ศาสนธรรมยังคงเส้นคงวา
วันที่ 14 กันยายน 2522 เวลา 19:00 น. ความยาว 36.4 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๒

ศาสนธรรมยังคงเส้นคงวา

ไม่มีอะไรที่จะบริสุทธิ์และประเสริฐยิ่งกว่าธรรม ไม่มีอะไรเหนือธรรมเลยในโลกทั้งสามนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมจึงเป็นผู้ประเสริฐ เพราะธรรมพาให้ประเสริฐ ไม่ได้ประเสริฐเพราะสิ่งใดที่มีอยู่ในโลกทั้งสามนี้บันดาล มีธรรมเท่านั้นพาให้พระองค์ประเสริฐ เมื่อใจกับธรรมกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้วย่อมประเสริฐและประเสริฐสุดส่วน ไม่ใช่ประเสริฐด้วยสมมุติต่างๆ ที่เสกสรรปั้นยอกันขึ้น แต่ประเสริฐโดยหลักธรรมชาติของธรรมกับใจซึ่งกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว แม้ใจดวงบริสุทธิ์นั้นจะอยู่ในขันธ์ทรงขันธ์อยู่ก็ตาม ใจที่บริสุทธิ์แล้วนั้นย่อมเป็นธรรมชาติที่ประเสริฐอยู่ในตัวโดยอิสระ ซึ่งสมมุติทั้งหลายมีขันธ์เป็นต้นไม่เข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งกวนได้เลย

ที่พระพุทธเจ้ามีพระเมตตาสุดส่วนแก่โลกนั้น ก็เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นธรรมชาติที่อ่อนโยนนิ่มนวลภายในพระทัยนั่นแล ไม่มีอะไรพาให้เป็น พระทัยที่สัมผัสสัมพันธ์หรือกลมกลืนกับธรรมแล้ว จึงเป็นพระทัยที่อ่อนโยนที่สุดไม่มีอะไรเทียบให้เสมอเหมือนได้ และไม่มีอะไรจะอ่อนโยนยิ่งกว่าจิตใจที่บริสุทธิ์ ซึมซาบเข้าได้ทุกตัวสัตว์ แทรกเข้าได้ทุกเม็ดหินเม็ดทราย

เมื่อพูดถึงความเมตตาที่ไม่มีโลกามิสใดๆ เข้ามาเคลือบแฝงเลยก็คือเมตตาจิตของท่านที่บริสุทธิ์ มีแต่มุ่งสงเคราะห์โลกให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ตามกำลังของเขาที่จะรับได้มากน้อย แต่ส่วนตามกำลังของท่านที่จะแสดงได้มากน้อยนั้นเราไม่อาจพูดได้ เพราะท่านที่ถึงธรรมขนาดนั้นแล้วไม่มีที่อัดอั้นเลย ใจเปิดโล่งอยู่ตลอดเวลาอกาลิโกในการที่จะสงเคราะห์โลกด้วยอรรถด้วยธรรม เพราะในพระทัยและใจของท่านถ้าพูดตามภาษาโลกๆ ก็เรียกว่า อัดแน่นแล้วด้วยธรรมไม่มีช่องโหว่เลย ถ้าเป็นน้ำก็เต็มถัง พอเปิดเท่านั้นน้ำก็พุ่งกระจายออกมาทันที

เอ้า พูดถึงธรรมในใจท่านผู้บริสุทธิ์ ใครจะใช้สอยอาบดื่มตามภูมินิสัยวาสนาของตนได้ทั้งนั้นและไม่มีหมดมีสิ้นด้วย นอกจากขันธ์ที่เป็นเครื่องมือนำออกใช้ประกาศศาสนธรรมแก่โลกเท่านั้นจะไม่อำนวย เพราะขันธ์นี้เป็นสมมุติ จึงต้องเป็นไปตามสมมุติคือมีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนประจำตน สะดวกบ้างไม่สะดวกบ้าง ส่วนพระทัยหรือใจที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าและสาวกนั้น ไม่มีความบกพร่องด้วยธรรมแม้นิดหนึ่งเลย ด้วยเหตุนี้การแนะนำสั่งสอนโลก จึงสั่งสอนด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีพระเมตตาและเมตตาล้วนๆ ต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับพระทัยและใจของท่านที่บริสุทธิ์อยู่แล้วนั้นแล

ใครจะสามารถสั่งสอนอรรถสั่งสอนธรรมให้ถึงความจริงอย่างสุดส่วนได้ เหมือนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านผู้บริสุทธิ์แล้วไม่มี เพราะไม่สามารถรู้ธรรมของจริงได้อย่างเต็มใจเหมือนท่าน ไม่มีโลกามิสใดๆ จะเข้าไปเคลือบแฝงในความบริสุทธิ์นั้นได้เลย นี่จึงเห็นได้ในเวลาที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศศาสนธรรม เบื้องต้นได้ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกว่า ผู้ใดที่สามารถจะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว ก็ทรงทราบดาบสทั้งสองซึ่งเคยเป็นครูเป็นอาจารย์ท่านมาในเบื้องต้น ว่าจะเป็นผู้สามารถบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ทรงทราบในพระญาณด้วยขณะนั้นว่าได้สิ้นชีวิตไปเสียแล้ว จากนั้นก็ทรงทราบอุปนิสัยสามารถของปัญจวัคคีย์ทั้งห้าว่าจะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว จึงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้านี้ก่อนใครอื่น แม้จะได้รับคำคัดค้านต้านทานประการใดจากปัญจวัคคีย์ทั้งห้านี้ในขั้นเริ่มแรกก็ตาม พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยกับเรื่องป่าๆ เถื่อนๆ อันเกิดขึ้นจากความสำคัญมั่นหมายของท่านเหล่านั้นเลย แต่ทรงประกาศความจริงคือธรรมอันบริสุทธิ์ล้วนๆ ให้ท่านเหล่านั้นได้ฟังในขณะนั้นไม่ชักช้า

ของจริงกับของปลอมย่อมมีน้ำหนักต่างกันอยู่มาก ความรู้ความเห็นของปัญจวัคคีย์ที่เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทรงงดการอดพระกระยาหารและกลับมาเสวยแล้วจะตรัสรู้ธรรมได้อย่างไร ขณะที่ทรงอดพระกระยาหารถึงขนาดนั้นยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เมื่อกลับมาเสวยก็แสดงถึงความเป็นผู้มักมากไปเสียแล้ว จะตรัสรู้ธรรมได้อย่างไร นี่เป็นคำคัดค้านของปัญจวัคคีย์ทั้งห้า จึงยังไม่ลงใจต่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าจะเป็นความจริงดังที่ทรงประกาศในขณะที่เสด็จมาถึงทีแรก

แต่พระองค์ไม่ทรงถือสิ่งเหล่านั้นเป็นสำคัญ พอที่จะเป็นอุปสรรคต่อการประทานพระโอวาท เพื่อรื้อขนท่านเหล่านั้นให้พ้นจากทุกข์ในขณะนั้น จึงทรงประกาศพระองค์ย้ำลงในหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็น ให้ท่านเหล่านั้นฟังอย่างชัดเจนว่า “คำที่ว่าเราตถาคตได้ตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์แล้วนั้น เราตถาคตเคยพูดมาก่อนแล้วหรือ และท่านทั้งหลายเคยได้ยินแล้วหรือคำนี้สมัยที่เราอยู่กับท่านทั้งหลายเมื่อก่อนโน้น แต่บัดนี้เรามาพูดว่าเราได้ตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์แล้วเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะสนใจฟัง เราจะแสดงความจริงให้ฟังในบัดนี้”

พอท่านเหล่านี้รับว่ายังไม่เคยได้ยิน ถ้ายังไม่เคยได้ยินก็ให้พึงตั้งใจฟัง เราจะแสดงธรรมที่ได้ตรัสรู้แล้วนั้นให้ท่านทั้งหลายฟัง ก็ทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยคเป็นขั้นเริ่มต้น คือการประพฤติตนโดยความย่อหย่อนหรือหย่อนยานเสียจนไม่มีอะไรจะเกิดผลดีขึ้นมาได้ เพราะความหมกมุ่นในกามทั้งหลายและการประพฤติตัวเคร่งครัดแบบทรมานตนเปล่าๆ แต่หาเหตุผลอันถูกต้องดีงามจากความเคร่งครัดนั้นไม่ได้ ก็ไม่ใช่ทางทั้งสองอย่าง และทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่มรรคแปด ให้ท่านเหล่านั้นได้ทราบเป็นลำดับลำดา จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้จริงเห็นจริงในอริยภูมิขั้นต้นคือพระโสดาฯ และออกอุทานว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ว่าสิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วต้องดับทั้งนั้น ในปริยัติท่านว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา สรุปแล้วสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีที่จะคงทนอยู่ได้ด้วยความไม่แตกดับ ต้องแตกดับไปด้วยกันทั้งนั้น ความจริงบีบบังคับอยู่เช่นนี้

จากนั้นก็ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรให้ฟังในอันดับต่อไปว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่นเข้ามาๆ ทั้งแสดงเรื่องอดีตเรื่องอนาคตและปัจจุบันของขันธ์ห้านี้โดยละเอียด จนกระทั่งหยั่งเข้าสู่จิตผู้ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้งหลายโดยไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย นอกจากเกิดโทษแก่ตนโดยถ่ายเดียวและพาให้พะรุงพะรัง พาให้แบกภพแบกชาติความเกิดแก่เจ็บตายไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะความหลงในธาตุในขันธ์ ความยึดในธาตุในขันธ์เป็นความพะรุงพะรัง ทั้งการแบกหามธาตุขันธ์ด้วยอุปาทาน ทั้งนามขันธ์ที่อยู่ในจิตก็ยึดว่าเป็นตัวของตัวโดยถ่ายเดียว อันเป็นความหนักหน่วงถ่วงจิตใจด้วยกันทั้งนั้น

ทรงแสดงย้ำลงในเรื่อง อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ย้ำลงในขันธ์ทั้งห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งอดีตที่เคยเป็นมาก็เป็น อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา มาโดยลำดับเช่นนี้ ทั้งอนาคตที่จะเป็นไปในกาลข้างหน้าก็ไม่พ้นจากหลัก อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา จะต้องบีบบังคับตามหลักธรรมชาติของมัน แม้ปัจจุบันเดี๋ยวนี้เรื่องขันธ์ทั้งห้าก็ดำเนินตนด้วย อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ไม่มีการลดละ เรายังจะสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเราอยู่เหรอ จงพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยปัญญา จนปัญจวัคคีย์ทั้งห้าสามารถบรรลุธรรมถึงขั้นสุดวิมุตติพระนิพพานได้ ในขณะที่พระองค์ประทานอนัตตลักขณสูตรลงอย่างถึงใจ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรก็ดี อนัตตลักขณสูตรก็ดี ซึ่งล้วนแต่แสดงลงในธาตุในขันธ์และจิตใจของสัตว์โลกทั้งสิ้น เพราะความมุ่งหมายก็เพื่อให้จิตดวงลุ่มหลงได้รู้สึกตัว และถอดถอนตนออกจากสิ่งเกี่ยวข้องผูกพันจนหมดสิ้นไปนั่นแล

เราก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนสัตว์โลกซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน ธรรมก็เป็นธรรมของจริงที่ชี้แจงถึงกิเลสบาปธรรมเหมือนกันกับครั้งพุทธกาล แต่ทำไมจิตใจเราจึงรู้และละสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพราะเหตุใด นี่เป็นสิ่งที่เราต้องวินิจฉัยตัวเราเองด้วยการพิจารณา อย่างน้อยก็พอมีหลักยึดภายในใจ เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วยที่ปรากฏขึ้นมา ก็ให้ทราบว่าการเจ็บไข้เป็นสภาพอันหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในขันธ์ แต่ขออย่าให้เกิดขึ้นภายในจิตเพราะความหลงงมงายไปตามมันก็แล้วกัน จะกลายเป็นโรคสองชั้นขึ้นมา คือ โรคในขันธ์ มีเจ็บท้องปวดศีรษะเป็นต้น โรคในจิตคือความเสียอกเสียใจอยากให้มันหายตามใจชอบ ความอยากนั้นเป็นตัณหา เมื่อมีสาเหตุที่ควรจะหายได้มันก็หายของมัน โดยไม่ต้องใช้ความอยากอันเป็นไฟตัณหาเข้าไปส่งเสริมมัน เมื่อมันไม่หายถึงจะอยากเท่าไรก็ไม่เกิดผลดี ยิ่งเพิ่มความหิวโหยเพิ่มความกระวนกระวายมากขึ้นๆ กลายเป็นโรคภายในใจขึ้นมาอีก เป็นโรคสองชั้น และรักษาลำบากเข้าไปอีก

เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้พิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์โดยทางสัจธรรมด้วยสติปัญญา อย่างน้อยก็มีหลักใจเป็นที่ยึด เวลาทุกข์เกิดขึ้นในขันธ์มากๆ มันจะเหมือนไฟทั้งกองในรูปในกายของเรา ไม่ถึงกับการเจ็บไข้ได้ป่วย เพียงแต่เรานั่งภาวนานานๆ หลายๆ ชั่วโมงมันก็แสดงความเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว เจ็บนั้นปวดนี้ตามอวัยวะต่างๆ นั่นแหละเรียกว่าความเจ็บป่วยของขันธ์ เวลาเจ็บปวดมากๆ ขณะนั่งนานอวัยวะทุกส่วนเหมือนจะแตกทลายลงไปในขณะนั้น ราวกับจะไม่มีชิ้นใดติดต่อกันเลย เป็นไฟไปหมดทั้งกองในกองแห่งขันธ์นี้

ผู้ต้องการความจริงก็ถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นหินลับปัญญา พิจารณาแยกแยะเรื่องรูปกาย เรื่องทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากกาย เกิดขึ้นจากส่วนไหน ตลอดถึงจิต พิจารณาแยกแยะให้เห็นชัด ทั้งอาการของกายในส่วนที่ว่าเป็นทุกข์ ทั้งทุกขเวทนาที่ปรากฏอยู่ในอาการนั้นๆ ทั้งจิตผู้ไปสำคัญมั่นหมายในความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น ว่าเราเป็นทุกข์ว่าเราเจ็บเราปวด จนกระทั่งสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งในอาการของธาตุของขันธ์นั้นๆ ทั้งเวทนาก็สักแต่ว่าทุกข์เท่านั้น แม้ทุกข์เองก็ไม่มีความรู้สึกและความหมายในตัวมันเองเลย ร่างกายส่วนที่ว่าเป็นทุกข์นั้นเขาก็ไม่ทราบว่าเขาเป็นทุกข์ เขาไม่มีความหมายในความเป็นทุกข์ของเขาเลย สุดท้ายก็มารวมอยู่ที่จิตผู้ไปหมายว่า นั้นเป็นทุกข์นี้เป็นทุกข์ จึงแบกกองทุกข์อยู่ภายในใจของตน นอกจากแบกกองทุกข์ภายในขันธ์แล้ว ยังมาแบกกองทุกข์ความกระวนกระวายภายในใจอีก จึงต้องได้พิจารณาแยกแยะจนรู้เห็นกันอย่างชัดเจนด้วยสติปัญญา จนลงถึงขั้นต่างอันต่างจริงไม่กระทบกัน แม้ทุกขเวทนายังมีอยู่ในขันธ์ก็ตาม ระหว่างกาย เวทนากับจิตก็ไม่เกิดเรื่องกัน

ผู้ปฏิบัติเมื่อไม่ละสติปัญญาขณะที่เข้าสู่สงครามระหว่างขันธ์กับจิต หรือระหว่างขันธ์กับโรคที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันนั้น สติปัญญาเป็นผู้บุกเบิกหาความจริงทั้งหลายที่มีอยู่ในกายในเวทนาและในจิต จนปรากฏความจริงขึ้นมา ทุกข์ก็ไม่มีอำนาจมาบีบบังคับจิตใจได้ รูปขันธ์ก็ไม่มีอำนาจมาบีบบังคับจิตใจให้ลุ่มหลงไปตามได้ จิตก็เป็นความจริง รู้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สุดท้ายกายก็เป็นของจริงขึ้นมาอันหนึ่งเสีย ทุกข์ก็เป็นของจริงอันหนึ่งขึ้นมาตามหลักอริยสัจ ใจก็เป็นของจริงอันหนึ่งขึ้นมา

เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วก็หาความกระทบกระเทือนกันไม่ได้ เมื่อไม่กระทบกระเทือนกันแล้วก็เรียกว่าสันติสุข คือความสงบสบายภายในจิต เวทนาขันธ์จะเป็นต่อไปก็เป็น ถ้าไม่เป็นทุกขเวทนาก็ดับลงไป แม้ทุกขเวทนาดับลงไปก็ไม่เห็นเขาว่าอะไร จะยังทรงตัวอยู่ก็ไม่เห็นเดือดร้อนวุ่นวายอะไร เพราะทราบแล้วว่าขันธ์ไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่ขันธ์ทั้งห้านั้น นี่ตามหลักความจริงแห่งการพิจารณา ใจก็มีหลักเกณฑ์เป็นที่ยึด เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยตรงไหน เวลาใด สถานที่ใด เป็นขึ้นที่ตรงไหน เราแน่ใจแล้วว่าจิตเป็นหนึ่งต่างหากจากขันธ์หรือร่างกายส่วนต่างๆ ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใจย่อมไม่เดือดร้อนวุ่นวาย นี่เรียกว่าจิตมีหลัก

ถ้าไม่มีหลัก อันใดผิดปกติบ้างเล็กน้อยภายในร่างกายนี้ จิตจะต้องไปแบกภาระหามภาระนั้นๆ แล้วกวาดความหนักหน่วงถ่วงจิตใจหรือบีบคั้นจิตใจเข้ามาสู่ตัว ใจเลยกลายเป็นกองทุกข์อันใหญ่หลวงยิ่งกว่าโรคที่เกิดขึ้นภายในกายเสียอีก นี่คือความโง่เขลา ความไม่รอบคอบ ท่านจึงสอนให้รอบคอบด้วยการพิจารณาทางสติปัญญาไม่นอนใจ ทั้งที่ทุกข์ทางกายทางใจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ตาม

การปฏิบัติธรรมะเพื่อความสงบใจทำได้หลายทาง เช่น ทางบริกรรมก็เป็นทางอนุโลมเพื่อใจสงบได้ การพิจารณาค้นคว้าด้วยสติปัญญาในเวลาจนตรอกจนมุม เช่น ในเวลาโรคภัยไข้เจ็บหรือความเจ็บปวดแสบร้อนเกิดขึ้นภายในร่างกายมากๆ พิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงในสภาพเหล่านี้ เรียกว่าปฏิโลมคือพลิกกลับ เป็นการต่อสู้กันอย่างใหญ่หลวงด้วยอุบายสติปัญญา เวลารู้ก็รู้อย่างถึงใจและองอาจกล้าหาญตลอดวันตาย ไม่มีการสะทกสะท้านต่อความเป็นความตาย ต่อความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลาย เพราะจิตได้หยั่งถึงความจริงแล้วอย่างไม่มีวันถอน เรียกว่า อจลศรัทธา เชื่อความจริงอย่างถึงใจ แม้คราวต่อไปจะไม่ได้ผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างที่เคยพิจารณามาแล้วก็ตามก็ไม่เสียใจ และไม่ถอนความเชื่อที่เคยหยั่งลงในความจริงอย่างแน่นหนามั่นคงแล้ว มีแต่ตั้งหน้าปฏิบัติไปไม่ลดละท้อถอยในทางความเพียร ผลย่อมคืบหน้าไปโดยสม่ำเสมอ

เราได้ยินแต่ครั้งพุทธกาลว่า พระสาวกที่ปฏิบัติตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าแล้ว เที่ยวปลีกตัวอยู่ในสถานที่ต่างๆ กัน องค์นั้นบรรลุมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ เป็นที่น่าอัศจรรย์ผลที่ท่านได้รับ แต่มาสมัยทุกวันนี้ทำไมจึงกลายเป็นการขัดแย้งกันไปเสียหมด เหมือนกับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าขัดแย้งกันในระหว่างพุทธกาลกับสมัยปัจจุบัน ความจริงศาสนธรรมก็ออกมาจากสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ตั้งแต่โน้นจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีเคลื่อนคลาดแปลกปลอมแต่อย่างใดเลย

ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ศาสนธรรมยังคงเส้นคงวาโดยสมบูรณ์ ที่เคลื่อนคลาดที่ขัดแย้งกันที่กลับตาลปัตรกันก็เพราะความรู้สึก ความนับถือศาสนา ความประพฤติปฏิบัติศาสนา ความรู้ความเห็นของคนผู้เกี่ยวกับศาสนา พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของกิเลสเสียเป็นส่วนมากต่อมาก ไม่ได้คำนึงถึงอรรถถึงธรรมในแง่หนักเบาตามความสัจความจริงของธรรมนั้นเลย มันจึงขัดกันระหว่างครั้งพุทธกาลกับปัจจุบันที่เป็นอยู่เวลานี้

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติในแง่ต่างๆ ของชาวพุทธเรา จึงมักจะเป็นข้าศึกต่อศาสนธรรมเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน และยังจะเป็นไปข้างหน้าด้วยการขัดแย้งกับหลักธรรมอันเป็นหลักความจริงที่ถูกต้องดีงามอีกมากมายก่ายกอง เพราะความรู้ความเห็นนั้นเป็นเรื่องของกิเลสเข้าแทรกมากต่อมากแล้ว กิเลสบงการให้ออกมาจากความชอบใจของมันที่หยาบโลนสิ้นดี เช่น ออกมาจากความโลภ เป็นต้น เพราะความโลภนี้มันเหยียบย่ำทำลายไปได้หมด ไม่มีคำว่าละอายบาป ขอแต่ให้ได้สมใจของกิเลสตัวโลภแล้วเป็นเอามันทั้งนั้น นั่นแลเสนามารตัวทำลายศาสนา ทำลายพระเณรเราน่ะ จงจำและระวังให้ดีถ้าไม่ประสงค์อยากเป็นเทวทัตทำลายศาสนาทำลายตัวเราเอง ต้องระวังท่าเดียว อย่านอนใจไร้สติปัญญา

ศาสนาเป็นธรรมเครื่องชำระกิเลสให้เบาบางและหมดสิ้นไปจากใจ ตามหลักธรรมอันเป็นความจริงแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะสอนฆราวาสไม่ว่าจะสอนพระ ไม่ว่าฆราวาสจะปฏิบัติไม่ว่าพระจะปฏิบัติย่อมไปในรอยเดียวกัน คือเพื่อชำระสะสางกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตให้รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้หนักรู้เบา รู้บุญรู้บาป รู้วิธีละถอนในสิ่งที่เป็นภัยคือกิเลสนั้นออกจากใจไปเรื่อยๆ ตามกำลังความสามารถของตน ไม่มีการสั่งสมอันเป็นการสั่งสมกิเลสเป็นการขัดแย้งต่อหลักธรรมของพระพุทธเจ้า และเป็นข้าศึกต่อศาสนธรรมในขณะเดียวกัน แต่แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ที่เป็นไปอยู่ทุกวันนี้ก็ดูเอาเพราะตามีหูมีทุกคน ความรู้สึกมีทุกคนพอทราบได้ มองดูด้วยตาก็รู้ ฟังดูด้วยหูก็เข้าใจ ยิ่งคิดทางใจแล้วทำไมจะเป็นของลี้ลับ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในโลกจากบุคคลแต่ละคนๆ ที่แสดงออกมาจะไม่สัมผัสทางจิตใจจะไปสัมผัสที่ไหน ก็ต้องรู้เห็นอยู่นั้นแล

แม้ในวงปฏิบัติ ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามธรรมตามความรู้สึก แต่ความละเอียดของกิเลสมันต้องมีอุบายสอดแทรกอยู่โดยดี นี่พูดถึงขั้นหยาบแห่งการปฏิบัติธรรมต่างหาก ขั้นละเอียดก็มี หากมีสอดมีแทรกเป็นข้าศึกกันอยู่ในนั้นแหละ เพราะกิเลสกับธรรมเคยเป็นข้าศึกกันมาแต่กาลไหนๆ อยู่แล้ว จะไม่เป็นข้าศึกต่อผู้ปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เผลอตัวเมื่อไรกิเลสต้องเข้าแทรกทุกขณะที่เผลอตัว กิเลสเข้าแทรกเมื่อไรจิตใจก็เขวจากธรรมไปตามกิเลสในขณะนั้น เช่น กำลังนั่งภาวนาอยู่จิตใจก็เขวจากหลักภาวนาได้ เพราะอารมณ์ของกิเลสฉุดไป พิจารณาอรรถธรรมอยู่ก็เขวจากความเป็นอรรถเป็นธรรมไปได้ ใจกลายเป็นโลกไปเสียในขณะที่กำลังเข้าใจว่าตนพิจารณาอรรถธรรมอยู่นั่นแล เพราะกิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่าอยู่แล้ว จึงไม่ยอมลดตัวลงอยู่ใต้อำนาจของธรรมอย่างง่ายๆ พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านเท่านั้นเป็นผู้ที่เหนือกิเลสโดยสิ้นเชิง มีธรรมเต็มเปี่ยมในพระทัยและใจของพระองค์แลสาวกทั้งหลาย ใจมีพลังเต็มที่ด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่เป็นเรือนเป็นคลังและเป็นพลังของกิเลสเหมือนอย่างแต่ก่อน

ใจของสามัญชนทั้งหลายเต็มไปด้วยพลังของกิเลส ความโลภก็เต็มหัวใจ ความโกรธก็เต็มหัวใจ ความหลงตลอดราคะตัณหาเต็มอยู่ที่หัวใจไม่มีบกพร่องตลอดมาถ้าไม่ชำระซักฟอกด้วยธรรม เพราะฉะนั้นการระบายออกทางกิริยามารยาทอาการภายนอก จึงเป็นไปตามอำนาจของกิเลสที่บรรจุไว้ภายใน ซึ่งล้วนเป็นยาพิษด้วยกัน มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น แล้วจะหาความสุขมาจากไหนเมื่อยาพิษมันฝังจมอยู่ภายในใจเช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยหลักธรรมเข้าซักฟอก ชะล้าง หรือขับไล่สิ่งที่เป็นพิษนั้นออกไปโดยลำดับ ให้ธรรมได้แทรกเข้าไปๆ เมื่อธรรมมีอำนาจมากเข้าๆ กิเลสต้องถอยตัวออกไปๆ ธรรมมีอำนาจมากเพียงไร ใจก็ยิ่งมีความสุขความสว่างกระจ่างแจ้ง มองเห็นอรรถเห็นธรรมเห็นความจริง เห็นบุญเห็นบาป เห็นโทษเห็นคุณอย่างถึงใจ การเห็นโทษก็เห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณก็เห็นอย่างถึงใจด้วยสติปัญญา ใจก็ยิ่งมีกำลังธรรมเข้าช่วยและนับวันถอดถอนออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีเหลือเลย ขึ้นชื่อว่ายาพิษที่เคยฝังจมอยู่ภายในจิต เหลือแต่ธรรมล้วนๆ นั่นแหละท่านว่าธรรมอัศจรรย์หรือใจอัศจรรย์ อัศจรรย์ที่ตรงนั้น ไม่มีอะไรที่ไหนอัศจรรย์ยิ่งกว่าที่ตรงนั้น

เมื่อหมดจากสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย ที่ต่ำช้าเลวทรามและสกปรกโสมมแล้ว ก็กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนั้น พระสาวกท่านเป็นอย่างนั้นด้วยอำนาจแห่งธรรมนี้แล จงนำไปชำระนำไปปราบปรามกิเลสทั้งหลายจนสิ้นซากไปจากใจ เพราะเราก็เป็นผู้หนึ่งที่นับถือพระพุทธศาสนาและปฏิบัติตามหลักศาสนธรรม จงพยายามทำความรู้ความเห็นความประพฤติการปฏิบัติของตน ให้เป็นไปตามหลักแห่งสวากขาตธรรม อย่าให้ขัดแย้งธรรมหรือเหยียบย่ำธรรมเพราะอำนาจของกิเลส โดยความมีเจตนาก็ดีหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี จงใช้ปัญญาสอดส่องความเคลื่อนไหวแห่งกาย วาจา ใจของตนอยู่เสมอ จะเห็นเหตุเห็นผล เห็นความผิดความถูกซึ่งเคลือบแฝงกันมาภายในเรา ภายในใจของเรา

พระพุทธเจ้าท่านทรงเน้นนักเน้นหนาถึงเรื่องสติกับปัญญา เพราะพระองค์เป็นจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมเหนือโลกทั้งสาม สาวกทั้งหลายก็เป็นจอมปราชญ์เช่นเดียวกัน สามารถฉลาดถอดถอนสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจออกได้ด้วยสติปัญญา ทั้งๆ ที่โลกทั้งหลายเที่ยวกอบเที่ยวโกยเอา ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา มาเผาลนตนเอง โดยไม่รู้สึกตัวว่าสิ่งนั้นเป็นไฟ แต่ท่านถอดถอนออกจนหมดสิ้น คำว่าจอมปราชญ์จึงหมายถึงความฉลาดแก้ฉลาดถอดถอนสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยนั่นเอง เพราะตรงนี้เป็นที่รวมแห่งภัยทั้งหลาย ทุกข์ก็อยู่ที่นี่ เชื้อแห่งทุกข์ที่จะพาให้เกิดแก่เจ็บตายไม่มีที่สิ้นสุดก็อยู่ที่ตรงนี้ โลกทั่วๆ ไปไม่มีใครสามารถรู้ได้ และไม่สามารถรู้วิธีประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกจากใจได้ เพราะไม่มีสติปัญญาธรรมเพียงพอหรือไม่สนใจขวนขวาย

พระพุทธเจ้าและพระสาวกทรงรู้และรู้ได้ด้วย ถอดถอนได้ด้วยและพ้นจากทุกข์โดยสมบูรณ์ด้วย ความพะรุงพะรังด้วยความเกิดแก่เจ็บตายสืบต่อแขนงกันไม่มีที่สิ้นสุดจนหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ เหล่านี้ไม่มีเหลืออยู่ภายในใจท่านเลย นับแต่ขณะจิตที่ถึงขั้นบริสุทธิธรรมแล้ว เป็นอันว่าตัดปัญหาเรื่องป่าช้าความเกิดแก่เจ็บตายให้ขาดสะบั้นลงไปในขณะนั้น ยังเหลือก็เพียงเศษเดนของวัฏจักรที่เป็นวิบาก ได้แก่ ธาตุขันธ์เท่านั้นซึ่งเป็นผลของกิเลสพาให้เกิดขึ้นมา การตายก็จะตายเฉพาะขันธ์นี้เป็นวาระสุดท้าย ส่วนภพใหม่ที่จะก่อภพก่อชาติอีกเป็นอันว่าหมดสิ้นไปแล้วภายในใจ เพราะได้รู้แจ้งเห็นจริงอย่างชัดเจนไม่สงสัยแล้วด้วย นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความเป็นอีกเกิดอีกของเราไม่มีแล้ว เพราะสิ้นเชื้อที่จะพาให้เป็นภพเป็นชาติอีกแล้ว

นี่แหละธรรมะเป็นสิ่งที่จะทราบได้ชัดภายในใจของผู้ปฏิบัติเป็นรายๆ ไป เพราะใจเป็นนักรู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหนือใจไปได้ เป็นแต่เพียงว่าใจยังไม่ฉลาดในแนวทางที่ถูกต้องตามหลักความจริงเท่านั้น จึงต้องอาศัยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอันเป็นความถูกต้องดีงามอยู่แล้วเป็นเครื่องมือ หรือเป็นทางเดิน เครื่องมือนั้นเป็นสิ่งชำระซักฟอก ทางเดินนั้นคือดำเนินไปด้วยความถูกต้องตามแนวทางเพื่อความหลุดพ้นโดยความชอบธรรม ทั้งนี้เพราะความหลุดพ้นด้วยความสำคัญตนก็มีทั้งที่ยังไม่หลุดพ้น

เราเป็นศิษย์ที่มีครู พระพุทธเจ้าเป็นครูเอกของเรา ธรรมะไม่มีบทใดบาทใดเปลี่ยนแปลงไปจากความจริงอันดั้งเดิม กิเลสก็ไม่มีกิเลสประเภทใดเปลี่ยนแปลงจากความเป็นกิเลสไปจากหลักดั้งเดิมของเขา พอที่จะหาหลักใหม่ธรรมใหม่มาแก้ไขดัดแปลงซักฟอกหรือถอดถอนกัน กิเลสก็เป็นประเภทอันดั้งเดิมอันเก่านั่นแลไม่มีการเปลี่ยนแปลง โลภก็เป็นโลภอยู่ตามเดิม โกรธหลงก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ได้เหมือนที่เป็นมาแล้วแต่กาลไหนๆ อำนาจแห่งความดีทั้งหลายที่เรานำไปแก้ไข หรือปราบปรามชะล้างสิ่งที่สกปรกรกรุงรังทั้งหลายนี้ ก็เป็นธรรมที่ถูกต้องดีงามมาดั้งเดิมอยู่แล้ว จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอรรถธรรมและกิเลสตัวใดให้ปรับกันใหม่เพื่อความถูกต้อง เพราะทั้งธรรมทั้งกิเลสถูกต้องกันอยู่แล้วตามความจริงของแต่ละฝ่าย การแก้กิเลสก็แก้ด้วยธรรม ครั้งพุทธกาลก็แก้ด้วยธรรมไม่ได้แก้ด้วยอะไร

ธรรมคืออะไร มัชฌิมาปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วนี้ เป็นธรรมที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับกิเลสทุกประเภท ไม่มีประเภทใดที่จะนอกเหนือจากปฏิปทานี้ไปได้ เรานำธรรมนี้มาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลส จะต้องหลุดลอยไปได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลไม่มีที่สงสัย นี่เราพูดถึงความสิ้นสุดวิมุตติอันเป็นผลแห่งการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง แม้เราจะยังไม่ถึงขั้นนั้นก็ตาม อำนาจแห่งคุณงามความดีที่สร้างไว้ทั้งหลายมากน้อยจะเป็นพลังของใจเรา เป็นที่พึ่งที่อาศัยในระหว่างการท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร จะไปภพใดชาติใดคนที่มีบุญไปเกิดย่อมต่างกับคนที่มีบาปอยู่มากมาย

เช่นเดียวกับคนมีคนจนเดินทาง คนจนต้องเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้แดด ทนอดทนหิวทุกแง่ทุกมุม ที่หลับนอนที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องใช้สอย อะไรๆ ขาดๆ เขินๆ บกๆ พร่องๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาแห่งกองทุกข์ทั้งมวล แต่คนที่มั่งมีไม่เป็นเช่นนั้น ไปที่ไหนสะดวกสบายเพราะมีแก้วสารพัดนึกอยู่ภายในตัว ได้แก่สมบัติเงินทอง อันเป็นเครื่องสนองความต้องการ นี่เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับเราอยู่ในโลกที่เดินทางไปไหนมาไหน คนจนกับคนมีนั้นต่างกันอย่างนี้ การท่องเที่ยวในวัฏสงสารก็ไม่ผิดอะไรกับเรื่องนี้เลย

ด้วยเหตุนี้คุณงามความดีซึ่งเป็นอัตสมบัติ อันจะเป็นที่พึ่งของเราในภพชาติกาลต่อไป ซึ่งเรายังมีภพชาติติดใจอยู่ จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบำเพ็ญขวนขวายแต่บัดนี้อัตภาพนี้ เพื่อจะได้อาศัยไปทุกภพทุกชาติ จนอำนาจวาสนาแก่กล้าเพราะการบำเพ็ญความดีอยู่โดยสม่ำเสมอ ย่อมจะหลุดพ้นไปได้โดยสมบูรณ์ เพราะอำนาจแห่งกุศลทั้งมวล จากนั้นก็หมดปัญหากันโดยสิ้นเชิง

คำว่าเกิดๆ ตายๆ ก็มีแต่โลกสมมุตินี้เท่านั้น เมื่อถึงวิมุตติแล้วก็หมดปัญหา ท่านผู้ถึงนิพพานแล้วหมดปัญหาทั้งมวล แม้เวลายังครองธาตุขันธ์อยู่ ท่านก็ไม่เป็นกังวลวุ่นวายภายในใจ เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเกิดโรคประเภทใดขึ้นมาภายในขันธ์ ท่านก็รู้เท่าทันเพราะท่านเรียนจบมาแล้วนี่ การเรียนสัจธรรมถ้าไม่เรียนเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องเจ็บเรื่องทุกข์จะเรียนเรื่องอะไร เมื่อรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว จะไปหลงความทุกข์ ความลำบากในธาตุในขันธ์ยังไงกันอีก เพราะเคยเรียนอยู่แล้ว เข้าใจอยู่แล้ว เมื่อถึงกาลของมันจะไปไม่ไหวแล้วท่านก็ปล่อยเสีย หมดความรับผิดชอบ อันเป็นความถูกต้องกว่าคำใดๆ สำหรับผู้สิ้นกิเลสแล้ว

ถ้าว่าหายกังวลก็ท่านไม่ได้มีกังวลนี่ หายทุกข์ก็ทุกข์ในธาตุขันธ์ต่างหากไม่ได้ทุกข์ในใจท่าน หมดความรับผิดชอบ พูดง่ายๆ คือท่านรับผิดชอบในขันธ์ พาอยู่พากิน พาหลับพานอน พาขับพาถ่าย อิริยาบถทั้งสี่นี้คือความรับผิดชอบเพื่อให้ขันธ์พอประทังตั้งตัวสืบวันสืบคืนไปได้ เมื่อถึงกาลที่จะสละปล่อยวางกันแล้ว ท่านก็ปล่อยได้อย่างสบายเพราะท่านไม่มีห่วงอยู่แล้ว ยังเหลือแต่ความรับผิดชอบ เมื่อได้ปล่อยธาตุขันธ์ลงไปแล้ว ความรับผิดชอบก็หมดไป เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ เท่านั้น แล้วจะมีอะไรอีก มันก็หมดปัญหา นั่นละผู้หมดปัญหาท่านเป็นอย่างนั้น

พวกเรานี่พวกกองปัญหาคลังปัญหา มันมีอยู่นี่ไม่ทราบร้อยแปด พันแปด หมื่นแปด แสนแปด มันเป็นอยู่ภายในจิตใจนี้ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน หาความสงบสบายไม่ได้ เพราะจิตมันก่อกวนวุ่นวายด้วยเรื่องต่างๆ เราตามมันไม่ทัน ท่านตามทันหมด ธาตุขันธ์ยังมีอยู่ความคิดความปรุงก็ย่อมมี แต่ความคิดความปรุงทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีเชื้อ ไม่มีเครื่องสนับสนุน ก็เป็นแต่ความคิดความปรุงเฉยๆ คิดแล้วก็ดับไปๆ เพราะไม่มีเจ้าของ ถึงกาลแล้วก็สลายไปด้วยกันทั้งสิ้น ผู้บริสุทธิ์ก็ไปตามความบริสุทธิ์ของตนเท่านั้น หมดปัญหาที่จะพูดอะไรต่อไป เพราะไม่มีปัญหาเหมือนอย่างโลก เช่น นิพพานสูญ โลกไปให้ความหมาย ไปให้ปัญหาต่อนิพพานและต่อท่านผู้บริสุทธิ์ องค์ท่านผู้บริสุทธิ์เองท่านไม่ได้มีปัญหา ท่านไม่ได้สงสัยอะไรทั้งนั้น ท่านเต็มเปี่ยมด้วยความสมบูรณ์แห่งความบริสุทธิ์แล้ว

พวกเรานี่พวกเจ้าปัญหา ไปหายุ่ง นิพพานสูญอย่างนั้นสูญอย่างนี้ อยู่ไม่เป็นสุข หลุกหลิกยิ่งกว่าเจ้าบอนนี่ขึ้นโลกพระจันทร์ แล้วจะหาความสุขความสบายมาจากไหน พูดจนหมดน้ำลายของตนแล้วก็อยู่แบบลูบๆ คลำๆ เท่านั้นเอง ท่านไม่เห็นมีอะไร ก็มีแต่เจ้าปัญหาไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านผู้บริสุทธิ์ เกี่ยวกับเรื่องไปนิพพานเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็ก่อทุกข์ใส่ตนจากปัญหาของตนหาได้ทราบไม่ ท่านผู้หมดปัญหาแล้วท่านไม่ได้วินิจฉัยให้วุ่นไปเสียเวลาเปล่าๆ เพราะท่านสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ไม่ได้มายุ่งกับพวกเรา

เพราะฉะนั้น จงพากันปฏิบัติให้รู้เห็นอย่างที่ว่านี้ ดูซิจะเป็นอย่างไร ต้องหมดปัญหาเหมือนๆ กันนั่นแล กิเลสเท่านั้นพาให้เป็นเจ้าปัญหา ถ้าสิ่งนั้นหมดแล้วปัญหาทั้งมวลก็หมดไปทันที

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรขอยุติเพียงแค่นี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก