ถึงความจริงจึงถึงธรรม
วันที่ 19 ตุลาคม 2522 เวลา 19:00 น. ความยาว 48.59 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒

ถึงความจริงจึงถึงธรรม

แม้จะพูดตามความจริงขนาดไหน ก็เป็นเรื่องนอก ๆ ไปเสียไม่เข้าถึงความจริงอันเป็นตัวจริงของท่าน เพราะฉะนั้นการเขียนจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย เช่น ประวัติท่านอาจารย์มั่นนี้เขียนยาก ผมยอมรับว่าผมเขียนยากมาก เรื่องท่านอาจารย์มั่นเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อไร ทุกอาการที่แสดงออกมีแต่เรื่องความจริงทั้งนั้น ผู้เขียนเอาความจำไปเขียนได้หรือเรื่องของท่าน มันก็ไปผิวเผิน ๆ ท่านไปโน้น อันนี้ก็ผิวเผิน ๆ อยู่นี่ งมเงาไป

ในหนังสือทางตำราพอให้ทราบได้ชัดเจนว่าผู้แต่งเป็นผู้เช่นไร เชี่ยวชาญทางภาษาบาลีก็เชี่ยวชาญเถอะ แต่จะถือเอาความจริงออกมาให้ถึงจิตถึงใจคนนี้ยากนะ คำว่าพุทธพจน์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องออกจากพระทัยหรือพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเต็มไปด้วยความอัศจรรย์เหนือสิ่งใด ๆ ไม่งั้นจะสามารถรื้อถอนกิเลสที่ฝังจมอยู่ภายในใจของสัตวโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ ปรากฏได้บรรลุธรรมต่อพระพักตร์ของท่านจำนวนเท่านั้นเท่านี้ได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก

ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมประเภทอัศจรรย์ ปราบกิเลสได้ทันเหตุทันผลทันท่วงทีเห็นผลทันตา นั่นละความจริงมีอำนาจอย่างนั้น ความจำไม่ได้มีอำนาจอะไร กิเลสตัวเดียวไม่ได้หลุดลอยไปเพราะความจำนั้นเลย จะจำได้ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ ว่าเหมือนนกแก้วนกขุนทองก็ว่าไปอย่างนั้นมันไม่ถึง ผู้รู้นิพพานพูดมันถึงนี่ ไม่พูดก็ถึง นั่นละคือความจริงแท้

ฉะนั้นจงพยายามปฏิบัติให้เห็นความจริงในตัวเองแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะมีน้ำหนักไปทุกบททุกบาททุกแง่ทุกมุม เพราะธรรมะนั้นทรงความจริง หาผู้ทรงความจริงอยู่แล้วที่จะเข้าไปเทียบเคียง เป็นสักขีพยานซึ่งกันและกัน มีอยู่ในธรรมนั้นโดยสมบูรณ์ แต่จิตของผู้อ่านผู้จดจำนี้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น มีแต่กิเลสครอบงำหัวใจ จำก็จำด้วยกิเลสไปเสียไม่ได้จำด้วยความจริงอันเป็นธรรมแท้มันถึงผิดกัน

การปฏิบัติธรรมเท่านั้น และการรู้ธรรมภายในจิตใจเท่านั้น ที่จะสามารถหยั่งทราบความจริงของพระพุทธเจ้าว่ามีน้ำหนักเพียงไร และหยั่งทราบอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าว่าเป็นของประเสริฐเลิศโลกเพียงไร หยั่งทราบที่จิตต่างหาก ธรรมเกิดที่จิต ไม่มีที่เกิดแห่งธรรม สติปัญญาเกิดที่จิต ความโง่เกิดที่จิต กิเลสเกิดที่จิต ธรรมเกิดที่จิต แก้กันที่จิต หลุดพ้นกันที่จิต ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่แก้เป็นที่หลุดพ้น

ผู้ปฏิบัติจะต้องหมุนติ้วเข้าไปสู่จิต ตีตะล่อมเข้าไป ๆ ดังที่เคยอธิบายแล้ว นั้นแลวิธีการปราบกิเลสด้วยธรรมของจริง เกี่ยวโยงไปถึงไหนพิจารณามันทั่วโลกธาตุ เวลาจิตเกี่ยวโยงไปที่ไหนต้องไปไม่ไปไม่ได้ สาเหตุมันไปยังไง กิเลสมันไปที่ไหนไปเกาะไปเกี่ยว ไปก่อความลำบากรำคาญให้เจ้าตัวอยู่ที่ไหนบ้าง สติปัญญาตามให้ทัน ไม่มีอะไรที่จะหนีจากความจริงนี้ไปได้

เพราะฉะนั้นท่านถึงว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ แม้แต่ทุกข์ท่านก็ถือเป็นของจริง คิดดูซิโลกไม่ปรารถนา ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ สมุทัย อริยสจฺจํ มันจริงของมันอย่างนั้น ถ้าแก้ไม่ถูกต้องตามหลักความจริงของมันแล้ว กิเลสตัณหาอาสวะต่าง ๆ มากน้อยจะหลุดไปไม่ได้เลย จึงแก้ด้วยความจริงด้วยกันคือ มคฺค อริยสจฺจํ นิโรธก็ดับทุกข์ได้จริง ๆ นิโรธ อริยสจฺจํ ไม่เป็นอย่างอื่น รวมลงอยู่ในจิต

จิตเป็นภาชนะเป็นที่อยู่แห่งกิเลสตัณหาอาสวะวัฏสงสาร ความทุกข์ความทรมานต่าง ๆ จิตเป็นผู้บรรจุไว้ทั้งหมด และจิตเป็นผู้ที่ผลิตอรรถผลิตธรรมขึ้นมา เกิดขึ้นที่จิต ความเฉลียวฉลาดเกิดขึ้นที่จิต ปราบปรามกิเลสปราบที่จิต หลุดพ้นไปที่จิต กิเลสสลายตัวไปที่จิต ความอัศจรรย์ก็คือจิตกับธรรม เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วว่าธรรมก็ได้ว่าจิตบริสุทธิ์ก็ได้ คำว่าจิต ๆ นี้จะพูดแต่เวลาทรงขันธ์อยู่เท่านั้น เพราะขันธ์เป็นตัวสมมุติ จิตเมื่ออาศัยอยู่ในนี้ก็ต้องคล้อยไปตามสมมุติทั้ง ๆ ที่เป็นใหญ่ แต่ก็ต้องคล้อยไปตามสมมุตินิยมโลก เพื่อให้เข้าใจกันในเรื่องสมมุติการแสดงออกเท่านั้น เมื่อถึงความจริงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจะให้ชื่อให้นามอย่างไรไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย สิ่งที่มีปัญหาก็คือเรื่องของกิเลสนั้นแหละ

