกิเลสขาดสะบั้นหั่นแหลกลงไป ด้วยอำนาจแห่งตปธรรมของเราโดยไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล

นี่ละหลักเครื่องรับรอง เครื่องยืนยัน  เราอย่าไปหาสิ่งอื่นสิ่งใด ผู้หนึ่งผู้ใดมายืนยันมาเป็นเครื่องรับรอง  นอกจากการปฏิบัติที่เราได้รับได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์  และได้ร่ำเรียนมาแล้วจากตำรับตำรา นำนี้แลมาเป็นเครื่องมือแก้กิเลส ชำระกิเลสหรือปราบปรามกิเลส  กิเลสไม่อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ เคยอยู่ที่ใจมาเป็นเวลานาน  ใจนี้เป็นที่อยู่ของกิเลสมาตั้งกัปตั้งกัลป์นับไม่ถ้วนแล้ว กิเลสสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่สถานที่นี่มาเป็นเวลานาน  การสร้างบ้านสร้างเรือนของกิเลสก็คือการสร้างทุกข์ให้แก่หัวใจสัตว์นั้นแล

ใครก็ตามถ้าลงยังมีการเกิดอยู่แล้วจะต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ยาก ความลำบาก ติดสอยห้อยตามกันไปเพราะความเกิดเป็นพื้นฐานหรือเป็นสาเหตุอยู่นั้นแล ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ว่าทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด อันนี้จะเข้าไม่ถึง  เพราะกิเลสมันเป็นเจ้าของอยู่ภายในหัวใจ ทำให้เกิดอยู่ตลอดเวลาถ้าเราไม่แก้ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา มีสติปัญญาเป็นสำคัญในองค์มรรค ๘  ความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน  นี่ละเป็นทางก้าวเดิน เป็นเครื่องมือที่จะชำระล้างสิ่งที่สกปรก ซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตใจให้หมดสิ้นไปโดยลำดับ  ภพชาติจะได้ย่นเข้ามา ๆ

การจะเรียนรู้เรื่องภพเรื่องชาติ  การจะเรียนรู้เรื่องเกิดแก่เจ็บตายของตนเอง จะเป็นอดีตเคยเป็นมานานเท่าไรก็ตาม อนาคตจะเป็นไปมากน้อยเพียงไรก็ตาม  จะทราบกันในวงปัจจุบันแห่งการปฏิบัติของเรา  เมื่อกิเลสได้ถูกกำจัดลงไปมากน้อย  วัฏจักรคือความหมุนของจิตเพราะอำนาจของกิเลสนั้น ก็จะได้ค่อยลดหย่อนผ่อนตัวหรือมีวงแคบเข้ามาโดยลำดับๆ เพราะฉะนั้นการพิจารณาหรือปฏิบัติตามหลักกรรมฐาน  อันเป็นที่ตั้งแห่งงานอันสำคัญมี เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น  จึงเป็นจุดอันสำคัญที่จะรื้อภพรื้อชาติทำลายวัฏจักรของตนไปด้วยอำนาจแห่งการพิจารณาธรรมเหล่านี้ไปโดยลำดับ  นี่ละเป็นหลักสำคัญ

เกสา  โลมา นขา ทันตา  ตโจ  เราถนัดในอาการใด  ๕ อาการนี้ แล้วจะซึมซาบเข้าไปสู่อวัยวะหรืออาการอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออก ภายในร่างกายนี้ทุกสัดทุกส่วน ด้วยปัญญาโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อปัญญาได้แทรกซึมรู้จริงเห็นจริงเข้าไปในแง่ใดอาการใดแล้ว จะต้องปล่อยวางอาการทั้งหลายเหล่านั้นย่นเข้ามาโดยลำดับ ๆ  ส่วนรูปเป็นสิ่งที่หยาบกว่าเพื่อน  และเหมาะสมกับใจกำลังหยาบ  ท่านจึงสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ในฝ่ายรูปนี้ให้เหมาะสมกับจิตใจของเรา ที่ไม่สามารถอาจเอื้อมให้ละเอียดลออในการพิจารณายิ่งกว่านั้น  จึงต้องรับนี้มาพิจารณา

เมื่อพิจารณาสิ่งดังกล่าวมานี้ส่วนใดก็ตามเข้าถึงความจริงแล้ว  ในร่างกายทุกส่วนนี้ย่อมจะเป็นความจริงขึ้นมาประจักษ์กับปัญญาของเราโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้  เอ้า  โดยความเป็นปฏิกูลก็เห็นได้ชัดประจักษ์  เพราะเป็นความจริงอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่รู้ ตั้งแต่ยังไม่พิจารณา ตั้งแต่กำลังเราเสกสรรปั้นยอมันว่าสวยว่างามอยู่โน้น ทั้ง ๆ ที่อันนี้มันไม่ได้เป็นไปด้วย มันเป็นความจริงด้วยความอสุภะอสุภัง  เมื่อสติปัญญาพิจารณาลงสู่ความจริงนี่แล้ว มันก็เป็นอสุภะอสุภังดังที่ธรรมท่านสอนไว้โดยไม่สงสัย เพราะท่านสอนไว้ตามหลักความจริง  สิ่งนี้เป็นความจริงอยู่แล้ว

ถ้าจะพิจารณาแยกแยะออกไปถึงเรื่อง อนิจฺจํ เรื่อง ทุกฺขํ หรือเรื่อง อนตฺตา ในส่วนใดก็ตามในธรรมทั้ง ๓ ประเภทนี้  ไม่จำเป็นจะต้องพิจารณาให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป หรือพิจารณาทั้ง ๓ อย่าง  จะพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม  ย่อมเป็นสิ่งที่จะกระจายเกี่ยวโยงกันไปหมดให้ทราบโดยตลอดทั่วถึง ทั้ง อนิจฺจํ ทั้ง ทุกฺขํ ทั้ง อนตฺตา โดยที่เราพิจารณาเพียงไตรลักษณ์ใดไตรลักษณ์หนึ่งเท่านั้น  มันจะซึมซาบกันไปหมด  ถ้าพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ก็เป็นไตรลักษณ์อย่างประจักษ์  ไม่สงสัยภายในจิตใจ

ไตรลักษณ์นั้นคืออะไร  มันคือเราคือของเราเหรอ  มันคือของสวยของงามเหรอ  มันคือสัตว์คือบุคคลตัวตนเราเขาเหรอ  มันปฏิเสธทั้งนั้นในหลักไตรลักษณ์นี้  นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นเป็นทุกข์ นั่นเป็น อนิจฺจํ แน่ะบอกชัด ๆ อยู่อย่างนั้น มีแต่เรื่อง อนิจฺจํ ความแปรสภาพอยู่หมดทั้งร่างกายและจิตใจ  แล้วถ้าว่า ทุกฺขํ มันก็เต็มไปด้วยกองทุกข์อยู่แล้ว อนตฺตา เอาสาระสำคัญว่าเป็นเราเป็นเขามาจากที่ไหน แน่ะฟังซิ  ไตรลักษณ์บ่งบอกอยู่แล้วอย่างชัดเจน

เมื่อพิจารณาตามหลักของไตรลักษณ์ใดก็ตาม จะต้องเข้าถึงความจริงที่กล่าวมานี้ทั้งนั้น เมื่อเข้าถึงความจริงด้วยความรู้จริงเห็นจริงแล้ว จะยึดเอาว่าเป็นเราเป็นของเราที่ไหน จะฝืนยึดไปได้อย่างไร  เพราะความจริงบอกอยู่อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้  สิ่งที่เราเคยยึดเคยถือที่สำคัญมั่นหมายเอาอย่างนั้น  ล้วนแล้วตั้งแต่ของปลอมที่เคยเสกสรรปั้นยอขึ้นมาต่างหาก  เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลไม่ใช่เรื่องของธรรม  เมื่อพิจารณาตามเรื่องของธรรมอันถูกต้องตามสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว  ทำไมจะไม่เห็นของจริง  เมื่อเห็นร่างกายเป็นส่วน เช่นอสุภะก็เป็นอสุภะหมดทั้งตัวแล้ว ถือว่าเราว่าของเราได้อย่างไร

อสุภะทั้งกอง กระดูกทั้งกอง ร่างกายทุกท่อนหรือร่างกายทั้งร่างนี้เต็มไปด้วยกองอสุภะป่าช้าผีดิบ  เราจะถือว่าเราว่าของเรา ว่าสวยว่างาม  เราจะฝืนถือไปได้อย่างไร  เมื่อปัญญาได้หยั่งทราบถึงความจริงแล้วว่าไม่ใช่  ดังที่เราเสกสรรปั้นยอมานั้น มันไม่ใช่ มันไม่ถูก มันไม่ใช่ความจริง  ความจริงเป็นอย่างนี้คือเป็นอสุภะทั้งมวล  นี่ละปัญญาเมื่อแทรกลงไปถึงไหนค้านความปลอมนั้นทั้งนั้น ทำลายความจอมปลอมทั้งหลายอออกไปโดยลำดับ ๆ เพราะฉะนั้นปัญญาเมื่อมีความละเอียดเข้าไปมากเพียงไร จึงสามารถที่จะทำลายสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย ซึ่งกิเลสมันกางข่ายไว้ทั่วร่างกายจิตใจของเรานี้ ให้แตกกระจายหายไปโดยลำดับ ๆ ท่านจึงสอนให้พิจารณา

เอ้า ถ้าจะพิจารณาถึงเรื่องไตรลักษณ์ ก็เต็มไปด้วย อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา  อนิจฺจํ  ทุกฺขํ  อนตฺตา นี้เหรอเป็นสาระแก่นสาร เป็นเราเป็นของเรา  เมื่อพิจารณาให้เห็นชัดถึงความซึ้งด้วยความจริงในไตรลักษณ์นี้แล้ว  จิตดวงใดล่ะจะฝืนไปยึดได้  จะฝืนไปถือว่านั้นเป็นเรา นี้เป็นของเราได้ไหม ไม่ฝืน ต้องปล่อยวางโดยไม่ต้องสงสัย นี่ความปล่อยวางด้วยความรู้จริงเห็นจริงเป็นอย่างนั้น และในขณะเดียวกันก็ลบล้างความจอมปลอม ที่อวิชชามันกางข่ายไปเที่ยวปักปันเขตแดนไว้ทุกแง่ทุกมุมออกได้โดยลำดับๆ จนกระทั่งออกหมดได้โดยสิ้นเชิง เพราะอำนาจของสติปัญญานี่เป็นสำคัญ

เพราะฉะนั้นการพิจารณาเหล่านี้จึงเป็นการทำลายสิ่งที่กิเลสตัณหาอาสวะ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสนั้นมันไปเที่ยวปักเที่ยวเสียบกับระเบิดไว้เพื่อทำลายเราอยู่ทุกแง่ทุกมุม ไปรื้อขนสิ่งทำลายนั้นออกให้หมด เหลือแต่ความปลอดภัยไร้กังวล ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ เพราะความรู้ชอบด้วยปัญญา  นี่ละการปฏิบัติอยู่ที่ตรงนี้  การรื้อถอนกิเลสรื้อถอนที่ตรงนี้  การรื้อถอนกิเลสออกไปได้โดยสำคับ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลไปโดยลำดับ

การรื้อถอนกิเลสออกได้โดยสิ้นเชิงไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ภายในจิตใจนี้เลย ก็ชื่อว่าเป็นผู้ทรงผลอันสมบูรณ์เต็มที่ อยู่ที่ใจนี้  ไม่อยู่ที่กาลโน้นสมัยนี้สมัยโน้น ไม่อยู่กับเวล่ำเวลา ไม่อยู่กับสถานที่ใด เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ การแก้กิเลสแก้ลงที่ใจด้วยความเพียร  เพียรที่ใจด้วยความมีสติด้วยความมีปัญญา มีศรัทธา มีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน  เอาให้จริงให้จัง

ความอ่อนแอ ความท้อแท้ ความเหลวไหล ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของกิเลส ปักเสียบขวากหนามไว้ให้เราเหยียบย่ำและเป็นอันตรายต่อตัวของเราเอง ไม่ใช่สิ่งใดเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ให้ทราบกลมายาของกิเลส ผู้ปฏิบัติจิตตภาวนาเท่านั้นจะเป็นผู้ทราบเรื่องกลมายาของกิเลส  และจะเป็นผู้ช่ำชองในสนามรบระหว่างกิเลสกับธรรมรบกัน  เพียงเราเรียนจำมามากน้อยไม่มีทางจะทราบกลมายาของกิเลสได้เลย

เรียนมามากมาน้อยไม่ได้ประมาท  ผมก็เคยเรียนตามสติกำลังความสามารถ กลับเป็นเรื่องสั่งสมกิเลสขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว นี่เป็นความจริงอย่างนี้  เรียนได้นักธรรมตรีก็มีความสำคัญขึ้นมาว่าเรามีความรู้ความฉลาด เราได้นักธรรมตรีแล้ว พอได้นักธรรมโทขึ้นมาก็เพิ่มขึ้นอีกความสำคัญว่าตนรู้อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส เพราะความจำ เรียนจำมา เอาความจำมาเป็นความจริง เสกสรรความจำให้เป็นความจริงจะเป็นได้อย่างไร เพราะไม่ใช่ความจริงมันเป็นความจำต่างหาก ได้นักธรรมเอกได้มหาเปรียญก็ยิ่งโตขึ้นใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา คับฟ้าคับดินไปหมดแล้ว

เราไม่ได้ประมาทการศึกษาเล่าเรียน  แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ มันเป็นความสำคัญมั่นหมายขึ้นในตัวเองนั้นแหละ กิเลสนั่นแหละ  เพราะมันชอบยอตัวเอง  เรื่องของกิเลสต้องชอบยอตัวเอง ชอบทำลายคนอื่น ชอบทำลายธรรม อันไหนเป็นธรรมกิเลสชอบเหยียบย่ำทำลาย  อันไหนไม่เป็นธรรมกิเลสส่งเสริมขึ้นมา  เพราะกิเลสเป็นข้าศึกกับธรรมอยู่แล้วแต่กาลไหน ๆ มา  เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะทราบความจริงของกิเลสได้อย่างไร  เมื่อความรู้ความเห็นความคิดอ่านทุกด้านทุกแง่ทุกมุม ล้วนแล้วแต่เป็นอุบายของกิเลสสอนให้เราคิดให้เราทำ  เราจะไปทราบกลมายาของกิเลส เล่ห์เหลี่ยมของกิเลส อุบายวิธีการของกิเลสได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยหลักการปฏิบัติ ปริยัติเรียนมาแล้วให้มีความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติ  อย่าเรียนมาเพื่อความจำ  อย่าเอาความจำมาเป็นความจริง  อย่าเอาความจำกับความจริงที่เสกสรรขึ้นมานั้นมาเป็นมรรคผลนิพพาน มาเป็นความรู้ความฉลาดของตน  จะเป็นเรื่องปลอมไปตามกิเลสเสียทั้งมวล  ทั้ง ๆ ที่เรียนธรรมนั้นแหละ

ให้เรียนเพื่อรู้แนวทางแล้วปฏิบัติด้วยจิตตภาวนา ปริยัติท่านสอนว่าอย่างไรพิจารณาใคร่ครวญตามหลักที่ท่านสอนแล้วดำเนินตามนั้น  อย่าให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อน  ดังที่อุปัชฌายะท่านสอน เกสา โลมา นขา  ทันตา  ตโจ ท่านอธิบายให้ฟังย่อ ๆ ในขณะที่บวช  ความจริงเป็นอย่างนั้น  เราพยายามปฏิบัติตามที่ท่านสอนโดยหลักความจริงนั้น  ให้รู้เป็นหลักความจริงขึ้นมาประจักษ์ใจเราด้วยปัญญา  นี่อันนี้เป็นความจริงขึ้นมาแล้ว

ท่านว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ  แต่ละอย่าง ๆ เป็นสิ่งปฏิกูลโสโครกไม่น่ายึดน่าถือ น่ารำคาญ น่ารังเกียจ น่าเกลียด เพราะเต็มไปด้วยของสกปรก ต้องชะต้องล้างทุกเวล่ำเวลา เครื่องนุ่งห่มใช้สอยโดยปกติลำพังของเขาก็สะอาด  แต่พอมาคลุกเคล้ากับร่างกายซึ่งเป็นของปฏิกูลนี่แล้ว ย่อมเป็นของสกปรกไปหมดด้วยกัน อันใดก็ตามไม่ว่าสถานที่อยู่ บ้านเรือน กุฏิ  เมื่อคนไปอยู่สถานที่ใดที่นั่นย่อมสกปรก เพราะตัวคนร่างกายของคนเป็นของสกปรกด้วย ใจของคนเป็นของสกปรกด้วย  เมื่อไปคละเคล้าหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งใด สิ่งนั้นจึงกลายเป็นของสกปรก นี่ตามหลักธรรมชาติเป็นอย่างนี้

เพราะกายเป็นของสกปรกอยู่แล้ว นอกจากนั้นใจยังสกปรกอีก ยังเห็นของสกปรกนี้ว่าเป็นของสวยงาม ว่าเป็นสิ่งที่พึงใจ มันล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องกลมายาของกิเลสหลอกสัตว์โลกทั้งมวล อุปัชฌายะท่านสอนอย่างนั้นแล้วให้พิจารณาตามท่านสอน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของสวยของงาม เป็นของปฏิกูลโสโครก  ให้เห็นทั้งที่เกิดที่อยู่ท่านบอกไว้หมด เราให้พิจารณาตามหลักนั้นแล้วจะเป็นความจริงดังที่ท่านสอนไว้ทุกประการ เมื่อเป็นความจริงด้วยปัญญาแล้ว  จะปล่อยวางสิ่งที่เสกสรรปั้นยอด้วยความจอมปลอมนั้นออกจากใจ  ใจจะกลายเป็นความจริงของจริงขึ้นมา เพราะความรู้คือสติปัญญาเป็นของจริงประเภทหนึ่งเครื่องฆ่ากิเลส  นี่หลักใหญ่เป็นอย่างนี้

เมื่อปฏิบัติเข้าไปโดยลำดับ ๆ ความสำคัญมั่นหมายของเราที่ว่าเรียนมามากมาน้อย ว่ามีความรู้ชั้นนั้นชั้นนี้ ค่อยจางไป ๆ เพราะความจริงหนุนตัวขึ้นทุกวันเกิดขึ้นทุกวัน  เราบำรุงอยู่ด้วยการปฏิบัติ  ความรู้จริงเห็นจริงเพิ่มขึ้นทุกวัน ความจอมปลอมที่เกิดขึ้นจากความสำคัญมั่นหมายว่าตนรู้ตนฉลาดก็ค่อยหายหน้าไป ๆ ดีไม่ดีอายตัวเอง  จนกระทั่งความจริงที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของภาคปฏิบัติโดยทางสติปัญญาศรัทธาความเพียรแล้ว  ยิ่งจะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า นี่จึงเป็นของจริง ของจริงเป็นอย่างนี้  นี้เป็นอัตสมบัติแท้

ความจำศึกษาเล่าเรียนมา จากตำรับตำราจากครูจากอาจารย์นั้นเป็นสมบัติยืม หยิบยืมมาเพื่อค้าหากำไร  เมื่อเรามาปฏิบัติตัวของเราเกิดความรู้ความฉลาดขึ้นมา ชื่อว่าได้กำไรโดยลำดับ แล้วก็กลายมาเป็นอัตสมบัติของเราตามขั้นตามภูมิแห่งสติปัญญาศรัทธาความเพียรของเราที่ชำระได้โดยลำดับ ๆ  จนกลายเป็นปฏิเวธธรรมขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

คำว่าปฏิเวธธรรมนั้นหมายถึงความรู้แจ้งเห็นจริงไปเป็นพัก ๆ เป็นตอน ๆ เป็นสัดเป็นส่วนโดยลำดับ  จนกระทั่งรู้แจ้งตลอดทั่วถึง  เรียกว่าปฏิเวธธรรมอันสมบูรณ์  ดังที่ท่านบรรลุอรหัตผลหรือถึงพระนิพพานทั้งเป็น นั้นแหละชื่อว่าเป็นผู้ทรงไว้แล้วซึ่งปฏิเวธธรรม รู้แจ้งแทงตลอดทั่วถึงภายในจิตใจ  ไม่มีกิเลสตัวใดเข้าแทรกสิงได้เลย เป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ นั่นแหละที่นี่เป็นความจริงเต็มสัดเต็มส่วน เป็นมรรคเป็นผลเต็มสัดเต็มส่วน เต็มที่ดวงใจ

ที่ไม่เต็มแต่ก่อนก็เพราะมันบรรจุแต่กิเลสเต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นจึงใช้การปฏิบัติจากการศึกษาเล่าเรียนมาแล้วให้มาก หนักเข้าไปโดยลำดับ เราอย่าคิดว่าสิ่งใดจะวิเศษวิโสกว่าการงานคือการแก้กิเลส  และอย่าไปสนใจกับสิ่งใดวัตถุใดสมบัติใดว่าเป็นสิ่งจะวิเศษวิโส ยิ่งกว่าสมบัติคือธรรมที่ได้ขึ้นมาจากการแก้กิเลสโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติสมบัติ  อันนี้เลิศประเสริฐ  ไม่มีสมบัติใดเสมอในไตรโลกธาตุนี้

เพราะฉะนั้นงานที่จะดำเนินเพื่อสมบัติอันล้นค่านี้จึงเป็นงานที่ลำบากอยู่บ้าง โลกเขาจึงไม่สนใจไม่ต้องการอยากจะทำเพราะทำยาก  เนื่องจากกิเลสมันกีดมันขวางไม่ให้ทำ เพราะกิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันมาโดยลำดับลำดาตั้งแต่ไหนแต่ไร  จะมีมากมีน้อยไม่มีกิเลสตัวใดที่จะเห็นคล้อยตามธรรมเลย ต้องเป็นข้าศึกทั้งนั้น  ไม่ว่าลูกว่าหลานว่าเหลน ว่าปู่ย่าตายายตาทวดของกิเลสทุกประเภท  มีแต่พวกเป็นข้าศึกต่อธรรม เป็นผู้ขัดแย้งต่อธรรม คัดค้านต่อธรรม ลบล้างธรรมอยู่เสมอ

จนกระทั่งสิ่งเหล่านี้ถูกปัญญาวุธทำลายลงเสียอย่างราบไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นั้นแลที่นี่  จึงจะไม่มีอะไรมาขัดแย้งต่อธรรม  ไม่มีอะไรมาคัดค้าน ไม่มีอะไรมารบกวนใจ  ใจจึงเป็นอิสรเสรีโดยหลักธรรมชาติของตน  ทีนี้ธรรมเป็นใจ ใจเป็นธรรม  วิมุตติหลุดพ้นกับธรรมที่บริสุทธิ์ภายในใจนั้นเป็นอันเดียวกันโดยไม่ต้องเสกสรรปั้นยอ  หากรู้หากเข้าใจหากประจักษ์ภายในจิตใจของผู้เป็นเจ้าของของผู้ได้สมบัติอันล้นค่านี้โดยไม่ต้องไปถามผู้ใด

แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนานไปตั้ง ๒๔๐๐-๕๐๐ ก็ตามไม่สงสัย  พระพุทธเจ้าอยู่ในโลกมีกี่พระองค์ ตั้งแต่เริ่มแรกตรัสรู้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้  ท่านนิพพานแล้วท่านไปอยู่ที่ไหน ท่านสูญสิ้นไปไหนไม่สงสัย พระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นมีจำนวนมากมายท่านไปอยู่ที่ไหน ท่านเป็นพระอรหันต์จริงไหม พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีจริงไหม หายสงสัยเพราะธรรมชาตินี้เป็นเครื่องยืนยันหลักความจริงแห่งสากลวิมุตติ

ดังพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์และพระอรหันต์ทั้งหลายท่านถึงวิมุตติหลุดพ้น  จิตดวงนี้เป็นสักขีพยานกระเทือนไปหมด ถ้าจะลบล้างว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดีว่าไม่มี ให้ลบล้างตรงนี้เสีย  จะลบล้างได้ไหมความจริงที่ประจักษ์อยู่ในใจ  คือวิสุทธิธรรม วิมุตติธรรม อิสรธรรม เต็มหัวใจของตัวเองประจักษ์อยู่นี้เป็นสักขีพยานอยู่แล้ว  ทำไมจะไม่เป็นสักขีพยานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย

ธรรมแท้อยู่ที่ไหนที่นี่  พระพุทธเจ้า พระธรรม เหล่านั้นเป็นอาการอันหนึ่งที่เรียกตามสมมุติ  สุดท้ายก็ลงในธรรมแท่งเดียว ธรรมอันเดียวกันหมด  ปรากฏอยู่ภายในจิตเป็นเครื่องยืนยัน  ไม่มีสิ่งใดมาขัดมาแย้ง  มีกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นเป็นผู้ขัดแย้งต่อธรรม  เป็นข้าศึกต่อธรรม  เมื่อกิเลสได้สิ้นซากลงไปเท่านั้นหายสงสัย  เห็นได้ชัดเจนในเรื่องธรรม ว่าธรรมวิเศษขนาดไหน  จิตเป็นผู้รับสัมผัส จิตเป็นผู้รับทราบ จิตเป็นผู้ทรงธรรม มาทรงอยู่ที่นี่ทั้งหมด รับทราบอยู่ที่นี่ทั้งหมด รู้อยู่ที่นี่ทั้งหมด

หมดทั้งมวลแห่งธรรมรวมอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้ เป็นใจที่บริสุทธิ์  ธรรมก็บริสุทธิ์  จะเรียกว่าใจก็ได้จะเรียกว่าธรรมก็ไม่มีอะไรขัดแย้ง  เพราะกิเลสเครื่องขัดแย้งไม่มี สมมุติไม่มี  เมื่อตั้งชื่อขึ้นว่าเป็นวิมุตติตั้งชื่อขึ้นเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของธรรมตั้งขึ้นมาไม่ใช่กิเลสตั้งขึ้นมาจึงไม่ขัดแย้งตัวเอง  จะเรียกว่าจิตนี้หลุดพ้นแล้วก็ได้ จิตนี้บริสุทธิ์ก็ได้ จิตนี้เป็นธรรมแท่งเดียวก็ได้  จะไม่เรียกว่าจิตเรียกว่าธรรมอย่างเดียวล้วน ๆ ก็ได้  เพราะไม่มีอะไรมาขัดแย้งแล้ว เป็นเรื่องของวิมุตติธรรมตั้งชื่อตัวเอง เพื่อให้โลกทั้งหลายซึ่งอยู่ในสมมุติได้ยึดเป็นกรุยหมายป้ายทางเข้าไปเท่านั้น  แต่พอถึงธรรมชาติอันแท้จริงแล้วนั้น  ไม่ว่าผู้ใดย่อมหายสงสัยหมด  ไม่จำเป็นจะต้องไปหาตั้งชื่อตั้งนามต่อไปอีกแล้ว

นี่คือผลแห่งการประพฤติปฏิบัติ เนื่องมาจากปริยัติคือการศึกษา เฉพาะอย่างยิ่งศึกษาจากครูจากอาจารย์จากอุปัชฌายะ แล้วมาประพฤติปฏิบัติกำจัดไปโดยลำดับลำดา ผลสุดท้ายก็ลงในจุดนี้ไม่หนีไปไหนได้ นี่ละผู้จะทรงมรรคทรงผลคือผู้ปฏิบัติ อย่างอื่นมองไม่เห็น

ไม่ได้ประมาทเรื่องการศึกษาเล่าเรียน  เป็นพื้นเพหรือเป็นภาคพื้นที่จะให้รู้แนวทางแห่งการปฏิบัติ  แต่ต้องเรียนเพื่อปฏิบัติ  เมื่อปฏิบัติแล้วปฏิเวธะซึ่งเป็นธรรมเกี่ยวโยงกันจะต้องปรากฏมาเป็นทอด ๆ จนกระทั่งถึงปฏิเวธธรรมอันสมบูรณ์

นี่ละพระพุทธเจ้าก็ดีสาวกทั้งหลายก็ดีท่านดำเนินอย่างนี้ ท่านปฏิบัติอย่างนี้ ท่านรู้อย่างนี้ ไม่ปฏิบัติอย่างอื่น  สถานที่อยู่ที่อาศัยของท่านเป็นสถานที่อยู่ที่อาศัยอันเป็นไปเพื่อการแก้กิเลสตัณหาอาสวะทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความสั่งสมกิเลสเหมือนพวกเราทั้งหลาย นี่อยู่ที่ไหนก็หรู ๆ หรา ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนขอทาน กุฏิระฟ้าโน่นจะว่ายังไง  ที่อยู่ที่อาศัยญาติโยมที่เขามาให้ทานให้กินทุกวัน ๆ ยังสู้ไม่ได้  ไม่อายเขาบ้างเหรอพิจารณาซิ

ถ้าคิดตามหลักของพระตามหลักของธรรมแล้วมันน่าอายเขา  ที่อยู่ที่อาศัยของพระซึ่งเป็นคนขอทานเป็นผู้เห็นภัย  กลับไม่เห็นภัยกลับหรูหรา ยิ่งกว่าประชาชนศรัทธาเขาเสียอีก มันน่าอาย  ให้มันหรูหราภายในใจนี้เป็นความถูกต้องตามอรรถตามธรรม ตามหลักของสมณะ ให้หรูหราด้วยศีล ให้หรูหราด้วยสมาธิ ให้หรูหราด้วยปัญญา ด้วยศรัทธาความเพียร  ทุกอิริยาบถให้มีความตะเกียกตะกายด้วยความพากเพียรอยู่เสมอ  เพื่อฆ่ากิเลสอาสวะประเภทต่าง ๆ ซึ่งเป็นตัวภัยต่อเราทั้งนั้น

อย่าเห็นว่ากิเลสตัวใด จะมาให้คุณให้ประโยชน์แก่เรา นอกจากเป็นข้าศึกต่อเราโดยถ่ายเดียว  ดังที่กล่าวแล้วว่าอย่าว่าแต่พ่อแต่แม่ปู่ย่าตายายของมันเลย  แม้แต่เหลน ๆ ของมันมันก็เป็นภัยต่อเราทั้งนั้น  เกิดขึ้นมามันเป็นเสือเหมือนพ่อเหมือนแม่มัน  กิเลสมันเป็นเสือแต่ละตัวๆ เป็นภัยแต่ละตัวๆ ต่อจิตใจ จงห้ำหั่นลงไปให้แหลกแตกกระจาย  อย่าลดละความพากเพียรอย่าท้อถอย

ความท้อถอยเป็นเรื่องของกิเลส ความอ่อนแอเป็นเรื่องกลมายาของกิเลสให้ทราบนักปฏิบัติ เข้าสู่สงครามต้องรู้กลมายาของข้าศึก นี่เราก็เข้าสู่สงครามระหว่างกิเลสกับธรรมห้ำหั่นกัน  ต้องรู้กลมายาของกิเลสอาสวะ  มันออกในแง่ใดมุมใด  จะต้องรู้ด้วยสติปัญญาของเรา นอกจากนั้นยังมีครูบาอาจารย์คอยแนะให้อุบายอยู่เสมอแล้ว มันเป็นของหาได้เหรอ  มีผู้แนะผู้ให้อุบายวิธีการปฏิบัติอยู่แล้ว

กิเลสนั่นแหลมคมที่สุด นี่เคยได้พูดแล้วกี่ครั้งกี่หนกับท่านทั้งหลาย  เราไม่ทราบถ้าหากว่าเราไม่ได้ปฏิบัติต่อกิเลส เราไม่ได้ต่อสู้กับกิเลสให้เต็มเหนี่ยวเสียก่อน จนถึงเป็นถึงตายแล้ว เราจะไม่ทราบเรื่องกลมายาของกิเลสว่าแหลมคมขนาดไหน ในท่าแห่งความเพียรทุกประโยคของเรามักจะมีแต่เรื่องกิเลสทำงานทั้งนั้น เรื่องความเพียรที่ว่าเพื่อเป็นธรรม ๆ หาที่แทรกไม่ได้  เพราะสติปัญญาเราไม่ทันมันนั่นเอง  มันจึงไปทำงานแทนเรา  ทีนี้เมื่อสติปัญญาของเรามีความแก่กล้าสามารถเข้าโดยลำดับๆ กิเลสออกมาแง่ใดมุมใด มันแก้กันทันรู้กันทัน เมื่อรู้กันทันแล้วมันก็มีช่องทางที่จะฆ่าที่จะทำลายกันได้ นี่เรื่องเป็นอย่างนั้น ขอให้ทุก ๆ ท่านได้นำไปพินิจพิจารณาประพฤติปฏิบัติตนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

เราเกิดมาในชาตินี้ได้เป็นนักรบตามแนวทางของศาสดา ที่พาดำเนินมาเพื่อความพ้นโลก เพื่อความประเสริฐสุด เราจะไม่เป็นอื่นใดนอกจากจะเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมอันล้นค่าภายในจิตใจ  จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เรียกว่าเลิศโลก  จะไม่นอกเหนือไปจากงานของเราที่ประพฤติปฏิบัติอยู่เวลานี้เลย

จึงขอยุติเพียงเท่านี้

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก