อุบายวิธีแก้เจ้าของไม่คิดขึ้นไม่ได้นะ นี่ละผมเป็นกังวลวิตกกังวลกับหมู่เพื่อน ในเรื่องความคิดความอ่านอะไรต่ออะไรนี่ มันอืดอาด ภายในจิตใจมันก็อย่างนั้นแหละ ถ้าสิ่งที่ชอบละมันรวดเร็ว มองไม่ทัน สติสตังไม่มีเพราะไม่คิดไม่ตั้งให้มี แล้วจะหวังเอามรรคผลนิพพานที่ไหน พอมองดูพับก็เห็นแล้วช่องโหว่ ถ้าเป็นนักมวยแล้วตาย ๆ มองเห็นปั๊บ พอพูดออกมา กิริยาอาการอะไรแสดงออกมา มันเปิด ๆ ๆ ให้เห็นชัด ๆ ในความบกพร่อง แสดงถึงเรื่องสติปัญญาทั้งนั้น จี้กันอยู่ขนาดนี้มันยังเป็นจะว่าไง ถ้าออกไปอยู่โดยลำพังแล้วจะเป็นยังไง นั่นมันก็บอกอยู่ชัด ๆ ในปัจจุบันที่เห็นกันอยู่นี้ รู้กันอยู่นี้ นี่ซิถึงวิตกกับหมู่กับเพื่อน ต้องเอาจริงเอาจังซิ
พูดนี่พูดด้วยความมั่นใจด้วย พูดด้วยความแน่ใจมั่นใจ พูดด้วยความจริงใจต่อหมู่คณะทุก ๆ รูปที่มานี้ การรับพระเณรไว้เรารับด้วยเหตุด้วยผล เมื่อรับไว้แล้วเหตุผลเป็นอย่างไร ก็จะต้องดำเนินตามหลักเหตุผลนั้นไม่ลดละ เอาจริงเอาจังทุกสิ่งทุกอย่าง การอบรมแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าว เป็นเรื่องความจริงด้วยธรรมทั้งนั้น ไม่มีโลกเข้ามาแฝง เราเชื่อในหัวใจนี่ แม้จะมีกิเลสกองเท่าภูเขาก็เถอะ มันไม่แสดงเราก็ทราบว่าไม่แสดง ตอนที่มันแสดงเราก็ทราบ แสดงมากน้อยเราก็ทราบ ไม่แสดงก็ทราบ จึงว่าเชื่อ
หมู่เพื่อนมาปฏิบัติก็ให้เห็นความสำคัญของตน และเจตนาที่มาเพื่อครูบาอาจารย์ เพื่อครูอาจารย์คือเพื่ออะไร ก็เพื่อรับการอบรม การกลัวไม่มีเหตุมีผลเราก็ดูไม่ได้ เราเคยกลัวมาแล้ว กล้าไม่มีเหตุมีผลก็ดูไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่ใช่ธรรม กลัวให้มีเหตุมีผล กล้าให้มีเหตุมีผล ทุกสิ่งทุกอย่างให้มีหลักธรรมที่พร้อมด้วยเหตุผลแล้วออกแสดง อยู่กับสิ่งนั้นถึงถูกต้อง ให้พยายามปฏิบัติตนอย่าลดละความพากเพียร สติเป็นของสำคัญ เคยพูดเสมอย้ำแล้วย้ำเล่า ธรรมท่านก็บอกไว้อย่างถึงใจ ผู้ปฏิบัติต้องถึงใจในเรื่องสติ
ถ้าไม่ได้ปฏิบัติสักแต่ว่าเรียนก็อย่างว่า เราเคยเรียนมาแล้ว สอบจนเป็นมหาก็เคยเรียน เคยเป็นอยู่แล้ว มันก็ไม่ถึงใจ ฟังไม่ถึงใจ พระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่เราเรียนไปเป็นพุทธพจน์ เช่น บาลี เป็นคาถา บาลีพุทธพจน์ มันก็ไม่ถึงใจ สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ท่านว่าอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติเพื่อแก้กิเลส แก้อย่างนี้มันไม่ถึงใจ สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา อย่าเผลอสติถ้าไม่อยากตายว่างั้นเลย ขึ้นเวทีแล้ว มันถึงใจดี
เราต้องเทียบเหมือนขึ้นเวทีซิ เผลอไม่ได้ตาย ถูกน็อก นี่กิเลสมันของเล่นเมื่อไร มันน็อกสัตว์โลกฉิบหายวายปวง ตายกองกันอยู่ในโลกธาตุนี้ มันไปตายเหนือโลกนี้ที่ไหนไม่มี ตายกองกันอยู่ในนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ถูกน็อกของกิเลสหรือ เราไม่เห็นโทษของมัน แล้วจะเห็นคุณค่าของธรรมได้ยังไง
การปฏิบัตินี้เพื่อให้เห็นทั้งสองอย่างนี้ ถ้ามีธรรมขึ้นมาก็มีคู่แข่ง ถ้ามีแต่กิเลสล้วน ๆ อะไรก็ดีไปหมด เพราะไม่เคยเห็นของดีมาแต่ดั้งเดิม ของดีคือธรรม เกิดก็เกิดกับกิเลส มาก็มากับกิเลสพามาเกิด ถ้ากิเลสไม่มีมาเกิดไม่ได้ปฏิสนธิวิญญาณไม่ได้
การปฏิสนธิวิญญาณคือการพามาเกิด มันเกิดได้ยังไงถ้าไม่มีกิเลสผลักดันให้มาเกิด นั่นเชื่อแล้วนั่น เชื่อทางภาคปฏิบัติ เราอย่าเชื่อแบบงู ๆ ปลา ๆ ให้ค้นภาคประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เห็นความจริงแล้วเชื่อ สามโลกธาตุจะมาคัดค้านก็ไม่สนใจ เพราะไม่มีอะไรจริงยิ่งกว่าธรรมว่างั้นเลย เอาให้จริงให้จังอย่างงั้นซินักปฏิบัติธรรมน่ะ
สติ ๆ บอกอยู่แล้ว อยู่กับตัว เวลาจะใช้อะไรมันก็ง่าย ให้พยายาม อย่าถือว่าเป็นภาระอันหนักเกินเหตุเกินผล ยกหมัดจะต่อยเขาก็หนัก บทเวลาเขาต่อยมาสลบไสลตายไป นี้มันหนักหรือไม่หนัก ถึงขนาดสลบหรือตายคิดดูซิ นั่นกิเลสต่อยสัตว์โลก ทีนี้เราขุดค้นธรรมะของพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยการปฏิบัติของเรา ก็ควรทำให้ถึงใจอย่างนั้นซิ
ไม่มีอันใดละในโลกนี้เป็นความแน่นนอน เป็นความตายใจ พอจะปลงจิตปลงใจให้ได้รับความสุขความสบายได้ ใครอยู่โลกไหนก็อยู่ทั่วสามแดนโลกธาตุนี้ ต้องมีส่วนแห่งความทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่ามากน้อยต่างกันตามภูมิตามขั้นของจิตของธรรม ภูมิกำเนิดที่เกิดในที่ต่างๆ เพราะอำนาจของจิต ภูมิของจิตไม่เหมือนกันพาให้เป็นไป แม้ท้าวมหาพรหมก็ยังต้องมีทุกข์ เพราะกิเลสมันไม่เคยให้ความสุขแก่ผู้หนึ่งผู้ใดทั้งนั้น ไม่เอียง กิเลสไม่ไว้หน้าใคร สิ่งที่พาให้ทุกข์ก็คือกิเลสที่อยู่ในหัวใจแต่ละดวงนั่นแล
การแก้กิเลส มันจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเราก็ทราบอยู่แล้ว ถอยไปทำไม ที่ปลงใจมีธรรมอย่างเดียวที่ปลงใจลงได้ เป็นของแน่นอน เอาให้เห็น ค้นลงสติปัฏฐาน ๔ มีอยู่ในร่างกายเรานี้ กาย ก็บอกร่างกายทั้งร่างนี้ หมดกองรูปคือกาย หนังห่อกระดูกอยู่นี่ นี่เรียกว่ารูปขันธ์ เรียกว่ากาย เวทนา ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากร่างกายและจิตใจ เวทนานอกเวทนาใน การปฏิบัติให้ถืออันนี้เป็นเวทนานอกเวทนาใน เวทนาโน้น ๆ ไกล เอาทางนี้ จิตนอกจิตใน ธรรมก็เหมือนกันก็อยู่ที่นี่
สัจธรรม สติปัฏฐาน ๔ แยกเป็นอาการเท่านั้นละ ความจริงแล้วเหมือนกันหมด พิจารณาอริยสัจหรือสติปัฏฐาน มันก็อันเดียวกัน เพราะขันธ์อันเดียวกันนี้ เกี่ยวกับจิตอันเดียวกันนี้ เกี่ยวกับเรื่องของกิเลสของมรรคอันเดียวกันนี้ จะต้องสู้กันอยู่ที่ตรงนี้เป็นสนามรบ เอาให้ดีให้จริงให้จัง ให้เห็นความรู้ความฉลาด ให้เห็นความแปลกประหลาดภายในจิตใจเกิดขึ้น
ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ และครูบาอาจารย์ผู้ที่เข้าใจในแนวทางปฏิบัตินั้นอบรมสั่งสอน ก็ยิ่งเป็นการแน่นอนไปโดยลำดับ ไม่สงสัยแก่ผู้ฟัง เป็นที่แน่ใจ ๆ เพราะท่านปฏิบัติไปแล้วด้วย ผลได้รู้ไปแล้วอย่างไรด้วย การสอนจะผิดไปที่ไหน ผู้มาอบรมก็เป็นที่แน่ใจ นอนใจ ตายใจได้ แล้วก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยในการประพฤติปฏิบัติ หากลังเลสงสัยว่า เป็นยังไงมรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน สิ้นเขตสิ้นสมัยแล้วยัง หมดเขตหมดสมัยแล้วยัง ไม่ต้องไปคิดให้เสียเวลา ถ้าลงสัจธรรมทั้ง ๔ มีอยู่นี้แล้ว สติปัฏฐาน ๔ มีอยู่กับคนที่ยังเป็น ๆ อยู่เช่นเรานี้แล้ว เราก็คือผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมทั้งสองอย่างนั่นแหละ หรือว่าอันนี้เป็นเรือนร่างแห่งสติปัฎฐาน ๔ หรือสัจธรรมนั่นเอง พูดง่าย ๆ กายนี้เป็นเรือนร่าง จิตใจเป็นที่รองรับธรรมทั้ง ๔ นี้ พิจารณาให้เห็นจริง
เราอย่าไปสนใจกับอะไร อย่าเห็นว่าอะไรจะดียิ่งกว่าธรรม นี่ได้พิจารณาปฏิบัติแล้ว ถ้าจะพูดถึงเรื่องเทียบเคียง ก็ไม่ทราบว่าจะเทียบหรือไม่เทียบ มันก็รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่ชัด ๆ อย่างนี้ อะไรผ่านเข้ามามันก็มีแต่เป็นเรื่องกวนใจ มีแต่เรื่องเขย่าก่อกวนวุ่นวายทั้งหมด ไม่เห็นเป็นเรื่องสงบอะไรขึ้นมาพอจะให้เพลิดเพลินดิ้นรนกระวนกระวายไปกับสิ่งเหล่านั้น ให้ได้รับความสงบสุขเย็นใจเพราะความดิ้นรนไปกับสิ่งนั้น ผิดกันกับเรื่องความดิ้นรนเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อขวนขวายในอรรถในธรรมให้เข้าใจ นี่อันนี้ผิดกัน
ปฏิบัติได้แต่เพียงขั้นความสงบเท่านั้นก็สบายคนเรา หากไม่มีความสงบเลย ไม่สบายนะ ผ้าเหลืองก็ผ้าเหลือง หัวโล้นก็หัวโล้นเถอะ เป็นพระก็พระ เณรก็เณร ไม่ผิดแปลกอะไรกับฆราวาสเขา จิตใจไม่มีความเย็น เรามาปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตใจมีความเยือกเย็นเป็นสุขด้วยการรักษาใจ การบังคับใจ ฟังซิ การฝึกทรมานใจ ใจมันเป็นยังไง ใจเป็นตัวพยศเวลานี้ ซึ่งอยู่ในภาวะที่จะต้องฝึกฝนทรมานกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มสติกำลังความสามารถของสิ่งต่อสู้กับธรรมปฏิบัติ ให้มันจางไป ๆ อ่อนกำลังลงไป ทางนี้มีกำลังมากขึ้น ทางนั้นค่อยเหือดแห้งไปโดยลำดับ จิตใจค่อยสงบเอง เพราะปกติของใจมันไม่ดิ้นรน
สิ่งที่พาให้จิตดิ้นมีต่างหาก จิตถึงได้ดิ้นนี่นะ เราเทียบกับจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ซิ เมื่อหมดสิ่งก่อกวนแล้ว ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเข้ามากวนเลย มองเห็นแต่ขันธ์ ๕ ยิบแย็บ ๆ อยู่เท่านั้น มันก็ดิ้นอยู่ตามภาษาของมัน เราจะว่าก็ได้ ไม่ว่าก็ได้ ไปเสกสรรสมมุติมันก็ได้ ไม่สมมุติก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อต่างอันต่างจริงแล้ว ก็ไม่กระทบกระเทือนกัน จิตย้อนเข้ามาสู่ตัวเองเสีย ไม่ต้องใช้กิริยา ก็เหมือนโลกไม่มีขันธ์ไม่มี ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ มันก็เหมือนไม่มีขันธ์ ไม่มี โลกภายในร่างกาย คือภายในขันธ์ ๕ นี้ เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องโลกนอกนั้นมันยิ่งไกล สิ่งนี้เป็นสิ่งสัมผัสสัมพันธ์กับใจอยู่แล้ว เหตุใดมันจึงเหมือนไม่มี ก็เพราะจิตไม่ไปคิดไปปรุงว่ามันมี นั่นจิตที่บริสุทธิ์ แล้วเป็นอย่างนั้น
จิตเป็นสิ่งที่ชำระสะสางได้ ฝึกฝนทรมานได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสั่งสอนไว้ ผู้เป็นสักขีพยานพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือสาวกอรหันต์มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ เป็นผู้ฝึกฝนทรมานตนเองด้วยความตั้งใจ และเป็นไปได้ตามความประสงค์ของพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นแล ผลก็คือ ปรมํ สุขํ เป็นที่ยอมรับด้วยความจริง ไม่ใช่ยอมรับด้วยความเสกสรร ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ผมอยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นความจริงทั้งหลายที่พยายามอบรมสั่งสอน ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสังคมนี้ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว ก็รู้สึกอิดหนาระอาใจแล้ว ทุกวันนี้ธาตุขันธ์มันอ่อนเพลีย กำลังวังชาไม่เหมือนแต่ก่อน นี่ไปไหนก็ไม่อยากไป อยู่คนเดียวสบาย ๆ มันเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ มันค่อยปล่อยเข้ามาแล้ว ทำให้เราคิดถึงเรื่องครูบาอาจารย์ ที่มีอายุมาก ๆ เจ็ดสิบ แปดสิบเข้าไปแล้ว เพียงเราเท่านี้ก็รู้สึกมันหดเข้ามา ๆ ความสงสารก็สงสารแต่เครื่องมือที่จะสนองความสงสารเมตตานี้ มันอ่อนลงไปทุกวัน นี่เป็นเหตุให้พิจารณาถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพียงเรามีอายุเพียงเท่านี้ก็เป็นแล้ว อยากอยู่สบาย ๆ ไปอย่างงั้น
เหมือนโรคที่เป็นอยู่นี้ เอ้าเป็นซิ โรคหัวใจ โรคหลังนี่ พอดีดผึงออกจากหมู่เพื่อนแล้วมันเท่านั้นแหละ มันแน่ใจเลย ไม่มีอะไรจะมากวน เป็นก็เป็นซิ สัจธรรม เรียนสัจธรรม ตายก็ตาย เรียนสัจธรรม ก็เมื่อใจไม่ไปกังวลวุ่นวายกับมันแล้ว ใจก็ได้รับความสะดวกสบายในการประพฤติปฏิบัติวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่สบายแก่ตน ธาตุขันธ์ก็พักผ่อนตามสบาย ๆ แล้วมันจะเป็นก็เป็น มันจะตายก็ตายซิ ปฏิบัติรักษากันอยู่ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงบัดนี้แล้ว ยังไม่ยอมฟังเสียงกันก็ไปละซิ มันก็เท่านั้น เมื่อไม่มีความกังวลวุ่นวายแล้ว อะไรจะสบายยิ่งกว่านั้นล่ะ
นี่ต้องเกี่ยวกับผู้คนญาติโยม พระเณร ไม่ว่าใกล้ว่าไกลอะไร เราก็ต้องรับ ไม่มีคนก็มีเรื่องมาให้เกี่ยวข้องอยู่นั้นแหละ เช่นหนังสือ จดหมาย ยุ่งเรื่องนั้น เรื่องนี้ มีแต่เรื่องทั้งนั้นอยู่ทั้งวันทั้งคืน ธาตุขันธ์ที่เป็นเครื่องมือก็ต้องใช้กันอยู่เรื่อย ๆ ไม่สะดวกสบายก็ต้องฝืนกันในเวลาที่ควรฝืน นี้แหละโรคเหล่านี้มันก็เกิด มันเกิดเพราะสิ่งเกี่ยวข้องนั้นแหละ เรารู้อยู่ เมื่อไม่มีอะไรแล้ว มันจะเป็นก็เป็น จะตายก็ตาย โรคก็คือโรคทั่ว ๆ ไปนั่นเอง เมื่อมันทนไม่ไหว มันก็ตายของมัน แตกของมัน ขอให้เรียนมันจบเถอะ ขอให้ปลงตกมันสบายเท่านั้นแหละ พยายามปลงทั้งกิเลส ปลงกิเลสก็ปลงธาตุปลงขันธ์อันเดียวกันนั่นแหละ เพราะกิเลสเป็นผู้หมายยึดเหนี่ยวธาตุขันธ์ อุปาทานยึดมั่นถือมั่นในธาตุในขันธ์ พยายามแก้ซิ
ความเพียรอย่าลดละ ฉันจังหันเสร็จแล้ว ทำอะไรล้างบาตรล้างอะไรเรียบร้อยแล้ว อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าอย่ามั่วสุมกัน มีธุระอะไรให้ไปทำหน้าที่ของตัวเอง นั่นคือนักปฏิบัติ คุยเรื่องนั้นคุยเรื่องนี้เสียเวล่ำเวลาหน้าที่การงานที่ควรจะปฏิบัติ ไปวันละเล็กละน้อย ไปทุกวัน ๆ เลยไม่ได้เรื่อง อย่างนี้อย่าให้เห็น นี่ไม่เคยปฏิบัติมา ตั้งแต่ออกปฏิบัติ แม้แต่เรียนหนังสือก็ไม่เคยกังวลวุ่นวายกับใครอยู่แล้ว ยิ่งออกปฏิบัติด้วยแล้วไม่มีเลย เช่นนั่งคุยอะไร ๆ กับใคร นอกจากคุยเพื่อผลเพื่อประโยชน์จริง ๆ เท่านั้น
การสนทนาธรรมะกันในทางภาคปฏิบัติ ผู้นั้นปฏิบัติอย่างนั้น ๆ มีความรู้ความเห็นอย่างนั้น ๆ คนนั้นปฏิบัติอย่างนั้น มีความรู้ความเห็นอย่างนั้น มีความรู้ความเห็นอันเป็นผลเกิดแปลก ๆ ต่าง ๆ กันมา มันเป็นคติเครื่องพยุงจิตใจกันไม่น้อย ถ้าอย่างนั้น เพลิน ฟังเท่าไรก็เพลิน นี่แหละภาคปฏิบัติ ก็คืองานอันหนึ่งของเรา ทำไมงานเรามีด้วยการประพฤติปฏิบัติ ผลทำไมจะไม่มีได้ล่ะ เหตุกับผลเป็นของคู่เคียงกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมเราทำมันจะไม่มีผล เมื่อเหตุเป็นไปสมควรแก่ผลจะพึงเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว
ความอ่อนแออืดอาดเนือยนายไม่เป็นท่านะ ตื่นขึ้นมาก็ล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย ถ้าหากมีความง่วงเหงา นั่งไปมันจะเคลิบเคลิ้ม จะทำให้ง่วงเหงาหาวนอน หรือเผลอสติสตังก็ลงเดิน แน่ะอุบายวิธีแก้เจ้าของ ถ้านั่งมันก็หลับ มันเผลอไผลไปต่าง ๆ ต้องหาอุบายวิธีแก้ตัวเอง สติเป็นของสำคัญ ปัญญาเป็นลำดับต่อไป ต้องพยายาม พิจารณาร่างกายเรา พิจารณาร่างกายนอกไม่ผิด ขอให้พิจารณาเป็นธรรม เพื่อถอดถอนกิเลสเถอะ อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา แน่ะท่านก็บอกภายในภายนอก ทั้งภายในภายนอก กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ เวทนาเหมือนกัน เวทนาในเวทนานอก เวทนาในนั่นหมายถึง สำหรับการปฏิบัติของเรา เวทนาในหมายถึงจิตเวทนา เวทนานอกหมายถึงกายเวทนา เป็นอย่างนั้น
การปฏิบัติทางกายนี้ กายนอกกายใน จะแยกออกไปนอกเช่นป่าช้า เช่นเรื่องคนอื่นสัตว์อื่นก็ได้ แต่มันห่างไกลเกินไป เวลาได้หลักแล้ว มันเข้ามานี่ กายในกายนอกมีอีกในการปฏิบัติ แต่ธรรมนี้เป็นธรรมขั้นสูง นี่มันรู้ได้ชัดว่า กายในกายนอกก็อยู่กับตัวเราเอง เช่นทีแรกก็พิจารณากาย ร่างกายส่วนหยาบนี้จนเข้าใจ รู้จริงเห็นจริงแล้วปล่อยกายนี้แล้ว มันเป็นภาพนิมิตอันหนึ่งขึ้นมา ปรุงเรื่องร่างกายนี่ ปรุงขึ้นมาพับ กำหนดพิจารณา ดับพับ ปรุงขึ้นมาพับ ดับพร้อม ๆ ก็เล่นอยู่กับนิมิตแห่งภาพของตนนั่นเอง ซึ่งเป็นกายในไป
ธรรมะนี่ขั้นสูงผู้ปฏิบัติถ้าเข้าใจ ถ้าได้รู้ได้เห็นนี้แล้วเข้าใจเอง ถ้าผู้ไม่เข้าใจพูดก็ทำให้งง เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เคยพูดกับหมู่เพื่อนในเรื่องอย่างนี้ แต่ให้มีผู้ใดมาปฏิบัติแล้วมาพูดอย่างนั้นให้ฟังซิ เราจะพูดทันที เพราะบางอย่างพูดไม่เกิดประโยชน์ ก็ไม่ทราบจะพูดอะไร เพราะมันยังไม่ถึงขั้นที่ควรจะเกิดประโยชน์ ก็ต้องรอเอาไว้ ขั้นที่ควรจะเกิดประโยชน์แล้วก็พูดเอง
พิจารณาวันหนึ่งจะได้สักกี่เที่ยวกายนี่ เราอย่านับเอาเที่ยวนะ ให้เอาความเข้าใจ เที่ยวกรรมฐานอยู่ข้างบนข้างล่าง ศีรษะลงไปพื้นเท้า พื้นเท้าขึ้นมาบนศีรษะ รอบตัวนี่ แล้วถลกมันออกซิหนัง ให้มันมาหลอกอยู่ทำไม ถลกออกด้วยการกำหนด คือการพิจารณา เอาออกเป็นส่วน ๆ หนังออกเนื้อออก เอ็นติดต่อยึดธาตุขันธ์ส่วนต่าง ๆ กระดูกชิ้นต่าง ๆ กำหนดให้เปื่อยพังลงไป แตกกระจายลงไป ดูได้เมื่อไร
บังคับจิตนี้แล้วอย่าให้ออกไปเที่ยว มันไปเที่ยวที่ไหนก็เคยไปมาแล้ว ตั้งแต่วันเกิดมีสถานีเมื่อไร หากจะได้เหตุได้ผลอะไรจากการท่องเที่ยวนั้น คนเราควรจะได้กันมากแล้ว นี่ก็ไม่เห็นได้อะไร ก็ปล่อยตามอำเภอใจ เพราะอำนาจของกิเลสผลักดันไปหรือฉุดลากไป เราก็ไป เวลานี้ไม่ต้องการคิดแบบโลก ๆ ให้คิดแบบธรรม ไปไหนนี้เจ้าของตามไป คือสติ จิตคิดไปเรื่องอะไรให้สติตามไป ปัญญาวิจารณ์ไปเรื่อย ๆ จนได้ความแล้วก็ถอยของมันเอง
การฝึกจิตต้องฝึกหลายขั้นหลายภูมิ หลายอุบายวิธี เราจะเอาแต่วิธีหนึ่งวิธีเดียวมาใช้ไม่ทัน เพราะกิเลสแหลมคมมากทีเดียว ต้องใช้อุบายวิธีหลายด้านหลายทาง บางทีจนสะดุดกึ๊กเลยก็มีมันทันกัน สติปัญญาพลิกทัน แก้กัน ขาดลงไปเลย นี่เคยปฏิบัติมาอย่างนั้น เราเคยเห็นคุณค่าของสติปัญญา ผมเคยได้เห็นคุณค่าของความเพียร ไม่เคยเห็นคุณค่าของความขี้เกียจขี้คร้าน ความอ่อนแอเราก็เคยขี้เกียจขี้คร้าน เคยอ่อนแอมาแล้ว เรียกว่าไม่มีใครสู้ ตอนที่มันไม่เห็นโทษก็เห็นคุณค่าของความขี้เกียจนั่นแหละ
แต่เวลามาปฏิบัติธรรมด้วยความมั่นใจ ด้วยความสนใจ ธรรมก็ปรากฏเป็นคู่แข่งขึ้นมาให้เห็นโทษของกิเลสจนได้ ทีนี้เมื่อได้เห็นโทษของกิเลสแล้ว ก็ยิ่งเห็นไปเรื่อย ๆ เห็นคุณค่าของธรรมไปเรื่อย เป็นคู่แข่งกันไปเรื่อย ชนะกันไปเรื่อย ไม่หยุดไม่ถอย จนกระทั่งหมดไม่มีอะไรเหลือแล้วไม่มีคู่แข่ง เอโก ธมฺโม ธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน ว่าอะไรก็ไม่แย้งใครไม่เถียงใคร ชื่อนามไม่สำคัญ ขอให้เป็น ปจฺจตฺตํ หรือ สนฺทิฏฺฐิโก รู้ประจักษ์กับจิตใจแล้วไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ต้องการสิ่งใดมาส่งเสริม หรือเหยียบย่ำทำลายอันเป็นเรื่องของสมมุติทั้งมวล ธรรมนั้นไม่ใช่สมมุติ
เมื่อถึงขั้นปกติแล้วมันก็ปกติโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง อยู่ไหนก็สบาย เอาทีนี้ เอาอะไรมาเทียบซิถ้าหากว่าจะเทียบ อะไรเป็นที่นอนใจ อะไรเป็นที่ไว้ใจ อะไรเป็นที่อบอุ่น ฝากเป็นฝากตายได้มีอะไร อันนี้มีอะไร ไม่ต้องถามรู้อยู่แล้ว อนาลโย หมดห่วงใย หมดกังวลในปัญหาทั้งมวลว่างั้น นั่นละสันติสุข นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สันติสุขอันสุดท้ายก็ได้แก่ฆ่ากิเลสให้หมดไปจากจิตใจก็สันติเอง
เท่าที่ใจไม่สันติ คือไม่สงบก็เพราะกิเลสกวน มีมากมีน้อยกวนตามความมีอยู่ของมัน หมดไปเสียโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรกวน ก็สันติเอง นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความสงบหมายถึง ความสงบราบคาบของใจที่กิเลสไปปราศหมดแล้วนั้น ความสงบของสมาธิก็เป็นขั้นเป็นตอน พอให้เราได้พักผ่อนหย่อนใจ ความสงบของความสิ้นกิเลสก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง
ปัญญาให้ขุดค้นขึ้นมาอย่าอยู่เฉย ๆ ให้พยายามวิ่งเต้นขวนขวาย การประพฤติปฏิบัติเป็นของสำคัญยิ่งกว่างานอื่นใด เราจึงต้องพยายาม ต้องกีดกันเสมอไม่ให้อะไรมารบกวน เพื่อให้พระเณรได้ปฏิบัติด้วยความสะดวกสบาย นี่แหละผมคิดกับหมู่กับเพื่อนผมคิดอย่างนั้น เพื่อหมู่เพื่อคณะ ถ้าไม่อย่างนั้น มันแหลกเหลวไปหมดแล้วแหละ กุฏิก็ไม่ทราบว่าจะกี่หลัง สำนักไม่ว่าทางพระ ไม่ว่าทางชีทางขาว เต็มไปหมด มันก็เหมือนอย่างที่เราเห็นนั่นแหละ ฮือฮา ๆ ยุ่งไม่ได้เรื่องอะไร มีแต่เรื่องอยู่เรื่องกิน เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องวุ่นวายกันทั้งวันทั้งคืน มีตั้งแต่โครงกินโครงยุ่ง โครงอรรถโครงธรรมไม่มี
การรับพระรับมากไม่ได้ก็เพราะเหตุนี้เอง ฝ่ายชีฝ่ายขาวฝ่ายผู้หญิงทางโน้นก็เหมือนกัน ได้ระมัดระวังรับมากไม่ได้ยุ่ง มันเป็นอย่างที่เราคิดไว้ทุกอย่าง ๆ แล้วเราจะฝืนความคิดได้อย่างไร คิดไว้ช่องไหน มันก็ถูกช่องนั้น ๆ มันเป็นไปตามนั้นทุกอย่าง เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็พอดี ผู้ที่มาจากที่อื่นจะมารับการอบรม เราก็ยินดีอบรมอยู่เสมออย่างนี้จะว่ายังไง ก็นำหลักที่ท่านอบรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง ก็เหมือนมีธรรมอยู่กับตัว เหมือนมีครูมีอาจารย์อยู่กับตัว ไปอยู่ที่ไหน ไม่ลดละความพากเพียร อุบายวิธีที่ท่านอบรมสั่งสอน ก็เป็นลูกศิษย์มีครู ไปอยู่ไหนก็มี
วัดป่าบ้านตาดนี่อุดมสมบูรณ์เรื่องอาหารการกิน ต้องได้ระมัดระวังเอาใครก็ดี อันนี้มันเป็นจริตนิสัยของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องครูบาอาจารย์จะเทศน์ นี่เป็นแต่เพียงว่าบอกอุบายวิธีตามที่ได้ดำเนินมาหรือปฏิบัติมาเท่านั้น อันนั้นไม่ขัดกับธรรม ให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาตัวเอง อาหารประเภทใดเหมาะกับธาตุกับขันธ์ทั้งด้านจิตใจด้วย อาหารประเภทใดเหมาะกับธาตุขันธ์ แต่ทำลายจิตใจ เป็นพิษภัยต่อจิตใจ เราก็กำหนดเสียเอง
เช่นว่าอาหารสัปปายะ ที่เป็นมัชฌิมาก็คือเป็นคุณต่อร่างกายด้วยจิตใจด้วย ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย ไม่เป็นโทษต่อจิตใจ อาหารบางประเภทมีคุณต่อร่างกายดี เวลาฉัน ลงไปแล้วมันคึกคักขึงขังตึงตัง แต่มันเหยียบย่ำทำลายจิตใจให้หมอบราบลงไป ความเพียรเขยิบไม่ขึ้น นี้ไม่จัดว่าเป็นอาหารสัปปายะ การฉันต้องเลือกต้องเฟ้นต้องพินิจพิจารณา พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ตรงไหน ผิดที่ไหน
เสนาสนะสัปปายะ ที่อยู่ที่พักอาศัยเป็นที่สงบงบเงียบ สะดวกสบายในการประกอบความพากเพียร เสนาสนะสัปปายะหรืออาวาสสัปปายะ ปุคคลสัปปายะ ก็คือเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกันไปด้วยกัน จะไปประกอบความพากความเพียรในสถานที่ใด ไปด้วยกันก็ตามอยู่ด้วยกันก็ตาม ไม่เป็นข้าศึกต่อกันด้วยทิฐิความรู้ความเห็น ไม่ขัดแย้งต่อหลักธรรมหลักวินัย ตลอดการประพฤติปฏิบัติไม่ขัดแย้งต่อหลักธรรมหลักวินัย มีทิฐิ มีความรู้ความเห็นอย่างเดียวกัน การประพฤติปฏิบัติ ตามหลักธรรมหลักวินัยแบบเดียวกัน นี่ก็เรียกว่าปุคคลสัปปายะ บุคคลเป็นที่สบาย ก็เพื่อนฝูงนั้นแหละเป็นที่สบาย ใกล้ชิดยิ่งกว่าบุคคลภายนอกเป็นไหน ๆ เราบวชมาเราไปยุ่งกับใคร นอกจากเพื่อนฝูงคือเพศสมณะด้วยกัน อุตุสัปปายะ อากาศไม่ร้อนจนเกินไป ไม่หนาวจนเกินไป หรือไม่อึดอัด พออยู่พอไป นี่สถานที่ประกอบความเพียร ทีนี้เราก็ได้ประกอบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ในวัดนี้ก็สะดวกสบายในการประกอบความเพียร เพราะป่ามีมากอยู่โดยลำพัง ๆ เราสงวนไว้ พระเณรก็ให้พอดีกับสถานที่ประกอบความเพียร ไม่ให้มากเดี๋ยวเฟ้อ เพ่นพ่าน ๆ ๆ ไม่ดี ระมัดระวัง สิ่งภายนอกที่จะมายั่วยวนกวนใจก็ไม่มี ระมัดระวัง ใครที่จะมารบกวนความพากเพียรเราก็ได้ระมัดระวัง สิ่งที่จะมายั่วกิเลส ความสะสางกิเลสให้กลายเป็นความสั่งสมกิเลสขึ้นมาเราก็ระวัง
สถานที่นี่จึงเป็นสถานที่เสาะแสวงหาธรรมโดยถ่ายเดียว ไม่มีการเสาะแสวงหาด้านวัตถุ ชมเชยทางด้านวัตถุว่าเป็นของดี มีราคา มีคุณค่า จนกลายเป็นเรื่องเสาะแสวงหาไปเป็นเงินเป็นทอง เป็นวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ชนิดต่าง ๆ หรูหราไปหมด แต่จิตใจแห้งผาก อันนั้นใช้ไม่ได้ นี่พยายามระมัดระวัง
การปฏิบัติต่อหมู่ต่อเพื่อนเราก็นำหลักการปฏิบัติของเราที่เคยดำเนินมาแล้ว และครูบาอาจารย์พาดำเนินมา เราก็ยึดมาจากครูบาอาจารย์มาสอนหมู่เพื่อนปฏิบัติต่อหมู่เพื่อน ถ้ามันจำเป็นต้องไปเช่นบ้านคนตาย กุสลา มาติกา มันแยกกันไม่ออก เขาติดสันดานมาตั้งแต่เกิด นี่จะว่ายังไง อย่างนี้มันฝังลึก เราก็อนุโลมไปเสียเราก็รู้ อันไหนที่ควรลดหย่อนผ่อนผัน พอถอดพอถอนได้ ให้เบาบางลงไปกว่านั้นเราก็ทำ อันไหนไม่พอจะเป็นไปได้ เราก็ปล่อยไปเสียตามนั้น เพราะเป็นชั่วกาลชั่วเวลาเท่านั้น
เขาถือเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าภาคไหนในเมืองไทยเรานี้ เมื่อคนตายแล้วต้องเกี่ยวกับพระ พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ระลึกถึง พระองค์ที่ว่ากล้าหาญเต็มที่ ขี้ขลาดเต็มตัวจนจะตาย ท่านไปภาวนาอยู่ในถ้ำ อดอาหาร เที่ยวไปนั่งอยู่ตามทางเสือ ทางอะไรนั่นแหละ น่าเสียดายนะพระองค์นี้ ถ้าหากว่าจิตใจได้เหนี่ยวรั้งครูอาจารย์ไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จริง ๆ ก็จะไม่เสีย นี้สึกไปแล้ว ทราบว่าสึก แต่ผมไม่เห็น ได้ทราบว่าสึก
แต่ก่อนแกเคยเป็นนักเลง จิตใจ อู๋ย เด็ดมาก สมเป็นนักเลง ว่าไป -ไป ว่าอยู่ -อยู่ จริงจังมากทีเดียว ตอนแกปฏิบัติตัวเอง แกก็จริงจัง กลัวผีนี้เป็นเบอร์หนึ่ง เวลาจะแก้ แก้จนกระทั่งกล้าหาญเบอร์หนึ่งเหมือนกันในตัวเอง ไม่มีสะทกสะท้านเลยเรื่องผี ไปที่ไหนอยู่ได้หมด เพราะการแก้ได้ ไม่ใช่มันหายไปเฉย ๆ หายด้วยอุบายวิธีแก้ด้วยธรรม มีความรู้แปลก ๆ เหมือนกันพระองค์นี้ เวลานั่งภาวนากลางคืน เขาตายในบ้านรู้แล้ว เอ้อ ! วันพรุ่งนี้จะมายุ่งเราอีกแล้ว นี่คนตายแล้วในบ้าน นั่นท่านรู้นะ แล้วจริง ๆ
แถวนั้นก็ไม่มีพระ สถานที่อยู่ ถ้ำกับป่าช้าห่างกันเท่าไร กี่กิโล ตั้งห้าหกกิโล ลงไป ข้าวก็ไม่ได้กิน แทบล้มแทบตาย เมื่อยล้าก็ต้องได้ไป นี่แหละเรียกว่ามันแยกกันไม่ออกอย่างนี้ คนตายรายใดเป็นรู้ แปลกอยู่นะพระองค์นี้ท่านบอกนะ มันรู้ และแน่ด้วย ถ้าสมมุติว่าเป็นแบบโลก ๆ ก็ว่าพนันกันได้เลย บ้านนี้เขาตายแล้วคืนนี้เขาจะมานิมนต์เราแล้ว บางทีก็มีเทพ พวกเทพมานะ ท่านก็พูดถึงเรื่องเทพดีเหมือนกัน เทวดาที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ไม่ใช่เป็นรุกขเทวดา รักษาดินว่างั้น อันนี้แกไม่มีเรียนมากนะ มันเป็นขึ้นตามนิสัย
อย่างนี้แหละจิตเมื่อมีความสงบเข้าไปแล้ว ไอ้เรื่องนิมิตต่าง ๆ ที่จะมาปรากฏตามจริตนิสัย หรือไม่ปรากฏนั้น ก็เป็นตามจริตนิสัยด้วยกัน ไม่ต้องเรียนอันนี้เป็นขึ้นมาเอง เมื่อเป็นขึ้นมาแล้วนั้นแหละ ต้องเรียนวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งนั้นให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นผิดได้ เพราะอันนี้ไม่ใช่ของดีโดยถ่ายเดียว ถ้าหากเราได้รู้วิธีปฏิบัติกันโดยถูกต้องแล้ว ก็เป็นเครื่องมือได้ดี อันนี้พวกนักปฏิบัติรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ
สมัยที่ปฏิบัติอยู่ด้วยกันนี้ก็เคยเล่าสู่กันฟังสนุกสนานดีเหมือนกัน ที่เราเขียนในปฏิปทาหรืออะไรนั้นมีแต่ความจริงทั้งนั้นนะ เช่น บางองค์อย่างนี้ เขียนเรื่องราวขององค์ไหนออกมา หากแต่เราไม่ระบุเท่านั้นแหละ เอาเรื่องของท่านองค์นั้น ๆ ออกมาเลย เป็นความจริง ๆ เป็นบางรายก็ไปอยู่ ความรู้รู้เหมือนกัน นี่ก็ค้านกันไม่ได้ เอ้าองค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้น เอ้าองค์หนึ่งไปอยู่ถ้ำนั้นได้ ๓ คืน เผ่นมาแล้ว
มาหากัน โอ๊ย อยู่ไม่ได้ ไม่ทราบเป็นยังไงมันผีหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ ผีกามมาลาก มันเอาศีรษะห้อยลงเพดานถ้ำนี่ มันหย่อนลงมานี้ ต้องขออภัยนะ มันเอานมมาใส่ตัวเรา เอาหัวหย่อนมานี่มาทำ.แผ่กุศลธรรมอะไรมันก็ไม่ยอมรับว่างั้น เจริญเมตตามันไม่รับ มันจะรับแต่กามกิเลส อยู่นี่ ๓ คืนไม่ได้หลับได้นอนเลย มันมาแสดงอยู่อย่างนั้นก็เลยลงไป ไปหาเพื่อนอีก ก็เล่าเรื่องให้ฟัง
เอ้า ถ้างั้นอยู่ถ้ำนี้ผมไปเองนะ พระองค์นั้นก็รู้เหมือนกัน มีความรู้ทางนี้เหมือนกัน ไปอยู่นั่นก็เหมือนกันได้ ๒ คืน เผ่นมาเลย โอ๊ย จริง ๆ เอ๊ มันเทวดาอะไร พวกนี้มันผีอะไรทำไมมันกรรมหนักกรรมหนาเอานักหนานะ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มีแต่จะเอาท่าเดียว เรื่องกิเลสกับเรื่องกาม กามราคะ ทำอะไร ไม่ยอมรับ เรียกว่าพวกนี้พวกหนาแบบบอกบุญไม่รับ ไม่ค้านกันนะ รู้จริง ๆ ทำแบบเดียวกันแหละว่างั้น ทีแรกองค์นี้เล่าให้ฟังก่อน เอ้า ผมลองดูหน่อย มันเป็นยังไงว่ะ เป็นที่รู้กัน ไป โอ๊ยยอมรับ แน่ะ อย่างนั้นละถ้ามันเห็นเหมือนกันรู้เหมือนกัน ค้านกันได้ยังไง เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นสัญญาอารมณ์ ปุ๊บปั๊บท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้วนี่เข้าใจแล้ว เข้าใจวิธีปฏิบัติ
สัญญาอารมณ์ไปหลอกเจ้าของก็มี เช่น บอกไปอย่างนั้น แล้วไปเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมาก็มี แต่นี้เป็นผู้มีพื้นเพทางนี้อยู่แล้วด้วยกัน เข้าใจด้วยกัน เคยพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจอะไรต่ออะไรให้กันฟังจนเคยชิน หรือเป็นที่แน่ใจต่อกันและกันแล้ว เหมือนอย่างว่ามีอะไรอยู่นั้นน่ะผมถึงได้มานี่ เอาเถอะท่านไปดูซิ โอ้ ใช่ แน่ะ ตาเรามีเราก็มองเห็น อ๋อ ใช่ แน่ะเป็นอย่างนั้นจะว่าไง หูเรามีก็ได้ยิน ภายในมันก็เป็นเหมือนกัน
แต่นี้เราพูดเมื่อมันมาสัมผัสแล้วเราก็พูดไปเฉย ๆ ไม่ใช่หลักปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรสนใจ ให้สนใจต่อความเพียรของตนนั้นเป็นสำคัญมาก ให้เอาให้จริงจัง เอ้า ตายก็บูชาเถอะ บูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม เป็นการบูชาเลิศทีเดียว ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน โหติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่า บูชาตถาคต ปฏิบัติก็บูชาได้ ตายก็บูชาได้ เอาให้เห็นความจริง ขุดค้นลงไปถึงเวลาจะขุดค้น สติปัญญามี สิ่งที่มาสัมผัสเหล่านั้นจะเป็นหินลับปัญญาทั้งนั้น ซึ่งแต่ก่อนเป็นข้าศึกมาครอบงำจิตใจเราให้จนจะเป็นจะตายก็มี สติปัญญามันดิ้นของมัน ฟัดกันไปจนรู้ประจักษ์ นี่ถ้าจะพูดแบบโลก ๆ ก็หัวเราะแหะ ๆ ต่อหน้านี่จะว่าไง เพราะมันแก้ของมันได้
นี่อุบายสติปัญญาจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เวลาเข้าคับขัน เมื่อความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของเรามีอยู่แล้ว มันหากแข็งแกร่งของมันเอง เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย พอมันได้ปักลงอย่างนั้นแล้ว มันเหมือนหินหักพุ่งเลยเทียว สู้ตายไม่เสียดายถึงเรื่องโลก มันเกิดมากับโลกก็ตายไปแบบโลก ๆ นี่เราเกิดมากับโลก เราจะให้เป็นธรรม ตายไปด้วยธรรม ให้ผิดกับโลกตรงนี้ นั่นความคิดเรื่องปัญญาของเราก็ต้องใช้อย่างนั้น
เทศน์เพียงแค่นี้ก่อน