การแก้ไขถอดถอนกิเลสนี้เป็นสิ่งที่เหนียวแน่นที่สุด ไม่มีกิจใดงานใดที่จะเป็นงานหนักหนายิ่งกว่าการปราบปรามกิเลสถอดถอนกิเลส ซึ่งฝังลึกอยู่ภายในจิตใจนี้ จิตใจหาประมาณไม่ได้กิเลสก็หาประมาณไม่ได้ จิตใจลึกขนาดไหนกิเลสก็ลึกขนาดนั้น ถึงไหนถึงกัน มันจึงได้สามารถปกครองจิตฉุดลากจิตให้ไปท่องเที่ยวภพน้อยภพใหญ่อยู่ไม่หยุดไม่ถอย

แต่ละคน ๆ นี้ถ้าหากว่าเราจะนำภพชาติความทุกข์ความลำบากความทรมานมาอวดกันแล้ว โลกนี้เพียงของคนเดียวมันก็เต็มโลกแล้วแหละ จะมีที่ไหนเป็นร้านค้าพอวางกิเลสตัณหาอาสวะภพชาติความทุกข์ความทรมานของตน ให้เป็นคู่แข่งขันกันว่าใครจะมากน้อยกว่ากัน เพราะเป็นมานาน นี่เพราะอำนาจของกิเลสทั้งมวล ให้พากันเข้าใจให้ถึงใจ

การแก้กิเลสจึงทำแบบสุกเอาเผากินไม่ได้ ถ้าไม่ทำถึงความจริงก็ไม่เห็นความจริง กิเลสเป็นความจริงเต็มส่วนของมัน มรรคปฏิปทาเครื่องดำเนินเครื่องปราบปรามกิเลส จะต้องปฏิบัติให้ถึงความจริงของมรรคนี้เช่นเดียวกัน จึงจะถึงความจริงของกิเลสอันเป็นคู่อริซึ่งกันและกันแล้วปราบปรามกันได้ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกได้ปราบปรามมาแล้วจนกระเทือนโลกธาตุมาตลอดปัจจุบันนี้ ท่านเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐเข้าครองหัวใจพุทธบริษัทเราจำนวนมากเพียงไร ประเทศไหนที่นับถือพุทธศาสนา ประเทศนั้นคือนำพุทธะ ธรรมะ สังฆะ เข้าครองใจ เคารพเทิดทูน ไม่งั้นท่านจะเป็นแม่เหล็กอันสำคัญเครื่องดึงดูดใจคนได้ยังไงถ้าใจของท่านไม่ประเสริฐเลิศโลก ทำใจของเราให้รู้ให้รับกันได้ เมื่อใจของเรารับได้มากน้อยความจริงของท่านทุกสัดทุกส่วนก็จะเชื่อมโยงถึงกันไปโดยลำดับ

การปฏิบัติต่อกิเลส การทรมานฝึกฝนกิเลส การทรมานแก้ไขกิเลสนี้เป็นสิ่งที่ยาก เราพูดได้อย่างเต็มปากโดยไม่สะทกสะท้านว่าจะผิด ว่าไม่มีสอนอะไรฝึกฝนอันใดทรมานอันใดผู้ใดสัตว์ตัวใด ยากยิ่งกว่าการฝึกฝนอบรมหรือทรมานมนุษย์ เพราะคำว่ามนุษย์ พื้นฐานแห่งความสมมุติก็บอกอยู่แล้วว่าสูงกว่าบรรดาสัตว์ การที่จะฟื้นฟูตนเป็นไปตามศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ที่สูงกว่าสัตว์ ก็ต้องมีกำลังวังชามีสติปัญญา ความพากความเพียร ความอดความทน ทุกอาการที่จะเป็นไปเพื่อความก้าวหน้าแห่งจิตใจของตนให้ยิ่งกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นการฝึกฝนทรมานยากก็คือมนุษย์

มนุษย์ได้แก่ใคร คำว่ามนุษย์ ๆ นี้เป็นความกว้างขวางมาก การกล่าวอย่างนี้อาจจะมีความรู้สึกไปในแง่เป็นอกุศลก็ได้ เช่นอย่างประมาทมนุษย์ทั้งหลาย เราไม่ได้กล่าวถึงเรื่องมนุษย์ทั้งหลาย เรากล่าวถึงเรื่องตัวของเราเอง ตัวของตถาคตที่ทรงฝึกฝนทรมานพระองค์ ถึงขนาดสลบไสลยากหรือไม่ยากฝึกฝนมนุษย์ทรมานมนุษย์ กว่าจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก สาวกทั้งหลายท่านฝึกทรมานท่านยากขนาดไหน เราเห็นแล้วในตำรับตำรา ล้วนแล้วตั้งแต่ท่านเป็นมนุษย์ ท่านยากไหมท่านฝึกท่านทรมานท่าน นี่เราจะมาเอากบไสไม้ทั้งต้นลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วยกมาเป็นต้นเสาเป็นบ้านเป็นเรือน จะหาความสวยงามความน่าดูความแน่นหนามั่นคงได้ที่ไหน ถ้าไม่ทำตามขั้นตอนของมัน

การกล่าวที่ว่ามนุษย์ฝึกฝนทรมานยากอบรมสั่งสอนยาก ก็หมายถึงตัวของเราแต่ละราย ๆ ที่มีความรับผิดชอบตนเองและฝึกฝนทรมานตนเพื่อเป็นคนดี การฝึกฝนทรมานตนเพื่อเป็นคนดี ก็เพื่อจะให้ความชั่วทั้งหลายซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลนั้นสลายตัวลงไป มีแต่ความดีเด่นปรากฏขึ้นภายในจิตใจของตน จึงเป็นของที่ยากลำบากมากไม่น้อยเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นการประกอบความเพียรจึงให้ถึงกัน ไม่อย่างนั้นไม่ได้ผล ต้องเอาให้ถึงกัน

ไม่ต้องกลัวตาย เรื่องตายนี้เป็นเงาเทียมตัวอยู่แล้ว ถึงวาระแล้วคนดีก็ตายคนชั่วก็ตาย คนมีกิเลสก็ตายคนบริสุทธิ์ก็ตาย อย่างไรก็ตายไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน ลงถึงขั้นได้รูปได้กายมาแล้วก็คือกองแห่งความตายนั่นเอง แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้นเราพยายามฝึกเราให้ได้ทรมานเราให้ได้ ปราบกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือของเรา จะมีความสุขความสบาย

ถ้าลงกิเลสได้ฝังจมอยู่ภายในจิตใจนี้แล้วเราจะหาความสบายที่ไหนไม่ได้ ถึงจะเสกสรรปั้นยอกันขึ้นแสดงกิริยาอาการยิ้มแย้มแจ่มใส ก็เหมือนกับไปหาเครื่องประดับมาประดับร้านเฉย ๆ นั่นแหละ ภายในมีแต่กองขี้หมาเต็มอยู่ภายในร้าน นี่ภายในใจจริง ๆ ก็มีแต่ขี้โลภขี้โกรธขี้หลงเต็มไปภายในจิตใจ กิริยาแสดงออกภายนอกเป็นความยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกับเครื่องประดับหน้าร้าน ไม่เห็นมีคุณค่าอันใดเลย เราไม่ต้องการเครื่องประดับแบบนั้น แต่เราต้องการเครื่องประดับที่เข้าถึงตัวจริงซึ่งกันและกัน คือระหว่างจิตกับธรรมให้เข้าถึงกัน เพราะข้อปฏิบัติเป็นเครื่องสนับสนุนเข้าไปให้ถึงกัน นี้เป็นสิ่งที่ผู้ต้องการความจริงทั้งหลายต้องการและต้องทำให้ถึงความจริงเช่นนั้น

ยกตัวอย่างก็ยกพระพุทธเจ้าขึ้น เทิดทูนเสมอในภาคปฏิบัติ หากว่าเป็นความลำบากลำบนจิตใจจะท้อแท้อ่อนแอให้ระลึกถึงครู ท่านก็กล่าวไว้แล้วในธชัคคสูตร รบในสงครามให้ระลึกถึง อิติปิโส หรือ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน ในท้ายของธชัคคสูตรท่านก็ อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเรว ภิกฺขโว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายอยู่ตามเรือนว่างหรือในป่ารุกขมูลร่มไม้ เวลามีภัยทั้งหลายเกิดขึ้น อนุสฺสเรถ สมฺพุทฺธํ ให้ระลึกถึงเราตถาคตคือพระพุทธเจ้า แล้วสิ่งหวาดกลัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นก็จะดับไป หากว่า อถ แล้วให้ระลึกถึง ธมฺมํ เมื่อระลึกถึง ธมฺมํ อันเปรียบเหมือนธงทั้งสามพระรัตนตรัยแล้วยังไม่หยุด ให้ระลึกถึงพระสงฆ์แล้วภัยทั้งหลายก็จะหายไป

นั่นท่านสอนแล้ววิธียกธง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชนะ ยกท่านขึ้นสู่ดวงใจความกล้าหาญจะปรากฏขึ้นมา ไม่ใช่ยกพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วความอ่อนแอยิ่งจะเพิ่มพูนขึ้นหามิได้ นี่เราก็เป็นเช่นนั้นให้ระลึกถึงปฏิปทาเครื่องดำเนินของพระพุทธเจ้าเสมอเวลาลำบากลำบน

กิริยาแห่งการแสดงออกของจิตใจที่มีกิเลสนี้ไม่ได้เป็นอิสระ แสดงออกอาการใดก็ตามเป็นเรื่องของกิเลสควบคุมออกมา เหมือนกับนักโทษพอโผล่หน้าออกมาจากเรือนจำนายคุมนักโทษก็มาด้วย ติดสอยห้อยตามบังคับบัญชากันแจไปทั้งเข้าทั้งออก นี่ก็เหมือนกันกิริยาอาการแห่งความเคลื่อนไหวของขันธ์ มีสังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ เป็นต้น แสดงออกแง่ใดไม่มีกิเลสแฝงออกมานี้เป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องกิเลสแฝงออกมาด้วย คือเป็นนายหัวหน้าคุมมาด้วย ควบคุมมาด้วย เช่นเดียวกับหัวหน้าคุมนักโทษ นายคุมนักโทษ

อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์กิเลสจะเข้าถึงก่อน ๆ แล้วทำหน้าที่ก่อนเรา เรายังไม่ได้เรื่องได้ราว เหมือนกับควายตัวหนึ่งที่ผูกให้กินหญ้าอยู่ตามลานหญ้านี้ ไม่รู้ภาษีภาษาว่าเป็นกิเลสเป็นอาสวะเป็นพิษเป็นภัยอะไรต่อตนเอง เพราะฉะนั้นกิเลสจึงสนุกทำหน้าที่ผลิตอำนาจวาสนาของตนขึ้นบนหัวใจของสัตว์ ไม่มีสัตว์ตัวใดที่จะผ่านพ้นไปได้ถ้าไม่ได้นำธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องเทียบเคียง เป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน แล้วปราบปรามกันด้วยความพากเพียร จิตดวงนี้จะหาอิสระไม่ได้ แม้แต่กระแสของจิตอาการของจิตที่คิดปรุงออกมาแต่ละขณะ ๆ มันเป็นไปด้วยกิเลสบังคับออกมาทั้งนั้น

เอ้า เอาให้สิ้นกิเลส สิ่งเหล่านี้จะไม่เด่นต่อเราจะเด่นที่ไหน เวลามันแสดงออกมาอย่างนั้นเราไม่ทราบ ต่อเมื่อมีสติปัญญาศรัทธาความเพียรเต็มกำลัง ได้กำจัดมันออกไปแล้ว ขันธ์ใดแสดงออกมาก็มีแต่ขันธ์ล้วน ๆ ไม่เห็นมีกิเลสตัวใดออกมาเพ่นพ่านมาควบคุม ให้เกิดความลำบากเพราะความคิดปรุง เพราะสัญญาอารมณ์ เพราะการได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไรเลย ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าลิ้มรสต่าง ๆ ดมกลิ่นต่าง ๆ สักแต่ว่าความคิดความปรุงจำได้หมายรู้ธรรมดา ๆ แล้วก็ดับไป ๆ ในขณะ ๆ เพราะไม่มีเจ้าของ ไม่มีหัวหน้าคือกิเลสที่เคยควบคุมมาควบคุมเหมือนแต่ก่อน ขันธ์ก็เลยกลายเป็นอิสระตามลำพังของตนขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติของตนเอง

เมื่อกิเลสซึ่งเป็นเจ้าตัวการสลายตัวลงไปเสียเท่านั้น ขันธ์ก็มาเป็นเครื่องมือของธรรมที่จะนำแสดงอรรถแสดงธรรมความหมายต่าง ๆ ให้แก่โลกได้เป็นที่เข้าใจ ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วทรงสั่งสอนโลกจนกระทั่ง ๔๕ พระพรรษาก็เอาขันธ์นี้แหละเป็นเครื่องมือของธรรม เพราะกิเลสมันหมดมันสิ้นซากไปแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดมายุ่งกวนขันธ์นี้เลย แล้วมีความสุขขนาดไหนเมื่อพ้นออกจากเรือนจำคือที่คุมขัง ได้แก่วัฏจักรแล้วก็ในวัฏจิตอีก วัฏจักรก็คือพาเกิดแก่เจ็บตายอยู่ไม่หยุดไม่ถอย วัฏจิตก็คือความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของจิต ที่เป็นไปเพราะอำนาจแห่งความควบคุมของกิเลส วัฏจักรวัฏจิตได้ถูกทำลายไปแล้วด้วยมรรคญาณ หรือด้วยมัชฌิมาปฏิปทา

เราจึงเห็นได้ชัดว่า กิเลสนี้มีมากมีน้อยเพียงไรก็ตาม จะเป็นเจ้าตัวการสำคัญมาควบคุมเรื่องขันธ์ที่แสดงออกแต่ละแง่ละกระทงแห่งขันธ์ ให้เป็นไปตามอำนาจของมัน ไม่ได้เป็นอิสระแก่ตัวเองเลย แล้วผู้ที่รับผลที่เกิดขึ้นจากกิเลสประเภทต่าง ๆ บังคับขันธ์ให้ทำนั้นก็คือใจ ใจเลยเป็นเหมือนกับส้วมเหมือนกับถานพูดง่าย ๆ ขนแต่ของสกปรกโสมม เช่น ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ราคะตัณหา กองเข้าไปรวมเข้าไปเทเข้าไปในจิตใจ มีแต่ความทุกข์ความทรมาน นี่แหละอำนาจแห่งพิษภัยของมัน

เมื่อสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายนี้ได้กระจายตัวออกไปแล้วเราเห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรบังคับจิตใจเลยทั้งวันทั้งคืน ดูอะไรก็ดูได้เต็มตา ไม่คิดในจิตว่าจะเกิดความรักความชังในสิ่งที่ดูที่เห็นที่ได้ยินนั้น ๆ ตลอดถึงดมกลิ่นลิ้มรสเครื่องสัมผัสถูกต้องเย็นร้อนอ่อนแข็งต่าง ๆ เป็นอิสระในการสัมผัสสัมพันธ์ระหว่างอายตนะภายในกับอายตนะภายนอก และจิตที่คิดตามลำพังตนเองที่เรียกธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์นี้หมายถึงกิเลสเข้าควบคุม กิเลสให้ปรุงให้แต่งถึงเรื่องอดีตที่เคยได้เห็นได้ยินมาแล้วดีชั่วประการต่าง ๆ เข้ามาครุ่นคิดอยู่ภายในจิตใจไม่มีเลิกแล้วสักที ท่านเรียกธรรมารมณ์ ทีนี้เมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่มีแล้วธรรมารมณ์อันนี้มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ก็เป็นแบบธรรมไปเสีย คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปธรรมดา ๆ ไม่มีกิเลสตัวใดจะเกิดขึ้น เพราะมันดับไปแล้วจะเอาอะไรมาเกิด ความทุกข์ก็ไม่มี นี่ผลแห่งการปราบปราม การฝึกฝนทรมานมนุษย์คือเราแต่ละคน ๆ เอาให้จริงให้จัง

ยากก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาแล้ว สาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่างมาทุก ๆ องค์แล้ว เราก็เป็นลูกศิษย์ตถาคตทำไมจะไปย่อหย่อนอ่อนกำลังท้อถอยความเพียร ไม่สมควรแก่ความเป็นศิษย์ตถาคต เพราะได้ออกแนวรบแล้วเลย ออกแนวรบก็คือเราเป็นพระ นอกจากนั้นยังเป็นพระกรรมฐานตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ เพื่อรู้สัจธรรมทั้งสี่โดยสมบูรณ์ภายในจิตใจ แต่กลับท้อถอยอ่อนแอนี้เข้ากันไม่ได้กับหลักธรรม ต้องเอาให้จริงให้จัง

อย่าลืมว่าการฝึกฝนทรมานมนุษย์มันยาก อันนี้สำคัญมาก และกิเลสทุกประเภทไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดเป็นพิษด้วยกันทั้งนั้น เหมือนกับไฟ ไม่ว่าจะเป็นตัวไฟเองหรือดอกไฟกระเด็นมาถูกมันร้อนด้วยกันทั้งนั้นแหละ เป็นแต่เพียงว่ามากน้อยตามอาการของมัน ไม่ใช่ของดีเลย มันดับเสียหมดนั่นแหละ เป็น นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นใดที่ยิ่งกว่าความสงบราบคาบเพราะกิเลสสิ้นซากไปแล้วนี้ไม่มี เป็นสันติวาระสุดท้ายของผู้ปฏิบัติจะพึงได้ครอง

ไม่ต้องไปถามผู้ใดละ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปกี่ปีกี่เดือนแล้วก็ตาม พูดแล้วสาธุไม่ได้ประมาทท่าน สนฺทิฏฺฐิโก ท่านสอนไว้ให้ใคร ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านสอนให้ใคร มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา ท่านสอนให้ใครถ้าไม่สอนให้พวกเราประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งพระองค์เคยผ่านไปแล้วด้วยปฏิปทานี้ ท่านสอนเพื่อใคร

การแก้กิเลสแก้ลงตรงนี้ กิเลสดับไปมากน้อยจิตใจได้รับความผาสุกเย็นใจเพราะกิเลสดับไปเป็นลำดับลำดาทำไมเราจะไม่ทราบ หลัก สนฺทิฏฺฐิโก ที่พระองค์ประทานไว้แล้วนั้นไม่ได้ทรงผูกขาดเฉพาะพระองค์เพียงพระองค์เดียวหรือสาวกที่ล่วงนิพพานไปแล้วเหล่านั้น ประทานไว้กับมัชฌิมาปฏิปทาอยู่ด้วยกัน ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจะต้องได้รู้ได้เห็นได้ลิ้มรสอยู่ภายในจิตใจหายสงสัยที่ใจนี้ ไม่มีที่อื่นที่ใดเป็นที่หายสงสัย ที่นี่เป็นที่สำคัญมาก

เราวิตกวิจารณ์กับหมู่กับคณะ เราก็ยิ่งแก่ตัวไปทุกวัน ๆ เหมือนครูบาอาจารย์ทั้งหลายแก่ตัวไป ต่อไปก็ต้องปลดเปลื้องภาระเพราะไม่สามารถที่จะอบรมสั่งสอนได้ก็ปล่อย แม้แต่ทรงขันธ์อยู่เท่านั้นก็เพียบพอแล้ว ไม่มีกำลังที่จะยิ่งกว่านั้น พอที่จะเฉลี่ยเผื่อแผ่ความสุขให้แก่ผู้อื่นด้วยการแนะนำสั่งสอนได้เลย ท่านก็อยู่ตามสภาพอย่างท่านอาจารย์ขาวเป็นต้น เราก็เห็นแล้วเวลานี้ท่านปล่อยหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านก็สังเกตลมหายใจดูลมหายใจอยู่มันหมดเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น แต่สำคัญที่ใจท่านไม่มีอะไร เพียงแต่เล่นกับตุ๊กตาคือขันธ์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เล่นกับอันนี้พอถึงกาลเวลาของมันเท่านั้น พอปล่อยแล้วก็หายความรับผิดชอบ ทางโลกเขาว่าหายกังวลเสียที หายความยุ่งเสียที เพราะขันธ์นี้เป็นจอมยุ่งจอมก่อกวนอยู่ตลอดเวลา

ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ลดลง ๆ น้อยลงไป ๆ ผู้ที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ทางด้านปฏิปทา เพื่อจะยังธรรมอันเป็นผลของปฏิปทานี้ให้เกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอนจะไม่มีเวลานี้ ถ้าไม่รีบเร่งขวนขวายตั้งแต่บัดนี้ อย่าเห็นว่าอันใดที่มีความวิเศษเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม ในแดนโลกธาตุนี้ไม่มี ถ้ามีแล้วจิตจะไม่ปล่อยมา จะไม่ปล่อยสิ่งเหล่านั้นเข้ามา ไม่ปล่อยไม่วางอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ไม่ปล่อยวางความรักความชอบ ไม่ปล่อยวางความเกลียดความโกรธ เพราะสิ่งเหล่านี้โลกชอบอยู่แล้ว โกรธก็ชอบทั้ง ๆ ที่เห็นว่าเป็นของไม่ดีก็พอใจโกรธ รักก็ชอบ ตามหลักความจริงแล้วมันไม่ดี มันเป็นภัยทั้งนั้น

ไม่มีอะไรที่จะดียิ่งกว่าจิต เมื่อปรากฏนี้แล้วสิ่งที่เคยยึดเคยถือเคยสำคัญมั่นหมายพัวพันกันมาเป็นตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ปล่อยเข้ามา ๆ เพราะธรรมเป็นคู่แข่ง ความสงบเย็นใจเป็นต้น ภาคพื้นการปฏิบัติในเบื้องต้นคือความสงบเย็นใจปรากฏขึ้นมาแล้วก็ทำให้เห็นความสุขที่เคยผ่านมา กับความสุขที่ปรากฏขึ้นเพราะการบำเพ็ญธรรม ต่างกันอย่างไรไม่ต้องไปเทียบเคียงก็เข้าใจเอง และอันไหนดีกว่ากันก็ทราบภายในจิตใจเองแล้วปล่อยเข้ามา ๆ

ธรรมละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์มากขึ้น ปล่อยสิ่งทั้งหลายที่เคยยึดเคยถือมาทั้งส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดไปเรื่อย ส่วนหยาบก็สู้ธรรมไม่ได้เรื่องของโลก ส่วนกลางก็สู้ธรรมไม่ได้ ส่วนละเอียดสุดพูดถึงเรื่องคุณค่าราค่ำราคาก็สู้ธรรมไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเข้าใจธรรมแล้วจึงปล่อยมาโดยหลักธรรมชาติ ปล่อยมาเอง ๆ รู้ชัดตามเป็นจริง ปล่อยเข้ามาจนกระทั่งหาที่ปล่อยไม่ได้ ปล่อยเสียหมดโดยสิ้นเชิง

รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่เป็นคู่กันกับตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต ปล่อยเข้ามา สุดท้ายก็ลงมาในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ปล่อยเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของดี ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นเป็นที่พึงใจ ปล่อยเข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงจิต อะไรทำให้เกิดความรักความชอบภายในจิต ให้ติดพันอยู่ภายในจิต ยึดมั่นถือมั่นในจิต มันต้องมีสาเหตุมีตัวการ พิจารณาเข้าไปจนรู้แจ้งเห็นชัดในสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็สู้จิตไม่ได้อีก สิ่งนั้นก็สู้ธรรมไม่ได้ ก็ปล่อยอีก

จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะปล่อย หมดรอบด้าน ปล่อยข้างนอกเข้าไปข้างใน ปล่อยข้างในจนหมดตลอดทั่วถึงไม่มีเหลือแล้ว ปล่อยอะไรอีก พูดสรุปเหมือนว่าง่ายนะการปฏิบัติ แต่ย้อนไปถึงทางปฏิปทาการดำเนินซิ เอาเป็นเอาตายเข้าว่า ชีวิตจิตใจแลกกันเลย ที่ควรรู้ถึงได้รู้ ที่ควรเห็นถึงเห็น จึงขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งจิตตั้งใจ

อย่าให้มีเรื่องอะไรด้วยสิ่งหยาบ ๆ ภายนอกอย่าให้มีเป็นอันขาด สำหรับวัดนี้ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมาเราก็ไม่เคยมีเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะต่างคนต่างมุ่งอรรถมุ่งธรรมเต็มหัวใจอยู่แล้ว พูดกันรู้เรื่องง่าย ๆ เรื่องของกิเลสนั้นเราทราบแล้วว่าเราจะมาปราบกิเลส แต่ในขณะเดียวกันอย่าเอากิเลสมาออกเวทีให้เป็นการกระทบกระเทือน ขายหน้าขายตาตัวเองมากเหลือที่สุดในสำนักของท่านผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรม ให้พากันเข้าใจ

อวดดีนั่นแหละคือคนอวดชั่ว หาความดีไม่ได้ อวดออกมาเมื่อไรก็คือความชั่วเจ้าของเด่นชัดขึ้นมาให้ตาโลกได้เห็น ดีแล้วไม่ต้องอวดก็รู้ ดีแล้วไม่ต้องอวด ผู้ปฏิบัติธรรมมุ่งต่อเหตุต่อผลเท่านั้น อยากดีแต่เหตุผลไม่อำนวยก็ดีไม่ได้ มีแต่ความอยาก อวดก็อวดเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากขายตัวเองจนไม่มีอะไรเหลือที่จะขาย สิ่งเหล่านี้เป็นของหยาบอย่าให้มีขึ้นมาเป็นอันขาด เป็นที่ขายตัวเองและขายวงคณะที่สุดหาชิ้นดีไม่ได้เลย

เพราะต่างคนต่างมีกิเลสเป็นพิษเป็นภัยอยู่ภายในใจ ในขณะเดียวกันก็ต่างคนต่างมีธรรมเป็นเครื่องปราบปรามกิเลสของตัวอยู่ด้วยกัน ทำไมจะต้องปล่อยออกมาเพ่นพ่านให้กัดกันเหมือนหมา พระไม่ใช่หมา วัดไม่ใช่โรงเลี้ยงหมา ทะเลาะกันก็คือกัดกันนั่นแหละ ถ้าหากว่ามีอย่างนั้นแล้วเรียกว่าเลวที่สุด นี่เราพูดให้เข้าใจไว้เฉย ๆ ไม่ได้หมายถึงว่าพระเณรเราเกิดความทะเลาะเบาะแว้งกัน พูดให้เข้าอกเข้าใจว่าโทษคุณต่างกันอย่างไรของความชั่วกับความดี โทษของความชั่วกับคุณค่าของความดี

นี้เรามาหาคุณค่าความมีราคาใส่ตัวของเรา ต้องได้ระมัดระวังทุกสิ่งทุกอย่าง มันแสดงออกมาอาการใดก็ให้ทราบว่านี่คือกิเลสมันกำลังเริ่มเคลื่อนไหวออกมา แม้แต่รู้อยู่ภายในจิตใจก็ต้องค้นเข้าไปหาเหตุของมัน เหตุไม่พอใจกับองค์นั้นไม่พอใจกับองค์นี้เป็นเพราะเหตุไร จึงต้องหงุดหงิด ความหงุดหงิดความไม่พอใจนี้เป็นเรื่องของกิเลส ซึ่งเราเคยรู้มาแล้ว ทำไมจึงต้องปล่อยให้มาเพ่นพ่านเหยียบหัวใจไม่สนใจแก้ไข แล้วยิ่งไปคิดถึงเรื่องผู้ไม่พอใจนั้นด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นการเสริมกิเลสอย่างใหญ่โต ยิ่งเสริมไปใหญ่ ผิดไปใหญ่ ต้องย้อนเข้ามาดูตัว ตัวแสดงอยู่กับเรา ถ้าเป็นไฟก็เผาเราอยู่แล้วเวลานี้ ยังไม่เผาใครเผาเราเสียก่อน ท่านจึงให้แก้ที่ตรงนี้ นักปฏิบัติต้องโอปนยิโกเสมอ ย้อนเข้ามา ๆ ภายใน ไม่ให้ออกนอกเลยขอบเขต

พูดท้ายเทศน์

นี่เป็นพลังก็อยู่ไปเฉย ๆ ทำความเพียรก็พอสาบานน้ำไม่ตาย อย่างทุกวันนี้นั่งไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ นั่งหลายหนด้วยนะหากไม่นาน ไม่เหมือนแต่ก่อน นั่งสบาย ๆ กลางคืนตื่นขึ้นมานั่ง ยังไม่มืดบางวันเข้าที่แล้ว นั่งภาวนาสบาย บางทีเที่ยวตามวัดก็มีแล้วแต่จะไป ถ้าหนาว ๆ ก็ไม่เท่าไรนัก หาความสบายเพียงระงับขันธ์ให้สบาย ๆ ชั่วกาล เรื่องความเพียร โห กิเลสมันเหนียวแน่นจริง ๆ นะ ไม่มีอะไรที่จะทำยากยิ่งกว่าทำกับกิเลส ไม่ทันมันนั่นซีสำคัญ มันคิดมันปรุงไปอะไรไม่ทัน กว่าจะรู้เรื่องมันเอามาเสียเป็นภูเขาไฟกองอยู่เผาอยู่

มันไม่ลืมนะตั้งแต่เริ่มแรกออกปฏิบัติมาเป็นลำดับลำดาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็มันอยู่กับจิตนี่ไม่ทราบจะลืมไปไหน มันเป็นของจริงเป็นสัจธรรม ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานตลอดจนปัจจุบันนี้ ทุกวันนี้จิตมันเฉื่อยชาเสียพอแล้ว มันไม่เอาไหนไม่ว่าเฉื่อยชาจะเรียกว่าอะไร มันไม่เอาไหน มันขี้เกียจเล่นกับสิ่งต่าง ๆ

ยิ่งไปเห็นอย่างเขาทำอะไร ๆ ปลูกอะไร ๆ ประดับประดา โห ทำสดสวยงดงาม ไปดูมันจะตื่นไหม ไม่เห็นมี โถ ก็สีก็หินก็อิฐปูนทรายเหล็ก มันรู้เสีย มาทาสีให้สง่าผ่าเผยสวยงามหรูหรา มันก็สี มันไม่เลยจากนั้นไปจะว่าไง ไปไหนก็เท่าเดิม ว่าเจริญอะไรมันไม่ลืมตรงนี้ เจริญที่ไหนถ้าไม่เจริญที่จิต มันทุกข์ที่ไหนถ้าไม่ทุกข์ที่จิต สุขที่ไหนถ้าไม่สุขที่จิต มันยันกันอยู่ตรงนี้เสีย มีเครื่องยันอยู่นี่ อันนี้สุขแล้วอยู่ไหนมันสุขหมดนั่นแหละ

สิ่งเหล่านั้นเขาก็อยู่ตามสภาพของเขามันมาส่งเสริมเราให้มีความสุขได้ที่ไหน นอกจากเป็นความกังวลไปแบกไปหามเขาโดยความยึดมั่นถือมั่นสำคัญต่าง ๆ อันเป็นเรื่องของกิเลสมาเผาหัวตัวเองเท่านั้นแหละ มันคิดของมันบ้า ๆ อย่างนี้แหละ จะสร้างหรูหราขนาดไหนอย่าว่าแต่ร้อยชั้นพันชั้นหมื่นชั้น ก็มีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทรายแต่เหล็ก ขึ้นไปเท่าไรก็เท่านั้น เหมือนภูเขาทั้งลูกมันเต็มไปด้วยดินด้วยหินมันไปอย่างนั้นเสีย ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็น เดี๋ยวนี้มันเป็นโดยหลักธรรมชาติของมันไม่เสกไม่สรร ดูก็ดูเฉย ๆ

นอกจากนั้นยังดูสัตว์ดูบุคคลที่นี่ ดูสถานที่ที่คนอาศัย ที่คนพึงใจคืออะไร เงินทองเป็นสิ่งที่โลกพึงใจที่สุด ดูจะให้ตื่นเต้นก็ไม่เห็นตื่น เงินก็เสกสรรเอา เอากระดาษมาใส่ให้เป็นเงิน ก็กระดาษ เวลาหมดความนิยมแล้วไปมวนบุหรี่สูบเหม็นเขียวจะตายไป เป็นเงินแท้ทองแท้มันก็เป็นแร่ธาตุอันหนึ่งเหมือนกันกับแร่ธาตุทั้งหลาย แน่ะ ว่ามีแสงแพรวพราว พระอาทิตย์มันยิ่งมากกว่านั้น แน่ะ มันก็ไปอย่างนั้นเสีย มันหากแก้ของมันเองเป็นของมันเอง พอพลิกไปปั๊บเครื่องตอบรับมาพร้อม ๆ ลบล้าง ๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรเหนือธรรม สุดท้ายลงได้ตรงนั้น คือที่จะให้ปล่อยธรรมไปยึดนั้นยึดนี้ไม่เลย ทั้ง ๆ ที่จิตก็ไม่ยึด ยึดธรรม แต่เครื่องยืนยันมันบอกมันแสดงอยู่ภายในจิตตลอดเวลานี่ มันบกพร่องที่ไหนเวลาไหนกาลใดไม่มี

ผมเคยพูด ในหนังสือพิมพ์เขาโชว์แก้วเหล้าขึ้นอวดกัน แสดงความยิ้มแย้มแจ่มใส โห เอาความเลวทรามมาประกาศอวดกันมนุษย์เรา มันทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ก็มันไม่มีของดีกว่านี้นี่นะ แน่ะ มันแก้กันเสีย มีของดีกว่านี้จะเอามาอวดทำไมเรื่องน้ำบ้า ใครกินไปก็เป็นบ้าอยู่แล้ว เอาบ้ามาเสกสรรเป็นของดีได้เหรอถ้าไม่ใช่คนบ้า มันไม่ชอบอย่างนั้น โชว์แก้วเหล้ากันแสดงอาการยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนจะเหาะจะบิน พิจารณาตามธรรมชาติ เราไม่ได้ยกโทษยกกรณ์อะไร พิจารณาไปตามธรรมชาติของมันซึ่งแต่ก่อนจิตของเราก็ไม่เป็นอย่างนี้ เขาว่าอะไรก็เห่อกับเขา ๆ จนจะเป็นบ้าไป

นั่งกำหนดดูกายของเจ้าของก็เหมือนกันนะ ดูอยู่นั่นละกายของเจ้าของ อันนี้ก็ไม่เห็นผิดกันอะไรกับนี้ มันเป็นธรรมชาติของมัน ก็ไม่ทราบจะยึดอะไรถืออะไร รู้ก็รู้อยู่อย่างนี้แหละ อันนี้มันก็อยู่อย่างนี้ มันหาได้ทราบเรื่องของเราไม่ มันไม่มีความรับทราบอะไร เราว่าหนังก็ไปให้ชื่อมัน มันหารู้ไม่ว่าเป็นหนังเป็นผมเป็นขนเป็นเล็บเป็นฟันเป็นเนื้อ เอ็น กระดูก อวัยวะต่าง ๆ เขาไม่รู้ตัวของเขาเองด้วย เขาไม่ทราบความหมายของเขาด้วย ไม่ทราบความหมายของใครด้วย เป็นธรรมชาติอันหนึ่งเท่านั้น ถ้าจิตฉลาดรู้ธรรมชาติของเขาเสียก็ไม่ยึด อาศัยกันไปเท่านั้นเอง สุดท้ายก็จะลงไปพื้นเดิมของมัน เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟตามพื้นเพเดิมของเขาก็ไม่ไปไหน ก็หมุนเวียนไปมาอยู่เช่นนั้น

มันอดคิดไม่ได้ เวลานั่งคนเดียวก็นั่ง จิตไปสัมผัสตรงไหนปั๊บมันจะตามของมันจนกระทั่งเข้าใจกันเสร็จแล้วก็ปล่อย คือตามความหมายมันลึกตื้นหยาบละเอียดแค่ไหน เช่นส่วนต่าง ๆ ของธรรมทั้งหลายมีความหมายยังไง ๆ พอสัมผัสปั๊บมันจะต้องตาม เช่นดูหนังสือสวดมนต์ต่าง ๆ อย่างนี้เพราะเข้าใจนี่ ถึงจะแปลไม่ได้หมดก็เข้าใจความหมายของสูตรนั้น ๆ เพราะดูไป ๆ มันเข้าใจความหมายไปพร้อม ๆ ถึงหนังสือเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปในหลักวิชาสอบก็ตาม ก็เมื่อหลักฐานอันใหญ่มันได้แล้วมันก็ไม่พ้นที่จะเข้าใจถึง ธาตุ วิภัติ ปัจจัย วาจก ก็เราเคยแปล อันนี้ก็เหมือนกันพออ่านไป ๆมันเข้าใจของมันเองไปพร้อม ๆ กัน

ท่านสิงห์ทองเป็นโรคปวดศีรษะเขาก็อยากให้ไปตรวจไปเช็คไปผ่า ท่านคงเป็นความรู้สึกเหมือนเรา ท่านไม่สนใจ เป็นอะไรให้เป็นไปซี อยู่ไม่ได้ก็ไป นั่นท่านว่า ผ่าให้เป็นอะไรไป ก็เหมือนกันกับเรา เราเองก็คงมีคนไปโฆษณาในกรุงเทพ เขาเขียนจดหมายมาบอกว่าเราป่วยหนักบิณฑบาตไม่ได้ มาฉันร่วมหมู่ก็ไม่ได้ ต้องฉันอยู่กุฏิองค์เดียว มันก็เป็นไปได้คิดดูซิ ซึ่งเราไม่เคยเลย

กุฏิหลังนี้ตั้งแต่ปลูกสร้างมาผมไม่เคยไปฉันจังหันที่นั่นเลย ผมพูดได้อย่างเต็มปาก ผมไม่เคยไปฉันจังหันกุฏิหลังนี้เลย หลังไหนผมก็ไม่เคยฉันในวัดนี้นอกจากศาลานี้ ว่าบิณฑบาตไม่ได้ เป็นอยู่ที่จุดใดเขาถาม ผู้ใดที่เป็นผู้เหมาะสมในการที่จะรักษา เขาถามเราเป็นจุด ๆ มันเป็นอยู่ที่จุดนี้แหละ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา นี่แหละเราก็ว่าอย่างนั้น ไม่ได้เป็นจุดไหน ใครที่เหมาะสมในการรักษา ไม่มีใครเหมาะสมยิ่งกว่าเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบเรามาแล้วตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนกระทั่งป่านนี้ เรารักษามันอยู่แล้ว ร่างกายนี้จะบกพร่องส่วนไหนต้องการอะไรเราก็หามาเยียวยารักษาตลอด จึงไม่มีผู้ใดที่จะเหมาะสมยิ่งกว่าเจ้าของรักษาเจ้าของเอง เพราะเจ้าของเป็นผู้รับผิดชอบเจ้าของเอง ให้หายสงสัย อย่าเป็นกังวล บอกอย่างนี้ ตอบไปแล้ว

ต้องมีคนโฆษณา คนไปโฆษณาต้องมีเขาถึงได้พูดอย่างนั้นออกมาในจดหมาย เป็นอย่างนั้นแหละ พูดถึงคนหาความจริงจังแน่นอนไม่ได้ เราเองถึงจะเป็นอยู่นี้ก็ไม่เห็นเป็นกังวลอะไรกับมันเหมือนไม่มีโรค เวลาอ่อนเต็มที่ไปไหนไม่ได้ก็อย่าไปซีว่างั้น อยู่เสียจะเป็นไรไป มันไปได้ค่อยไป ไม่เห็นเป็นกังวลวุ่นวายกับมัน มันอยู่ไม่ได้จริง ๆ มันจะไป ไปก็ไปซี ก็เกิดมานี่นานแล้วเห็นหมดแล้วดินฟ้าอากาศ สภาพทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้ ได้ผ่านมาหมดแล้วสงสัยอะไร มืดแจ้งก็มีอยู่อย่างนี้ตั้งแต่วันไหน ๆ มา สว่างมาเมื่อไรมองเห็นอะไรก็เป็นสิ่งที่เคยรู้เคยเห็นทั้งนั้น อะไรจะยิ่งกว่านี้ไม่เห็นมี มันไปอย่างนั้นเสีย อยู่ไปกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่เห็นจะได้อะไรวิเศษวิโสขึ้นมายิ่งกว่าเท่าที่เป็นอยู่นี้

จิตไปหมายเอาเฉย ๆ ว่าอันนั้นเป็นนั้น อันนี้เป็นนี้ จิตไม่หมายเสียก็เหมือนไม่มีในโลกนี้ จิตเป็นเจ้าตัวการสำคัญ แก้กลมายาของกิเลสที่มันแทรกเจตสิกธรรมของจิต บังคับเจตสิกธรรมของจิต นี่สำคัญมากนะต้องใช้สติปัญญาให้มาก ใช้ปัญญานั่นแหละพิจารณาอสุภะอสุภัง เห็นชัดเจนมันก็ขึ้นมา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อันใดที่เหมาะกับจริตเราก็พิจารณาได้ แม้ที่สุดร่างกายนี้มีจำนวนมากมีหลายอาการนี้ อาการใดเป็นที่เหมาะสมกับการพิจารณาก็จ่อจิตเข้าไปตรงนั้น แล้วมันจะซึมซาบไปทั่วถึงกันหมด เพราะเป็นความจริงเสมอกัน พอเข้าใจอันหนึ่งมันก็เข้าใจไปตลอด ก็มีเท่านั้น

ทุกข์เพราะกิเลสเหยียบย่ำทำลายนี้มันทุกข์จริง ๆ นะ มันไม่ขึ้นอยู่กับหลักฐานบ้านเรือนสมบัติเงินทองอะไร มันขึ้นอยู่กับไฟกิเลสมีมากน้อยเผาอยู่ในใจ หาความสุขไม่ได้ แล้วยิ่งตัดสินไปในทางผิดก็มีมาก อยู่ไม่ได้ โอ๊ย ตายเสียดีกว่า ฆ่าตัวตายก็มี มันจะเอาดีกว่ามาจากไหนจิตดวงนั้น ตายไปแล้วก็คือจิตดวงนั้นคือดวงเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วจะเอาเป็นน้ำแข็งมาจากไหน ถ้าไม่แก้ให้เป็นน้ำแข็งสด ๆ ร้อน ๆ เห็นกันอยู่นี้ ให้มันเย็นเป็นเหมือนน้ำแข็งไป ทำให้ตัดสินไปจนไม่มีขอบเขต หมดคุณค่าราคาไปเลย


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก