พ่อแม่ครูจารย์เวลาเราไปเที่ยวหรือมาธุระอุดรฯก็ดีท่านหาอุบายพูดทางโน้น เวลาหมู่เพื่อนมาหาท่านมาก ๆ ท่านจะว่าตรงนั้นแหละ เอ๊ ท่านมหานี่ไปนานแล้วนะ ตามธรรมดาท่านก็เคยถามอยู่เสมอถามอย่างนี้ แต่ที่ปัญหาละซีที่สำคัญ เช่น อย่างเราไปเที่ยวในป่าในเขาอย่างนี้ไม่น่าที่ท่านจะพูดนะ ทำไมท่านพูดออกมาอย่างนั้น เอ๊ ท่านมหาไปหลายวันไม่เห็นมานะ ไปหาซดซ้ายซดขวาอยู่ที่ไหนนา มาอุดรฯนี่ก็เหมือนกัน ไปหาซดซ้ายซดขวาอยู่ที่ไหนนา เข้าไปในป่าในเขาไปฝึกทรมานเจ้าของอย่างเต็มที่เต็มฐาน สถานที่บางแห่งเอาชีวิตมอบเลย เราทำขนาดนั้น ท่านยังเอาอุบายนี้ออกมา เอ๊ ท่านมหานานมา ไปหลายวันนา ไปมัวซดซ้ายซดขวาที่ไหนนา ไม่เห็นได้ธรรมะมาพูดสู่กันฟังว่ะ ท่านมหามาทีไรได้มีปัญหามาทุกทีนะ ท่านว่าอย่างนี้
แล้วทีนี้ท่านอาจารย์มั่นก็ดี พระสงฆ์ในวัดทั้งหมดก็ดีองค์ไหนที่เห็นผมฉันช้อน ผมไม่เลย ไปเบื้องต้นก็เห็นท่านฉันด้วยมืออยู่แล้วผมก็ฉันด้วยมือ พอท่านพูดขึ้นปั๊บไปทักขึ้นในจิตปุ๊บเลยทันทีไม่มีถอน ผมไม่เคยทำเลยท่านพูดทำไมอย่างนี้ ถ้าไม่ตีหน้าผากผู้ที่ดื้อ ๆ มันแอบแฝงทำอยู่นั่นมีอยู่เราก็เห็น แล้วตาท่านอาจารย์มั่นด้วยแล้วทำไมจะไม่เห็น ท่านหาอุบายตีองค์นั้นท่านไม่บอกตรง ๆ เพราะท่านเคยพูดให้ฟังท่านก็พูดแล้ว ถึงผู้นั้นไม่ได้ยินก็ต้องเล่าสู่กันฟังเรื่องสำคัญ ๆ อย่างนี้ ท่านเคยพูดเสมอนี่
ท่านจะพูดเรื่องของผมจริง ๆ เหรอ หมู่เพื่อนฟังซิเวลาหมู่เพื่อนมาเล่าให้ฟัง หมู่เพื่อนเคยเห็นผมฉันช้อนไหม รู้ไหมว่าท่านตีหน้าผาก ให้รู้ตัวนั่นน่ะ ผมไม่เคยทำมาอยู่กับท่าน ผมก็แน่ใจว่าท่านเชื่อว่าผมไม่ทำ ไปอยู่ที่ไหนผมก็ไม่ทำแต่ท่านทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะท่านเห็นแล้วความตั้งใจของเรา ท่านเคยแสดงออกมาอยู่เสมอเรื่องความตั้งใจของเรา ท่านไม่ได้บอกว่าเราตั้งใจก็ตาม แต่กิริยาที่แสดงออกมานั้นเป็นการบอกอยู่ชัด ๆ ว่าท่านทราบทุกอย่างว่าเราทำยังไง เช่น เราไม่ฉันนมอย่างนี้ เวลาเขาเอานมมาถวาย ให้ผสมผเสิมอะไรใส่มันเทนมลงไปแล้วก็แจกพระ ผมไม่เคยฉัน
แม้แต่ผมเรียนหนังสือผมยังไม่ฉันนมเพราะธาตุของผมมันผิด นอนเฉย ๆ นี่ไม่ต้องฝันละนะเพราะกำลังมันเต็มที่ของมันอยู่แล้ว แต่จะว่าเป็นราคะจริตก็ไม่ใช่นะ ราคะจริตมันต้องเพลิดต้องเพลินไปข้างนอกนู่นหาเรื่องกามกิเลส แต่มันไม่ไป ธาตุขันธ์มันเต็มที่ของมัน บางทีมันก็แสดงไม่ได้ฉันนมก็ตามมันจะปวดที่ตรงตานกเอี้ยง มันจะปวด เจ้าของรู้ตัวนอนได้ระมัดระวัง นาน ๆ มาทดลองฉันนมดูนี้มันก็เห็นอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องตัดขาดเลย เวลาปฏิบัติยิ่งเป็นเรื่องเฉียบขาดด้วยแล้วผมไม่แตะเลย นี่ท่านก็เห็น เหตุที่ท่านจะเห็นก็เวลาชงขนมอะไรเอานมใส่นี้ แบ่งให้ท่านมหาก่อนนะท่านมหาไม่ฉันนมนะ แบ่งให้ท่านมหาก่อนนะ นี่คือประกาศสอนพระเณรทั้งหลายนั่นเองพูดง่าย ๆ ดูซิอุบายของท่าน ไม่เพียงแต่พูดกับเรายังเอาเราเป็นเหตุอีกด้วย
สมาทานธุดงค์ก็ขโมยทำอยู่คนเดียว ผมตั้งแต่ไปอยู่กับท่านปีแรกพอท่านอธิบายธุดงค์ให้ฟังเท่านั้นแล้วก็จับปุ๊บเลย ไม่เคยละตั้งแต่นั้นมาตลอดสาย ไม่ว่าปีไหนไม่เคยเว้นเลย ทำคนเดียวของเรา เวลาบิณฑบาตมาแล้วก็จัดอะไรปุบปับ ๆ อันไหนของดีรู้แล้วว่าถูกกับธาตุขันธ์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ก็เก็บเอาไว้ ๆ ของเราเราจัดไว้ในบาตร ใส่บาตรเรียบร้อยแล้วปิดฝาบาตรแล้วเอาผ้าปิดอีกที แล้วเอาไว้ติดกับฝาบังต้นเสาเอาไว้แล้วก็ไปจัดอาหาร ท่านรู้จนได้ บางทีก็บุกเข้ามาเลย เอ้า ๆ ทายก ทายกแปลว่าผู้ให้ ทายะกะแปลว่าผู้ให้ ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นฆราวาสนะ ทายะกะแปลว่าผู้ให้ พูดกลาง ๆ โฮ้ ทายกมาสายว่ะ ๆ ขอใส่บาตรหน่อย ๆ ท่านว่าอย่างนี้ มามือท่านมาพร้อมนะ เราก็จะทำยังไงก็ต้องรับ จำเป็นต้องรับเพราะความเคารพท่าน วันนั้นเราก็ยอมขาดธุดงค์
ท่านรู้อะไรยิ่งกว่าเรา ท่านกลัวเราจะเป็นทิฐิอะไรอันหนึ่งท่านมาหักไว้เสียบ้าง มันจะเป็นทิฐิอันหนึ่ง แม้จะอาศัยธุดงค์ก็ตามแต่ทิฐิที่เป็นกิเลสคอยจะแทรกมันมี ท่านเลยมาหักปุ๊บเอาเสียบ้าง แต่คนอื่นจะมาใส่ผมไม่ได้เป็นอันขาดนะ บอกว่าไม่ได้เป็นอันขาดทีเดียว ผมห้ามขาดเลยใครมาแตะไม่ได้บาตรผมมาใส่บาตรผม แต่พ่อแม่ครูอาจารย์ทำผมยอมรับ เพราะความรู้ของท่านเป็นยังไงเราเชื่อความรู้ของท่าน ท่านไม่ได้มุ่งจะมาตัดธุดงค์ของเราให้ขาด ท่านจะตัดกิเลสตัวทิฐิอันใดอันหนึ่งของเราที่มันถือเอาเสียจนไม่มีเหตุมีผลอะไร หรือว่าเป็นความดิ่งของทิฐิอันหนึ่งโดยอาศัยธุดงค์เป็นเหตุ เราก็ทราบไม่ได้นี่ แต่ท่านไม่ได้ทำบ่อย ๆ นะ นาน ๆ ท่านทำที
เรื่องอะไรสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คุยจะให้ท่านได้หนักใจเพราะผมนี้ปรากฏว่าไม่มีนะ เพราะเราพร้อมอยู่เสมอที่จะฟังท่านอะไรท่าน เห็นว่าควรจะแก้ไขยังไง ท่านว่าตำหนิตรงไหนนี้เราจะแก้ไขทันที ๆ แล้วฝังใจด้วย ๆ จริงจังอย่างนั้นตลอดเราไม่เคยเหลาะ ๆ แหละ ๆ นี่ เพราะฉะนั้นเวลามาอยู่กับหมู่กับเพื่อนสั่งสอนหมู่เพื่อนไม่ได้เรื่องได้ราว บางทีพูดกับองค์นี้แล้วแทนที่มันจะทั่วถึงไปมันไม่ทั่วถึง แล้วองค์นั้นมาเคลื่อนตรงนี้ให้เห็นอีก ถ้าได้พูดกันบ้างไม่ควรจะมาเคลื่อนอย่างนี้ นี่เป็นเหตุให้เราคิดมากเหมือนกัน
เรื่องเราได้ยินจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่างนี้ต้องรีบกระซิบหมู่เพื่อน กระซิบกันท่านว่ายังไง นี่บอกองค์หนึ่งเดี๋ยวยังองค์หนึ่งมาเคลื่อนอีก ที่เก่านั่นแหละ เรื่องเก่านั่นแหละ เดี๋ยวองค์หนึ่งมาเคลื่อนอีก แสดงว่าไม่พูดไม่บอกกันไม่สนใจ หรือบอกกันไม่ได้หรือมีทิฐิมานะกระทบกระเทือนกันหรือก็ไม่ใช่ มันหากเป็นความเฉย ๆ เมย ๆ อะไรอยู่ในใจนั่นแหละ มันไม่ฝังมันไม่แน่น หลักจิตไม่ดีไม่จริงจัง
ผู้จะฆ่ากิเลสต้องเอาจริงเอาจังซิ นี่ได้ดำเนินมาแล้วเรื่องกิเลส อะไรจะแหลมคมยิ่งกว่ากิเลส อะไรจะเหนียวแน่นยิ่งกว่ากิเลสไม่มีในโลกอันนี้ ทุกข์ทรมานไม่ว่าสัตว์ตัวใดบุคคลผู้ใดในโลกนี้ที่หาความสุขไม่ได้ มีแต่ทุกข์เหยียบย่ำทำลาย ก็เพราะเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เรายังไม่เห็นโทษของมัน เรามาบวชในพระพุทธศาสนานี่เป็นหน้าที่โดยตรงแล้ว เป็นผู้เห็นภัยอยู่แล้วในเรื่องของกิเลส อุบายวิธีที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนอันใดเป็นเครื่องแก้กิเลสทำไมจะนอนใจ ท่านไม่ได้พูดแบบสุ่ม ๆ เดา ๆ
เมื่อเช้านี้ได้พูดกับท่านสิงห์ทองพูดอย่างนี้แหละ พูดให้ฟัง ท่านจะแก้หรือไม่แก้ก็ตามมองดูแล้วเราเป็นยังไงมันสะดุด เพราะได้เคยไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ด้วยกันแล้วนี่ มันอะไรในจิตอยู่นี่ สะดุดอยู่ในจิต มองไป โห ซดกันเป็นแถวในชามน้อย ๆ ในวัดท่านสิงห์ทอง แล้วกันมันเป็นหลักปฏิบัติอันหนึ่งแล้วนี่นึกในใจ จนกระทั่งไปถึงเณรน้อยเราไปดู ไม่เห็นเวลาเราดู มัวแต่รสเหยียบหัวใจอยู่นั่น รสอะไร รสอาหารเหยียบเอา รสธรรมเลยขึ้นไม่ได้ซิตายพินาศฉิบหายหมด รสอาหารมันเหยียบ รสลิ้นมันไปเหยียบ รสอาหารเข้าไปเหยียบลิ้น รสลิ้นก็เหยียบธรรมแหลกกระจัดกระจายไม่มีเหลือ จึงได้เตือน จะแก้ไขไม่แก้ไขยังไงก็บอกทุกคนแล้วนี่
ท่านสิงห์ทองก็เป็นพระวัดนี้ เคยอยู่ด้วยกันเคยติดสอยห้อยตามผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่ห้วยทรายก็เหมือนกัน อยู่หนองผือแม้ท่านจะไม่ได้มาจำพรรษาหนองผือด้วยกันก็ตาม แต่ท่านก็อยู่โคกมะนาวใกล้ ๆ ๓ กิโลเมตรเท่านั้น ก็เหมือนกับอยู่ที่นั่น ถึงวันประชุมอุโบสถก็มาฟังการประชุมอุโบสถทุกอุโบสถ เราไม่อยากเห็นอย่างนั้น แล้วเวลาฉันจังหันก็ผ้าหลุดลุ่ยลงมานี้ มัวแต่เพลินกับรสเท่านั้นผ้าหลุดลงไปก็ไม่เห็นไม่สนใจ ดูไป ๆ กลัวจะบกจะพร่องกลัวจะเผลอเนื้อเผลอตัวอะไร จึงได้ไปดู ๆ แล้วเป็นยังไง นาน ๆ ดูทีหนึ่ง
พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เป็นแบบฉบับได้อย่างไม่สงสัย ผมนี่มอบร้อยเปอร์เซ็นต์ชีวิตจิตใจของผมไม่มีความหมาย รวมอยู่ที่ธรรมของท่าน โอวาทของท่านที่สั่งสอนทั้งนั้น เป็นก็เป็นตายก็ตาย เห็นบุญเห็นคุณของท่านเห็นจริง ๆ เราจะได้อุบายวิธีการต่าง ๆ มาฝึกทรมานตนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอุบายของท่านที่แนะนำสั่งสอนด้วยความเมตตาจริง ๆ เอาจริงเอาจังเทศน์เข้มข้นเพราะท่านนิสัยอาจหาญ นิสัยอาชาไนย สง่าผ่าเผย อาจหาญ จริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วท่านจริงจัง ละความชั่วท่านก็จริงจัง ไปดูท่านแล้วจึงว่ายอมทันทีตั้งแต่วันก้าวเข้าไปทีแรก ดูอะไร ๆ หาที่เคลื่อนคลาดไม่ได้
เพราะหลักธรรมหลักวินัยเราก็เรียนนี่ ท่านปฏิบัติยังไง ๆ มันก็รู้หมดน่ะซี ต้นกับปลายตรงกัน ต้นกับปลายคือว่าการพูดการแนะนำสั่งสอนเด็ดเดี่ยวอาจหาญถูกต้องตามอรรถตามธรรม การประพฤติท่านก็ดำเนินตามนั้น ไม่มีข้อใดที่จะขัดแย้งต่อหลักธรรมหลักวินัย เมื่อเราหาของจริงแล้วเราไม่ยึดเอาเราจะทำยังไงเราจะไปหาอะไรให้วิเศษวิโสยิ่งกว่านั้น เราจึงต้องพยายามท่านตำหนิตรงไหนท่านว่าตรงไหนนี้จะต้องยึดทันที ๆ ไม่ให้หลุดลอยไปได้แหละ ยึดทันที ใครไม่ปฏิบัติเราเอาคนเดียวเรา แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งหยาบ ๆ ควรปฏิบัติได้
ดังที่ท่านเคยพูด ท่านพูดน่าสลดสังเวช ท่านพูดด้วยความรู้จริงเห็นจริงภายในของท่านจริง ๆ ที่แสดงออกมาสอนท่าน ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านฉันข้าวในบาตรแล้วก็ฉันด้วยช้อน ธรรมท่านผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา โอ้โห เหมือนน้ำไหลไฟสว่างไปเลย ผุดขึ้น ๆ มาเหมือนกับว่าสอนเราผึง ๆ ขึ้นมาเลย ท่านว่าอย่างนั้น ฉันก็ฉันเพื่อเห็นภัย ยืนเดินนั่งนอนเพื่อเห็นภัยและในขณะเดียวกันเพื่อคุณธรรมทั้งหลาย ทำไมเวลามาฉันจึงเห็นแก่ลิ้นแก่ปากอย่างนี้ นี้หรือผู้เห็นภัยเป็นอย่างนี้หรือ เด็ดเผ็ดร้อนมากเหมือนกันอุบายที่ผุดขึ้นมาในเวลานั้น นี้ไม่ใช่ผู้เห็นภัยนะนี่ ผู้ที่นอนจมอยู่ในวัฏสงสารหาเวลาพ้นไปไม่ได้แบบนี้น่ะ พอเป็นอย่างนั้นแล้วจิตมันก็สลดทันที
นี่ก็ขอร้องท่านนะเวลาท่านจวนตัวเข้ามาเต็มที่แล้ว ขอให้ท่านซดช้อนเพราะบิณฑบาตก็ไม่ได้แล้ว ท่านก็ยังไม่ยอม แต่มันจำเป็น พาลูกศิษย์ลูกหาบึกบึนมาก็พอแล้ว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จะปฏิบัติต่อธาตุต่อขันธ์ พอจะเป็นไปได้ได้วันหนึ่งสองวันก็เป็นที่ภาคภูมิใจแก่สัตวโลกทั้งหลาย ขอให้พ่อแม่ครูอาจารย์ได้ทำตามธาตุตามขันธ์ ไม่มีใครจะมายึดแหละไม่ใช่พระเทวทัตมาอยู่ที่นี่ ถ้าเป็นพระลูกศิษย์มีครูแล้วไม่มีใครจะยึด
ผมละเป็นตัวสำคัญกับพ่อแม่ครูอาจารย์ผู้อื่นไม่กล้าพูด ผมมันกล้า กล้าด้วยเหตุด้วยผล ใครจะมายึดพ่อแม่ครูอาจารย์ในเวลานี้ ใครยึดก็เป็นเทวทัต เราว่างั้น ถ้าลูกศิษย์มีครูแล้วไม่ยึด เพราะธาตุของพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นยังไงเวลานี้ใครก็รู้ พ่อแม่ครูอาจารย์มีความสะดวกสบายด้วยการขบการฉันด้วยวิธีใดก็ขอนิมนต์เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก อยู่ไปกี่วันก็เป็นประโยชน์แก่โลกไม่ใช่น้อย ๆ ฉันไม่สะดวกอะไรไม่สะดวกธาตุขันธ์ก็ยิ่งทรุดลงไป ๆ แล้วก็ยิ่งมีแต่ทางเสื่อมทางเสียโดยถ่ายเดียว ท่านก็ฉันบ้าง สักเดี๋ยวท่านก็พลิกอีกแหละ เราเอาอีก เพราะนิสัยของท่านนิสัยปัญญานี่ พลิกพับ ๆ ๆ
จัดที่หลับที่นอนให้เราก็พยายามเต็มที่เต็มฐาน เราจัดที่นอนให้ท่านปูเสื่อปูอะไรที่นอน ท่านบอกอย่างดีนะบอกอย่างนี้ ๆ โอ๊ย จดจำเก่งยิ่งกว่าอะไรนะ เราก็พยายามทำไม่นานพลิกปุ๊บ แต่ก่อนได้ยินแต่เพื่อนฝูงเล่าให้ฟัง ครูบาอาจารย์ผู้ท่านปฏิบัติมาก่อนเล่าให้ฟังถึงเรื่องทำกับพ่อแม่ครูอาจารย์นี้มันไม่ถูกแหละ เพราะมันไม่ถูกอยู่ที่หัวใจเรา เดี๋ยวท่านก็พลิกเดี๋ยวท่านก็ดุเราก็จำเอาไว้ ก็จริง ทำเหมือนกับว่าจะเอาดินสอขีดไว้โน่นละ แม้แต่วางกาก็เหมือนกับจะเอาดินสอขีดเอาไว้ กำหนดไว้ให้ดี สุดท้ายก็เอาปั๊บอีกแหละ ทำไมทำอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ ๆ ซี ท่านก็พลิกไปนิดหน่อยเท่านั้นละไม่มาก
ความจริงคือจิตของเราพอเห็นว่าถูกแล้วมันนอนใจนะไม่ระเวียงระวังมันนอนใจ ท่านพลิกปั๊บตรงนั้นไม่ให้นอนใจ ให้ได้ใช้ความคิด ......ความหมาย เรารู้ตามหลังนั่นน่ะ อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ท่านให้ใช้ความคิดไม่ใช่ทำแบบเซ่อ ๆ ถูกอยู่กับคำว่าถูกนอนอยู่นั้นเสีย ไม่ได้ใช้ความคิดเลยไม่เกิดปัญญา นี่สอนให้เกิดปัญญาจะว่าไง ท่านสอนเพื่อความฉลาดทุกระยะ แล้วท่านก็พลิกเรื่อย ๆ แต่ก่อนเราก็ไม่เข้าใจอะไรนัก ทีนี้ต่อมา ๆ เข้าใจ อ๋อ เป็นอย่างนั้น ๆ เพราะท่านไม่ได้คุ้นกับอะไรจิตท่าน แล้วอุบายวิธีที่ไม่คุ้นกับอะไรนั้นน่ะ มันเป็นอุบายที่ถูกต้องสำหรับผู้มีกิเลสที่จะถอดถอนกิเลส ความนอนใจไม่ใช่เป็นสิ่งถูกต้อง นี่ยอมรับท่าน
เพราะฉะนั้นหมู่เพื่อนที่มาศึกษาอบรมที่นี่ขอให้ตั้งอกตั้งใจ นี่ได้พยายามทุ่มเทลงเต็มสติกำลังความสามารถ ในบางครั้งก็เทศน์จนสุดความสามารถของตัวเอง บางครั้งก็เทศน์ประปรายเป็นธรรมดา แต่เมื่อสรุปความลงแล้วว่า เราไม่เคยมีอะไรลี้ลับต่อหมู่เพื่อนทั้งปฏิปทาการดำเนินมา หนักเบาลำบากลำบนแค่ไหนก็นำมาพูดไม่ใช่นำมาอวด ให้เป็นคติแก่หมู่แก่เพื่อน นี่คืออุบายวิธีถอนกิเลสควรหนักต้องหนัก ควรลำบากต้องลำบาก ควรสละเป็นสละตาย เอ้า สละ ไม่เช่นนั้นไม่ถึงกับกิเลส หนังถลอกก็ไม่ได้ ถ้ากิเลสมีหนังก็ไม่พอหนังถลอกเลย
ต้องเอาให้มันจริงมันจังถึงคราวที่จะเอา ถึงคราวที่ธรรมดาก็มี ถึงคราวที่จะหนักแน่นหรือเน้นหนักลงไปในจุดสำคัญ ๆ ขนาดชีวิตสละได้ก็เอา อย่างนั้นจึงเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสจริง ๆ มันหากมีจังหวะที่ควรจะเด็ดมันหากมีอยู่ในหัวใจเจ้าของนั่นแหละ ถ้าผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมและใช้ความพินิจพิจารณาบ้างแล้วมันหากมีวาระที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มถอนตัวไม่ได้ ต้องพุ่งข้างหน้าเลย ไม่ตายให้รู้ไม่รู้เอ้าตายก็ตาย มันมีถึงจังหวะแล้ว เคยทำมาอย่างนั้น
ไม่ได้คิดว่าจะได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์ของหมู่ของเพื่อน ถ้าพูดถึงเรื่องความโง่เขลาเบาปัญญา จิตฟุ้งซ่านรำคาญจนไม่มีวันมีคืน แต่แทนที่มันจะเป็นไปอย่างนั้นมันก็ไม่ทนกับการฝึกการทรมาน เวลามันคึกคะนองขึ้นมาก ๆ ก็เอาให้หนักมือ ตัดลงทุกด้านทุกทาง อาหารก็ตัดแต่ความเพียรเร่ง กิเลสตัดลง ๆ ดัดสันดานมันทุกแง่ทุกมุม มันเกี่ยวกับเรื่องร่างกายทับถมจิตใจ ร่างกายมีกำลังมากมันทับใจ การดำเนินทางด้านจิตใจไม่สะดวกต้องตัดกำลังทางร่างกายลงไป เช่นอย่างอดอาหารเป็นต้น นี่อุบายวิธีการฝึกตัวเองต้องเป็นอย่างนั้น
อยู่โดยลำพังของจิตไม่เกี่ยวกับเรื่องร่างกาย เวลามันผาดโผนขึ้นมามันก็จำเป็นต้องเกี่ยวกับจิต ถึงร่างกายไม่มีกำลังจะทับจิตใจก็ตาม ไม่รู้สึกว่าเป็นการทับจิตใจก็ตามแต่กิเลสมันทับจิต ถ้าไม่แยกไม่แยะไม่พินิจพิจารณา ไม่ทุ่มลงไปเต็มสติกำลังความสามารถจริง ๆ กิเลสนี้จะไม่ขยายตัวออกพอได้หายใจได้บ้างเลย นั่นก็ต้องเอา ขุดกันลงไปจน..โถ ถ้าลงถึงขนาดนั้นแล้วมันทุกครั้งแหละ
เราจนพูดให้ชัด ๆ ว่าเรามันชัดในตัวเอง ว่าเรานี่มีนิสัยหยาบมาก ทำธรรมดาเหมือนเพื่อนฝูงทั้งหลายนี่มันไม่ได้เรื่อง เพียงผิวถลอกก็ยังไม่ได้ ผิวกิเลสถลอกก็ไม่ได้ ถึงคราวจะเอาให้เป็นให้ตายต้องเอากันหนัก แต่คราวเช่นนั้นละได้เห็นเหตุเห็นผลเห็นกำลังความสามารถของสติปัญญาเวลาจนตรอกจนมุม ด้วยเหตุนี้จึงกล้าพูดให้หมู่เพื่อนฟังว่า คนเรานั้นไม่ได้โง่อยู่ตลอดไปนา ถึงเวลาฉลาดมี คนเราเมื่อจนตรอกจนมุมต้องใช้ความคิดจะออกช่องไหนไปช่องไหน ถูกล้อมแล้วทำไงเราจะออกช่องไหน มันก็ต้องใช้ความคิด เมื่อใช้ความคิดก็ต้องมีความฉลาดขึ้นมา เล็ดลอดออกไปจนได้ นี่ก็ถูกวงล้อมของกิเลสจะออกทางไหน สติปัญญาไม่ได้มีไว้สำหรับต้มแกงกินนี่นะ สำหรับใช้คิดอ่านไตร่ตรองหาทางออกหรือหาทางแก้ปราบปรามกิเลสเราก็นำมาใช้เดี๋ยวก็ได้ พอได้อุบายพับนี่กิเลสที่รุมล้อมอยู่ก็พังทลายลงไปเป็นระยะ ๆ
กิเลสพังลงไปเมื่อไรด้วยอำนาจแห่งความเข้มข้นของเรา ความสละเป็นสละตาย นั่นเราก็ได้หายใจเต็มปอดพูดง่าย ๆ แล้วรู้สึกว่าเชื่อสมรรถภาพของตัวเองขึ้นในเวลานั้นเลย คำว่าเชื่อสมรรถภาพคือเชื่อความสามารถของสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตนว่าถึงกันจริง กิเลสหลุดลอยไปด้วยเหตุนี้ ไม่ต้องบอกว่าจำมันหากจำได้เอง เพราะความอัศจรรย์ที่แสดงขึ้นมาแต่ละครั้ง ๆ อันเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากความเข้มข้นความสละเป็นสละตายนั้น มันบอกอยู่ในตัวอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เป็นสิ่งที่จะลืมไม่ว่าแต่เรื่องของทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย และเป็นความกระวนกระวายอันเป็นเรื่องของกิเลส เวลาปัญญาผ่านไปได้แล้วมันเห็นทั้งโทษทั้งคุณได้อย่างชัดเจนทั้งสองอย่าง
จึงอยากให้หมู่เพื่อนใช้ปัญญาถึงเวลาที่จะใช้ เราอย่าไปคอยให้ตั้งแต่สมาธิเป็นเสียก่อน ดีเสียก่อนแล้วจึงจะมาใช้ปัญญา สมาธิก็เอาให้จริงให้จังให้สงบเห็นประจักษ์ตานี่ซิประจักษ์ใจนี่ซิ มันทำได้นี่มันจะเก่งไปขนาดไหนจิตนี่ กิเลสอยู่กับจิต สติปัญญาก็เกิดอยู่กับจิตหมุนตัวกันอยู่ในนั้น ทำไมสติปัญญาซึ่งอยู่ในที่แห่งเดียวกันจะปราบความวุ่นวายของจิตไม่ได้ ถ้าเราทำด้วยความตั้งใจเราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าหนีไปไม่พ้น ความสงบต้องอยู่ในเงื้อมมือจนได้ เพราะเคยทำแล้วนี่ มันวุ่นขนาดไหน หือ มันขนาดไหนวะ เอาซิ มันจะไปทางไหนวะจิตนี่ เราคล้อยตามมัน ๆ มันลากมันถูเสียจนถลอกปอกเปิกเสียพอแล้วจนจะตาย ยังเหลือแต่ลมหายใจ คราวนี้จะเอามัน ฟาดฟันลงไปแล้วก็อยู่ในเงื้อมมือเสียจนได้ นี่เป็นบทเรียนอันหนึ่งแล้ว
เราจะทำให้สงบก็สอนแล้ววิธี เอาจริงเอาจังกับความสงบ มันจะไปไหนตั้งหน้าตั้งตาดูแต่จิตเท่านั้นแหละ จิตนี้เป็นตัวเหตุที่จะก่อเรื่องก่อราวให้ไม่สงบ ปรุงเรื่องนั้นขึ้นมา หมายเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นภาพเป็นเหตุเป็นเรื่องเป็นราวเป็นหญิงเป็นชายไม่หยุดไม่ถอย มีแต่กลมายาของจิตที่แสดงออกไปจากตัวเองนี้ เราก็หลงเงาตื่นเงาอยู่นั้นทั้งวันทั้งคืน อยู่ได้เมื่อไรจิตอยู่เฉย ๆ มีแต่ความรู้ไม่แสดงอารมณ์ต่าง ๆ อาการต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นเครื่องหลอกลวงตนเองมีได้ที่ไหน มันมีอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น ถ้าเราเป็นนักสังเกตจิตเราต้องรู้ เมื่อรู้แล้วจิตก็ต้องจ่อลงไปที่ต้นเหตุ มันจะไปไหนวะ เอ้า ไปก็ไปให้รู้ จิตมันส่งไปที่ไหนมันรวดเร็วขนาดไหน สติมีอยู่นี้มันก็ต้องรวดเร็วเหมือนกัน เราฝึกให้มันทันซิมันจะพ้นไปได้เหรอ แล้วก็พ้นไปไม่ได้จริง ๆ รู้ อยู่สงบจนได้
วิธีทำจิตให้สงบ การตั้งรากตั้งฐานจิตเบื้องต้นนี่รู้สึกลำบากอยู่บ้าง อย่าถือเป็นอุปสรรคก็แล้วกัน อย่างไรเวลาจะตายนี้มันทุกข์ทรมานที่สุดอยู่แล้วทุกคน ยิ่งคนไม่มีธรรมภายในจิตใจ ไม่มีสติปัญญาภายในใจเลยผู้นั้นตายหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ ส่ายแส่ว้าวุ่นขุ่นมัวยุ่งไปหมด บางรายนอนอยู่บนเตียงตกเตียง มันไม่มีสติสตังเพราะทุกขเวทนาครอบงำ นี่เราไม่ใช่ประเภทตกเตียงนี่นะ มันเป็นขนาดไหนก็เอากันลงให้รู้ มันทนเราไม่ได้ ถ้าไม่เข้มแข็งไม่ได้นะกิเลสมันเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา เพราะเราอ่อนข้อต่อมันอยู่เสมอ จะให้กิเลสอ่อนข้อได้ยังไง มีแต่มันจะแข็งข้อขึ้นเรื่อย ๆ เอาให้ถึงกันซิ
พอมีความสงบได้แล้ว เอ้า พิจารณา หาอุบายคิดอย่าอยู่เฉย ๆ บางทีปัญญานั่นแหละทำจิตให้สงบได้ ที่เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ไม่ใช่ว่าการเจริญสมถะจะมีความสงบโดยถ่ายเดียว โดยปัญญาไม่มีทางทำจิตให้สงบได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ยิ่งปัญญาทำจิตให้สงบนั้นยิ่งอาจหาญมากกว่าอารมณ์ของสมถะเป็นไหน ๆ
อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นในธรรมทั้งหลายที่แสดงมามากน้อย เราแสดงมาตามความจริง จริง ๆ ได้ปฏิบัติอย่างไรก็บอกอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย ได้รู้เห็นสิ่งใดมามากน้อยก็พูดตามความรู้เห็นนั้น ไม่ได้หาที่ไหนอันใดมาเพิ่มมาเติมมาหลอกลวงเพื่อนฝูง แล้วก็แบบพูดปาว ๆ หาความจริงไม่มีภายในใจ เราไม่เป็นอย่างนั้น ความจริงเต็มหัวใจ ได้ปฏิบัติมาก็ประจักษ์ใจอยู่แล้วไม่เป็นที่สงสัย ผลที่ปรากฏขึ้นมากน้อยก็ได้เห็นชัดเจนอยู่ภายในใจนี้ นำสิ่งที่ปรากฏเป็นความจริงอยู่ภายในใจนี้ออกแสดงแก่หมู่เพื่อนด้วยความถึงใจ ทำไมจะไม่รู้ไม่เข้าใจกัน ทำไมไม่เป็นที่แน่ใจ เอาจริงเอาจังซิ
อย่าไปคาดเรื่องมรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหนที่โน่นที่นี่ ให้ดูตัวมันวุ่นวายนั้นน่ะ นั่นละตัวมันทำลายมรรคผลนิพพาน ตัวมันกั้นกางมรรคผลนิพพาน ตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายคิดปรุงแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ นั่นแหละมันเป็นขวากเป็นหนามกั้นกางทางเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน เอ้า เอาให้สงบลงไป พอจิตสงบลงไปแล้วความสุขก็ปรากฏขึ้นมาและเป็นหลักฐานพยานแก่ตนเองอีกด้วย ออกจากนั้นแล้วก็พิจารณาเรื่องของปัญญา เอาฟาดลงไปในธาตุในขันธ์นี้ มันมีอะไรอยู่นี้นะดูให้ชัดเจนซิ ธาตุขันธ์อยู่กับเราตลอดเวลาทำไมจะพิจารณากันไม่ได้วะ
หนังห่อกระดูกนี่ดูซิ ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าเป็นเราเป็นเขา ว่าเป็นของสวยของงาม ว่าเป็นของจีรังถาวร มันปรุงมันแต่งมันหลอกลวงเราทั้งนั้น ธรรมชาติจริง ๆ แล้วก็คือตัว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตัวอสุภะอสุภังปฏิกูลโสโครกเต็มไปหมด ป่าช้าผีดิบก็คือร่างกายของเราของท่านทุก ๆ คน คนและสัตว์ในโลกนี้มันเป็นอย่างเดียวกัน พิจารณาให้ถึงความจริงอันนี้ตามความจริงอันนี้ จึงชื่อว่าดำเนินตามธรรม ความเสกสรรปั้นยอเอาเฉย ๆ ปลอม ๆ หาเรื่องมาเสกสรร ว่าเป็นของสวยของงามว่าเป็นของจีรังถาวรเป็นเราเป็นของเรา นั่นคือเรื่องของกิเลสทั้งมวล ให้ทราบว่านี่คือกิเลสมันเดินทางสายนี้
ถ้าเราเชื่อธรรมแล้วต้องไม่เชื่อกิเลสทางนี้ ต้องแยกแยะให้เห็นตามความจริงเป็นธรรมชาติหรือเป็นเครื่องคัดค้านกิเลสเพื่อเข้าถึงความจริง จึงไม่ใช่เป็นสัตว์เป็นบุคคล ไม่ใช่เป็นเราเป็นเขา ไม่ใช่เป็นสุขํ นิจฺจํ อตฺตา มันเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งนั้น เอาให้เห็นจริงเห็นจังลงไป
ให้ได้รับความสงบเย็นบ้างซิ เราเป็นนักปฏิบัติ เป็นพระด้วยเป็นนักปฏิบัติด้วยไม่ได้เป็นเจ้าของของสมบัติแห่งสันติธรรมเป็นขั้น ๆ ขึ้นไป และความสว่างกระจ่างแจ้งจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเลยนี้ แหม มันเสียชาติความเป็นมนุษย์มาแล้วและความเป็นพระของเราเป็นนักปฏิบัตินี้อีกไม่น้อยเลย อายตัวเองนั่นแหละดี ไปคาดที่ไหนมรรคผลนิพพาน อย่าไปหาคาดกิเลสมันหลอก ธรรมความจริงท่านสอนไว้ที่ตรงไหน สอนลงที่หัวใจ กิเลสก็มีอยู่ที่หัวใจ อุบายวิธีที่จะแก้กิเลสก็สอนลงที่หัวใจ แน่ะลงตรงนี้
อริยสัจ ๔ อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์ทางกายทางใจอยู่ที่ไหน แน่ะ ก็บอกอยู่แล้วว่าทุกข์ทางกายทางใจก็อยู่กับเรา เราเป็นผู้รับผิดชอบเราเป็นผู้รู้ เป็นผู้แบกภาระความทุกข์ความลำบากเหล่านี้อยู่เป็นประจำ ทำไมจะไม่เห็นทุกขสัจ แล้วสิ่งใดที่ผลิตทุกข์ขึ้นมาทางด้านจิตใจให้เกิดความทุกข์ความลำบากลำบนตีบตันอั้นตู้ภายในจิต หาหัวคิดปัญญาไม่ได้คืออะไร ก็คือกิเลส ท่านเรียกว่าสมุทัยแดนเป็นที่เกิดขึ้นแห่งทุกข์ แน่ะ ถ้าแปลออกตามศัพท์ก็เป็นอย่างนั้น ก็อยู่ที่ใจนี้ แล้วเราจะให้เห็นเรื่องของสมุทัยนี้จะเห็นด้วยอะไร เห็นด้วยอะไรถ้าไม่เห็นด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียร ไม่มีทางอื่นเป็นทางเห็น ไม่มีอุบายอื่นใดที่จะให้เห็นเรื่องกิเลสที่มันผลิตความทุกข์ความลำบากทรมานต่าง ๆ ขึ้นที่ใจ ต้องเห็นด้วยปัญญาเห็นด้วยสตินี่ขุดค้นกันลงไป
อย่าไปสงสัยอย่าไปคาดข้างนอกไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ความจริงอยู่ที่ตรงนี้ ค้นลงไปที่ตรงนี้ ปัญญาถึงคราวจะใช้-ใช้ เอามันไปไหนถึงไหนถึงกันซิ นี่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งแท้ ๆ ท่านสอนเพื่อความฉลาด เพื่ออุบายสติปัญญา เหตุใดจึงจะมีไม่ได้ในตัวของเรา มีไม่ได้พระพุทธเจ้าท่านสอนทำไม สาวกทั้งหลายท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาเช่นเดียวกับพวกเรา บางองค์เราก็เห็นแล้วในตำรับตำราอย่างพระจูฬปันถกอย่างนี้ จนพี่ชายอิดหนาระอาใจ ให้ท่อง
ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ
ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ
องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ
ตปนฺตมาทิจฺจมิวนฺตลิกฺเข
๔ เดือนก็ไม่ได้ พระมหาปันถกซึ่งเป็นพี่ชาย ถึงเวลาถูกเขานิมนต์ไปฉันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระมหาปันถกเลยไม่นิมนต์น้องชาย เพราะท่านเป็นภัตตุเทศก์ จนกระทั่งพระพุทธเจ้ารับสั่ง เวลานี้พระยังมาไม่ครบยังอีกองค์หนึ่งอยู่ในวัด องค์เหล่านั้นไม่มีใครทราบ น้องชายก็เสียอกเสียใจว่าพี่ชายไม่นิมนต์ไป การอยากไปฉันในบ้านท่านไม่อยากไป แต่ที่พระทั้งวัดไปหมดไม่ให้เราไปด้วยความเห็นว่าเราต่ำช้าลามกนี้เป็นสิ่งที่เราสะดุดใจอย่างมาก ก็พิจารณาสติปัญญาขึ้นในขณะนั้นเลยโดยอาศัยนั้นเป็นเหตุ เลยบรรลุธรรมขึ้นในเวลานั้นเสีย
ทีนี้เมื่อบรรลุธรรมแล้วยังไม่แล้วยังมีฤทธาศักดานุภาพ สามารถที่จะดลบันดาลแสดงภายในจิตใจของท่านเองเรียกว่าอิทธิฤทธิ์ เป็นกี่ร้อยกี่พันองค์ จูฬปันถกหมดวัด ทำงานหน้าที่ต่าง ๆ กัน เมื่อพระพุทธเจ้ารับสั่งให้มานิมนต์พระ มาที่ไหนไม่ใช่พระองค์เดียว พระเต็มวัดว่างั้น ถามองค์ไหนว่าเป็นจูฬปันถกหมด เลยไม่ได้พระจูฬปันถกอันแท้จริงเลยกลับมา พระองค์รับสั่งให้ไปอีกให้ไปจับชายจีวรเลยนะ องค์ไหนว่าเป็นจูฬปันถกให้จับชายจีวรองค์นั้น จับชายจีวรหรือชายสบงอะไรก็แล้วแต่ พอไปจับปั๊บนี้ก็หายหมด เมื่อไปถึงโน่นแล้วพระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่านี่พระจูฬปันถกสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว โดยอาศัยที่พี่ชายดัดสันดาน พี่ชายก็เป็นพระอรหันต์แล้วจะดัดสันดานโดยหาเหตุผลไม่ได้มีอย่างหรือ ก็ต้องดัดด้วยความมีเหตุผลของท่านเหมือนกันพระมหาปันถกน่ะ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงตำหนิพระมหาปันถกเหมือนกัน เพราะเป็นขนาดพระอรหันต์แล้วจะมาดัดน้องชายของตัวเองด้วยทิฐิมานะกิเลสตัณหาอาสวะไม่มี นี่ท่านก็ขนาดนั้นแหละ รโชหรณํ รโชหรณํ ก็ผ้าที่เปื้อนด้วยธุลีแปลออกมา นั่นท่านลำบากไหม บทเวลาท่านเอาท่านก็ได้
เราก็เป็นคนคนหนึ่งถึงจะไม่มีฤทธาศักดานุภาพใด ๆ ก็ให้มีฤทธาศักดานุภาพปราบกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือก็แล้วกัน เอาให้จริงให้จัง มรรคผลนิพพานอยู่กับหัวใจแท้ ๆ นอนเฝ้านั่งเฝ้าให้กิเลสทึ้งทางโน้นทึ้งทางนี้อยู่จะตายจะว่าไง ยังไม่เห็นธรรมในจิตใจพอได้รับความสงบสบายบ้างเลย มันสมควรแล้วหรือกับนักปฏิบัติเราน่ะ เรื่องการหย่อนยานที่จะเป็นไปเพื่ออำนาจของกิเลสมันอยู่ทุกระยะนะ อยู่ทุกขณะ อันนี้ไม่เคยลดละนะให้เรารู้สึกตัวไว้เสมอ ให้เข้มงวดกวดขัน เอาให้เห็น
มรรคคืออะไร ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเราก็รักษากันอยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องพูด สมาธิกับปัญญา เอ้าฟาดลงไปทำไมจะไม่สงบ มันมีเหตุผลกลไกอันใดพาให้สงบพาให้ไม่สงบเราก็รู้ ก็เรื่องกิเลสนั่นแหละมันยุแหย่ก่อกวนฉุดลากไปโน้นฉุดลากไปนี้ให้หาความสงบไม่ได้ ปัญญาฟาดฟันมันลงไป อย่างหนึ่งใช้คำบริกรรมทับหัวมันลงไป ถี่ยิบอย่างที่พูดให้ฟังแล้ว ถ้าอุบายนี้ยังไม่ทันมันแล้วเอาปัญญาค้นอยู่นั้นน่ะ ในตัวจิตนั้นน่ะมันจะคิดไปไหนไปเรื่องอะไร มันเคยคิดมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งป่านนี้ทำไมไม่เบื่อไม่หน่าย ทำไมไม่เห็นโทษเห็นภัย
ถูกกิเลสหลอกลวงมาด้วยภาพต่าง ๆ เรื่องราวต่าง ๆ อยู่ภายในจิตใจตลอดมาจนป่านนี้ยังไม่อิ่มไม่พออยู่เหรอ อย่างอื่นเราก็เคยได้เห็นแล้วยังเกิดความเบื่อหน่ายหรือชินชาต่อสิ่งเหล่านั้น แต่ทำไมความหลงตามกิเลสคล้อยตามกิเลสจึงไม่มีความชินชา จึงไม่เห็นโทษของมันบ้าง ถ้าเราจะเป็นผู้หาความฉลาดจริง ๆ ควรจะมีสติปัญญาได้เห็นโทษของมันบ้าง เราคิดไปอะไร ฟาดลงไปอย่างนั้นซิอุบายปัญญา เวลานี้เราจะไม่ให้มันคิดอะไร มันคิดขึ้นมาแง่ใดให้เป็นธรรมทั้งนั้นเราถึงจะเอา เอามันอยู่นั้น เอาจริงเอาจังมันก็เป็นขึ้นมาจนได้ไม่พ้นวิสัยของเราแหละ อุบายสติปัญญานี้แลคือมรรคเครื่องบุกเบิกเพิกถอนสิ่งที่กีดขวางหรือปิดกั้นกำบังจิตใจให้มืดมิดปิดตาออกไปได้โดยลำดับ ๆ จนกระทั่งนิโรธแสดงตัวออกมาได้เพราะอำนาจของมรรคแสดงตัวได้โดยลำดับ เมื่อมรรคคือสติปัญญาเต็มภูมิแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด ละเอียดสุด จะพ้นวิสัยของสติปัญญานี้ไปได้เลย
สติปัญญานี้เท่านั้นเป็นสิ่งที่เหนือกว่าอำนาจของกิเลสโดยประการทั้งปวง ซึ่งเราควรจะผลิตขึ้นมาได้ภายในจิตใจและปราบปรามกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือของเรา นี่เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาที่นี่ เมื่อกิเลสดับลงไปจนไม่มีสิ่งใดเหลือแล้วจะถามหาทำไมนิพพาน ท่านไม่ถามให้เสียเวลาพระอรหันต์ท่าน ตั้งก็ตั้งไว้อย่างนั้นแหละเพื่อผู้ที่ดำเนินเดินตามหลังกุลบุตรสุดท้ายภายหลังนี้ จะได้อาศัยเป็นกรุยหมายป้ายทางไปเรื่อย ๆ เป็นเข็มทิศทางเดิน พอไปถึงที่แล้วก็หมดปัญหากันเอง
เหมือนอย่างวัดป่าบ้านตาด เอ้า สมมุติว่าเราจะเขียนชื่อของวัดไปติดไว้ที่หน้าวัดนั้น สำหรับเราเองเราจะไม่อ่านให้เสียเวลาเลย เพราะเราทราบแล้วว่าวัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างไร แต่คนอื่นต้องอ่าน นี่มันวัดอะไรแน่เดี๋ยวลองอ่านดูซิวัดอะไร หรืออ่านดูนี่มันวัดอะไร พออ่าน อ๋อ นี่วัดป่าบ้านตาด เข้ามาอ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้ คนภายในวัดไม่จำเป็นต้องอ่านป้ายแต่คนอื่นต้องอ่าน ผู้ที่รู้มรรคผลนิพพานอย่างเต็มใจแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปหาอ่านเรื่องมรรคผลนิพพานว่าอยู่ที่ไหน ๆ ไม่สงสัย นิพพานอยู่ไหนไม่สงสัย ขอแต่กิเลสหมดไปจากใจเท่านั้น เป็นอันว่าสิ้นสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง อันใดเป็นสมมุติอันใดเป็นวิมุตติ เป็นความจริงแท้ ๆ คืออะไร
คำว่านิพพาน ๆ ก็เป็นชื่ออันหนึ่งเป็นสมมุติอันหนึ่งต่างหาก ธรรมชาติที่ถูกให้ชื่อว่านิพพานนั้นคืออะไร ถ้าไม่ใช่จิตดวงที่บริสุทธิ์จะเป็นอะไรไป เอาให้เห็นตรงนี้ซิ เมื่อเห็นตรงนี้แล้วมันไม่สงสัยแหละ ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนไปอยู่ที่ไหน คนได้นิพพานแล้วจนตรอกหาที่อยู่ไม่ได้มีเหรอ คนที่มีกิเลสน่ะซีจนตรอกหาที่อยู่ไม่ได้ อยู่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวใจอยู่ตลอดเวลาร้อนไปหมดทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน นี่เป็นเพราะกิเลสต่างหากทำให้โลกมันคับมันแคบมันตีบมันตันมันอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่พระนิพพานทำโลกให้อยู่ไม่ได้นะอย่าเข้าใจอย่างนั้น เอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติ
นี่ไปไหนมาไหนลำบากลำบนก็เพราะหัวใจของหมู่เพื่อนที่มุ่งหน้ามา เราพอที่จะพูดอะไรเราก็ลงมา ไปโน้นก็ต้องเทศน์เหมือนกันเพราะสงสารห่างจากครูจากอาจารย์ เหมือนกับว่าเราเขี่ยขี้ไต้นั่นแหละ ไม่เขี่ยก็คอยแต่จะดับ พอเขี่ยให้แล้วก็ลุกโพลง ๆ ขึ้น นี่ก็เหมือนกันช่วยส่งเสริม มาถึงลำบากลำบนก็ทนเอาเพราะเห็นแก่ใจของแต่ละท่าน ๆ ที่อุตส่าห์มาทั้งใกล้ทั้งไกล ลำบากลำบนเท่าไรก็เพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อการศึกษาอบรมกับครูกับอาจารย์ นี่ก็ห่างเหินไปหลายเวลา วันนี้เราจึงได้อบรมตามสติกำลังความสามารถ แม้จะลำบากเราก็พยายามเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ขอให้เพื่อนฝูงทั้งหลายจงได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ กำจัดสิ่งที่เป็นภัยดังที่กล่าวแล้วออกให้หมดจากจิตใจ คำว่าความบริสุทธิ์ก็ดี คำว่านิพพานก็ดี ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดจะเป็นบ้าถามถึงละ ขอให้บริสุทธิ์เถอะจิตน่ะ จะรวมอยู่ในนี้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ธรรมพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้มากน้อยไม่สงสัยเลย พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วกี่พระองค์ สาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงไร ดูอันเดียวเท่านี้เข้าใจหมดเลย ประสานกันได้หมดเพราะเป็นความจริงเสมอกัน ปรินิพพานมาแล้วกี่องค์กี่กัปกี่กัลป์ก็ตามจะไม่มีปัญหาอะไรเลย
พอความบริสุทธิ์ได้ปรากฏขึ้นอย่างเด่นดวงภายในจิตใจแล้วเท่านั้น ปัญหาทั้งมวลนี้จะสลายไปหมด อยู่ที่ไหนก็เป็นพุทธะ อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรมะ สังฆะ อยู่กับจิตใจดวงเดียวนั้น เมื่อพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ได้สงเคราะห์เข้าไปในหลักธรรมชาติแล้วก็เป็น ธมฺโม ปทีโป เป็นธรรมแท่งเดียวเท่านั้น กิริยาที่ท่านพูดว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นั้น พูดตามหลักของสมมุติที่ยังต้องอาศัยสมมุติอยู่ท่านก็พูดอย่างนั้น พอเข้าถึงความจริงจริง ๆ แล้วก็เป็นธรรมแท่งเดียวนี้ไม่สงสัย
เอาเท่านี้ก่อน