ประเพณีของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกท่านดำเนินมา เป็นความละเอียดสุขุมคัมภีรภาพมากในทุกแง่ทุกมุมของการปฏิบัติธรรม เป็นที่น่าภูมิใจตามประวัติซึ่งมีในตำรา ที่เราทั้งหลายได้อ่านได้เห็น ซึ่งควรจะยึดเป็นแนวทางอย่างถึงใจ การปฏิบัติก็เริ่มแรกแต่พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชและบำเพ็ญพระองค์ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีเรียบ ๆ เงียบ ๆ สงบ เพื่อความสงบภายในเป็นลำดับ แม้จะทรงบำเพ็ญผิดทางบ้าง เช่น การทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลาหลายวัน ถึง ๔๙ วัน ไม่เสวยพระกระยาหาร แต่สิ่งที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่งก็คือพระอุตส่าห์พยายามของพระองค์ ถึงขนาดสลบไสลด้วยความทุกข์ความลำบากในการบำเพ็ญ
เมื่อได้งดจากการทรงอดพระกระยาหารนั้นมาบำเพ็ญทางอานาปานสติ ซึ่งถูกต้องกับหลักสัจธรรมอันเป็นหลักธรรมชาติ ก็ทรงได้ตรัสรู้ธรรมในคืนวันนั้น การตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมชาติหรือเป็นความอัศจรรย์อย่างยิ่งที่โลกทั้งหลายไม่เคยมีเลย ไม่มีผู้ใดที่จะประพฤติตนให้ได้รับความลำบากลำบนเหมือนพระพุทธเจ้า และไม่มีผู้ใดจะได้ตรัสรู้ธรรมอันเป็นธรรมแดนอัศจรรย์อย่างยิ่งเหนือโลกทั้งสามได้เหมือนพระพุทธเจ้า
การทรงนำธรรมออกสั่งสอนหรือโปรดสัตวโลกก็ไม่มีใครที่จะละเอียดสุขุมคัมภีรภาพในแง่แห่งอรรถธรรม และอุบายวิธีการแห่งการสั่งสอนเหมือนพระพุทธเจ้า บรรดาสาวกทั้งหลายเริ่มแรกที่จะได้รู้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้า มีพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นต้น ซึ่งพร้อมแล้วด้วยการประพฤติปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เมื่อได้สดับธรรมซึ่งเป็นของจริงล้วน ๆ ออกมาจากพระทัยของพระองค์เองซึ่งทรงดำเนินมาโดยถูกต้อง และตรัสรู้โดยชอบธรรมอย่างยิ่ง บรรดาสาวกเหล่านั้นก็หยั่งทราบถึงความจริงแห่งธรรมเป็นขั้น ๆ ไปโดยลำดับ จนได้บรรลุธรรมถึงอรหัตภูมิด้วยกัน จากนั้นศาสนาก็กระจายออกไปด้วยความสง่างาม ด้วยความอัศจรรย์
บรรดาสาวกแต่ละองค์ ๆ ที่ได้บรรลุธรรมจากพระพุทธเจ้าก็เพราะการประพฤติปฏิบัติตนให้ถึงความจริงด้วยการสละเลือดเนื้อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ชีวิตจิตใจก็ไม่อาลัยเสียดาย พระสาวกองค์ใดไปประกาศพระศาสนาในสถานที่ใด จึงปรากฏว่าโลกทั้งหลายมีความเชื่อความเคารพเลื่อมใส ทำให้เกิดความร่มเย็นภายในจิตใจตลอดถึงหน้าที่การงาน และเกี่ยวข้องกับสังคมใด ๆ ก็เป็นไปเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข เพื่อความสนิทสนมต่อกันเป็นลำดับ เพราะอำนาจแห่งธรรมซึ่งเป็นของเย็นอยู่แล้ว ทำให้โลกทั้งหลายได้รับความร่มเย็นเพราะอรรถธรรม
จากนั้นบรรดาพระสาวกทั้งหลายที่ท่านดำเนินมา ไม่ว่าองค์ใดเป็นไปเพื่อความน่านับถือน่าเคารพเลื่อมใสทั้งนั้น ไม่ก้าวก่ายกับหลักธรรมหลักวินัยซึ่งเป็นองค์แทนศาสดาเรื่อยมาโดยลำดับ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นมีธรรมเต็มดวงใจแล้ว แต่ก่อนมีแต่กิเลสโสมมเช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เอง แต่เพราะการชำระสะสางเพื่อถ่ายเทสิ่งไม่ดีสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายออกจากจิตใจ และประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นธรรม ผลที่เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมเป็นวินัย จึงเป็นผลให้จิตใจได้รับความดูดดื่มในอรรถธรรม ธรรมจึงไหลเข้าสู่ใจเป็นลำดับ ๆ แทนสิ่งสกปรกซึ่งมีอยู่ภายในใจนั้น จนถึงกับใจทั้งดวงบรรจุธรรมไว้ทั้งหมด ใจเต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรม เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
การแนะนำสั่งสอนโลกก็สั่งสอนด้วยความรู้จริงเห็นจริง เพราะการปฏิบัติมาแล้วทั้งทางเหตุและผลไม่มีข้อข้องใจสงสัย สั่งสอนด้วยความองอาจกล้าหาญและตรงต่อความจริงทุกแง่ทุกมุม ผู้รับการอบรมจึงได้รับผลเป็นที่พึงพอใจโดยลำดับ ๆ เพราะผู้สอนสอนโดยถูกต้องทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล เพราะความรู้มาแล้วทุกอย่างจึงนำมาสอนโลก นับแต่องค์ศาสดาลงมาถึงพระสาวก การสั่งสอนอรรถธรรมแก่พุทธบริษัทจึงไม่คลาดเคลื่อนจากหลักความจริงนั้นไม่ว่าจะเป็นธรรมขั้นใด เป็นไปด้วยเหตุด้วยผลด้วยความถูกต้องดีงาม ที่จะยังผลให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังโดยลำดับ ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนเหมือนผู้ไม่รู้ไม่เห็นนำธรรมมาแสดง ซึ่งผิดกันอยู่มาก
ด้วยเหตุนี้เราทั้งหลายซึ่งเป็นพระและเป็นนักปฏิบัติ พึงคำนึงถึงอริยประเพณีที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกพาดำเนินมาอย่างถึงใจ อย่าได้เห็นสิ่งใดมีความสำคัญยิ่งกว่าอริยประเพณีที่ท่านพาดำเนินมา แล้วปฏิบัติตนตามแนวทางนั้น ๆ ไม่ว่าธรรมไม่ว่าวินัย ให้มีความสนใจใคร่จะรู้จะเห็น และเพื่อความถูกต้องดีงามทั้งด้านธรรมะและด้านวินัย เราจะเป็นไปเพื่อความภูมิจิตภูมิใจของเราเป็นอย่างนัอย ยิ่งกว่านั้นก็จะทำให้เป็นความสง่างามในวงคณะผู้ปฏิบัติด้วยกัน และเป็นความสง่าราศีแก่ปวงชนพุทธบริษัทและพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางออกไปไม่มีประมาณ
การทำสิ่งใดพึงระลึกถึงเหตุถึงผลอยู่เสมอ อย่าทำด้วยความสุ่มเดา อย่าทำด้วยความสะเพร่ามักง่าย เพราะหลักธรรมทั้งหมดไม่มีธรรมข้อใดแง่ใดที่ออกมาจากความสะเพร่ามักง่ายของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายเลย แต่ออกมาจากความรู้จริงเห็นจริง และออกมาด้วยเหตุผลและกลมกลืนกันไปโดยลำดับในทางถูกต้องดีงามไม่มีผิดพลาด
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเราจะเรียกว่า คือ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานก็ไม่ผิด จะผิดที่ตรงไหนเพราะธรรมนี้พร้อมแล้วที่จะยังผู้ปฏิบัติให้ถึงซึ่งมรรคผลเช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล ไม่มีธรรมข้อใดยิ่งหย่อนกว่ากันพอที่ผู้ปฏิบัติจะเป็นโมฆะหาผลตอบแทนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย แต่เป็นธรรมที่เสมอต้นเสมอปลาย จึงเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา มีความเหมาะสมอยู่ตลอดเวลาทั้งฝ่ายละและฝ่ายบำเพ็ญ ฝ่ายละคือวิธีการแห่งการละกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ และการบำเพ็ญ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของตนให้มีกำลังแก่กล้าสามารถขึ้นไปโดยลำดับ นี่มีสมบูรณ์อยู่ในศาสนธรรมนี้ทั้งสิ้น จึงเรียกว่ามัชฌิมา เสมอต้นเสมอปลาย
อย่าคิดคำนึงถึงอดีตอนาคตในการแก้กิเลส เพราะกิเลสนั้นไม่มีอดีตอนาคต เป็นกิเลสอยู่วันยังค่ำ ที่จะผลิตทุกข์ขึ้นมาแก่ผู้สนิทติดจมอยู่กับกิเลสตลอดไป ไม่มีคำว่าผ่อนผันสั้นยาวเหมือนสิ่งอื่นใดเลย การปฏิบัติขัดเกลาหรือต่อสู้ปราบปรามกิเลสเราจึงไม่ควรทำความผ่อนผันสั้นยาว จะไม่ทันกับกิเลส เพราะคำที่ว่าผ่อนผันสั้นยาวนั้นโดยมากมักจะเป็นอุบายของกิเลสเสี้ยมสอนเราโดยไม่รู้สึกตัว จะทำอะไรก็ตามขอให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรืออริยประเพณีเสมอ อย่าทำด้วยอำนาจของกิเลสพาให้เป็นไป
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในเบื้องต้นแห่งการบวช ชึ่งเคยเทศน์ให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายมาจนไม่รู้กี่ครั้งแล้ว .ซึ่งน่าจะพอเข้าใจและถึงใจกัน ว่างานของพระซึ่งเป็นผู้พร้อมแล้วในการที่จะรื้อถอนตนให้พ้นจากทุกข์ ไม่มีผู้ใดที่จะพร้อมยิ่งกว่าพระ ไม่มีผู้ใดที่จะมีโอกาสวาสนาอำนวยตลอดจตุปัจจัยไทยทานทั้งสี่ซึ่งเป็นเครื่องสนับสนุนยิ่งกว่าพระ เมื่อเราทราบแล้วว่าพร้อมทุกอย่างแล้ว ความเพียรของเราที่จะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติต่อกิจการงานของตน จึงควรขะมักเขม้นเข้มแข็ง ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์
ในเบื้องต้นท่านได้มอบงานให้แล้วทุก ๆ ท่านไม่ว่าเณรว่าพระที่ได้บวชปรากฏตัวเป็นพระในพระพุทธศาสนา จะต้องได้รับมอบงานประจำเพศของตนเหมือนกันหมด งานนั้นได้แก่กรรมฐาน กรรมฐานแปลว่าที่ตั้งแห่งงานอันเหมาะสมอย่างยิ่งแล้วในการที่จะถอดถอนสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจของตน เพราะความลุ่มหลงในงานที่ตนกำลังเริ่มทำอยู่นี้
ได้แก่อะไร ท่านพูดเพียงย่อ ๆ แต่เป็นการกระเทือนไปหมดทั่วอวัยวะของเราทุกส่วนทุกอาการว่า เกสา หมายถึงผมบนศีรษะ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งนักบวชและฆราวาสไม่สงสัย โลมาก็คือขนเกิดอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกาย นขา เล็บมีอยู่ด้วยกันทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย ทันตา ฟันก็คือกระดูกเราดี ๆ นี่เองแต่เรียกว่าฟัน มีอยู่ด้วยกัน ตโจ นี่เป็นประโยคสำคัญมากแปลว่าหนัง ตจปริยนฺโต หนังหุ้มอยู่โดยรอบภายในร่างกายนี้ เพื่อปกปิดความสกปรกโสโครกเต็มตัวภายในร่างกายนี้ไว้ พอให้มองดูกันได้ไม่ถึงกับแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางเพราะความเบื่อหน่าย ความน่าเกลียดน่ากลัวของคนแต่ละคนที่ไม่มีหนังหุ้มตัว แต่เรากลับเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นของสวยงามไปเสีย จึงกลายเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลย่ำยีตีแหลกศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่มอบให้พิจารณา ให้เป็นของไม่สวยไม่งามไปเสีย นี่ละข้าศึกอยู่ที่ตรงนี้
พอถึง ตโจ เท่านั้นท่านก็หยุด เพราะรอบหมดแล้วในร่างกายของเรา คนเราถ้าไม่มีหนังเสียอย่างเดียวดูกันได้ที่ไหน ไม่ว่าจะดูด้านไหน ข้างบนข้างล่าง ข้างหน้าข้างหลัง ด้านขวางสถานกลาง เต็มไปด้วยปุพโพโลหิตเยิ้มอยู่หมดทั้งตัว แล้วเราจะสำคัญมั่นหมายไปว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจ น่ากำหนัดยินดีได้อย่างไร เมื่อเอาหนังบาง ๆ นี้เท่านั้นแหละออกเสียแล้วดูกันได้ที่ไหน
พิจารณาเข้าไปยิ่งกว่านี้ ลึกเข้าไปเท่าไรยิ่งเห็นความขยะแขยงซึ่งเป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวเต็มไปหมดภายในร่างกายของเราแท้ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รักสงวนโดยสัญชาตญาณของจิต มีความรักความสงวนอวัยวะของตนทุกชิ้นทุกส่วนภายในร่างกายนี้ แต่เมื่อหนังได้กระจายออกจากร่างกายนี้เสียหมด ไม่มีหุ้มห่ออยู่เลยเช่นนี้ ตัวเองก็ดูตัวเองไม่ได้ ดีไม่ดีจะเป็นบ้าเป็นหลังไปก็ได้เพราะความเกลียดความกลัวตัวเอง ถึงกับไม่มีสติยับยั้งตัวก็เป็นได้ นี่ก็เพราะหนัง
เพราะฉะนั้นหนังจึงเป็นประโยคอันใหญ่โตในบรรดากรรมฐานทั้งหลาย นี่คืองานที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้ ให้ได้พิจารณาตามหลักความจริงของมัน ผมเกิดขึ้นจากสถานที่เช่นไร ก็เกิดขึ้นจากสถานที่สกปรกโสมม เกิดขึ้นจากหนังจากเนื้อ แล้วก็ว่าขี้ผม ขี้ขน ขี้เล็บ ขี้ฟัน ขี้เหล่านี้ออกมาจากความสกปรกภายใน เป็นของเศษของเดนของทิ้งแล้วจึงเรียกว่าขี้ น่าดูที่ไหน
นี่ละการปฏิบัติหน้าที่คืองานเหล่านี้จะเป็นชิ้นใดก็ตาม ขอให้พิจารณาให้ถึงความจริงของสิ่งเหล่านี้ ส่วนมาก ตโจ เป็นของสำคัญกว่าเพื่อน เมื่อพิจารณา ตโจ คือหนังที่หุ้มห่ออยู่โดยรอบนี้ไปทั่วสรรพางค์ร่างกายก็เป็นเหตุให้จิตใจได้หยั่งทราบเข้าสู่ภายในซึ่งเป็นของปฏิกูลเต็มตัวอยู่แล้วโดยปกติของมันได้อย่างชัดเจน นี่เวลาพิจารณา ตโจ ๆ กำหนดดู ตโจ แล้วจิตยังซึ้งเข้าไปตามหนังรอบตัว และซึ้งเข้าไปภายในร่างกาย นอกจากหนังหุ้มอยู่ภายนอก แล้วดูเข้าไปภายใน จิตย่อมจะเพลิดเพลินย่อมจะซาบซึ้งในสิ่งเหล่านี้ แล้วจะเบาไปหมดภายในจิตใจ เกิดความสลดสังเวชขึ้นภายในตัว ทั้งนี้เราได้เคยปฏิบัติได้เคยพิจารณาแล้วเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
เบื้องต้นก็อาศัยการคาดคะเน ใช้สัญญาเป็นเส้นบรรทัดเดินตามสัญญาว่าร่างกายนี้เป็นอย่างนั้น ๆ ตามที่ท่านว่า มันสกปรกโสมม เป็นของปฏิกูลน่าเกลียด นี่เป็นความจริงที่ท่านแสดงไว้เป็นสวากขาตธรรม แต่จิตใจเรามันเสกสรรปั้นยอให้ขัดต่อความจริงนั้นไปเสียว่ากายเป็นของสวยของงาม เพราะฉะนั้นจึงพยายามทำจิตใจของเราให้คล้อยตามความจริงที่ท่านตรัสไว้ว่าเป็นของไม่สวยไม่งาม ฝืนพิจารณาคือฝืนกิเลสนะไม่ใช่ฝืนความจริง ฝืนกิเลสพิจารณาเข้าสู่ความจริงอันไม่ใช่เป็นเรื่องฝืนเพราะเป็นความจริง จนมีความซาบซึ้งเห็นได้ชัด นี่เคยเห็นแล้วเห็นประจักษ์จากการพิจารณาจริง ๆ ไม่ใช่เห็นด้วยความด้นเดา ไม่ใช่เห็นด้วยความคาดคะเน ไม่ใช่เห็นด้วยสัญญาคือความจำ แต่เห็นด้วยความจริง
พอจิตได้รู้เห็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเช่นเนื้อเป็นต้น จิตซาบซึ้งในเนื้อแห่งร่างกายของตนแล้ว ก็ทำให้ซาบซ่านไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย เหมือนกับไฟได้เชื้อ เชื้อมีอยู่ที่ไหนไฟลุกลามไปเรื่อย ๆ ไหม้ไปเรื่อย ๆ นี่ความจริงอยู่ที่ไหนรอบร่างกายของเรานี้ความรู้ก็ซึ้งไปเรื่อย ๆ ปัญญาตรองไปตาม ทราบความจริงนั้นอย่างลึกซึ้ง และจิตใจถอนตัวออกมา เกิดเป็นความเบาใจ สง่าผ่าเผย เกิดความอัศจรรย์ในความรู้ความเห็นกายของตนนั้น
ทั้ง ๆ ที่เราพิจารณากายของเรานั้นแล แต่ขณะกำลังพิจารณาเพลิน ๆ ด้วยความรู้ซึ้ง ๆ อยู่นั้น กายไม่มีความรู้สึกในตัวเลย ในขณะนั้นเหมือนกายไม่มีทั้ง ๆ ที่พิจารณากายของตัวอยู่นั้นแล เบาไปหมด ผลสุดท้ายร่างกายทุกส่วนที่ได้รู้ได้เห็นด้วยความซึ้งนั้น ก็แปรสภาพให้เห็นอย่างชัดเจนประจักษ์ในขณะนั้นโดยลำดับ ๆ หนังก็พังลงไป เปื่อยเน่าลงไปให้เห็นชัดเจน เนื้อก็เปื่อยเน่าพังทลายลงไปโดยลำดับลำดา ภายในตับไตไส้พุงก็กระจายตัวลงไปเต็มไปหมดเกลื่อนอยู่ด้วยความสกปรกโสโครกของร่างกายตนที่แตกกระจายออกจากกัน
เพราะการพิจารณาซาบซึ้งด้วยปัญญา จิตใจเกิดความสลดสังเวชจนน้ำตาร่วง ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นไม่ทราบว่ากายอยู่ที่ไหน และทั้ง ๆ ที่เราพิจารณาร่างกายอยู่นั้นแล ร่างกายของเราเอง แต่กายปรากฏว่าไม่รู้สึกตัวขณะนั้นว่าน้ำตาร่วงได้อย่างไร จากนั้นไปน้ำตาก็หายละที่นี่ พอพังทลายลงไป คำที่ว่าน้ำตานี่เป็นในขณะที่กำลังซาบซึ้งในความเห็นในความรู้พวกเนื้อพวกหนัง พอพังลงไปทีนี้อะไรก็ค่อยหมดไป ๆ เนื้อหนังทุกชิ้นทุกส่วนก็พังลงไปให้เห็นอย่างชัดเจน
เหลือแต่ร่างกระดูกตั้งอยู่บนกองหนัง กองเนื้อ กองอวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่เน่าเฟะอยู่ในท่ามกลางนั้น ทีนี้กระดูกเมื่อไม่มีเส้นเอ็นติดต่อกันไว้หรือสืบต่อกันไว้ยึดกันไว้ กระดูกก็พังทลายลงไปจนกลายเป็นกองกระดูกไปหมด ร่างกายทุกส่วนที่สลายตัวลงไป ส่วนน้ำก็ซึมซาบลงไปดินบ้าง และเป็นไอขึ้นบนอากาศบ้าง ในความซึ้งของจิตเป็นอย่างนั้น แล้วค่อยแห้งกรอบลงไป ๆ กลายเป็นดินให้เห็นอย่างชัดเจน คนทั้งคนกลายมาเป็นดินให้เห็นได้อย่างประจักษ์ด้วยการพิจารณา จากนั้นกระดูกซึ่งเป็นของแข็งก็ค่อยกลมกลืนไปกับดิน แล้วกลายเป็นดินให้เห็นต่อหน้าต่อตา
จิตก็สว่างกระจ่างแจ้งเป็นความอัศจรรย์เหลือล้นในขณะที่เห็นอสุภะอสุภังอย่างประจักษ์ใจนั้น จนถึงกับออกอุทานว่าสิ่งเหล่านี้พึ่งมามีในวันนี้เทียวเหรอ มีเต็มร่างกายของเราอยู่แล้วตั้งแต่วันเกิดมา ทำไมเราจึงไม่รู้จึงไม่เห็น และทำไมจึงพึ่งมารู้มาเห็นกันวันนี้ นั่นเกิดนิพพานขึ้นมาแล้ว ความเบาของจิตก็พูดไม่ถูก ความอัศจรรย์ของจิตที่ปล่อยจากสภาพเน่าเฟะทั้งหลายกลายเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟนี้ก็พูดไม่ถูก
จากนั้นจิตก็รวมตัวเข้าเหมือนไฟไหม้ดินระเบิด พรึบเดียวหมด ดินทั้งแผ่นหายไปหมด ต้นไม้ภูเขาไม่ต้องพูดเมื่อแผ่นดินทั้งแผ่นได้กลายเป็นอากาศธาตุไปหมด ร่างกายกลายเป็นดินเป็นน้ำ และดินน้ำลมไฟกลายเป็นอากาศธาตุไปหมด เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ซึ่งเป็นความรู้อัศจรรย์เด่นอยู่เพียงดวงเดียวเท่านั้น นั่นคือผลแห่งการพิจารณาอสุภะอสุภังเป็นต้น ให้เห็นประจักษ์ภายในจิตใจด้วยความจริงจริง ๆ ไม่ใช่ด้วยความจำ
จิตแสดงความอัศจรรย์ให้เห็นอย่างเต็มที่เป็นเวลาเป็นชั่วโมง ๆ แล้วค่อยถอยออกมา คำว่าถอยนี้ก็เป็นกิริยาอันหนึ่งที่เราใช้เป็นสมมุติเท่านั้น แต่อาการความเคลื่อนของจิตที่ออกมาจากหลักธรรมชาติที่รวมตัวสงบแน่วและละเอียดลอออัศจรรย์อย่างนี้ มันเป็นกิริยาอันหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะให้ชื่อให้นามอย่างไรถูก จึงเพียงว่าถอยออกมาหรือว่าแสดงกิริยาออกมา ทีนี้เวลาที่จิตได้ถอยออกมาจากความสงบตัวอย่างเต็มที่แล้ว เรากำหนดดูต้นไม้ภูเขาดินทั้งแผ่นก็ไม่เห็น มันยังว่างอยู่หมดภายในจิตใจของเรา ใจยังว่างไปหมด นี่คือการพิจารณาอสุภะอสุภังร่างกายที่เรียกว่ากรรมฐาน ๕ นี่ละคืองานของนักบวชเรา เราไม่เห็นสิ่งเหล่านี้จิตใจเรายึดไปหมด
คำว่าขันธ์ทั้งห้าคืออะไร กองรูปก็ได้แก่ร่างกายทุกส่วนรวมแล้วเป็นอาการ ๓๒ คือ กองรูป เวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉย ๆ มันก็อาศัยอยู่กับรูปแต่ไม่ใช่สิ่งนี้ หากเป็นธรรมชาติของใครของเรา เช่นกายก็เป็นกาย เวทนาก็เป็นเวทนา สัญญาก็เป็นสัญญา สังขารเป็นสังขาร วิญญาณเป็นวิญญาณ เป็นแต่ละอย่าง ๆ ไม่สับปนกัน เมื่อเราพิจารณาหลายครั้งหลายหนแยกออกไปสู่ข้างนอกก็เหมือนกันกับข้างใน
คำว่าอสุภะอสุภังของปฏิกูลโสโครกของแตกของดับของสลายทำลาย เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ว่ารูปเขารูปเรารูปหญิงรูปชายเป็นเหมือนกันหมด นี่ก็กลายเป็นโลกวิทู เริ่มกลายเป็นโลกวิทูขึ้นมา คือรู้แจ้งเห็นจริงโลกหยาบ ๆ นี้เสียก่อน คือโลกแห่งรูปขันธ์ว่าเป็นเหมือน ๆ กันหมดไม่ว่ารูปใครต่อรูปใคร ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย รูปนักบวชและฆราวาสเป็นเหมือนกันหมด เมื่อพิจารณาจนมีความชำนิชำนาญแล้วจิตย่อมรู้เท่าทัน ปล่อยวางได้ในรูปขันธ์นี้ทั้งกองไม่มีความเยื่อใย มีความเบาใจเพราะปลดเปลื้องภาระเครื่องกดถ่วงเสียได้
นี่เป็นขั้นหนึ่งแห่งการทำงานคือพิจารณากรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นพื้นฐานแห่งงานที่จะก้าวเข้าสู่งานอันละเอียดยิ่งกว่านี้ ท่านสอนให้พิจารณาอย่างนี้ และสอนสถานที่ที่เป็นที่เหมาะสมในการทำงานประเภทนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยความราบรื่นดีงามไม่มีอุปสรรคกีดขวางงานของตนที่กำลังดำเนินอยู่ ท่านก็สอนให้อยู่ในป่าในเขา ตามรุกขมูลร่มไม้ในถ้ำเงื้อมผา ที่ใดก็ตามซึ่งเป็นที่สงบสงัดไม่พลุกพล่านด้วยสิ่งก่อกวนต่าง ๆ พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาอย่างนี้ พระสาวกทั้งหลายท่านดำเนินมาอย่างนี้ นี้เป็นเนื้อเป็นหนังของศาสนาจริง ๆ เป็นอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตนจริง ๆ ท่านก็ปฏิบัติอย่างนั้น
เราปฏิบัติเพื่อให้เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นสมบัติอันล้นค่าของตนจริง ๆ ก็ต้องมีการปฏิบัติ และความรู้ความเห็นให้กลมกลืนไปกับงานกับกรรมฐานดังที่กล่าวนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดไม่ลืมตัว ไม่ติดถิ่นติดฐานติดบ้านติดเรือนติดจตุปัจจัยไทยทานทั้งสี่ ไม่ติดแขกติดคนญาติโยม ไม่เห็นอันใดดียิ่งกว่าธรรมที่เรากำลังดำเนินอยู่เวลานี้ นี่คือทางที่ถูกต้องดีงาม เป็น อนิจตสารี หาที่อยู่ไม่ได้ ไม่กำหนดที่อยู่ เช่นเดียวกับนกที่ไปกินผลไม้หรือหาอาหารมากิน กินที่ไหนแล้วอิ่มแล้วไปบินไป มีแต่ปีกกับหางเท่านั้น -ไม่กังวลว่าต้นไม้นี้เป็นของเรา ผลไม้นี้เป็นของเรา เปือกตมเป็นของเรา กินอิ่มแล้วก็บินไปด้วยความหาอาลัยเสียดายไม่ได้
ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานก็ต้องเป็นผู้เช่นนั้น ไม่ติดในโลกามิสใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหวัง ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่งานที่เราจะทำ งานที่เราจะทำคือกรรมฐาน ๕ เป็นต้นนี้ต่างหาก ให้ย่นเข้ามาตรงนี้เสมอ นี่เราอธิบายถึงเรื่องขั้นแห่งการพิจารณากรรมฐาน ๕ ได้กรรมฐาน ๕ นี้ชัดเจนแล้วชื่อว่าได้หลักได้เกณฑ์แห่งการประพฤติปฏิบัติ จิตจะไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับสิ่งใดเลย จะมีแต่ความละเอียดลออ
เรื่องปัญญาต้องใช้เสมอ อย่าเข้าใจว่าสมาธินั้นจะกลายเป็นปัญญาขึ้นมาโดยไม่ได้ทำการพิจารณาใด ๆ เลยนั้นเป็นความเข้าใจผิด การเรียนธรรมะกับการปฏิบัติธรรมะมีความแปลกต่างและมีความแม่นยำต่างกันอยู่มาก การเรียนเฉย ๆ เราจะพูดตามหลักการเรียนที่จดจำมานั้น ผู้เรียนมาผู้จำมานำมาพูดก็เป็นผู้สงสัยอยู่แล้วหาความแน่นอนใจไม่ได้ ผิดกันกับผู้เรียนมาแล้วนำมาปฏิบัติ
เมื่อนำมาปฏิบัติแล้วย่อมประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ ทางภาคปฏิบัติให้เห็นประจักษ์กับตนเอง เช่นอย่างรู้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้รู้ได้ยังไง รู้จนถึงกับละสิ่งเหล่านี้รู้ยังไงถึงละได้ ผู้ปฏิบัติย่อมทราบภายในตัวเองโดยลำดับ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีภาคปฏิบัติด้วยความจริงจึงจะปรากฏผลขึ้นมา จำมาแล้ว อุปัชฌายะสอนไว้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั้นคือภาคศึกษาเรียกว่าปริยัติ คือภาคศึกษา แล้วเรานำ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไปปฏิบัติบริกรรมพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นตามความจริงของกรรมฐานแต่ละอย่าง ๆ จนทั่วสรรพางค์ร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยกรรมฐาน คือเป็นที่ตั้งแห่งงานด้วยกันทั้งนั้นแล้ว เราก็เห็นแจ้งขึ้นมาอันเป็นความจริงหายสงสัย
เพียงขั้นนี้เท่านั้นก็เป็นหลักเกณฑ์อันสำคัญทางด้านจิตใจ หาความหวั่นไหวไม่ได้แล้วทีนี้ มีแต่ทางที่จะเขยิบไปข้างหน้าเรื่อย ๆ คำว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เกี่ยวโยงกันกับร่างกายนี้ การพิจารณาทางด้านปัญญาจึงพิจารณาทั้งเวทนา พิจารณาทั้งกายประสับประสานกันไป ทุกข์มันเกิดขึ้นในที่เช่นไร เช่น ปวดแข้งปวดขา เจ็บเนื้อเจ็บหนังเจ็บกระดูก พิจารณาแยกแยะให้เห็นทั้งกระดูกเห็นทั้งเนื้อทั้งหนัง ให้เห็นทั้งความทุกข์ที่เป็นอยู่นั้นมันเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ เหรอ
ความจริงแล้วทุกข์มันเป็นทุกข์ เนื้อเป็นเนื้อ หนังเป็นหนัง เป็นแต่เพียงอาศัยกันอยู่เท่านั้นไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยทางปัญญาที่พิจารณาชอบด้วยเหตุผลแล้วเป็นอย่างนั้น เมื่อได้พิจารณาเห็นชัดเจนอย่างนั้นแล้วมันจะพ้นจิตผู้ไปลุ่มหลงนี้ไปไม่ได้ ต้องย้อนเข้ามาหาจิต จิตก็เป็นแต่สักแต่ว่ารู้เท่านั้น เวทนาจะเป็นสุข เป็นทุกข์ เฉย ๆ ของเวทนา มันก็เป็นเวทนาของมันอันหนึ่ง เป็นความจริงอันหนึ่งของมันเท่านั้น กายแต่ละสัดละส่วนก็เป็นความจริงของตนแต่ละอย่าง ๆ ไม่สับสนปนเปกัน นั่นคือความจริงแท้ จิตเมื่อรู้เท่าทันเพราะการพิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งแล้ว ย่อมถอนตัวเข้ามาเป็นความจริงเช่นเดียวกับสิ่งเหล่านั้น
เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนจนเป็นที่พอใจแล้ว คำว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กับจิตก็ปล่อยวางกันเอง เช่นเดียวกับจิตปล่อยวางร่างกายด้วยการพิจารณารอบคอบแล้วพอแล้วไม่มีอะไรผิดแปลกจากกัน
ที่กล่าวมาทั้งมวลนี้เป็นที่หลบซ่อน เป็นที่อยู่ของกิเลสทั้งมวล โลกเราหลงอันนี้เอง หลงผมหลงขนหลงเล็บหลงฟันหลงเนื้อหลงหนังหลงอวัยวะต่าง ๆ ส่วนอวัยวะต่าง ๆ ของตนว่าเป็นเราเป็นของเราว่าเป็นหญิงเป็นชาย โดยความเสกสรรปั้นยอแล้วก็ติดไปตามนั้น ยึดไปตามนั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่จริง กิเลสย่อมเป็นของปลอมและเป็นข้าศึกต่อธรรมเสมอไป ด้วยเหตุนี้กิเลสจึงต้องกดขี่บังคับ หรือกล่อมจิตใจของผู้ไม่มีความแยบคายให้ลุ่มหลงไปตามมันอยู่เสมอ
จึงต้องอาศัยหลักธรรมซึ่งเป็นความเฉลียวฉลาด ให้ทันกับกลมายาของกิเลสมีสติปัญญาเป็นต้น เมื่อเราพิจารณาอยู่เสมอไม่หยุดไม่ถอย สติปัญญาย่อมจะมีความชำนิชำนาญและจะทราบกันได้ในวันหนึ่ง พอเป็นเงื่อนพอเป็นหลักใจพอเป็นคติ ต่อจากนั้นก็ค่อยคืบคลานกันไปเรื่อย ๆ จนถึงกับขั้นมีความแก่กล้าสามารถโดยทางสติปัญญา และสามารถรู้เท่าทันหมดรอบตัว สิ่งที่เคยหุ้มห่อจิตใจและใจที่ยึดถือสิ่งเหล่านั้นทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นไฟอยู่แล้ว แล้วเอาไฟคือความยึดมั่นถือมั่นเข้ามาเผาลนตนเอง มันก็ปล่อยของมันไปโดยลำดับ ผลสุดท้ายก็ปล่อยทั้งภายในจิต
กิเลสทุกประเภทอาศัยอยู่ตามสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมานี้แล ท่านจึงสอนให้แยกให้แยะให้ถากให้ถางลงไปด้วยกำลังของสติปัญญา เพื่อให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนในสิ่งทั้งหลายที่เป็นที่ซุ่มซ่อนของกิเลสความลุ่มหลง จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งนี้แล้วปล่อยวางเข้ามาสู่จิต นี่เป็นหลักธรรมชาติแห่งการปฏิบัติ
ปล่อยวางเข้ามาสู่จิตแล้วยังไม่แล้ว กิเลสย่อมมีอยู่ทั้งทางรูปทางเสียงทางกลิ่นทางรส มีอยู่ทั้งทางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงต้องพิจารณาทั้งรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เพื่อถอนตัวเข้ามา เพื่อจะขับไล่กิเลสไม่ให้ไปยึดไปถือ ไม่ให้ไปหลงงมงาย แล้วก็ย้อนเข้ามาหาขันธ์ทั้งห้า ขับไล่กิเลสที่มันไปเที่ยวหลบซ่อนยึดถือด้วยความงมงายในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา รูปก็เป็นเรา เวทนา สุข ทุกข์ เฉย ๆ เป็นเราเป็นของเรา สัญญา ความจำได้หมายรู้เป็นเราเป็นของเรา สังขารความคิดความปรุงดีชั่วต่าง ๆ ว่าเป็นเราเป็นของเรา วิญญาณ ความรับทราบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งเกิดทั้งดับนั้นว่าเป็นเราเป็นของเรา
เลยกลายเป็นเราขึ้นมาด้วยความเสกสรรปั้นยอ อันเป็นความงมงายของเราที่หลงตามกลมายาของกิเลสทั้งสิ้น จึงต้องได้ชะล้างหรือทำลายกันด้วยสติปัญญา จนกิเลสไม่มีที่หลบที่ซ่อนเพราะสติปัญญาตามต้อนตามฟาดฟันหรือเผากันไปหมด กิเลสก็ต้องหดตัวเข้ามาเพราะไม่มีที่พึ่งไม่มีที่อาศัยไม่มีทำเลที่หลบซ่อนที่หากิน ไม่มีทางเดินเพื่อหาอาหาร มันก็หดตัวเข้าไปหลบอยู่ภายในคือใจ
อยู่ภายในใจก็เป็นกิเลสเหมือนกันกับอยู่ภายนอก ผู้ที่จะทำลายก็คือสติปัญญาอีกเช่นเดียวกัน เข้าไปสู่ภายในใจสติปัญญาก็ตามเข้าไปพิจารณาให้เห็นชัดภายในจิตใจนั้นอีก จนกระทั่งกิเลสแตกกระจายออกหมดไม่มีเหลือภายในจิตใจ เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ คืออิสระเสรีของจิตซึ่งเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วตั้งแต่บัดนั้นต่อไป ผลที่เราได้ดำเนินมาในงานของเราเริ่มตั้งแต่กรรมฐาน ๕ จนกระทั่งถึงรอบทั้งภายในจิตใจก็เป็นอันว่ายุติ
นี่ละที่ท่านเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ทำงานงานของสมณะนั้นน่ะได้สำเร็จลงแล้วด้วยความรอบคอบชอบธรรมและบริสุทธิ์เต็มดวงใจ นี่เรียกว่าทำงานสำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านก็สำเร็จที่ใจนี้ พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านก็มาสำเร็จที่ใจนี้ กิเลสเวลาจะตายก็ตายลงที่ใจสลายลงที่ใจ เวลาเกิดก็เกิดขึ้นที่ใจ เมื่อถูกทำลายลงไปแล้วก็ดับลงที่ใจ ใจที่ถูกกิเลสหุ้มห่อจึงมืดอยู่ที่ตรงนี้ เรียกว่าโมหะคือความมืดบอดของใจ เพราะอำนาจของกิเลสมันปกคลุม
ส่วนกิเลสไม่ได้มืดบอด มันฉลาดครอบงำหัวใจสัตวโลกไม่มีอะไรเสมอเหมือน นอกจากสติปัญญาเท่านั้นที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป เผากันลงไปที่ตรงนั้น กิเลสก็หลุดลอยไปไม่ว่าประเภทหยาบ ประเภทกลาง ประเภทหยาบอยู่ทางรูปทางเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัส อยู่ตามรูป กิเลสปานกลางก็อยู่ตามเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กิเลสอย่างละเอียดก็อยู่ภายในจิต ฝังจมอยู่นั้นท่านเรียกว่าอวิชชา ก็ไปสุดกันตรงนั้น เวลาจะสังหารให้สิ้นสุดไปโดยสิ้นเชิงไม่มีสิ่งใดเหลือก็ต้องไปสังหารกันที่จิตด้วยมหาสติมหาปัญญาที่ทันสมัย ที่ทันกันกับกิเลสประเภทละเอียดที่สุดก็ไปยุติกันที่นั้น ท่านเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ได้เสร็จงานแล้ว งานวัฏจักร งานเพื่อแก้วัฏจักรออกจากใจ
วัฏจักรแปลว่าหมุนวนเวียนอยู่นั้นไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีต้นมีปลาย ได้แก่ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงแห่งความเกิดแก่เจ็บตายของจิตที่เต็มไปด้วยกิเลส ท่านเรียกว่าวัฏจิต หมุนไปเวียนมาอยู่เช่นนั้น มาภพเก่าภพใหม่อะไรก็มีแต่เรื่องของเจ้าของแต่ไม่รู้ว่า เคยเกิดเคยตายมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เวลาจะทราบก็ต้องทราบด้วยภาคปฏิบัติจะทราบอย่างอื่นไม่ได้ เรียนจบพระไตรปิฎกก็เถอะถ้าลงไม่ได้เข้าภาคปฏิบัติแล้วจะไม่ทราบวี่แววของจิต วี่แววของกิเลส ว่ามันเป็นกันมาอย่างไร มันเกี่ยวโยงกันมาอย่างไร มันเกี่ยวข้องกันมาอย่างไรกิเลสกับจิต ทำให้สัตว์ได้เกิดแก่เจ็บตายได้อย่างไร นอกจากว่าตายแล้วสูญ ๆ ก็เป็นเรื่องของกิเลสมันหลอกอีกไม่ใช่ความจริง
เมื่อเราพิจารณาปฏิบัติดังที่กล่าวนี้เรียกว่าเราปฏิบัติตามความจริง เพื่อรู้ความจริงเป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งรู้ความจริงเต็มส่วน สำรอกปอกกิเลสออกจากใจหมดแล้วเราไม่ต้องไปถามผู้ใด พูดก็สาธุแม้พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ที่ตรงหน้านี้ก็ไม่ทูลถามท่าน
ถามท่านทำไมท่านสอนเพื่อความจริง ความจริงมีอยู่กับทุกคน สอนเพื่อให้รู้ความจริง เมื่อปฏิบัติตามแนวที่ท่านทรงสั่งสอนไว้แล้วจะไม่รู้ความจริงเป็นไปได้อย่างไร ต้องรู้ความจริง เมื่อรู้ความจริงแล้วก็เป็นสิ่งเท่าเทียมกัน จะไปถามท่านให้ท่านรับสั่งว่าอย่างไรอีก เมื่อถึงความจริงเต็มส่วนแล้วไม่มีใครถามใคร เพราะความจริงล้วน ๆ เต็มหัวใจ นั่นแหละเรียกว่าหมดกิจหมดการหมดงานหมดจริง ๆ ตั้งแต่ขณะได้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นจากเครื่องผูกพันทั้งหลายภายในจิตใจ นี่แหละงานของพระเรามีทางสำเร็จได้ มีวันมีปีมีเดือนให้สำเร็จได้ด้วยความพากเพียรของเรา เมื่องานนี้สำเร็จแล้วงานอื่น ๆ ก็สักแต่ว่าทำไปอย่างนั้นเอง งานอันแท้จริงที่เป็นพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนภิกษุบริษัทก็คืองานฆ่างานทำลายกิเลส งานทำลายวัฏจักรที่มีอยู่ในจิตนี้ให้ขาดกระเด็นไปจากใจ
เรื่องภพชาตินั้นเราไม่สงสัยเริ่มรู้ไปตั้งแต่ปัญญาขั้นเริ่มแรกไปโดยลำดับ อันไหนเป็นเชื้อแห่งวัฏฏะ ภูมิใดขั้นใดทราบไปโดยลำดับแล้วทำลายกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงภูมิละเอียด คืออวิชชานั้นเป็นภูมิละเอียด ผู้สำเร็จอนาคามีผลโดยสมบูรณ์แล้วอวิชชายังมีอยู่ภายในใจ ท่านว่าไปเกิดในพรหมโลก ๕ ชั้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา จากนั้นก็ผ่าน นี่คือผู้มีกิเลสอันละเอียดได้แก่อวิชชาอยู่ภายในใจ แต่ผู้ทำลายอวิชชานี้หมดแล้วไม่ต้อง ไม่ว่าจะเป็นชั้นใดภูมิใดพรหมโลกใดก็ตาม ผ่านถึงความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นเห็นประจักษ์ใจจะไปถามใครที่ไหน เพราะความจริงมีอยู่
ใจมีทางที่จะฉลาดแหลมคมได้เมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้ฝึกฝนอบรมจิตใจ จิตใจเป็นของฝึกฝนอบรมได้ เป็นของทำให้ฉลาดได้ เป็นของทำให้โง่ได้ ธรรมเป็นธรรมชาติที่ทำใจให้ฉลาด ฉลาดก็หมายความว่าฉลาดในตัวเองนั่นแหละเป็นของสำคัญ เมื่อฉลาดรู้รอบภายในตัวเองแล้วก็กลายเป็นโลกวิทูรู้แจ้งเห็นจริงไปหมดในสิ่งทั้งหลายว่า เป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นความสมมุติกันทั้งนั้น นี่เป็นคุณสมบัติของสาวกที่จะพึงรู้พึงเห็นเหมือน ๆ กัน เป็นแต่เพียงกว้างแคบกว่ากันเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ภูมิของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งเข้าไปกว่านี้อีกหลายขั้นหลายภูมิ โลกวิทูหยั่งทราบกระทั่งวารจิต กระทั่งถึงภูมินั้นภูมินี้ เคยเกิดเป็นภพใดชาติใดของสัตว์แต่ละตัว ๆ พระองค์สามารถรู้หมด เพราะกิเลสพาให้เกิด กิเลสพาให้ตาย บุญพาให้ดี บาปพาให้ชั่ว พาให้เกิดสูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในจิตเพราะจิตเป็นผู้สร้างมาเอง เมื่อทำลายจึงต้องทำลายลงที่จิต เมื่อทำลายลงที่นี่จนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้วจะมีอะไรเข้ามากวนจิตอีกเล่า ไม่มี มีแต่ขันธ์ที่กระดุกกระดิก ๆ อยู่ตามภาษีภาษาของมันซึ่งไม่มีความหมายในตนเองเลยเท่านั้น พอหมดกำลังของมันที่จะสืบต่อไปแล้วก็สลาย เรียกว่าตาย จิตที่บริสุทธิ์แล้วก็ดีดตัวออกไป หมดความรับผิดชอบ คำว่าห่วงใยไม่ต้องพูด ท่านห่วงหาอะไร มีความรับผิดชอบเท่านั้นแล้วก็หมดความรับผิดชอบ
นี่ละผลของงานมีกรรมฐาน ๕ เป็นงานเบื้องต้นได้สำเร็จลุล่วงไปถึงขั้นงานอันละเอียด ได้แก่ทำลายอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ให้หมดสิ้นไปจากใจแล้วไม่มีงานใดมาอีกที่จะให้ทำ มีแต่กิริยาเท่านั้น จะทำงานนั้นงานนี้เพื่ออะไรก็ไม่เห็นมีเพื่ออะไร ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่ามองเห็นสิ่งใดในโลกนี้ว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ ความแปลกประหลาด ความเข้าใจว่าสิ่งนั้นแปลกสิ่งนี้ประหลาดคือความหลอกตนทั้งนั้น เป็นมาจากกลมายาของกิเลส ให้พึงทราบเสียว่านี้คือกลมายาของกิเลสที่หลอกสัตวโลกให้จม แต่ธรรมนั้นเป็นธรรมชาติที่แก้ความหลงงมงายของตนและความล่มจมของตนให้ฟื้นตัวขึ้นมาสู่อิสระเสรีเต็มที่ภายในจิตใจ นี่แหละการดำเนินตามอริยประเพณีของพระพุทธเจ้า มีมรดกอันสำคัญที่จะพึงได้รับด้วยกันดังที่กล่าวมานี้
ขอให้ทุกท่านได้เป็นที่มั่นใจในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ ทรงสั่งสอนไว้เพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง ไม่ได้สอนไว้แบบปาว ๆ แบบโมฆบุรุษ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่โมฆศาสดา ธรรมะจึงไม่ใช่โมฆธรรม สอนด้วยความรู้จริงเห็นจริงจริง ๆ ผู้ปฏิบัติจะพึงได้รับผลเป็นที่พอใจโดยลำดับไม่สงสัย ขอให้ทุกท่านได้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เราอย่าเห็นสิ่งใดเหนือธรรมะ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเหนือธรรม สามโลกธาตุนี้ยอมกราบธรรมทั้งนั้น ธรรมเป็นของประเสริฐ สิ่งเหล่านั้นไม่ปรากฏว่าประเสริฐเป็นคู่แข่งธรรมได้เลย ให้เป็นที่มั่นใจ เราเคยผ่านโลกมานานแล้วทางตาทางหูทางจมูกลิ้นกาย สัมผัสสัมพันธ์กันตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ เราทำไมจะไม่เบื่อหน่าย ทำไมจะไม่บวกลบคูณหารกันพอให้รู้ผลแห่งการได้การเสียของตนบ้าง การประพฤติธรรมทำไมจะทำความอ่อนแอ เมื่อจะเข้าถึงความประเสริฐเลิศโลกเพราะการประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรรมของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ ทำไมจึงเห็นว่าเป็นของลำบากลำบน กิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวใจเราไม่ลำบากเหรอ โลกเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทุกวันนี้เพราะกิเลสไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เพราะธรรม ทำไมเวลาบำเพ็ญธรรมจึงเห็นว่าเป็นความลำบาก นั้นแหละคือกลมายาของกิเลสหลอกเราให้พากันเข้าใจเอาไว้