เดินตามหลักธรรมด้วยอริยสัจ
วันที่ 13 ตุลาคม 2522 เวลา 19:00 น. ความยาว 72.39 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒

เดินตามหลักธรรมด้วยอริยสัจ

ยังไม่แน่ใจผู้มาอยู่จะแบกกิเลสมาอวดกันน่ะซิ แทนที่จะมาเสาะแสวงหาธรรมตามเจตนาที่มา มาแล้วถูกกิเลสลบหมด มีแต่กิเลสออกหน้าออกตา นั้นละที่จะกระทบกระเทือนต่อกัน แสลงหูแสลงตาแสลงใจต่อกันให้หาความสงบไม่ได้ เป็นได้ พระเราเดินตามหลักธรรมเมื่อไรทุกวันนี้ หลักศาสนา หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ในอปริหานิยธรรมสูตร เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกก็พร้อมเพรียงกันเลิก และพร้อมเพรียงกันทำในกิจที่สงฆ์ควรทำ ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่รื้อถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว พระที่เป็นรัตตัญญู รู้ราตรีนาน คือได้ผ่านโลกผ่านธรรมผ่านวินัย ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเป็นเวลานานก็พึงเคารพ สักการะนับถือผู้เป็นรัตตัญญูนั้น นี่ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญถ่ายเดียวไม่มีความเสื่อม ท่านสอนไว้อย่างนั้น

เดี๋ยวนี้การประชุมเพื่ออรรถเพื่อธรรมนี้แทบจะไม่มีแล้วนะเวลานี้ ผู้ปฏิบัติเป็นอรรถเป็นธรรมจริง ๆ ก็มีจำนวนน้อยลงลดลง ๆ จนจะไม่มีเหลือ ก็ยังเหลือแต่คำว่าศาสนา หลักปฏิบัติไม่มี มีแต่ความจดจำตามคัมภีร์ใบลาน เรื่องธรรมเรื่องวินัยเป็นยังไงไม่สนใจ มีแต่ความจดจำแต่ไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ประโยชน์จริง ๆ เกิดจากการประพฤติปฏิบัติต่างหาก

ทุกองค์ที่มาอยู่ที่นี่ผมก็พยายามให้การอบรมโดยสม่ำเสมอ ทั้ง ๆ ที่สุขภาพก็ไม่ดี แต่ความมุ่งสำหรับพระจะได้รับประโยชน์เกี่ยวกับการมาศึกษาอบรมกับผม ผมก็พยายามเต็มสติกำลังความสามารถ อยากเห็นอยากรู้เรื่องพระผู้ปฏิบัติด้วยความจริงใจ ได้รู้ได้เห็นธรรมแง่ต่าง ๆ เกิดขึ้นภายในใจเพราะการปฏิบัติของตน ตั้งแต่สมาธิคือความสงบเยือกเย็นของใจจนถึงปัญญาขั้นต่าง ๆ สุดท้ายก็คือวิมุตติหลุดพ้น จะนอกเหนือสติปัญญาอันอบรมมาด้วยดีแล้วหรือเต็มภูมิแล้วไปไม่ได้

เราจึงพยายามกีดกันสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นว่าเป็นภัยแก่การปฏิบัติธรรม เฉพาะอย่างยิ่งคือด้านวัตถุที่จะเข้ามาทำลายจิตใจอรรถธรรมของพระซึ่งปฏิบัติอยู่ในสำนักนี้เรื่อยมา สิ่งใดไม่ควรรับเราไม่รับให้ นอกจากควรรับถึงจะรับให้ เขานำมาถวายวัดอันไหนไม่ควร คิดแล้วว่าผลความเสียหายจะเกิดมีขึ้นจากการรับสิ่งนั้น ๆ อย่างนี้ก็ไม่รับ เช่น เก้าอี้รับแขกรับคน เอามาถวายเราก็ไม่รับ โทรทัศน์เทวทัต วิทยุอย่างนี้ โห ถ้าจะเอามันสักเท่าไรแล้วในวัดนี้จะกี่เครื่องว่ะ เต็มวัด พระเณรในวัดไม่มีอะไรแหละคอยตามโครงการเวล่ำเวลาที่เขากำหนดไว้ เวลานั้นมีนั้น ๆ นั้นแหละเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นจิตเป็นใจเป็นการเป็นงานจริง ๆ ของพระ คือเป็นโลกล้วน ๆ ไปเลย โลกล้วน ๆ ทำลายจิตใจล้วน ๆ ทำลายธรรมล้วน ๆ

นี่กีดกันมากทีเดียวอันนี้ ถึงกับพูดกับผู้ที่เขาศรัทธาจะเอามาถวาย บอกจะปาเข้าป่านะถ้าอยากให้เข้าป่าแล้วก็ให้เอาไปถวาย ว่าถึงขนาดนี้นะผม คือลงเด็ด ๆ เอาไว้ขนาดนั้น เพราะอันนี้เป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงมากในวงพระและวงปฏิบัติ โทรทัศน์ วิทยุ ไม่ให้เอามา เราระมัดระวังมาก รถยนต์ เอ้า จะเอาชนิดไหน ไม่ว่ารถเก๋ง รถแลนด์ รถจิ๊ป รถโฟล์ค รถอะไรก็แล้วแต่เถอะ ขอแต่ลั่นปากออกไปว่าเอาจะมาทันที นี่เราก็บอกชัด ๆ เลย บอกเราไม่เอาเพราะไม่ใช่กรรมฐานรถยนต์

พระพุทธเจ้าไม่ทรงเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าการปฏิบัติ ตามหลักธรรมหลักวินัยโดยถ่ายเดียว นี่จะเป็นสิ่งที่ก่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัวแก่พระ และก่อความเสียหายแก่พระได้ ลูกศิษย์ลูกหามีเต็มบ้านเต็มเมือง จะไปรถคันไหนติดต่อกับใครก็ได้ที่เราจะไปธุระนั้นนี้ จึงไม่จำเป็นจะต้องเอารถยนต์มาอวดโลกเขา สิ่งเหล่านี้โลกเขามีเต็มไปหมดแล้ว ธรรมไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้จะนำเอามาแข่งเขาทำไม ใครอย่าเอามานะปาเข้าป่าให้หมด บอกอย่างนี้เลย ไม่ใช่เรื่องของพระนี่

เราจะเกรงอกเกรงใจคนถ่ายเดียวและอนุโลมเขา และตนก็อยากได้อยู่ด้วย อย่างนี้ไม่ได้ ความอยากนั้นมันมีเหตุมีผลอะไรหรือไม่ ความอยากนี้ส่วนมากเป็นพื้นเพของกิเลสพาให้อยาก ไม่ใช่พื้นเพของธรรม เราต้องคิด ไม่คิดไม่ได้ผู้ปฏิบัติธรรม

นักปฏิบัติไม่ใคร่ครวญ นักปฏิบัติไม่ฉลาดเราจะเอาอะไรไปสอนโลกให้มีความเฉลียวฉลาด จะไปสอนโลกให้มีความคิดอ่านไตร่ตรองรอบคอบในกิจการหรือหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างไร หลักของศาสนาออกมาจากจอมปราชญ์ท่านที่ฉลาดแหลมคมคือพระพุทธเจ้า การครองราชสมบัติก็คือความเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศชาติบ้านเมืองมาถึง ๑๓ ปี จะไม่ทรงชำนิชำนาญคล่องแคล่วเรื่องราวของโลกยังไง

เสด็จออกทรงผนวชก็ทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์อยู่ถึง ๖ ปี ถึงขั้นสลบไสลแทบล้มแทบตาย เดนตายจึงได้ตรัสรู้ธรรม ในขณะที่ทรงค้นคิดอรรถธรรมทั้งหลายอยู่นั้นก็สุดพระกำลังความสามารถ จนได้ตรัสรู้ขึ้นมา ถ้าสติปัญญาไม่ฉลาดแหลมคมจริง ๆ สมควรที่จะเป็นสัพพัญญู สมควรที่จะเป็นศาสดาของโลกแล้ว จะเป็นศาสดาของโลกและตรัสรู้ธรรมได้ยังไง

เพราะกิเลสมีความละเอียดแหลมคมมาก ในไตรโลกธาตุนี้ไม่มีสิ่งใดที่ฉลาดแหลมคมยิ่งกว่ากิเลส กิเลสเป็นเจ้าโลกทั้งนั้น เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงปราบกิเลสได้ลงอย่างราบคาบ ไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ในพระทัยแม้นิดหนึ่งเลย ถ้าไม่ทรงเฉลียวฉลาดเหนือกิเลสซึ่งเป็นเจ้าครองวัฏจักรแล้ว จะทรงปราบกิเลสได้อย่างไร และจะเป็นศาสดาสอนโลกได้อย่างไร. ต้องเป็นคนฉลาด

ภูมิของพระพุทธเจ้าเป็นภูมิมหาปัญญาเหมือนท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสาคร ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนความรู้ความสามารถ พระปรีชาสามารถทุกด้านไม่ว่าภายนอกภายในเป็นสิ่งที่พร้อมมูลในพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ จึงชื่อว่าจอมปราชญ์นำศาสนามาสอนโลก จะสอนด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาได้ยังไง ต้องสอนด้วยความเฉลียวฉลาดแหลมคมทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่ากิจนอกการใน ไม่ว่าเรื่องศีล ไม่ว่าสมาธิ ไม่ว่าปัญญา จะทรงแยกแยะให้เข้าใจทุกแง่ทุกกระทงไป สอนโลกก็ไม่อั้นสอนพระก็ไม่อั้น เพราะความรู้เหมือนท้องฟ้ามหาสมุทรไม่มีใครจะเสมอเหมือนได้

ศาสนาที่ยังมีอยู่นี้ก็ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเป็นเบื้องต้น ถ่ายทอดมาถึงพวกเรานี้ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบดังที่พระองค์สอนจริง ๆ ก็ยังเป็นแนวทางอันดีงามให้เราทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติสืบมา ธรรมนี้ออกมาจากจอมปราชญ์ สอนให้คนเฉลียวฉลาดเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติธรรมคือพระกรรมฐานเรา

เราจึงพูดเสมอ พูดแล้วพูดเล่า พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ถึงเรื่องสติปัญญา ความรอบคอบ ความเฉลียวฉลาด ความไตร่ตรองให้รู้เหตุรู้ผลรอบตัวและรอบกิจการงานต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตนไม่ให้บกพร่อง ก็คือให้มีความฉลาดแหลมคมตามทางของศาสดาที่ทรงสอนไว้นั่นเอง แม้จะไม่ได้เป็นแบบศาสดาก็ตามก็อยู่ในเกณฑ์แห่งลูกศิษย์ที่มีครูสอน

เราจึงอยากได้ยินได้ฟังเหลือเกินจากหมู่คณะที่ประพฤติปฏิบัติภาวนา ว่าใครมีผลอย่างไรบ้าง มาอยู่ด้วยนี้ก็เป็นเวลาหลายปีหลายเดือน เราได้ตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนอบรมเรื่อยมาไม่เคยทอดธุระ สำหรับพระเณรเราถือเป็นกรณีพิเศษและเป็นจุดที่สนใจมากยิ่งกว่าประชาชนทั่ว ๆ ไป เพื่อจะให้รู้ให้เข้าใจในธรรมทางจิตตภาวนา เพราะพระนี้พร้อมแล้วทุกอย่าง ทั้งการปฏิบัติก็พร้อม เพราะไม่มีสิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายเหมือนฆราวาสซึ่งมีกิจบ้านการเรือนกี่ร้อยแปดพันประการ

พระเรามีหน้าที่อันเดียว คือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาชำระกิเลส งานก็งานจำเพาะ ผู้ทำก็ทำจำเพาะ จตุปัจจัยไทยทานทั้งสี่ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีความเชื่อความเลื่อมใสในท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยังมีอยู่มากที่จะสนับสนุนเราผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติดังที่ได้เห็นมาแล้วนี้ เราขาดตกบกพร่องอะไร นอกจากบกพร่องทางความพากเพียรเรื่องมรรคเรื่องผลเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรบกพร่องในส่วนภายนอกที่เป็นเครื่องบำรุงรักษาเรา หรือเป็นปัจจัยสนับสนุน มีแต่บกพร่องอยู่ภายในตัวของเราเอง

เพราะหน้าที่ของเราบกพร่อง การงานของเราบกพร่อง ความรู้ความฉลาดของเราบกพร่อง ผลที่จะเป็นที่พึงใจโดยลำดับตั้งแต่ความสงบร่มเย็นภายในตัวเอง จนกระทั่งความสว่างกระจ่างแจ้งภายในจิตใจ เพราะอำนาจของสติปัญญาอันเกิดขึ้นจากความพากเพียรนั้นมันบกพร่องไปด้วยกัน ความบกพร่องมันตกอยู่ที่เราไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชนผู้ให้การสนับสนุนเรา เราจะคิดอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับเราเป็นผู้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ และพร้อมแล้วทุกอย่าง พร้อมแล้วไม่ทำมันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพศนี้เป็นเพศที่พร้อมแล้ว ตัวเราที่ทรงเพศนี้พร้อมแล้วในหน้าที่การงาน แต่ทำอะไรทำไปแบบจับ ๆ จด ๆ ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ สักแต่ว่าทำแล้วต้องการผลเลยเมฆเลยนิพพานได้ยังไง ต้องคำนึงถึงเหตุเป็นสำคัญ

อะไรก็ตามอย่าลืมคำว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ให้ติดแนบกับใจเสมอทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล เราจะไม่หลวมตัวไปในทางที่ไม่ดี และจิตใจก็จะมีความขยันหมั่นเพียร เพราะทางเหตุพระพุทธเจ้าก็ทรงบำเพ็ญมาแล้ว ไม่มีใครมีความเพียรกล้ายิ่งกว่าศาสดา สาวกท่านก็พาดำเนินมาแล้วเราได้เห็นในตำรับตำรา ประวัติของพระสาวกเป็นยังไงความเพียรของท่านเหล่านั้น ท่านมีความเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงวุ่นวายกับโลกกับสงสารอะไรบ้าง

เพราะท่านเคยผ่านโลกมาเหมือนกันกับพวกเรานี้ เมื่อท่านมุ่งเข้าทางด้านอรรถด้านธรรมแล้วท่านก็เอาจริงเอาจัง จนได้รู้เห็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาภายในจิตใจ ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์อันเป็นบรมสุข เพราะเหตุคือการกระทำสมบูรณ์ ผลที่จะพึงได้รับก็ต้องสมบูรณ์แบบไปตามกัน แยกกันไม่ได้ระหว่างเหตุกับผล นี่พวกเราผลไม่ปรากฏ เพราะเหตุมันบก ๆ พร่อง ๆ ไม่จริงไม่จัง อย่าตำหนิที่อื่นให้ตำหนิเรา

การอบรมสั่งสอนผมก็สอนเต็มภูมิของผม สำหรับพระที่มาอยู่อาศัยผม ไม่เคยมีปิดบังลี้ลับ เวลาเปิด เปิดอย่างเต็มที่ ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผลที่ตนได้ดำเนินมาอย่างไรทุกแง่ทุกมุม จนกระทั่งสุดความสามารถที่จะอธิบายให้หมู่เพื่อนฟังได้ ไม่เคยมีความปิดบังลี้ลับแม้แต่น้อยเลย ทำไมผู้ฟังจึงไม่ถึงใจพอที่จะเป็นคติหรือเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจให้หนักทางความพากเพียรทุกด้าน พอที่จะเกิดผลเกิดประโยชน์ขึ้นมาแก่ตน ให้สมกับว่านักบวชคือนักสู้นักรบไม่ท้อถอย

มรรคผลนิพพานมีอยู่ที่ไหน เคยพูดให้ฟังจนปากเปียกแล้ว อย่าคาดมรรคผลนิพพานว่าจะอยู่ในสถานที่นั่นที่นี่ กาลนั้นเวลานี้ อยู่กับวัตถุอยู่กับเมฆกับหมอกดินฟ้าอากาศต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องภายนอกและเรื่องสมมุติทั้งมวล รอบตัวของเรานี้นับแต่ขันธ์ออกไปทั่วโลกธาตุเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งนั้น มรรคผลนิพพานไม่อยู่ในสถานที่เหล่านั้นแต่อยู่ในวงสัจธรรมเป็นหลักประกันตัว

หลักสัจธรรมคืออะไร สัจธรรมทั้งสี่ ทุกข์ ทุกข์กายทุกข์ใจเรียกว่าทุกข์ ทุกข์นี้แหละตั้งขึ้นว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริงอันประเสริฐ แน่ะบอกไว้แล้วเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ไม่ได้ เป็นความตายตัวที่จอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้าที่ฉลาดแหลมคมทรงรู้แล้วและทรงบัญญัติไว้ว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ให้ทราบว่ามีอยู่ในขันธ์ในจิตของเรานี้ ทุกข์มีได้ทั้งทางกายและทางใจ สมุทัย อริยสจฺจํ สิ่งที่ผลิตทุกข์ขึ้นมาได้แก่กิเลสประเภทหนึ่ง ที่ท่านให้ชื่อว่าสมุทัย แดนเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ไม่ว่าทุกข์ภายนอกภายใน เกิดขึ้นมาจากใจเป็นสำคัญ ใจเป็นผู้ผลิตขึ้นมา

ท่านยกตัวอย่างมาเพียงย่อ ๆ ว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สรุปความลงแล้วเรียกว่าอยาก ความอยากความหิวโหย ความไม่เพียงพอในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส เครื่องสัมผัสซึ่งเคยสัมผัสสัมพันธ์กันมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยมีความอิ่มพอเลยก็เพราะตัณหาตัวนี้แหละมันหิวมันอยากอยู่ตลอดเวลา นี่คือกิเลสตัวรบกวนที่สุด กินข้าวอิ่มขนาดไหน นอนอิ่มขนาดไหน ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มพูนเสริมกำลังของกิเลสให้กล้าแข็งขึ้นไปโดยลำดับ ให้มีความอยากความทะเยอทะยานมากขึ้น ราคะตัณหาก็เพิ่มพูนขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสนับสนุน นี่แหละท่านเรียกว่าสัจธรรมประเภทหนึ่ง

ทุกข์ให้พึงทราบ พูดง่าย ๆ ให้ทราบอย่างถึงใจด้วยความมีสติ เอ้า เรายกเป็นหลักปัจจุบันขึ้นมาว่าเวลานี้ทุกข์เกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นที่กาย เกิดขึ้นที่ใจ สมุทัยเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นที่สังขาร สัญญาความสำคัญมั่นหมาย และเกิดขึ้นจากการสัมผัสสัมพันธ์สิ่งต่าง ๆ ด้วยอายตนะภายใน และเกิดขึ้นโดยทางธรรมารมณ์ภายในใจโดยเฉพาะ ที่ได้เคยผ่านเรื่องอดีตเกี่ยวกับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เรื่องต่าง ๆ นั้นแหละแล้วเอามาครุ่นคิดเป็นอารมณ์อยู่ภายในจิตใจเผาลนตนอยู่ตลอดเวลา ล้วนเป็นการสั่งสมกิเลสเพื่อกองทุกข์ขึ้นโดยสม่ำเสมอไม่มีหยุดยั้งผ่อนคลายเลย ก็คือสมุทัยตัวนี้ นี่ท่านเรียกว่าสมุทัยให้พยายามละ นั่นท่านบอก ทุกข์ให้กำหนดรู้ สมุทัยให้พยายามละ การละสมุทัยจะละด้วยวิธีใดถ้าไม่ละด้วยมรรค มรรคคืออะไร ก็คือสติปัญญาเป็นสำคัญ สติปัญญาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะละสมุทัย ฟันสมุทัยให้ขาดสะบั้นลงไปด้วยสติปัญญา

กามตัณหา มันชอบเรื่องอะไร ค้นดูตามเหตุตามผลที่มันไปชอบ มันไปชอบรูป รูปหญิงรูปชายรูปพัสดุสิ่งของใด ๆ เอ้า ค้นดูให้เห็นชัดเจน มันเป็นสัตว์เป็นบุคคลจริง ๆ เหรอ เป็นสิ่งที่น่ารักใคร่ชอบใจจริง ๆ เหรอ ปัญญาคลี่คลายลงไปให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วมันก็ถอยตัวเข้ามาเอง ท่านว่าทุกข์กำหนดรู้ เอ้า เช่นทุกขเวทนาเกิดขึ้นในขณะนั่งภาวนานานก็ดี ทุกขเวทนาเกิดขึ้นด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็ดี ทุกข์นี้มีสาเหตุเป็นที่เกิดขึ้น ให้ค้นหาสาเหตุของทุกข์มาจากไหน ใครเป็นผู้สำคัญมั่นหมาย ใครเป็นผู้ไปแบกหามเรื่องทุกข์ ไปกว้านเอาทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนั้นเข้ามาเผาลนจิตใจให้เกิดความเดือดร้อน กลายเป็นทุกข์สองชั้นขึ้นมาถ้าไม่ใช่เจ้าสมุทัย สัญญาความสำคัญมั่นหมายนั้นแหละคือตัวการสมุทัย

ฉะนั้นท่านจึงให้แยกแยะออกให้เห็นตามเรื่องของมัน ซึ่งแต่ละอย่าง ๆ เป็นขันธ์เท่านั้น ขันธ์แปลว่ากองหรือแปลว่าหมวด แปลว่าพวก กองรูป กองเวทนา สุข ทุกข์ เฉย ๆ กองสัญญา ความจำได้หมายรู้ กองสังขารคือความคิดความปรุงภายในจิตใจดีชั่วต่าง ๆ กองวิญญาณ เกิดขึ้นในขณะสัมผัสกับสิ่งภายนอกแล้วดับไปในขณะที่สิ่งสัมผัสผ่านไป นี่เป็นกอง ๆ แต่ละอย่าง ๆ นี้เป็นอาการออกมาจากใจ

รูปนี้ไม่ใช่ใจก็ตาม แต่ใจก็เป็นเจ้าตัวการเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนั้นยังยึดถือเขานี้ด้วย เพราะอำนาจแห่งสมุทัยมีกำลังกล้า สามารถยึดเอาดิน เอาน้ำ เอาลม เอาไฟนี้ไปเป็นตัวของตัวอย่างแนบสนิทแกะไม่ออก ถ้าไม่นำสติปัญญาเข้าไปคลี่คลายดูให้เห็นตามความเป็นจริงของมันแล้ว เราจะแยกจิตจากรูปกายของเรานี้ไม่ได้

เวทนาก็เหมือนกัน เวทนาเกิดขึ้นภายในร่างกาย เราก็เลยเหมาเอาว่าเวทนานี้เป็นเรา ทุกข์ก็เลยเป็นเราไปเสียหาทางแยกจากกันไม่ได้ เพราะไม่มีสติปัญญาที่จะแยก แล้วจะเรียกว่าเพียรละสมุทัยได้ยังไง เมื่อนำสติปัญญาเข้าไปคลี่คลายดูทุกข์ให้เห็นจริง ๆ ทุกข์ทางกายก็ตาม ทุกข์ทางใจก็ตาม เอ้า กำหนดดูทุกข์นี้มีรูปลักษณะอย่างไร เวลาเป็นขึ้นมานี้ ทุกข์นี้เขาว่าเป็นเขาไหม เขาว่าเขาเป็นเขาเป็นเราไหม ว่าเป็นของเราไหม และเขารู้ความหมายของเขาไหมว่าเขาเป็นทุกข์และเขามาให้ทุกข์แก่เราเขารู้ไหม เขาไม่รู้ เป็นความจริงอันหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นในบางกาลบางเวลาแล้วก็ดับไปตามสภาพของเขาเท่านั้น

ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความหมายในตัวของเขาเองเลยในขณะที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป จิตเป็นผู้ไปให้ความหมายต่างหาก ไปให้ความหมายว่าเป็นทุกข์อย่างนั้นเป็นทุกข์อย่างนี้ พร้อมในขณะเดียวกันที่ไปให้ความหมายก็ยึดเขาว่าเป็นเราอีก ทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟก็ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราจึงกว้านเอาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเข้ามาเผาลนตนให้เกิดความเดือดร้อนเป็นทุกข์สองชั้น คือทุกข์ภายในใจเข้ามาอีก ด้วยเหตุนี้ท่านถึงให้แยกดูให้เห็นอย่างชัดเจน

เมื่อได้เข้าใจเรื่องของทุกข์ด้วยปัญญาว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะสาเหตุอันใดถึงกับต้องกระเทือนภายในจิตใจ ต้องเกิดขึ้นจากสมุทัย ใจเป็นผู้ไปสำคัญ ใจเป็นผู้หมาย ทุกข์จึงจะเกิดขึ้นภายในจิตใจได้ แม้ทุกข์จะเกิดขึ้นทางร่างกาย จิตใจก็ต้องเดือดร้อนวุ่นวายเป็นความทุกข์ขึ้นมาขั้นหนึ่ง เพราะอำนาจแห่งความสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งนั้นเป็นเราเป็นของเรา ว่าเราเป็นทุกข์ ไม่อยากให้มันเป็น อยากให้มันหายอยากเท่าไรความอยากนี้ก็ยิ่งเป็นการเสริมกิเลสขึ้นมา

การปฏิบัติตามหลักของสติปัญญาหรือมรรคนั้น ไม่ต้องไปอยากให้มันดับ มันจะเกิดขึ้นมากน้อยให้รู้มันเรื่องทุกข์ แต่ค้นหาเหตุที่เกิดขึ้นแห่งทุกข์นี้ไม่ถอยจนกระทั่งเป็นที่เข้าใจแล้วทุกข์ก็ดับไปเอง ถึงทุกข์ไม่ดับความสำคัญมั่นหมายของสัญญาอารมณ์นั้นก็ดับ ทุกข์ก็เลยเป็นความจริงอันหนึ่งเด่นชัดอยู่ตามสภาพของตน เพราะจิตเป็นผู้รู้เท่าความจริงในทุกข์นั้นด้วย ความจริงในตัวของตัวด้วย จึงไม่มีการกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน แม้ทุกข์จะไม่ดับ เกิดขึ้นภายในร่างกายเช่นเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็ไม่สามารถที่จะไปทำความกระทบกระเทือนหรือซึมซาบจิตใจให้หวั่นไหวไปได้เลย นี่คือความเห็นทุกข์ด้วยความจริง เห็นสัจธรรมเห็นอย่างนี้

และเห็นย้อนเข้ามาอีกก็คือว่าจิตเท่านั้นเป็นผู้ไปสำคัญมั่นหมาย จิตเท่านั้นเป็นตัวทุกข์ เพราะจิตเป็นผู้สำคัญมั่นหมาย จิตเป็นผู้ผลิตกิเลสขึ้นมา ความสำคัญมั่นหมาย ความยึดความถือต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องของสมุทัย แล้วจะไปไหนผล จะต้องมาปรากฏที่จิต จิตจึงต้องเป็นทุกข์ นี่แหละตัวสำคัญจริง ๆ เห็นอริยสัจต้องให้เห็นชัด ๆ ที่นี่

มรรคก็ได้พูดแล้วว่าสติปัญญา ดับทุกข์หรือรื้อสมุทัย รื้อถอนสมุทัยด้วยมรรค ทุกข์ก็เป็นอันดับไปพร้อม ๆ กัน นิโรธไม่ต้องบอก กิริยาแห่งความดับของทุกข์ เพราะอำนาจของมรรคที่ถอนสมุทัยได้ นิโรธเป็นผลพลอยได้ปรากฏขึ้นเป็นลำดับลำดาตามอำนาจของมรรคที่ตัดสมุทัยอันเป็นเหตุผลิตทุกข์ได้มากน้อยเพียงใด ความดับทุกข์ก็ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งดับทุกข์โดยราบคาบไม่มีสิ่งใดเหลือภายในใจเลย เพราะดับสมุทัยโดยสิ้นเชิงภายในใจ นั่นเรียกว่านิโรธเต็มภูมิเพราะสมุทัยเต็มภูมิ สติปัญญาเต็มภูมิ นิโรธก็เต็มภูมิ ของจริงทุกอย่าง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จริงตามส่วนของแต่ละอย่าง ๆ ไม่ถกไม่เถียงไม่ทะเลาะกัน ต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่ ทุกข์เกิดขึ้นภายในร่างกายก็ยอมรับว่านี้เป็นเรือนของมัน เราอยู่ได้ทำไมเขาจะอยู่ไม่ได้ ส่วนสมุทัยนั้นดับไม่มีเหลือเลย เพราะมรรคบำราบปราบปรามไปเรียบไม่มีเหลือ

การกล่าวทั้งหมดนี้กล่าวอยู่ในวงไหนที่จะให้เกิดมรรคผลนิพพาน ก็กล่าวอยู่ในวงสัจธรรม ธรรมที่กล่าวทั้งสี่ประเภทนี้มีอยู่กับเราหรือไม่ ทุกข์ก็บีบคั้นอยู่ตลอดเวลาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำไมเราเป็นนักปฏิบัติจึงไม่รู้เรื่องของทุกข์ว่าเป็นความจริงให้ประจักษ์ใจของเราบ้าง สติปัญญาเอามาต้มแกงกินไม่ได้ถ้าไม่ใช้ให้ถูกกับฐานะที่ควรแก่สติปัญญา คือเอาไปพินิจพิจารณาใคร่ครวญในกิจการต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งกิจภายใน กิจละกิจถอนกิเลสต้องถอดถอนด้วยสติด้วยปัญญา สติต้องเป็นเครื่องควบคุมงานอยู่ตลอดเวลาละไม่ได้ นี่เป็นสำคัญ

เอาซิ เราเป็นนักปฏิบัติ เอาให้เห็นจริงเห็นจัง ถ้าลงได้รู้ภายในจิตใจแล้วไม่มีหวั่น พูดได้อย่างเต็มปาก ผู้ใดรู้แค่ไหนพูดได้อย่างเต็มปาก อาจหาญ ไม่สะทกสะท้านก็คือผู้รู้ความจริงภายในตัวเอง ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ธรรมเหล่านี้ไม่มีใครสามารถนำมาสอนโลกได้เลย แต่พระองค์สามารถนำมาสอนโลกได้ด้วยความองอาจกล้าหาญเป็นอาชาไนย ก็เพราะทรงรู้จริงเห็นจริง พูดตามหลักความจริงจึงไม่มีการสะทกสะท้าน ความจริงแล้วลบไม่สูญ ธรรมะจึงมีมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ หากว่าไม่มีคุณค่าเหนือสิ่งทั้งหลายแล้ว ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าจะสาบสูญไปนานแล้วไม่มาถึงพวกเราให้ได้ประพฤติปฏิบัติอยู่เวลานี้เลย

ธรรมทั้งหมดนี้รวมลงอยู่ที่ไหน รวมลงอยู่ที่สัจธรรมทั้งสี่ ทุกข์ดับไปเพราะสมุทัยดับ มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นต้น นี่คือสมุทัย คลี่คลายดูให้เห็นชัดเจนในสิ่งที่สิ่งเหล่านี้มันต้องการไปอยาก ดูให้เห็นชัดเจนความอยากมันก็ถอนตัวออกมาเท่านั้นเอง

มรรคคืออะไร สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เรื่องของปัญญาแนบสนิท สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต เอ้า ย่นเข้ามาให้ถึงขั้นละเอียดของผู้ปฏิบัติ การกล่าวชอบกล่าวสนทนาปราศรัยกันเรื่องถอดเรื่องถอนกิเลสอาสวะ ไม่ได้กล่าวเรื่องโลกเรื่องสงสารการบ้านการเมืองอย่างนั้นอย่างนี้ กล่าวเป็นเครื่องสัมโมทนียกถา เครื่องรื่นเริงเป็นคติเตือนใจซึ่งกันและกัน ในการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะออกจากจิตใจโดยลำดับ ชื่อว่าสัมมาวาจา

ในหลักธรรมท่านอธิบายสัมมาวาจา การกล่าวชอบคือกล่าวสัลเลขธรรม ๑๐ ประการ ได้เคยอธิบายให้ฟังแล้ว สัลเลขธรรมคืออะไร สัลเลข แปลว่า ธรรมเป็นเครื่องขัดเกลาหรือชำระกิเลสหรือปราบปรามกิเลส พูดกันถึงเรื่องวิธีการปราบปรามกิเลส เรียกว่าสัลเลขธรรม มี ๑๐ ประการ คือ

อัปปิจฉตา ความมักน้อย สันโดษ รองกันลงมา ความยินดีตามมีตามเกิดแห่งปัจจัยทานทั้งหลาย

วิเวกกตา ชอบวิเวกสงัด

อสังสัคคณิกา ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ด้วยคณะจนหาเวล่ำเวลาไม่ได้

วิริยารัมภาประกอบความเพียรอยู่โดยสม่ำเสมอในอิริยาบถต่าง ๆ ไม่ประมาทนอนใจ

ศีล รักษาให้มีความบริสุทธิ์หมดจดอยู่เสมอ เพราะศีลเป็นสมบัติของพระโดยแท้

สมาธิ พยายามอบรมให้เกิดให้มีขึ้น ให้มีจิตใจเยือกเย็นเห็นผลประจักษ์เพราะการบำเพ็ญสมาธิภาวนาเป็นขั้น ๆ ไป

ปัญญา คือการคลี่คลายความเฉลียวฉลาดของตนออกตรวจตราสิ่งทั้งหลายที่ควรแก่ปัญญาให้เข้าใจ มีไตรลักษณ์เป็นสำคัญ เมื่อเต็มภูมิแล้วก็เป็นวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

นี่ ๑๐ ข้อด้วยกัน คือสัลเลขธรรม ถ้ากล่าวให้กล่าวอย่างนี้เป็นสัมโมทนียกถาเครื่องรื่นเริงซึ่งกันและกัน

สัมมากัมมันตะ การงานชอบ การงานในที่เช่นไรเรียกว่าชอบสำหรับนักปฏิบัติ งานคือการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา นี้แหละคืองานชอบยิ่ง งานชอบนี้เป็นไปเพื่อถอดถอนกิเลส งานอย่างอื่นถึงจะชอบก็ตามแต่เป็นความกังวลวุ่นวาย กลายเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสสั่งสมกิเลสขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะฉะนั้นผู้ที่ชอบประกอบการงานต่าง ๆ ในเรื่องภายนอก ก่อสร้างนั้นก่อสร้างนี้ จึงทายได้เลยโดยไม่สงสัยว่านั้นคือตั้งใจสั่งสมกิเลส นำกิเลสเข้ามาสังหารธรรมภายในจิตใจ หากมีอยู่แล้วก็ให้ฉิบหายไปหมด หากไม่มีก็ให้เตียนโล่งไปหมดเลย จิตทั้งดวงไม่ให้มีธรรมภายในใจเลย จึงไม่เรียกว่างานชอบในธรรมขั้นละเอียด ในธรรมของผู้ปฏิบัติ

สัมมาวายามะ เพียรชอบเพียรในที่ ๔ สถาน ท่านก็บอกไว้แล้วพอเข้าใจ พยายามสำรวมระวังบาปไม่ให้เกิดขึ้น บาปคือความเศร้าหมองของใจจะนำมาซึ่งทุกข์นั่นแหละ พยายามละบาปที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป ๆ พยายามสั่งสมความดีที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วรักษาให้มีความจีรังถาวรหรือยั่งยืนเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปโดยลำดับ

สัมมาสติ ตั้งสติไว้ชอบก็ตั้งไว้ในสัจธรรมทั้งสี่ ในสติปัฏฐาน ๔ นี้จะเป็นอาการใดก็ตาม เรียกว่าตั้งสติไว้ชอบตรงนี้

สัมมาสมาธิ ก็เป็นสมาธิที่ชอบ ไม่ใช่เป็นสมาธิที่ผาดโผนโลดเต้น ไปเที่ยวดูเมืองนรกเมืองสวรรค์ เห็นเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นโดยความเสกสรรปั้นยอของตัวเอง ซึ่งความจริงแล้วไม่ถูกต้อง อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นสัมมาสมาธิ เป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องคือความสงบเย็นของใจ นี่เป็นพื้นฐานแห่งสมาธิอันถูกต้อง มันก็หมดแล้ว นี่พูดถึงเรื่องมรรค นี่ละเป็นเครื่องสังหารกิเลสประเภทต่าง ๆ ให้หมดไปจากจิตใจของเรา

จิตปกติมีการหมุนตัวอยู่ด้วยการสั่งสมกิเลส เพราะกิเลสที่เป็นพื้นของจิตที่บังคับจิตมีอยู่ภายใน ได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานั้นมันบังคับมันผลักให้สังขารปรุงขึ้นมาเรื่อย ๆ ปรุงเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาอาสวะ เรื่องจะปรุงเป็นอรรถเป็นธรรมไม่มีทางสำหรับอวิชชาพาให้ปรุง นอกจากธรรมพาให้ปรุงซึ่งเราต้องบังคับ ในขั้นเริ่มแรกต้องบังคับ ปรุงสังขารให้เป็นธรรมขึ้นมาก็เป็นมรรคได้ สังขารฝ่ายสมุทัยก็คือสังขารที่คิดแต่เรื่องของการสั่งสมกิเลส เรียกว่าสังขารที่เป็นสมุทัย สังขารที่เป็นมรรคก็คือปรุงแต่งคิดอ่านไตร่ตรองต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรมเพื่อการถอดถอนกิเลสอาสวะประเภทต่าง ๆ นี้เรียกว่าเป็นสังขารฝ่ายมรรค มันก็อยู่ที่ใจนี้ทั้งนั้น

ทำไมจึงไม่ได้เรื่องได้ราวภาวนา ไม่เอาจริงเอาจังอะไรบ้างเหรอยิ่งกว่าการหลับการนอนความขี้เกียจอ่อนแอ แล้วเราจะหาความศักดิ์สิทธิ์วิเศษภายในจิตใจเราได้ยังไง เมื่อสิ่งที่เราเป็นไปอยู่เราติดใจหรือแนบกับใจของเราอยู่อย่างสนิท ก็คือความขี้เกียจอ่อนแอมักง่าย ความไม่เอาไหน อันนี้เหรอเป็นทางเพื่อบุกเบิกมรรคผลนิพพาน ถ้าสิ่งเหล่านี้ดีแล้วสัตว์โลกได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันหมด ไม่ต้องมาใช้ความพยายามด้วยความอดความทนความพากความเพียรอะไรกันเลย แต่การพยายามนี้ก็เพราะว่านี้เป็นทางบุกเบิกกิเลสตัณหาอาสวะเพื่อความหลุดพ้น ต้องทำให้จริงให้จังอย่านอนใจ

ศาสนาแคบเข้าทุกวัน ๆ นะอย่าว่าไม่บอก ครูอาจารย์ที่รู้ทั้งเหตุทั้งผล มีความชำนิชำนาญในทางบำเพ็ญเหตุและผล นำมาอบรมสั่งสอนพอเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเราทุกวันนี้มีน้อยเข้าโดยลำดับ ๆ ต่อไปก็จะเป็นว่าวเชือกขาดอยู่บนอากาศ ลมพัดไปทางไหนก็ปลิวไปตามลม เลยหากฎหาเกณฑ์ไม่ได้ ควรจะตักตวงเสียเวลาที่ควรอยู่นี้

เราอย่าเข้าใจว่าผู้ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของพระสงฆ์นี้มีจำนวนมาก ไม่มาก เรานับก็ได้นับรายองค์ ๆ ของพระที่เป็นคติเป็นเครื่องยึดของจิตใจ ทั้งฝ่ายการประพฤติปฏิบัติทุกแง่ทุกมุมและผลที่พึงได้รับ มีไม่มากและยิ่งเฒ่าแก่ไปโดยลำดับ ๆ ด้วย ถ้าหากว่าเราไม่พยายามตักตวงเอาเสียแต่เวลานี้ซึ่งเป็นกาลควรอยู่แล้ว เราจะไปหวังพึ่งใคร เวลานี้เรามาหวังพึ่งครูพึ่งอาจารย์ในอุบายต่าง ๆ เพราะตนไม่สามารถ เมื่อได้รับการพึ่งพิง ได้รับการสั่งสอนอบรมจากท่านแล้ว เราก็นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นผลขึ้นมาภายในจิตใจของตน ให้มีความอบอุ่นเย็นใจ อย่างน้อยคือสมาธิ จากนั้นให้ใช้ปัญญาพิจารณาคลี่คลายลงไป

คำว่าปัญญานี้กว้างขวางมากจึงไม่อาจที่จะแสดงลงในแง่ใดแง่หนึ่งหรือทั่ว ๆ ไปได้ โดยที่ให้ถูกจริตนิสัยของทุก ๆ ท่านไป นอกจากรายใดมีความแยบคายทางปัญญา ได้พิจารณารู้เห็นในสิ่งใดอาการใดของธาตุของขันธ์เหล่านี้มาเล่าให้ฟังว่าขัดข้องตรงไหน นั้นมีทางที่จะอธิบายให้ฟังได้ทันที เพราะเป็นช่องเป็นจุดที่ต้องการอยู่แล้ว อ้อ ขัดข้องจุดนี้เหรอ อธิบายให้ฟังทันที อธิบายไปกว้าง ๆ มันลำบากดังที่เคยพูดแล้วนี้

พูดท้ายเทศน์

เราเตือนอยู่เสมอ เพราะเราเห็นคุณค่าของความเพียรทางด้านจิตใจนี้มากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนะ มันจำเป็นก็ทำไปอย่างนั้นแหละทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สะดวกใจ แต่สิ่งอาศัยจะทำยังไงก็อนุโลมให้เป็นไปทั้ง ๆ ที่ไม่สบายใจ ก็รอจังหวะที่จะค่อยหยุดค่อยงดมันอยู่เสมอ ไม่ให้ติดอกติดใจไม่ให้เพลินกับเรื่องการงานภายนอก ผมไม่เห็นงานเหล่านี้เป็นงานสำคัญนอกจากจะทำลายจิตใจของเรา แต่เมื่อมันจำเป็นต้องได้อาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วก็ให้ทำไปเฉย ๆ ด้วยความจำเป็นเฉพาะกาลเท่านั้น ที่ตลอดไปก็คือความเพียรทางด้านจิตใจ

นี่เรามุ่งอย่างนั้นจริง ๆ จิตของเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย เพราะเราไม่ได้ปรากฏเป็นความวิเศษวิโสอะไรกับสิ่งเหล่านั้นเลย นอกจากความเพียรเท่านั้นพาให้ได้รับความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาทุกระยะ ๆ มากน้อยตามกำลังของเรา เราได้จากความเพียรเราไม่ได้จากสิ่งเหล่านั้น เราจึงไม่ได้ยกยอสิ่งเหล่านั้นว่าเหนือจากความเพียรทางด้านจิตใจนี้ไป

อยู่ในหัวใจนี้จะปฏิเสธไปไหน เห็นอยู่รู้อยู่ตลอดเวลานี่หลักฐานพยานว่าธรรมคืออะไร ไม่ต้องตอบก็ได้มันรู้อยู่แล้วว่าธรรมคืออะไร พระพุทธเจ้าท่านวิเศษด้วยอะไร พระสงฆ์สาวกท่านวิเศษด้วยอะไร อย่างนี้ไม่ต้องตอบมันบอกอยู่ในตัวเสร็จเลย ฝ่ายเหตุก็ด้วยความเพียรแก้ใจ ฝ่ายผลก็คือความสว่างกระจ่างแจ้ง อาโลโก อุทปาทิ อยู่ที่ใจนั้นเลย ไม่มีอะไรมาปิดบังหุ้มห่อแม้แต่นิดหนึ่งขึ้นชื่อว่าสมมุติ เป็นหลักธรรมชาติของจิตดวงนั้น เป็นอิสระอยู่ภายในตัวโดยหลักธรรมชาติ

จิตไม่อยู่หัวใจคนเรานี้จะอยู่ที่ไหน ความทุกข์ร้อนก็เคยทุกข์มาพอแล้วนี่ มันก็ทุกข์อยู่ที่หัวใจหาความสบายไม่ได้ จะกินอาหารเอร็ดอร่อยที่นอนหมอนมุ้งดีขนาดไหน อะไรดีมีมากมีน้อยก็ไม่เห็นมีอะไรมาช่วยจิตใจได้เลย พอจะสว่างสร่างซาจากความทุกข์เหล่านี้นอกจากความเพียรเท่านั้น

มันเป็นมาหมดไม่สงสัยเรื่องของกิเลสทำเรานะ ในอัตภาพนี้แหละ เฉพาะอย่างยิ่งในเวลาบวชซึ่งเป็นเวลาจะมองดูหัวใจ เวลาปฏิบัตินี่เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่งที่ได้ดูหัวใจ ระหว่างใจกับทุกข์มันคลอกกันมันเผากัน มันเผาด้วยวิธีใดบ้าง เผาด้วยอำนาจของกิเลสมันก็เด่นละซี มันลืมได้ยังไงมันอยู่ที่ใจ เวลาจะปราบมันหรือเวลาปราบมันนี้ โอ้โห แทบเป็นแทบตายไม่ลืมหูลืมตา

ทุกข์ยากลำบากที่สุดเรื่องการประกอบความเพียรสำหรับผมเอง แต่เราแน่ใจว่าใคร ๆ ก็เถอะ เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นกล้วยหอมพอจะมาปอกกินกินเรื่อย กิเลสไม่ใช่กล้วยหอมพอจะมาปอกเอาง่าย ๆ กินง่าย ๆ แล้วเราจะมาทำความเพียรแบบกล้วยหอมมันจะเข้ากันได้เหรอ แต่ละตัว ๆ กว่ามันจะหลุดลอยออกไปได้นี้แทบเป็นแทบตาย

ผมเคยพูดเสมองานใดก็ตามในโลกที่เคยผ่านมา ผมยังไม่เคยได้สละชีวิตจิตใจกับมันเลย ถึงจะยากขนาดไหนก็ตาม แต่งานภาวนานี้แหม ได้สละไม่รู้กี่ครั้งกี่หนเป็นพื้น ๆ ไปเลยก็มี ถ้าถึงจุดเด่น เอ้า ๆ ตาย ไม่ตายให้รู้มีเท่านั้น นั่นเวลามันถึงจุดเด่น มันเป็นพัก ๆ ชนิดนี้ไม่ทราบว่ากี่ครั้งแล้ว เอ้า ตายเถอะไม่ตายให้รู้ถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีถอย ถ้าลงได้เอา ๆ เถอะขนาดนั้นแล้ว จิต โอ้โห เป็นหินหักไปเลยนะ จะถอยไม่ได้เป็นอันขาด เอาตายเลยจริง ๆ สละมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้วผลมันก็ถึงใจนี่นะ

ถ้าลงได้หมุนติ้วแล้วเรียกว่าไม่มีอะไรแล้วในโลกอันนี้ มีแต่ตายกับรู้เท่านั้น เอ้า เอา ๆ เถอะ ตายไม่มีน้ำหนักยิ่งกว่าความมุ่งมั่นอันนี้ นั่นละความเพียรมันก็หมุนจี๋ละซิ สติปัญญามีเท่าไรทุ่มกันลงไป ๆ แล้วได้ของอัศจรรย์ขึ้นมาแต่ละครั้ง ๆ เพราะมันเป็นพัก ๆ นี่ มันได้ด้วยวิธีนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ด้วยการปอกกล้วยหอม แล้วจะมาสอนหมู่เพื่อนแบบปอกกล้วยหอมได้ยังไง ผมสอนไม่ลงเพราะผมได้ทำมาแล้ว ไม่ได้ทำแบบปอกกล้วยหอมนี่

เวลารู้เข้าใจเป็นหลักเป็นเกณฑ์ภายในจิตใจก็รู้ได้ชัดทีเดียวไม่ต้องไปถามใคร คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก นี้ประกาศลั่นอยู่ในหัวใจนี้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย สนฺทิฏฺฐิโฏ ๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่มีปัญหาอะไร มันมีปัญหาอยู่กับกิเลสตัวร้อยสันพันคมต่างหาก มันไม่ยอมให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า มันก็ให้ต่อสู้กับพระองค์อยู่เสมอทั้ง ๆ ที่เราภาวนาเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อพระธรรม แต่มันต่อสู้หรือลบล้างธรรมออกจากใจเพราะอำนาจของกิเลสอยู่ตลอดเวลาเราไม่รู้เฉย ๆ เมื่อสติปัญญาค่อยทันเข้าไป ๆ ถึงรู้กลมายามันเรื่อย ๆ ไปแหละ จับกลมายามันได้เรื่อยไป ๆ ฟาดมันเรื่อย

มันยากนะสำหรับผม ได้สละชีวิต เอ้า ถึงไหนถึงกันไม่รู้กี่ครั้งนะ นี่หมายถึงว่าถอยไม่ได้เลยถ้าลงได้ เอ้า เข้าไปอย่างนี้แล้วเป็นถอยไม่ได้จริง ๆ ต้องพุ่งเลยเทียว ไม่ลืม เวลามันบีบบังคับเรานี้ โอ้โฮ ไม่มีอะไรทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์จากกิเลสบีบบังคับหัวใจ อยู่เฉย ๆ ก็เป็นฟืนเป็นไฟ เอ มันได้เรื่องอะไร ไม่เห็นมีเรื่องอะไรทำไมมันจึงเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นที่ใจ อยู่เฉย ๆ นี่นะเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา ช่วงจิตมันเป็นทุกข์ เอ๊ อะไร มันก็ไม่ลืมนะเรื่องเหล่านี้

ฟาดมันลงเต็มที่เต็มฐานมันพังทลายลงไป ๆ พังลงเสียหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่มีอะไรมากดเลยจะว่าไง วันคืนปีเดือนก็มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้น อันนี้เป็นอกาลิโก หากาลหาเวลาไม่ได้ ทีนี้ก็ยิ่งเห็นโทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อ๋อ เรื่องทุกข์มีมากน้อยเป็นเพราะกิเลสทั้งมวลอยู่บนหัวใจนี้ ใจจึงได้รับความทุกข์ความลำบาก มีอันนี้เท่านั้นไม่มีอย่างอื่นเลย

ตอนนั่งตลอดรุ่งนี่ผมมันทุกข์มาก เวลาเป็นไข้ก็มีเพราะต่อสู้เวลาเป็นไข้ไม่เคยถอย ตอนนั่งภาวนาตลอดรุ่งก็แหม ทุกข์มากทางกายก็มาก ทางด้านจิตใจก็หมุนติ้ว ออกจากนั้นไปติดปัญหาก็เป็นทุกข์อีกเหมือนกันนะ ค้นไป ๆ ไปเจอปัญหาจัง ๆ เข้าแก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้ทางนี้ก็ไม่ยอมถอยนี่ เอาให้ทะลุอย่างเดียวไม่ทะลุ เอ้า ตายเลยกับปัญหานี้ที่มันขึ้นภายในจิตใจ พอสติปัญญาคุ้ยเขี่ยขุดค้นไปเจอกันเข้าก็เหมือนกับว่าเจอข้าศึกแล้ว ฟาดกันเลย คำว่าแพ้ไม่มี ถึงขั้นไม่มีแล้วไม่มีจริง ๆ มีแต่ตายกับเอาให้ชนะเท่านั้น คำว่าแพ้มีไม่ได้ ถึงขั้นแพ้ไม่ได้นี้มันต้องเป็นขั้นที่ว่าเด็ดขาดคอขาดทีเดียว

ขั้นที่มันต่อยเอาหงายลงไป ๆ นั้นก็รู้กันแล้ว ขั้นเริ่มแรกเราไม่มีลวดมีลายอะไรขึ้นไป ยังไม่ได้ยกครูเลยมันต่อยหงายลงไปแล้ว ไม่ทราบมันอยู่ที่ไหนกิเลส คู่ต่อสู้มันต่อยหงายลงไปแล้ว โห นับไม่ได้ พอจิตใจได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นมาบ้างก็ค่อยฟัดค่อยเหวี่ยงกันไป ฟัดเหวี่ยงกันไปหนักเข้า ๆ จนกระทั่งอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้ถึงขั้นเต็มที่ของมันแล้ว อยู่กับเพื่อนฝูงไม่ได้ ใครมาคุยด้วยไม่ได้เลยเสียเวลา หาหลบหาซ่อนอยู่ลำพังคนเดียวทั้งวันทั้งคืนเว้นแต่หลับเท่านั้น มีแต่เรื่องต่อสู้กับกิเลสเท่านั้นจะไม่ทุกข์ได้ยังไง แต่จิตมันเพลินนะ เวลานั้นมันลืมทุกข์ไป มีแต่เพลินที่จะต่อสู้กันท่าเดียว

จนกระทั่งมันพังทลายลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่เห็นมีอะไรมากวนใจ ถึงได้เห็นชัดเจนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า อ๋อ มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น ขันธ์ ๕ ก็มีแต่ปรุงยิบแย็บ ๆ มันเกิดมันดับของมัน ๆ ไม่เห็นมีเจ้าของ เราไม่ไปยึดเสียอย่างเดียวก็ไม่มีเจ้าของ มันก็จริงของมันตามหลักธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่รู้ความหมายของมันว่าจริงหรือไม่จริง ขันธ์มันปรุงของมันยิบแย็บ ๆ พอถึงกาลของมันแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติก็ต้องไปตามสมมุติ เพราะไม่ใช่วิมุตตินี่ ขันธ์เป็นวิมุตติได้เมื่อไร มันก็ไปตามสมมุติของมัน ไปตามหามันทำไมเราทุกข์เพราะสมมุตินี้พอแล้วนี่ มันได้วิมุตติละซี มันได้วิมุตติแล้วยังจะไปตามหาสมมุติที่ไหนอีก อนาลโย หมดความห่วงใย

เวลาเป็นขึ้นมาแล้วเกิดความท้อถอย จิตใจไม่คิดจะพูดกับใครได้เลย มันย้อนถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกันนะ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำความขวนขวายน้อยไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลกในขณะที่พระองค์ไปเจอใหม่ ๆ นั้น ยังไม่ทรงคลี่คลายอะไรออกไปให้กว้างขวาง เวลาไปเจอแล้ว โฮ้ จะพูดให้ใครฟัง พูดให้ใครฟังก็เหมือนไปชวนให้เขามาทะเลาะเราหาว่าเราเป็นบ้า เหมือนบ้า มาพูดอะไรใครจะไปรู้เรื่องด้วย เหมือนกับว่ามันสุดวิสัยของมนุษย์เสียทั้งมวลที่จะรู้จะเห็นได้ ประหนึ่งมันเลยวิสัยไปเสียหมด

ทีแรกเป็นอย่างนั้นยังไม่ทันได้ใช้ความคิดมากไปกว่านั้น ไปเจอในวงปัจจุบันนี้เข้าไม่ได้ย้อนถึงอดีตอนาคตอะไร จนกระทั่งทำให้ท้อใจ เมื่อได้คลี่คลายออกไป เอ้า ถ้ามนุษย์รู้ไม่ได้แล้ว นี้เราเป็นอะไรเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาอินทร์พรหมมาจากไหนทำไมถึงรู้ รู้เพราะเหตุไร ก็รู้เพราะปฏิปทา แน่ะ ถ้ามีปฏิปทาสั่งสอนไว้เมื่อดำเนินตามนี้ก็รู้ได้ละซี นั่นทางออกละที่นี่ที่จะขยายออกไป ธรรมทั้งหมดสอนเพื่อที่จะให้รู้อันนี้ เป็นทางเดินทั้งนั้น หรือเป็นบันไดทั้งนั้น ทำไมจะรู้ไม่ได้ วิเศษวิโสกว่ามนุษย์ที่ตรงไหนถึงจะมาอวดรู้แต่คนเดียว มันก็มีทางออก

ตามปฏิปทาเวลาเราฝึกเราทรมานเรา โอ้โห เป็นกับตายไม่เห็นหน้าใครเลย เหมือนผ้าขี้ริ้วอยู่ในป่าในเขา ลมออกหูนู่นนะไม่ได้ออกจมูก ไม่ทราบว่าเมื่อยว่าเพลีย เดินจงกรมบางทีไม่กี่ตลบก้าวไม่ออก มันเพลียมันจะก้าวไม่ไหว เพราะอดอาหารนี่ นั่ง แต่จิตมันไม่เป็นอย่างนั้นซิ มันเป็นคนละโลก จิตมันผึง ๆ ๆ แต่ร่างกายมันหมดกำลัง เดินจงกรมไม่ได้กี่ตลบแหละจะก้าวขาไม่ออกแล้ว อ่อนแต่จิตใจไม่อ่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็วันหลังไปบิณฑบาตมาให้มันกินเสียพอยังชีวิตให้เป็นไป แล้วอดอีกอยู่อย่างนั้น

คือการอดอาหารนี้ความเพียรมันสะดวกกว่ากันมากสำหรับนิสัยของผม เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นไปด้วยความถนัดตามนิสัยของตน เอาวิธีการต่อสู้กิเลสด้วยการอดอาหารจนกระทั่งท้องเสีย เพราะอดเอาจริง ๆ เรานิสัยอย่างนี้ถ้าเอาอะไรเอาจริงเอาจัง ท้องผมยังไม่ได้อายุถึง ๔๐ เสียนะ เริ่ม ๆ ให้รู้ตั้งแต่อายุพรรษา ๑๐ เริ่มให้รู้ อยู่ภูเขา วันไหนฉันจังหันแล้ววันนั้นกลางคืนมันถ่ายออกหมด ถ่ายออกหมดก็หยุดไปอีก ช่างหัวมัน ก็กินให้อยู่ไม่อยากอยู่ก็ไปเสียซิ หลายวันก็ไปบิณฑบาตเสียทีมันก็ยิ่งอ่อนลงไปเรื่อย

พอพรรษา ๑๖ ล่วงไปแล้วนี้มันไปใหญ่ ยังไม่ถึง ๔๐ อดทีไรเป็นทุกที แม้เพียง ๓ วัน ไม่เอามากเอาเพียง ๓ วันมันก็ถ่ายออกหมดเลย อด ๓ วัน วันคำรบ ๔ ฉันอย่างนี้มันก็ถ่ายออกหมดเลยวันฉันนั้นน่ะ ไม่มีเหลือเลย ทดลองดูทีไรเป็นทุกที จากนั้นมาก็เลยหยุดแหละ แม้เช่นนั้นมันก็ยังเรื้อรังมานานเรื่อย ทุกวันนี้มันยังเป็นอยู่แต่ลดน้อยลงบ้าง เป็นสาเหตุมาแต่โน่นแหละ แต่ผมก็ไม่เสียดายผมไม่ไปยุ่งกับมัน ก็กากเมืองนี่ร่างกาย ทำเพื่อเอามรรคเอาผล ยังไงถึงจะให้มันนอนอยู่เหมือนหมูก็ต้องตายอยู่ดีแหละ เอามันไปใช้งานจะเป็นไรไป แน่ะไปอย่างนั้นเสีย ที่ท่านง่ายท่านก็ง่ายแต่เรานี้ไม่ง่ายแหละ

ความที่มันทำยากก็ได้บทเรียนหลายอย่างเหมือนกันนะ จิตก็รู้แปลก ๆ ต่าง ๆ แต่อย่างนั้นภายนอกผมไม่เอาเข้ามาในวงนี้ผมไม่ค่อยพูดแหละ นอกจากมีรายใดเข้ามาเกี่ยวข้องอันนั้นพูดทันที พูดแต่ในวงสัจธรรมนี่ส่วนมาก เพราะพูดออกไปนั้นผู้ที่มีนิสัยอีกอย่างหนึ่งมันคอยจะยึดแล้วทำให้เสียได้ มีแปลก ๆ อยู่เหมือนกันจิตเรา

สมาธินี่มันก็แปลกอยู่มากนะสมาธิของผม คือเวลาจะเป็นนี้รวมปึ๊บลงไปเลยเหมือนฟ้าถล่มก็มี แต่ส่วนมากค่อย ๆ ลงไป สงบแน่วลงไปเป็นส่วนมากเป็นปกตินิสัย จะว่าอย่างนี้อย่างเดียวก็ไม่ได้เวลาผาดโผนก็มี ปึ๋งทีเดียวเลยไม่ได้ตั้งตัวอะไร อย่างนั้นก็มี นิสัยของผมจึงว่าเป็นเหมือนกับอะไร วิธีการของผมเหมือนกับมีดสองคมนี่แต่ไม่ใช่ไปทางเสีย มันเป็นลักษณะนั้นคือทายไม่ค่อยถูก เจ้าของเองก็ทายไม่ถูกว่าจะเป็นนิสัยอย่างนี้ ๆ เวลาจะเป็นสมาธิแบบปึ๋งลงไปเลยอย่างนี้ก็เป็นได้ มันไม่เป็นอย่างเดียว

ทีนี้ผู้ที่รวมแบบนั้นเราก็พูดได้ละซิเพราะเราเป็นมาแล้ว มันก็เป็นครูเป็นอาจารย์อันหนึ่งที่จะสอนหมู่เพื่อนในวาระต่อไปได้ ไปรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าสงบธรรมดา ๆ ไปด้วยความมีสติสตังครอบลงไปเรื่อย ๆ ลงจนถึงพื้นถึงฐานมันก็ธรรมดา ไม่ได้ไปยุ่งกับอะไรแหละ นี่เรียกว่าสมาธิแบบนี้ไม่ค่อยล่อแหลมต่ออันตราย เป็นไปด้วยความสงบราบรื่น แต่สมาธิแบบโลดโผนเป็นไปได้ถ้าสติปัญญาไม่ทัน ปึ๋งลงไปแล้วไม่อยู่ ปึ๋งไปแล้วมันออกรู้ พอปั๊บลงเต็มที่แล้วถอยออกมาไม่รู้ตัวเลย ปั๊บออกรู้ ฟังแต่ว่าสติปัญญาเถอะไม่รู้ขณะนั้นก็รู้ขณะนี้จนได้แหละ ตามกันจนทัน

เราไม่ได้อย่างง่าย ๆ แหละเรื่องอะไร พิจารณาจนได้เหตุได้ผลย้อนหน้าย้อนหลัง เฉพาะอย่างยิ่งที่ทำให้ผมงงมากจริง ๆ ก็คือกามราคะ ราคะนี้แหมงง ดีไม่ดีถ้าหากเราไม่ได้ใช้ทางสติปัญญาเป็นพื้นอยู่บ้างแล้วนี้ยังไงเราก็ต้องหลง เผลอตัวให้มันจนได้ คือผมพิจารณาอสุภะนี่มันชำนาญจริง ๆ เราพูดได้อย่างองอาจเลย มองดูคนเวลามันเข้าถึงขั้นอสุภะชำนาญแล้ว มองดูคนไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายไม่ได้เห็นแหละผิวหนัง มันพุ่งเข้าไปเลย เดินขนาด ๓ ก้าวนี้มันรอบได้ ๕ รอบความเร็วของสติปัญญา บังคับให้อยู่ผิวก็ไม่อยู่ พุ่งเข้าไปที่มันเคยชำนาญในการพิจารณา ทีนี้ต่อไปเรื่องราคะมันก็จางลงไป ๆ จนกระทั่งมันหายเงียบไปเลย

หายเงียบไปแล้วทีนี้เอาเรื่องหลอกมาหลอกมัน เอาเรื่องหลอกมามันก็พุ่งไปหาอสุภะนั่นเสีย ต้องบังคับกันเหมือนกับต่อสู้กันอีกอันหนึ่งเหมือนกัน ไม่ให้เข้า ให้มันอยู่ผิวนี่ อันไหนสวยอันไหนงามให้มันอยู่ตรงนี้ ไม่ให้ไปไหน คือมันหายเงียบไปเลย ได้ใช้อุบายมากมายตรงนี้ ก็ค่อยหมดไป ๆ จางไป ๆ จนหายเงียบไปเลย ไม่เห็นบอกระยะบอกขณะ เอ๊ อย่างนี้มันจริงใจได้ยังไง มันแน่ใจได้ยังไง นอนใจได้ยังไง ไม่เอา ๆ อยู่อย่างนั้น หมายถึงว่าอสุภะมันเก่งมันรวดเร็วจริง ๆ มองคนทั้งคนไม่ได้เห็นหนังนะ เป็นเนื้อห่อกระดูก จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในกระดูก พุ่งเข้าไปในนั้นทันที ๆ เร็วจริง ๆ เพราะฉะนั้นราคะมันถึงหมอบ

เวลานั้นมันเกิดความอาจหาญ มันหลอกเรา ไม่ใช่เล่นนะ เพียงเรากำหนดผู้หญิงสาว ๆ ทั้งนั้นยืนอยู่เป็นร้อย ๆ ก็ตามเราเดินบุกเข้าไปนี้จะไม่มีเลยเรื่องกำหนัด โน่นน่ะมันหลอกเราขนาดนั้นนะความอาจหาญ อาจหาญบ้านั่นแหละ มันยังไม่ได้จริงนี่ มันอาจหาญแบบบ้าต่างหาก ถึงไม่กำหนัดก็ตาม ผ่านปุ๊ดไปนี่แต่เชื้อราคะนี้มันก็ยังมีอยู่โดยดี เมื่อเราผ่านนี้ไปแล้วเราถึงรู้ว่ามันโกหกเราได้อย่างสนิท คือหมายความว่ามันละเอียดมาก มันเกิดความอาจหาญ

ทีนี้ออกจากนั้นแล้วบิณฑบาตก็ดีเดินก็ดีเราจะไม่ดูคนแก่ เราจะหาดูตั้งแต่สาว ๆ คือหลอกอันนี้มันจะแสดงอย่างไรบ้างความหมายว่าอย่างนั้นต่างหาก มันจะแสดงอาการอย่างไร มันพุ่งเข้าไปเสียไม่ได้มีสาวมีแสวที่ไหนแหละ เป็นกองอสุภะด้วยกันไปหมดเสีย กองหนังเนื้อห่อกระดูกไปเสีย หนังไม่มีเลยมันแดงโร่ไปหมดเลย เพราะผมพิจารณาเนื้อมันเลยชิน คนทั้งคนไม่มีหนังเลย มองดูปั๊บมันเข้าเนื้อแดงโร่ไปหมด

จึงต้องมาพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใหม่ ต้องเอาหลายสันหลายคมพลิกปลิ้นไปมาอยู่นั้น ทดลองในแง่ต่าง ๆ ทั้งปลอบทั้งขู่จนกระทั่งมันได้เรื่องชัดเจน มันทนปัญญาไม่ได้ นี่ละปัญญาจึงสำคัญมากนะไปนอนใจไม่ได้นะ พลิกไปพลิกมาใช้สติปัญญาหลายด้านหลายทางเข้าไปมันก็จับกันจนได้ พอมันได้จัง ๆ แล้ว ทีนี้ เอ้อ มันต้องอย่างนี้ซิ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก