เพราะใจนี้เป็นตัวเหตุที่จะบำเพ็ญความดีแก่ตัวเองและส่วนรวมมากน้อย ตามแต่อำนาจของความดีความชั่วที่มีอยู่ในจิตแต่ละดวง ๆ นี่เป็นของสำคัญมาก เพราะฉะนั้นคำสอนจึงไม่ปราศจากโลกที่เต็มไปด้วยความรุ่มร้อนนี้ ให้เป็นเหมือนน้ำดับไฟ หากไม่มีศาสนาเลยแล้วก็เหมือนกับไฟไหม้บ้านไหม้เรือน ไหม้ประเทศเขตแดน ไม่มีน้ำสำหรับดับไฟนั่นเอง ก็มีแต่ความฉิบหายป่นปี้โดยถ่ายเดียว หาสิ่งใดที่จะมีชิ้นดีไม่มีเลย ถ้ามีน้ำดับบ้าง จุดไหนที่น้ำดับไปถึง น้ำสามารถดับไฟได้เพราะน้ำมีจำนวนมาก ที่นั่นก็ปลอดภัยไป ก็ยังเหลือสิ่งที่เป็นสาระพอที่จะใช้เป็นประโยชน์ต่อไปได้ ถ้าสถานที่ใดไม่มีน้ำดับไฟเลย ปล่อยให้ไหม้เต็มที่เต็มฐานเต็มกำลังของมันจนกระทั่งหมดเชื้อแล้วดับไปเองนั้น สถานที่เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดเหลือ
จิตใจของโลกก็เหมือนกัน ศาสนธรรมเป็นเหมือนกับน้ำดับไฟ คือ ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟโลภะ อย่างนี้ให้ดับ หรืออย่างน้อยก็พอเบาบาง เหมือนกับโรคที่มียาแก้ก็พอทำเนา ผู้เป็นก็มีผู้ตายก็มี ที่สุดวิสัยของหยูกของยาของหมอก็ตายไป ที่อยู่ในวิสัยของหมอของยาก็ผ่านพ้นความตายไปได้ โรคภัยก็หาย
นี่จิตใจดวงใดที่อยู่ในวิสัยของธรรมที่จะซึมซาบเข้าถึง จิตใจดวงนั้นก็พอมีน้ำดับไฟ ถ้าจิตใจโหดร้ายทารุณเสียจริง ๆ มืดหนาสาโหดทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอน มีแต่ความมืดตื้อเต็มหัวใจ ไม่คิดถึงบุญถึงบาป ไม่คิดถึงนรกสวรรค์ ไม่คิดถึงความผิดความถูกประการใด นอกเหนือไปจากความต้องการของตนที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น ที่ต้องการอย่างนั้น ซึ่งไม่คำนึงถึงสิ่งที่กล่าวมานี้เลย นั้นแหละเป็นจิตที่ร้อนมากที่สุด จะทำให้ได้อย่างใจสมใจเจ้าของขนาดใดก็เถอะ เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟด้วยเชื้อไฟ บรรจุอยู่จนหาที่น้ำแทรกเข้าไปไม่ได้แล้ว ใจดวงนั้นจะต้องร้อนมาก
ความโลภต้องเกิดขึ้นมาก ทำตามความโลภมาก ทำตามราคะตัณหามาก ไม่มีความลดหย่อนผ่อนผัน ไม่มีการแก้ไขหรือต้านทานกันบ้างเลย ทำตามความลุ่มหลงของตน ไม่ได้คิดสำนึกในจิตใจเลยว่านี่ถูกหรือผิด ปล่อยไปตามยถากรรม คือตามอำนาจแห่งกิเลสตัณหาอาสวะมันฉุดมันลากไป จิตดวงนั้นเป็นจิตที่ร้อนมากที่สุด แม้จะอยู่ในแดนมนุษย์ก็ตาม อยู่ในสถานที่ใดก็ตาม จะอยู่ในหอปราสาทราชมณเฑียรที่สมมุติหรือเสกสรรปั้นยอกันว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสง่าผ่าเผย เป็นสถานที่อยู่ของผู้ทรงเกียรติก็ตาม ก็มีแต่ชื่อว่าเกียรติ ๆ เท่านั้น แต่ไฟจะเผาลนจิตใจดวงนั้นอยู่ตลอดเวลาหาที่ปลงที่วางไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำดับไฟคือธรรมะ
เพราะฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นธรรมชาติที่จำเป็นมากต่อบรรดาสัตว์ เช่นเดียวกับน้ำมีความจำเป็นต่อการดับไฟ หากว่าศาสนาได้ปราศจากโลกไปเมื่อไร กาลใดก็ตามโลกใดก็ตามไม่มีศาสนาเป็นเครื่องเยียวยารักษาหรือเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน เพราะการปฏิบัติของตนบ้างแล้ว ไม่มีโลกใดที่จะร้อนยิ่งกว่าโลกไม่มีศาสนา มีแต่หัวใจที่เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟคือกิเลสประเภทต่าง ๆ รุมล้อมอยู่หมด จะหาความสุขไม่ได้เลย นี่ละนักปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น จึงทรงสอนธรรมะหยั่งเข้าที่จิตของสัตวโลกเป็นอันดับหนึ่ง ไม่มีอันใดเป็นอันดับหนึ่งนอกจากธรรมเพื่อจิตใจโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
กายวาจาเป็นเครื่องมือ กายวาจาเป็นหุ่น คือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว คอยรับใช้เป็นเครื่องมือของใจเท่านั้น ใจจึงเป็นของจำเป็นดังที่ท่านกล่าวไว้ในธรรมบทว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน มีใจประเสริฐ สำเร็จแล้วด้วยใจ แล้วท่านก็แยกออกไปสองอย่าง มนสา เจ ปทุฏฺเฐน,ภาสติ วา กโรติ วา,นี่อันหนึ่ง แล้วอันหนึ่งก็แยก ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ,จกฺกํ ว วหโต ปทํ แต่แปลเอาความก็ว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจเป็นธรรมชาติที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับธรรมทั้งหลาย ถ้าใจมีธรรมแล้วจะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม ย่อมมีแต่ความเป็นสิริมงคล เป็นความดีทั้งนั้น แต่ถ้าใจได้เสียเสียอย่างเดียว จะพูดจะทำอะไรก็มีแต่ความทุกข์ความรุ่มร้อน เหมือนกับรอยเกวียนติดตามรอยโคฉะนั้น คือรอยโคผู้เทียมแอก เรื่องทุกข์คือสิ่งที่เป็นผลย่อมติดตามผู้ทำชั่วอยู่เสมอ สุขที่เป็นผลก็ย่อมติดตามผู้ทำดี คนที่มีความดีมีธรรมภายในใจจึงเหมือนกับผู้มียารักษาโรคติดตัวไปด้วย ไปที่ไหนหนักก็เป็นเบา
ธรรมะจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะเห็นว่าไม่สำคัญ โดยเห็นว่าศาสนาอยู่ตามคัมภีร์ใบลานบ้าง ศาสนาอยู่ตามวัดตามวาบ้าง ศาสนาอยู่ตามพระตามเณร หรือศาสนาอยู่กับพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกอรหัตอรหันต์ท่านบ้าง ธรรมอยู่กับพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์บ้าง เหล่านี้เป็นความเข้าใจผิด น้ำนั้นเป็นของกลางใครนำไปใช้ประโยชน์ในทางใดก็ได้ จะนำมาดับไฟก็ได้ ธรรมเป็นสมบัติกลางสำหรับโลก ผู้ใดมีความต้องการความร่มเย็น ความถูกต้องดีงามในความเป็นอยู่ตลอดความประพฤติหน้าที่การงาน อาศัยธรรมเป็นแนวทางเดิน อาศัยธรรมเป็นเข็มทิศทางเดิน ผู้นั้นย่อมไม่ค่อยจะผิดพลาด
ปัญญาออกมาจากไหนถ้าไม่ออกมาจากมรรค ๘ สติความระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอในอาการเคลื่อนไหวของใจ ของกายวาจา นี่ก็คือมรรค สัมมาสติว่าอย่างไรเล่า กิริยาอาการแห่งการพูดการทำที่เป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม ก็เรียกว่าสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ออกจากมรรคออกจากธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีที่ตรงไหนพอที่จะตำหนิติเตียน
คนจะดีคนจะเลวไม่ได้ดีไม่ได้เลวเพราะความเกิดเป็นชาติมนุษย์ขึ้นมาเพียงเท่านั้น จะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตามยังไม่จัดว่าเป็นคนวิเศษวิโส คนเลว คนร้ายต่าง ๆ ได้ จะต้องอาศัยความเคลื่อนไหวของผู้นั้น เคลื่อนไหวทางใจ เคลื่อนไหวทางกายทางวาจา ไปทางถูกหรือทางผิด จึงจะเรียกว่าผู้นั้นดีผู้นี้ชั่วได้ตามส่วนแห่งการกระทำดีและชั่วหนักเบามากน้อยอย่างไร เพียงเกิดมาเป็นมนุษย์จะว่าดีเลยทีเดียวไม่ได้ ดีก็เพียงแต่ว่าได้รับผลของกรรมเก่าที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ปุพฺเพกตปุญฺญตา ได้เคยสร้างสมอบรมคุณงามความดีไว้ สมควรมาเป็นมนุษย์ได้แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นี่เป็นของดีซึ่งเป็นผลของอดีต ส่วนอนาคตที่จะดีต่อไปหรือหลักปัจจุบันซึ่งเอาตัวของเราเป็นประกัน ที่จะดีอยู่ในปัจจุบันก็ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติ การศึกษาอบรมแนวทางที่ถูกต้องดีงาม ซึ่งไม่นอกเหนือไปจากธรรมนี้เลย
ธรรมของพระพุทธเจ้าทำให้เป็นคนดี ดีไปโดยลำดับเป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งดีถึงขั้นดีเลิศไม่มีที่ตำหนิ ว่าธรรมไม่สามารถจะทำคนให้ดีไม่ได้ นอกจากคนไม่สามารถจะนำธรรมมาปฏิบัติต่อตนให้ดีได้สมธรรมเป็นของวิเศษเท่านั้น คนจึงจะไม่ดี ดังศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ ก็คือสมณโคดมของเรา พระองค์ทรงประกาศธรรมรื้อขนสัตว์ ให้พ้นจากโอฆสงสารนี้เป็นมนุษย์ชั้นเยี่ยมมาเท่าไรแล้ว คืออรหัตบุคคล มีพระสงฆ์สาวกเป็นต้น รองลงมาก็อนาคา รองลงมาก็สกิทาคา รองลงมาก็พระโสดาบัน รองลงมาอีกก็กัลยาณชน ล้วนแล้วแต่ได้รับการชำระสะสางหรือดัดแปลงแก้ไขตนเองด้วยธรรมะของพระพุทธเจ้า ตามขั้นภูมิแห่งกำลังความสามารถของตนทั้งนั้น นี่เรียกว่าคนดีได้เพราะธรรม
ไม่มีธรรมเครื่องประพฤติคนจะดีเอาเฉย ๆ เป็นไปไม่ได้ ที่นี่ย่นเข้ามาหานักบวชเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติของพวกเรา เรามาบวชทรงผ้ากาสาวพัสตร์ นุ่งเหลืองห่มเหลืองสีแก่นขนุน สีกรักตามที่ท่านทรงดำเนินมา คือพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ซึ่งมีสีกรักสีแก่นขนุน กาสาว แปลว่าสีน้ำย้อมฝาด ไม่เป็นสีเหลืองจริง ๆ ดังที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ เป็นสีที่โลกเขาไม่ต้องการ แต่เหมาะสมกับความเป็นสมณะอย่างยิ่ง แล้วเรามาบวชนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ที่เรียกว่าเป็นผ้าย้อมฝาดนี้ก็ตาม แต่กิเลสไม่ได้บวชกับเรา กิเลสอยู่ภายในใจ นี่เราจะทำให้เราดีได้ยังไงถ้าไม่แก้กิเลสตัวชั่ว ตัวเลวทรามต่ำช้า ตัวเป็นข้าศึกต่อธรรมอยู่ภายในใจออกโดยลำดับ
ไม่ว่ากิเลสประเภทใดต้องเป็นข้าศึกต่อธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการที่จะแก้ไขกิเลสประเภทใด ๆ ก็ตาม ตั้งแต่ประเภทหยาบขึ้นไปถึงประเภทกลาง ละเอียด ละเอียดสุด จึงต้องทำการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงถ่วงจิตใจของเราไม่ใช่น้อย บางครั้งถึงกับเอาตายเข้าว่ากันเลย กิเลสไม่ตายเราก็ตาย เราไม่ตายขอให้กิเลสตาย อย่างน้อยให้กิเลสพ่ายจากเราไป พ่ายแล้วก็แพ้ ตายฉิบหายไม่มีเหลือ นี่เพื่อทำความดีแก่ตน เพื่อความเป็นพระดีน่าภูมิใจแก่ตน จากนั้นก็น่ากราบไหว้บูชาของโลกทั่วไป
กิเลสนับตั้งแต่วันบวชมา กิเลสไม่ได้บวช บวชแต่เรา คำว่าบวชแปลว่าเว้นในกิจที่ควรเว้น ปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติดำเนิน เราเป็นนักบวชจึงต้องอาศัยหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องดำเนิน เพราะเป็นสิ่งที่ควรดำเนินสำหรับนักบวชเรา เฉพาะอย่างยิ่งพระวินัย ทีนี้เมื่อดำเนินตามหลักธรรมหลักวินัย หลักวินัยนี้เป็นกฎเพื่อปราบกิเลสประเภทหยาบ ๆ ซึ่งจะแสดงออกมาอย่างผาดโผนให้โลกเห็นได้อย่างชัดเจน ให้อยู่ในกรอบแห่งพระวินัย ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับสำหรับปราบกิเลสประเภทหยาบทางกายวาจา มีใจเป็นผู้เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ธรรมนั้นเป็นเครื่องปราบปรามกิเลสภายในจิตใจล้วน ๆ
การต่อสู้การปราบปรามกิเลสประเภทใดก็ตาม ต้องเหมือนกันกับเขาต่อสู้กัน สมมุติว่าเขาเล่นกีฬาชกมวยกันก็เอาขนาดถึงตายก็มีในบางครั้ง เพราะต่อยกันอย่างหมดกำลังทุกคน ผลที่เล็ดลอดออกมาจะแพ้หรือชนะค่อยปรากฏทีหลัง ในขณะที่ต่อสู้กันนั้นไม่ได้คำนึงถึงความแพ้ความชนะมากไปกว่าความเอาให้เต็มเหนี่ยว พอตายก็ตาย เรียกว่าสุดกำลังของทุกคนที่ต่อสู้กันเวลานั้น นี่เป็นข้อเทียบเคียงสำหรับผู้ปฏิบัติ
กิเลสเราถือเป็นข้าศึกประเภทหนึ่งแต่ละประเภท ๆ ธรรมะเป็นเครื่องมือ ทั้งเป็นกำลังใจ ธรรมะมีหลายแง่หลายกระทงหลายด้าน เป็นเครื่องมือเป็นเครื่องสนับสนุนเราก็มี เช่น ปัญญา สติ เป็นเครื่องมือฟาดฟันกับกิเลส ตามต้อนกิเลส ขุดคุ้ยกิเลส คุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมา อยู่ลึกอยู่ตื้นขนาดไหนขุดค้นขึ้นมาจนได้ด้วยอำนาจของสติ อำนาจของปัญญา ศรัทธาความเชื่อเป็นเครื่องสนับสนุน เชื่อว่ายังไงกิเลสจะต้องอยู่ในเงื้อมมือของเราจนได้ วิริยะ หนุนเข้าไปเพียรเข้าไปไม่หยุดไม่ถอย นี่คือความทำตัวให้เป็นคนดี ทำพระทำเณรของเราให้เป็นพระเณรที่ดี ทั้งทางพระวินัยทั้งทางธรรม ทางพระวินัยดี สวยงามทางกายทางวาจาที่แสดงออก ทางธรรมดีด้วยความสงบเยือกเย็น มีความสง่าผ่าเผยอยู่ภายในจิตใจ มีสติสตังมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจเสมอ
กิเลสตัวใดก็ตามย่อมเป็นภัยต่อเราทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เรื่องการปราบปรามกิเลส จึงไม่เว้นว่ากิเลสตัวใดจะควรปราบปรามเมื่อไร แต่ปราบปรามทุกขณะที่เราประกอบความพากเพียร หรือเรียกว่าที่ต่อสู้กัน ผลที่ปรากฏขึ้นมาจากการต่อสู้กับกิเลสแบบลูกศิษย์ตถาคต ก็ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ต้นว่ากัลยาณชน ก็กัลยาณภิกษุนั่นเองเบื้องต้น ออกจากนั้นก็เป็นอริยะ พระโสดา พระสกิทา พระอนาคา เป็นลำดับ ๆ เพราะการแก้ไขหรือถอดถอนหรือปราบปรามกิเลสได้เป็นขั้น ๆ ตามกำลังความสามารถของเรา ผลสุดท้ายก็ได้ชัยชนะอย่างเต็มภูมิ คืออรหัตผลหรืออรหัตบุคคล ธรรมที่กล่าวทั้งสี่ขั้นนี้ ห้ากับกัลยาณชน ไม่ได้นอกเหนือไปจากความพยายามของพวกเราซึ่งมีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องปราบปราม และเป็นเครื่องมือปราบปรามกิเลสภายในจิต
เรื่องกาลสถานที่นั้นไม่สำคัญยิ่งกว่าสถานที่ที่ตั้งอยู่แห่งอริยสัจทั้งสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์มีอยู่ที่ตรงไหน มีอยู่ที่กายมีอยู่ที่ใจ สมุทัยมีอยู่ที่ไหน สมุทัยมีอยู่ที่ใจ ส่วนกายมีสาเหตุเป็นมาเพราะอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ ผิดธาตุผิดขันธ์แล้วเป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายเป็นไข้ขึ้นมานี้ ท่านไม่เรียกสมุทัยเพราะไม่ใช่เป็นเรื่องของกิเลส ท่านจึงไม่เรียกสมุทัย แต่สาเหตุที่ทำให้ธาตุขันธ์วิกลวิการได้นั้นมีเหมือนกัน อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตยิ่งกว่าเรื่องของสมุทัย ซึ่งเป็นข้าศึกต่อจิตใจอย่างยิ่ง
ฉะนั้น ท่านจึงแสดงเรื่องของสมุทัยได้แก่อะไรให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี เสยฺยถีทํ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา กามตัณหาก็คือความอยาก ความใคร่ในกาม ในสิ่งที่ตนรักตนชอบใจ กามคือความใคร่ เราชอบใจสิ่งไหนก็เป็นกิเลสตรงนั้น ภวตัณหา เราเคยทราบมาด้วยกันแล้วจึงไม่อยากจะอธิบายมากมายให้เสียเวลา ทั้งภวตัณหาทั้ง วิภวตัณหา แต่จะอธิบายให้ทราบเพียงว่า สถานที่อยู่แห่งสัจธรรมทั้งสี่นี้คืออะไร อยู่ที่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งกว่ากาลสถานที่อื่นใด
ทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นจากสมุทัยเป็นผู้ผลิตขึ้นมา นิโรธ ดับทุกข์จะดับที่ไหน ทุกข์เกิดขึ้นที่ไหนนิโรธก็ดับที่นั่น แล้วสาเหตุที่จะทำให้นิโรธดับทุกข์ได้มาจากไหน ก็มาจากมรรค มรรคได้แก่อะไร ได้แก่ มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณี อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ. เสยฺยถีทํ คืออะไรที่นี่นะ มรรคคือเช่นไร สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป ขึ้นเรื่องปัญญาก่อนอื่นเลย เพราะปัญญาเป็นผู้ฉลาดเป็นความฉลาด
เหมือนในวงงานต้องหาผู้ฉลาดเป็นหัวหน้างาน จะเอาคนโง่ไปเป็นหัวหน้างาน จะทำงานให้แหลกเหลวไปหมดไม่มีใครที่จะเชื่อถือและทำตาม เพราะหัวหน้างานโง่กว่าลูกงาน เพราะฉะนั้นหัวหน้างานใดก็ตามจึงต้องหาคนฉลาด นี่ สมฺมาทิฏฺฐิ สมฺมาสงฺกปฺโป แสดงถึงเรื่องความเฉลียวฉลาดรอบตัวของมรรค ขึ้นเหมือนกับดังที่กล่าวไปแล้วว่า สัมมากัมมันตะ เรื่อย ๆ ไปนี่เรียกว่ามรรค มีอยู่ในสถานที่ใด
มรรคนี้ก็เป็นเจตสิกธรรมออกมาจากเจตสิกธรรมอันหนึ่ง เช่นเดียวกับสมุทัย สมุทัยก็เกิดขึ้นจากสัญญา สังขาร วิญญาณนี้แหละไม่เกิดขึ้นจากอะไร เมื่อเป็นไปฝ่ายทำกิเลสให้เกิดขึ้นท่านเรียกว่าสมุทัย เป็นไปฝ่ายที่จะระงับดับกิเลสลงไปท่านเรียกว่ามรรค คือสติปัญญา ความคิดความปรุงขึ้นมาด้วยอุบายแยบคาย เกิดกาลใดก็ตามเรียกว่าปัญญา ความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอท่านเรียกสติ นี่คือมรรค สตินี่เป็นมรรค เกิดขึ้นจากใจดวงเดียวกัน เช่นเดียวกับกิเลสมันเกิดขึ้นมาจากใจแต่มันบังคับใจ กดขี่บังคับใจให้ได้รับความเดือดร้อน แล้วกดถ่วงจิตใจให้จมอยู่นั้นตลอดเวลาหาทางฟื้นตัวไม่ได้
เพราะฉะนั้นมรรคจึงเป็นเครื่องชำระล้างสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ให้ใจได้ดีดตัวขึ้นมาเป็นอิสระ เพราะอำนาจแห่งมรรคเป็นผู้ชำระขัดเกลา หรือเป็นผู้ปราบปรามชะล้างสิ่งที่สกปรกทั้งหลายซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ แล้วนิโรธคือความดับทุกข์ก็ดับไปโดยลำดับลำดา ตามกำลังของมรรคที่ชำระได้มากน้อย เมื่อถึงที่ที่ควรจะดับได้อย่างเต็มที่เพราะอำนาจของมรรคมีกำลังเต็มที่แล้วก็ดับในขณะเดียวเท่านั้น เช่น พระอรหัตมรรคท่านดับกิเลสอาสวะทั้งมวลที่รวมตัวอยู่ในอวิชชาเพียงอันเดียวเท่านั้น ในขณะเดียวเท่านั้น ท่านเรียกว่านิโรธคือความดับทุกข์ เป็นกิริยาอันหนึ่งเท่านั้น มรรคเมื่อทำหน้าที่ดับกิเลสหมดไปโดยสิ้นเชิงแล้วก็หมดหน้าที่ของตน นิโรธคือความดับทุกข์ซึ่งสืบเนื่องไปจากมรรคเป็นตัวเหตุ ดับลงไปอย่างเต็มที่ไม่มีสิ่งใดที่จะดับอีกแล้ว กิริยาแห่งความดับทุกข์ก็สิ้นไปในขณะนั้น
ท่านจึงแสดงไว้ว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ เพื่อทำให้แจ้งออกมาชัด ๆ ทั้ง ๆ ที่เราทุกคนก็ทราบว่า ทุกข์เกิดขึ้นแก่ในตัวของบุคคลแต่ละคน ไม่ใช่คนตายทำไมจะไม่รู้ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าทุกข์พึงกำหนดรู้นั้น ก็เพราะว่าทุกข์มีอยู่กับทุกคน แต่ไม่มีใครสนใจที่จะกำหนดรู้เพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอนสาเหตุว่าเป็นมาอย่างไร ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เป็นบทเป็นบาท เป็นกฎเป็นเกณฑ์อันถูกต้องแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายว่า ทุกข์พึงกำหนดรู้ สมุทัยพึงละ นั่นท่านบอกว่าละ
ละสมุทัยนี้จะละอย่างไร นี่ท่านพูดย่อ ๆ ท่านตรัสไว้ย่อ ๆ กินความกว้างขวางมากทีเดียว พึงละก็ต้องละด้วยความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องมืออันสำคัญ เอ้า จะหนักแน่นขนาดไหนเป็นตายก็ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป นี่เรียกว่าทำการละสมุทัยทำอย่างนี้ หรือทำการปราบสมุทัยอันเป็นตัวกิเลสทุกประเภทนั้นให้สูญซากออกไปจากจิตใจ หรือสิ้นซากลงไปจากใจไม่มีเหลือ เพราะอำนาจของมรรคคือการปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทาเป็นต้น นิโรธคือความดับทุกข์ก็ดับไปเอง
ไม่ใช่ธรรมเหล่านี้จะทำงานไปคนละเวล่ำเวลา ท่านแยกชื่อออกมาอย่างนี้เหมือนกับธรรมทั้งสี่นี้อยู่ต่างทิศต่างแดน อยู่คนละทวีป ความจริงอยู่ในจุดเดียวกันนั่นแล ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นที่ใจ ความรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ในขณะเดียวกันกับทุกข์ที่เกิดขึ้น แล้วการค้นหาสาเหตุที่เกิดขึ้นแห่งทุกข์นี้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นเหตุ มีอะไรกระทบกระเทือนจิตใจ ใจจึงได้รับความทุกข์ขึ้นมา
คำว่าความกระทบกระเทือนนั้น หมายถึงอารมณ์ของตนที่ไปสำคัญมั่นหมาย เช่นมีผู้หนึ่งผู้ใดมาติฉินนินทา แม้เขาติฉินนินทามาเป็นเวลาหลายเดือนหลายปีแล้วก็ตาม เวลาจิตไม่ได้เสกสรรปั้นยอ ไม่ได้สำคัญมั่นหมายก็เหมือนกับไม่มี พอได้ยินในขณะนั้นมีผู้ใดผู้หนึ่งมาเล่าให้ฟัง แล้วเรื่องจะล่วงไปกี่ปีกี่เดือนแล้วไม่สำคัญ สำคัญที่จิตปรุงขึ้นสำคัญว่าเขาว่าให้เราอย่างนั้น ๆ เกิดความโกรธความเคียดแค้นขึ้นมา นี่คือสมุทัย เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาแล้วทุกข์จะไม่เกิดได้ยังไง
ความโกรธนั้นแลทำให้เกิดทุกข์ ความเคียดแค้นนั้นแลทำให้เกิดทุกข์ เพราะความสำคัญว่าเขาว่าให้ตัวอย่างนั้น ๆ ไม่พอใจ นี่คือตัวสมุทัย ความทุกข์จึงปรากฏขึ้นอย่างนี้ แล้วจะดับด้วยวิธีใดนี่เป็นเรื่องของมรรคคือสติปัญญาพินิจพิจารณาแก้ไขเรื่องสังขารเป็นสิ่งหลอกลวง แต่ก่อนที่เขายังไม่ได้พูดให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่เขานินทาก็นินทาไปแล้ว หรือเขาสรรเสริญเยินยอก็สรรเสริญเยินยอไปแล้ว เราก็ดีใจปลื้มอกปลื้มใจ ก็เป็นเรื่องของสมุทัยประเภทหนึ่ง แต่นี้แยกออกมาพูดเพียงส่วนไม่ดีเฉย ๆ ความจริงก็พึงทราบในส่วนที่เรารักเราชอบนั้นมันก็เป็นสมุทัยเหมือนกัน
อย่างกามตัณหาท่านว่า เราใคร่เราชอบในอิฏฐารมณ์ ไม่ชอบในอนิฏฐารมณ์มันก็เป็นเรื่องของสมุทัยด้วยกันทั้งสองอย่าง แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ออกจากลมปากของเขาแล้วผ่านไปแล้วตั้งแต่เมื่อไร เราก็ไม่เห็นว่าอะไรแต่ก่อน พอมีคนมาเล่าให้ฟังความสำคัญมั่นหมาย เกิดคิดเกิดปรุงขึ้นสำคัญขึ้นในเวลานั้นก็เกิดทุกข์ในเวลานั้น เกิดกิเลสขึ้นแล้วก็เกิดทุกข์ขึ้นมา กิเลสคือความไม่พอใจความเคียดความแค้นเกิดขึ้นมา
เราค้นคว้าดูเรื่องของสังขารที่มันคิดมันปรุงหลอกเจ้าของ ตั้งแต่ก่อนไม่ได้ยินไม่เห็นมันเป็นอะไร สังขารมีแต่เรื่องหลอก สัญญาความหมายต่าง ๆ มีตั้งแต่เรื่องหลอกลวงทั้งนั้น สติปัญญาตามต้อนสิ่งเหล่านี้ให้หดตัวเข้ามา หรือให้หมอบราบเข้ามาจากเหตุการณ์เหล่านั้น แล้วก็เรียกว่าเป็นการระงับดับกิเลส
เมื่อดับกิเลสคือความสำคัญมั่นหมายว่าเขาว่าให้ตัวอย่างนั้น ๆ เขายกย่องสรรเสริญหรือเขานินทาตนอย่างนั้น ๆ มันก็ระงับลง เพราะสังขารนี้ตัวไปปรุง สัญญาของตัวไปหมายต่างหากนี่ เมื่อสติปัญญาทันเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว สังขาร สัญญาเหล่านี้ก็ดับตัวลงไป ทุกข์ก็ไม่มีขึ้นมาอีก เพราะสัญญา สังขารนั้นมันเป็นตัวกิเลสและดับไปด้วยอำนาจของสติปัญญาตามต้อนกัน มันก็ดับลงไป นิโรธก็ปรากฏขึ้นมาในขณะนั้น อยู่ในฉากเดียวกัน ไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากนี้เลย
อย่าคิดให้กว้างขวางมากมาย อย่าไปเที่ยวหอบแบกแผ่นดินทั้งแผ่น โลกธาตุทั้งโลกธาตุให้มันหนักเปล่า ๆ แบกมรรคผลนิพพานว่าอยู่ที่โน่นที่นี่ให้หนักไปหมด กิเลสอยู่ในหัวใจไม่คิดไม่อ่านไม่คลี่คลายออกมาให้เห็น มันก็จะเผาลนจิตใจอยู่นั้นตลอดเวลาหาทางจบสิ้นไม่ได้ นี่ละเรื่องของทุกข์ทั้งหลายมันทุกข์อยู่ที่ใจ เพราะสมุทัยเป็นเหมือนเส้นบรรทัดดีดเป็นเส้นเป็นสายยาวเหยียดอยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้ตัดเส้นบรรทัด เราไม่ได้ตัดเส้นอันเป็นเชื้อที่จะให้เกิดทุกข์นี้ออกจากใจด้วยสติปัญญาประเภทใด และด้วยความเพียรประเภทใดเลย แล้วเราจะหาความดิบความดีความสุขความเจริญ เพราะความบวชเป็นพระนี้มาจากไหน
เบื้องต้นก็ได้พูดแล้วว่าการบวช มีแต่ว่าเราบวชเฉย ๆ กิเลสไม่ได้บวชด้วย บวชมาแล้วจึงต้องต่อสู้กับกิเลส ฟาดฟันหั่นแหลกกัน ส่วนมากก็แพ้กิเลสกลับไป ส่วนที่ชนะกิเลสจนกระทั่งถึงพ้นเป็นอรหัตบุคคล เป็นผู้เลิศมีน้อยเต็มที อันนี้เราควรคิดให้มาก สมัยพุทธกาลท่านบวชกับสมัยนี้เราบวชผิดกันอยู่มาก เหมือนกับว่าเป็นรูปลักษณะเป็นพิธีเท่านั้นในปัจจุบันนี้ นั่นท่านบวชจริงๆ บวชด้วยความเห็นโทษเห็นภัยในสิ่งที่เคยอยู่เคยสัมผัสสัมพันธ์มาในบ้านในเรือนในจิต เข้ามาผ่านทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ และความเป็นอยู่ในครอบครัวเหย้าเรือนและสังคมต่าง ๆ ท่านได้เห็นมาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนจนเกิดความเบื่อหน่าย แล้วคลายความยินดีทั้งหลายนั้นออกมาบวช
บวชก็บวชด้วยศรัทธาเพื่อทำจิตใจให้หลุดพ้นจากทุกข์ เครื่องกดถ่วงทั้งหลายดังที่กล่าวมาที่ว่าเบื่อ ๆ หน่าย ๆ นั้น ให้ได้หลุดพ้นไปจากจิตใจ เพราะฉะนั้นการประกอบความเพียรของพระสงฆ์สาวกในครั้งพุทธกาล จึงผิดกันกับการประกอบความเพียรของพระในสมัยปัจจุบันของชาวพุทธเราในสมัยปัจจุบันนี้มาก ผิดกันอยู่มาก การสอนอรรถสอนธรรมก็พระพุทธเจ้าทรงประทานเอง การประทานธรรมะด้วยพระองค์เองนั้น ชื่อว่าได้ทองทั้งแท่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ออกมาเป็นของขวัญหรือเป็นสิริมงคลแก่บรรดาสาวก ไม่ผิดไม่พลาดไม่คลาดไม่เคลื่อนอะไรทั้งนั้น
เพราะธรรมพระองค์ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงรู้แล้วเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วประกาศธรรมแก่สาวกด้วยความรู้แล้วเห็นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ฟังจึงไม่จำเป็นจะต้องเลือกเฟ้นอันใดว่าถูกหรือผิด มีตั้งแต่ดื่มเอา ๆ
หลังจากได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าทรงอบรมแล้ว ก็ไปประกอบความพากเพียรด้วยความพออกพอใจ ศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส วิริยะความพากเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเพียรทุกประโยคเต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรม เต็มไปด้วยความพอใจ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นเกลียวเดียวกันเข้าไปเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นผลจะไม่อยู่ในเงื้อมมือได้ยังไง ปรากฏว่าองค์นั้นสำเร็จมรรคผลนิพพานอยู่ในเขาลูกนั้น องค์นั้นสำเร็จอยู่ในทางจงกรม องค์นั้นสำเร็จอยู่ในท่าสมาธิ องค์นั้นสำเร็จอยู่ในท่ายืน องค์นั้นสำเร็จอยู่ในท่านอน และสำเร็จอยู่ในเขาลูกนั้นป่านั้นเป็นต้น
นี่ผลที่ท่านได้รับเพราะความทำจริง ธรรมก็เป็นของจริง ผู้เทศน์ก็เทศน์ด้วยความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วย คือพระศาสดาเป็นผู้ประทานพระโอวาทเองไม่มีที่สงสัย ผู้รับฟังก็เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสารมาแล้วอย่างเต็มหัวใจ แล้วเป็นภาชนะที่พร้อมมูลเต็มที่แล้ว ควรแก่ธรรมะอย่างยิ่งแล้ว เมื่อประสิทธิ์ประสาทธรรมะให้ก็รับได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนั้นนำไปประพฤติปฏิบัติ ส่วนใดที่ยังบกพร่องต้องการอยู่ยังไม่สำเร็จตามความมุ่งหมาย พยายามทำเต็มตามความสามารถ ผลสุดท้ายก็กอบโกยเอามรรคผลนิพพานเต็มหัวใจ ๆ กลายเป็นสรณะของพวกเราขึ้นมาว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นั่นครั้งพุทธกาลท่านบวชอย่างนั้น
และธรรมในครั้งนั้นกับครั้งนี้อย่าเข้าใจว่าปลอม กิเลสครั้งนั้นกับครั้งนี้ก็อย่าเข้าใจว่าเป็นคนละประเภท กิเลสครั้งนั้นก็คือกิเลสครั้งนี้นั่นเอง เหมือน ๆ กัน ธรรมครั้งนั้นกับธรรมครั้งนี้ก็เหมือนกัน เป็นแต่ว่าอุบายวิธีการสอนของผู้ที่นำมาสอนนั้นผิดแผกแปลกต่างกันอยู่บ้างเป็นธรรมดา อันนี้เรายอมรับ แต่สำคัญศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ผู้ท่านประพฤติปฏิบัติจริงจังในอรรถในธรรม และเป็นผู้รู้ได้ผ่านพ้นไปเช่นเดียวกับพระสาวกทั้งหลาย นั้นแลเป็นที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่ท่านจะแนะนำสั่งสอนเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีข้อข้องใจสงสัย
ผู้รับอรรถรับธรรมก็รับได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ต้องเลือกต้องเฟ้น เพราะเป็นธรรมที่จริงแท้สุดส่วนออกมาจากหัวใจของท่าน แล้วมรรคผลจะไปที่ไหนเมื่อเราก็พร้อมแล้วอย่างนั้น หาเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ก็เหมาะแล้ว เป็นครูชั้นเอก ถ้าลงได้ถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธแล้วเอกด้วยกันทั้งนั้นไม่เป็นสอง เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติด้วยศรัทธาความพากเพียรของเราเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผลจะพึงได้รับนอกเหนือไปจากที่พระสาวกทั้งหลายได้รับนั้นเป็นไม่มี ต้องเป็นไปในรอยเดียวกัน นี่ละครั้งพุทธกาลกับสมัยปัจจุบันมีแปลกต่างกันก็ดังที่กล่าวมาแล้วนี้
ทีนี้แยกมาพูดถึงเรื่องการบวช ในสมัยปัจจุบันนี้รู้สึกว่าจะบวชกันเป็นพิธี การบวชท่านบวชก็เพื่อตัดกาม กามคือความใคร่ทั้งหลายออกหมด เริ่มเบื่อหน่ายมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้วก็มี มาเบื่อหน่ายทีหลังก็มี ไม่ได้ตั้งใจจะบวชจริงจังนักก็มี แต่เมื่อได้ฟังอรรถฟังธรรมเพราะอุปนิสัยซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจแล้วเป็นเครื่องยอมรับ เป็นสิ่งที่ยอมรับ แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนได้สำเร็จมรรคผลนิพพานก็มีอยู่ไม่น้อย
สรุปความแล้วท่านบวชในครั้งนั้นท่านบวชเพื่อจะละ หรือบวชด้วยความเบื่อหน่ายจริง ๆ ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ กับมาสมัยปัจจุบันนี้กลายเป็นเรื่องบวชพอเป็นพิธีไปเสียละมาก แล้วเลยเหมือนกับว่าบวชมาสั่งสมกิเลส บวชมาสั่งสมกาม กามแปลว่าความใคร่ มันใคร่ยังไงบ้างเราพิจารณาซิ ไม่ใช่ว่ากามอย่างประเภทประเพณีของหญิงของชายนั้นโดยถ่ายเดียว คำว่ากามนั้น ทั้งวัตถุทั้งบุคคลเป็นความใคร่ได้ทั้งนั้น
เช่น เงินทองข้าวของสมบัติต่าง ๆ ยศถาบรรดาศักดิ์นี้เป็นเหตุให้เกิดความรักความใคร่ได้ทั้งนั้น สมณศักดิ์ตั้งเป็นนั้นตั้งเป็นนี้แล้วอยากเป็นนั้นแล้วอยากเป็นนี้ อยากจนจะเป็นบ้าไปก็มี แล้วพระเป็นไปอย่างนั้นเป็นพระที่บวชเพื่อความพ้นทุกข์ที่ไหน นอกจากบวชเพื่อความสั่งสมกิเลสให้โลกเขาทุเรศสงสาร หรือทุเรศทุรังจนปลงใจไม่ตก ให้เกิดความอิดหนาระอาใจเบื่อหน่ายต่อพระประเภทนั้น ประเภทที่บวชเพื่อกาม ๆ เท่านั้นเป็นประโยชน์อะไร เอาพิจารณาให้ดี เราไม่ได้อุตริเป็นความจริงอย่างนี้ตามหลักธรรมชาติที่เห็นกันอยู่รู้กันอยู่
ถ้าหากบวชแบบพระพุทธเจ้าแบบสาวกแล้ว ธรรมะอันยอดเยี่ยมที่จะเป็นเครื่องประดับเป็นสิริมงคลในจิตใจนั้น จะหนีพ้นจากปฏิปทาไปได้เหรอ ปฏิปทาคือการปฏิบัติเป็นของสำคัญมากทีเดียว พวกเราทั้งหลายให้ฟังให้ถึงใจ เราบวชมาแก้กิเลส ความใคร่ทุกประเภทเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ให้เห็นว่าเป็นภัยต่อจิตใจเสมอแล้วต่อสู้กันแก้ไขกัน คำว่าพระนี้ก็เต็มภูมิแล้วแหละ พระก็แปลว่าประเสริฐ แต่อย่าให้ประเสริฐแต่ชื่อเหมือนอย่างชื่อนายประเสริฐที่อยู่ในเรือนจำ ติดคุกติดตะรางอยู่ในเรือนจำนั้น ให้มันประเสริฐทั้งคุณภาพที่มีอยู่ในใจเราด้วยจึงเป็นที่เหมาะสม ขออธิบายเพียงแค่นี้ก่อน
พูดท้ายเทศน์
ความเป็นอยู่ของพระครั้งพุทธกาลก็หมายถึงปัจจัย ๔ นั้นเองเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกทั่ว ๆ ไป สมัยนั้นวัตถุก็ไม่เจริญเหมือนอย่างสมัยปัจจุบันนี้ แต่จิตใจคนเจริญ สถานที่อยู่ก็กว้างขวางแต่ก่อนสะดวกสบาย แต่กลับตรงกันข้ามมาในสมัยปัจจุบันนี้ สถานที่อยู่ที่เที่ยวที่วิเวกของพระเรารู้สึกว่านับวันคับแคบเข้ามาทุกวัน แต่เสนาสนะที่อยู่สำหรับพระเรานั้นรู้สึกหรูหรามาก แม้แต่วัดเรานี้ก็ยังหรูหราอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เข้มงวดกวดขัน เพราะเล็งเห็นเรื่องของพุทธกาลอยู่แล้วก็ยังต้องหรูหราจนได้ มันก็มาเองนั่นแหละเรื่องมัน นี่ถ้าหากว่าเราอนุญาตให้เขาสร้างกุฏิ สถานที่อยู่ของพระตลอดถึงในครัวฝ่ายโยมมารดานี้ด้วยแล้ว วัดนี้จะหรูหราที่สุด กุฏิหลังละเป็นแสน ๆ ก็มี จะมีแน่ ๆ อย่าว่าหลังเป็นหมื่น ๆ เลยหลังเป็นแสน ๆ ก็มี โบสถ์ก็ไม่ทราบว่าสักกี่ล้านถ้าเราจะให้เป็นไปตามความต้องการของศรัทธาทั้งหลาย
เราพยายามทุกวิถีทางที่จะให้เป็นไปเพื่อความเหมาะสมเกี่ยวกับธรรมะ แม้เช่นนั้นก็ยังรู้สึกว่าหรูหรา ปีนเกลียวกับธรรม ปีนเกลียวกับครั้งพุทธกาลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน นั่นท่านอยู่ด้วยความผาสุกทางด้านจิตใจจริง ๆ ท่านไม่หวังความผาสุกจากสถานที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยต่าง ๆ มากไปยิ่งกว่าความพอยังชีวิตให้เป็นไป แต่ความมุ่งมั่นในธรรมนั้นล้นหัวใจ นี่มันกลับตรงกันข้ามตรงนี้กับสมัยปัจจุบัน ความหวังธรรมล้นหัวใจมีที่ไหน แต่ความหวังเรื่องปัจจัยทั้ง ๔ นี้ล้นหัวใจอาจมีได้ เราเพียงพูดว่าอาจ เรียกว่าถ่อม ๆ เอาไว้ กด ๆ เอาไว้ อยู่ในที่ชุมนุมชนมากเท่าไรก็ทัดเทียมกันกับชุมนุมชน หรือเหนือกว่าโลกเขาเสียอีก จตุปัจจัยไทยทานที่เป็นมานั้นก็เหมือนกัน จนจะหาที่เก็บไม่ได้มันเต็มห้องกุฏิ แต่ธรรมในใจนั้นแห้งผาก นี่ที่มันน่าสลดสังเวช
เพราะฉะนั้นวัดเราที่เป็นอยู่นี้ ท่านทั้งหลายที่ยังไม่เคยได้ดำเนินมาก่อน ยังไม่เคยเห็นสมัยที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านพาดำเนินเช่นพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นต้น เรามาเห็นอย่างวัดป่าบ้านตาดนี้ถ้าจะว่าขัดข้องบ้างในบางอย่าง แต่สำหรับความรู้สึกของผมละมันเหลือเฟือ ทุกสิ่งทุกอย่างปรนปรือมาก นี่ก็เนื่องจากศรัทธาญาติโยมเขาโดยเราไม่ได้บังคับ หากมาเองเป็นเอง อะไรก็หรูหรา เราก็วิตกวิจารณ์เหมือนกัน
การปฏิบัติธรรมก็ดังที่เคยได้อธิบายให้ฟังแล้วซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่ก่อนเป็นไปด้วยความเขียม ๆ ทั้งนั้น วัตถุไม่เจริญแต่ธรรมเจริญ สถานที่อยู่ก็พอได้อาศัยบังแดดบังฝน แต่ทางจงกรมนั้นเกลี้ยงจนเป็นโสกเป็นเหวไปเพราะเดินจงกรมมาก อาหารปัจจัยพอเป็นไปเท่านั้น พอบ้างไม่พอบ้าง แต่ทางอาหารของใจคือธรรมเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ สติกับปัญญารักษาจิตใจรอบด้านไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด เพราะฉะนั้นจิตของผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม จึงไม่ได้คิดไปเกี่ยวกับเรื่องวัตถุให้เสียเวล่ำเวลามากยิ่งกว่าการระมัดระวังภายในจิตใจ สมกับว่ารักษาตนหรือบำรุงจิตใจของตนให้มีความเจริญก้าวหน้าเพื่อมรรคผลนิพพานเป็นลำดับขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด นี่เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาอยู่มาก
สมบัติเงินทองในวัดหนึ่ง ๆ มีจำนวนมาก ในครั้งพุทธกาลไม่มี แต่สมัยทุกวันนี้เป็นกี่สิบล้านหรือร้อยล้านเราก็ไม่ทราบ นี่มันก็ผิดกันอย่างนี้จะว่ายังไง ที่กัลปนาสงฆ์ ที่ธรณีสงฆ์ ค่าเช่าตึกเช่าห้อง ที่ดินที่ดอนเขาเช่าทำไร่ทำนาทำเรือกทำสวน ที่ธรณีสงฆ์ก็มีในครั้งพุทธกาล ที่กัลปนาอะไร ก็ไม่ออกหน้าออกตาจนเหยียบย่ำทำลายศาสนธรรม หรือเพศของพระหัวใจของพระเสียจนแหลกละเอียดไปอย่างทุกวันนี้
เงินทองปัจจัยเหล่านี้ถ้าเป็นไปตามหลักพุทธกาลจริง ๆ แล้วมีไว้ทำไม ก็มีแต่ธรรมเท่านั้น สั่งสมธรรมไม่ได้มาสั่งสมสิ่งเหล่านี้ มีมากเพียงไรจะทำให้เป็นประโยชน์แก่โลกอะไรก็ว่ากันไปซิ ปลูกโรงร่ำโรงเรียน สร้างสถานที่ชุมนุมชนให้ได้รับความสะดวกสบาย จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เป็นสาธารณประโยชน์ โรงพยาบาล โรงร่ำโรงเรียนสร้างมันไป หมดก็หมด
พระเณรมีผู้ให้กินอยู่นี่ มีผู้ให้ขบให้ฉันนี่ ถ้าสละตายจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ตายยิ่งเหลือเฟือ กลัวจะตายนั้นแหละกิเลสมันอ้วนแต่ธรรมถ้ามีตัวก็ผอม ผอมมากทีเดียว แต่ไม่ทราบว่าจะมีธรรมให้ผอมหรือไม่มีก็ไม่ทราบ นี่ก็น่าคิด ให้คิดไว้ทุก ๆ รูป ทุก ๆ นามทุก ๆ องค์ที่มาอยู่ในสถานที่นี่ เราไม่ได้พูดเพื่อการกระทบกระเทือนผู้หนึ่งผู้ใด แต่พูดตามหลักความจริงของศาสนาว่า ผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนาเฉพาะอย่างยิ่งนักบวชคือพระเรานี้ ปฏิบัติอย่างไรจึงตรงตามคำว่าศากยบุตรต่างหาก
ศากยบุตรเป็นผู้ชำระสะสางกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ได้เป็นผู้มาสั่งสมกิเลส สั่งสมวัตถุต่าง ๆ มีสารพัดกระทั่งวิทยุโทรทัศน์เทวทัต ลายคงลายครามเต็มไปหมด มันก็เหมือนกับโลกเขาดี ๆ อยู่ดีกินดี นอนก็แล้วแต่อยากจะตื่นเมื่อไร ยิ่งกว่าหมู ตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ยินเพราะมีผู้เอามาให้กิน เลยลืมเนื้อลืมตัวไปเสีย เอาดินเหนียวมาติดหัวแล้วก็ว่าตัวมีหงอน เอาผ้ากาสาวพัสตร์มาพาดเข้าในตัวแล้วก็เป็นพระยศใหญ่เสียแล้ว
ยศนั้นละคือตัวกิเลส พระจริง ๆ ไม่มียศ ยศอยู่ในใจ ยศศีล ยศธรรม ยศสมาธิ ยศปัญญา ยศวิมุตติ นั่นเป็นเรื่องของพระแท้ ให้คิดให้รอบคอบทุก ๆ องค์ เราพูดเพื่อเป็นการเตือนใจสำหรับผู้ที่มาอยู่กับเรา ให้ได้รู้วิธีปฏิบัติอย่าให้เป็นไปดังที่ว่านี้ ด้วยเหตุนี้วัดเราจึงไม่ให้มีอย่างที่ว่านี้ มีก็มีไว้สำหรับพระเณรมีความจำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเท่านั้น ไม่มากกว่านั้น ถ้าหากว่าจำเป็นก็ยอมให้หมดไม่ได้สงวนเอาไว้ มีความจำเป็นแต่เราสงวนเอาไว้อย่างนี้เราไม่ให้มีในหัวใจ นอกจากไม่มีความจำเป็นก็ทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ความจำเป็นอย่างอื่นมีที่ไหนช่วยไปเรื่อย ๆ ไม่ลดละความเมตตาสงสาร
พระไม่มีความเมตตา พระเสียสละไม่ได้ใครจะเสียสละได้ในโลกนี้ พระหาความเมตตาไม่ได้ พระใจจืดใจดำ ใครจะเป็นผู้มีใจสว่างกระจ่างแจ้งใจกว้างใจขวางนอกเหนือไปจากพระแล้ว เราถึงทำเต็มสติกำลังความสามารถของเราเท่าที่จะสงเคราะห์โลกได้แค่ไหนก็ทำอย่างนั้นเรื่อย ๆ ไป อะไรได้มานี้ไม่เคยคิดมาเพื่อเข้าตัวแม้สักสตางค์หนึ่ง ถ้าเป็นเงินก็สตางค์หนึ่งเราไม่เคยคิดเข้ามาในหัวใจเลย นอกจากคิดผลประโยชน์สำหรับผู้จำเป็นที่ควรจะได้รับการสงเคราะห์เท่านั้น
ต้องเปิดอยู่ตลอดเวลาจิตใจของนักปฏิบัติ อย่าให้มีสิ่งเหล่านี้ภายในจิตใจ จะเป็นสิ่งที่กีดขวางลวงใจหลอกล่อเราให้ตกหลุมตกบ่อตกนรกทั้งเป็นจนได้ พยายามแก้ไข ผู้ปฏิบัติอย่านอนใจ การพูดการจาอย่าให้มีความเพลิดเพลินความคึกคะนองอันเป็นการลืมเนื้อลืมตัวความประมาท ขัดกับเพศของพระเพศของผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง ระมัดระวังเสมอคำพูดคำจาที่แสดงออกต่อหมู่เพื่อน ในขณะที่มาเกี่ยวข้องกันด้วยทำการทำงานก็ดี หรือฉันน้ำร้อนน้ำชาก็ดี ให้ต่างองค์ต่างระมัดระวังรักษาใจของตัวเอง อันนี้เพียงมาเยียวยาธาตุขันธ์เป็นกาลเป็นเวลาเท่านั้น แต่เรื่องกิเลสกับธรรมนั้นต้องหมุนกันอยู่เสมอ เราจะประสบพบเห็นสมบัติอันล้นค่า หรือเรียกว่ามหาสมบัติภายในใจ
สิ่งสำคัญก็คือเรื่องสังขารเรื่องสัญญา เราเป็นนักภาวนาต้องรู้เรื่องกลมายาของทั้งสองอย่างนี้ที่เด่นกว่าเพื่อน ทางตากับรูปก็มีบ้างเป็นบางกาลบางเวลา หูกับเสียงก็มีบ้างบางกาลบางเวลา ไม่เสมอไปเหมือนสัญญากับสังขารที่คิดเกี่ยวข้องกับเรื่องของกิเลสตัณหาอาสวะมาผูกพันตนเอง อันนี้แสดงอยู่ตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่เราเดินจงกรมมันก็วาดภาพกิเลสขึ้นมาจนได้ สัญญามันหมายเรื่องอดีตที่เคยเห็นเคยได้ยินอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกี่ยวกับเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มากลายเป็นธรรมารมณ์อยู่ภายในจิตใจ ด้วยอำนาจของสัญญากับสังขารเป็นตัวการสำคัญ มาปรุงมาแต่ง อยู่ในทางจงกรมก็สร้างกิเลสเพราะขันธ์หลอก สร้างอยู่ทั้งวันทั้งคืน
พอตื่นขึ้นมาภาพของกิเลสขึ้นแล้ว แต่เราไม่ทราบว่าเป็นภาพของกิเลส หมายเรื่องอะไรสัญญาก็ดี สังขารคิดปรุงเรื่องอะไร ทุกขเวทนาความอัดอั้นตันใจ หรือความฟุ้งซ่านของใจก็ต้องเป็นขึ้นมาจนได้ เพราะขันธ์ทั้งสองขันธ์นี้มันไปกว้านเอายาพิษเข้ามาเผาลนแล้วจิตใจจะไม่กำเริบได้อย่างไร เพราะถูกยาพิษที่ได้รับมาจากสัญญา สังขาร ปรุงแต่งหลอกลวงตนเองอยู่เสมอ
สังเกตดูก็รู้ นักปฏิบัติไม่รู้ได้ยังไง ต้องรู้ได้อย่างชัด ๆ ตัวสัญญา ตัวสังขารนี่สำคัญมากทีเดียว เป็นธรรมารมณ์ครุ่นคิดอยู่นั้นตลอดเวลา
เอาให้จริงให้จังผู้ปฏิบัติ ผมอยากเห็น อยากทราบ อยากได้ยินผลแห่งการปฏิบัติของหมู่คณะที่มาอยู่ด้วย และได้อบรมสั่งสอนเต็มสติกำลังความสามารถ ไม่เคยมีลี้ลับในธรรมะบทใดแง่ใดทั้งสูงต่ำหยาบละเอียดจนสุดความสามารถของตัวเอง เปิดออกทุกแง่ทุกมุมทั้งภาคปฏิบัติและผลที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เคยปิดบังไว้เลย ธรรมะที่อธิบายให้หมู่เพื่อนทั้งหมดนี้มันเป็นโมฆธรรมไปหมดแล้วเหรอ หมู่เพื่อนจึงไม่สามารถจะรับไปประพฤติปฏิบัติ พอให้ปรากฏผลขึ้นมาดังที่แสดงบ้าง นี่เป็นสิ่งที่น่าคิดเหมือนกัน
จิตใจของนักปฏิบัติต้องมีความเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอปวกเปียกใช้ไม่ได้ ขัดกับหลักธรรม แย้งกับหลักธรรม เป็นข้าศึกต่อธรรม ความอ่อนแอในสิ่งที่ไม่ควรอ่อนแอ อันไหนก็ตามคำว่าความอ่อนแอมันไม่ดีทั้งนั้น มันจะเป็นไปในทางปีนธรรมะเป็นข้าศึกกับธรรมะ เข้มแข็งไปทางนั้น ในขณะที่อ่อนแอต่อทางธรรมต้องเข้มแข็งกับสิ่งที่จะเป็นข้าศึกต่อธรรมจนได้นี่หลักสำคัญ
การปฏิบัติทางด้านจิตใจให้มีความจริงจังต่องานของตนเสมอ เรื่องท่านว่าสมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี เราอย่ารอผัดเปลี่ยนเวล่ำเวลา ขณะไหนที่สมควรที่จะพิจารณาทางด้านปัญญา เอ้า ฟาดลงไป ปัญญาก็เพื่อจะแก้กิเลสอยู่ในหัวใจของเรานี้ สมาธิก็เพื่อจะกดหัวกิเลสให้มันหมอบลงไปภายในจิตใจของเรานี้ ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นเรื่องที่จะปราบกิเลสทั้งนั้น ปัญญาเป็นสำคัญมากเราสังเกตดูเวลาเราตั้งใจพิจารณาสิ่งใด ถ้ามันเป็นสัญญาอารมณ์ไปมาก ๆ มันเถลไถลออกนอกลู่นอกทางไปเสีย ให้รีบเข้ามาทางสมาธิ กดหัวกิเลสความฟุ้งซ่านนั้นด้วยสมถะ
อารมณ์แห่งสมถะคือความสงบ นี่ก็เคยอธิบายแล้ว ธรรมบทใดเป็นที่ถูกกับจริตจิตใจของเรา เรานำธรรมบทนั้นมาเป็นสมถะเป็นเครื่องอยู่ของใจ บังคับจริงจังให้อยู่กับธรรมบทนั้นจริง ๆ เช่น กำหนดลมหายใจก็มีแต่ลมหายใจ โลกนี้เหมือนไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ใจมันกระเพื่อมออกไป ใจมันผลักมันดันออกไปคิดเรื่องโลกเรื่องสงสารเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะกิเลสเป็นตัวสำคัญที่ผลักไสออกมา ให้สังขารต้องคิดต้องปรุงอย่างนั้นต้องคิดอย่างนี้ สัญญาต้องหมายอย่างนั้นหมายอย่างนี้ มันมีแต่เรื่องของกิเลสซึ่งหาความสงบไม่ได้ยิ่งกว่าลิง นั่นกิเลสเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจจึงต้องเป็นเหมือนลิง
เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ จะแยกแยะดูอะไรไม่ได้เหตุได้ผล ดูทางอสุภะอสุภังปฏิกูลโสโครกก็ไม่ได้ผล พิจารณาเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ไม่ได้ผล เถลไถลไปเสีย แสดงว่าจิตนี้หิวโหยต่ออารมณ์อยู่มาก ให้ระงับจิตด้วยสมถะคือด้วยสมาธิ บังคับลงเอาจริงเอาจัง เมื่อจิตมีความสงบแล้วพิจารณาทางปัญญาอีก บังคับไปเหมือนกัน เมื่อพิจารณาได้ถ้อยได้ความได้เหตุได้ผลแสดงว่าปัญญาทำหน้าที่ เพราะมีความอิ่มตัวพอสมควรจากความสงบคือสมาธินั้น
สังเกตตัวเองการพิจารณา การภาวนาไม่สังเกตไม่ได้นะ ต้องสังเกต เราจะคอยเอาแต่อุบายจากครูบาอาจารย์อย่างเดียว เราไม่คิดไม่ค้นขึ้นมาเพื่อประโยชน์แก่เราเลยก็หาความฉลาดไม่ได้ ขณะใดที่ควรจะใช้ปัญญาเป็นที่เหมาะสมกับอัธยาศัยของเรา หรือขณะนั้นเป็นที่เหมาะสมแล้วพิจารณา จะพิจารณาแบบ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ตาม พิจารณาอสุภะอสุภัง การล้มหายตายจากการพลัดพรากอะไรก็แล้วแต่ ที่จะให้เกิดความสลดสังเวชซึ่งเป็นความจริงทั้งนั้น นอกจากจิตปีนเกลียวกับธรรมไม่ยอมรับความจริง
ร่างกายของเรานี้มีอะไร เกิดมากี่ปีกี่เดือน มันเกิดมาจากไหนค้นให้เห็นเหตุเห็นผลซิ ที่ว่าเป็นเราเป็นท่านเป็นสัตว์เป็นบุคคล ที่จะมาเป็นรูปเป็นร่างเป็นสัตว์เป็นบุคคลนี้ รูปร่างนี้เอามาจากไหน ค้นลงถึงธรรมชาติเดิมของมันคือธาตุเดิมของมัน ส่วนใหญ่ก็มีธาตุดิน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น มองเห็นด้วยตาเนื้อของเราชัด ๆ นี้ นี่ก็เป็นธาตุดิน น้ำมีน้ำลายเป็นตันก็เป็นธาตุน้ำ ธาตุลมมีลมหายใจเป็นต้นเรียกธาตุลม ธาตุไฟมีความร้อน ไฟธาตุที่ย่อยอาหารเป็นต้น
รวมส่วนใหญ่ของธาตุก็มีอยู่ ๔ ใจเข้ามาครองตัวอยู่นั้นมาจับจองเอาแล้วก็ปักหลักปักเขตปักแดนเอา ตั้งสมมุติขึ้นมาเสกสรรขึ้นมาว่านี่เป็นสัตว์นี่เป็นบุคคล นี้เป็นเรานี้เป็นของเรา นี้เป็นแข้งเป็นขาเป็นหูเป็นตาเป็นอวัยวะของเรามันปรุงขึ้นมาอย่างนี้ โดยไม่มีใครบอก แม้แต่สัตว์ก็เป็นเองเพราะเป็นหลักธรรมชาติ กิเลสเป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจโดยไม่ต้องมีโรงร่ำโรงเรียนสอนกัน กิเลสก็เป็นกิเลสอยู่โดยตรงนั้นแหละ
ทีนี้ธาตุทั้งสี่ที่รวมตัวกันอยู่นี้ มีจิตเข้าครองตัวและจับจองเอาไว้ทุกแง่ทุกมุมทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาอวัยวะที่มีอยู่ในร่างอันนี้นั้นปรากฏตัวมากี่ปี ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันนี้ ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี เราหลงกลลวงของกิเลสว่าเป็นคนเป็นสัตว์เป็นเราเป็นท่านมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ ทั้ง ๆ ที่นี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านั้น ตามหลักธรรมชาติเดิมของเขาคือความจริงแท้ แต่มาเสกสรรปั้นยอ ถูกลวงจากกิเลสมานานเท่าไร
เอ้า สมมุติอันนี้สลายตัวลงไปแล้วไปอยู่ที่ไหน เราจะเรียกว่าสัตว์ว่าบุคคลได้อีกไหม ส่วนดินก็ลงไปเป็นดิน ส่วนน้ำก็ลงไปเป็นน้ำ ส่วนลมก็ลงไปเป็นลม ส่วนไฟก็ลงไปเป็นไฟตามธาตุเดิมของเขาแล้ว เราจะเรียกไฟเป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ไหม ลม ดิน เหล่านี้เป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ไหม เรียกไม่ได้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทีนี้เวลาเข้ามาอยู่นี้ทำไมมาเรียก มันก็เป็นธาตุเดิมนั้นแท้ ๆ เมื่อพิจารณาให้ถึงความจริงอย่างนี้จึงเรียกว่าปัญญา
มีใจเท่านั้นพาให้เคลื่อนไหวไปมาได้ คือธาตุแท้ ๆ มันก็เหมือนก้อนดินก้อนหนึ่งนั่นแหละอยู่นี่ สลายจากอันนี้ลงไปก็ลงไปสู่ดินตามเดิม แต่เรามาว่าเป็นเราเป็นของเราเสียตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งป่านนี้ ถูกกิเลสโกหกมาจนป่านนี้ ยังจะถูกโกหกไปอีกตลอดจนกระทั่งวันตายในอัตภาพนี้ ในก้อนธาตุก้อนนี้ ถ้าเราเรียนไม่จบ สติปัญญาไม่ทันกลมายาของกิเลสแล้ว จะต้องแบกคำว่าสัตว์ว่าบุคคลว่าเราว่าเขาไปจนกระทั่งวันตาย แม้อันนี้สลายตัวลงไปตามความจริงของเขา แต่อุปาทานความยึดมั่นก็ไม่สลาย จะฝังอยู่ภายในจิตคอยเข้าสู่ปฏิสนธิวิญญาณในอัตภาพใดร่างใด ก็จะไปอุปาทานยึดมั่นถือมั่นแบกหามนั้นว่าเป็นเราอีกแหละไม่มีสิ้นสุด
นี่การพิจารณาทางด้านปัญญาพิจารณาอย่างนี้ให้เห็นตามความจริง ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เอาจนกระทั่งเข้าใจซึ้งถึงจิตแล้วไม่ต้องบอก เรื่องอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นมันปล่อยเอง ไม่มีใครบังคับให้ปล่อยได้ นอกจากปัญญาเป็นผู้แทงทะลุแล้วปล่อยได้ ปล่อยเอง ๆ ทั้งนั้น เข้าใจตรงไหนปล่อย ๆ ท่านจึงสอนให้พิจารณาเพื่อให้เข้าใจ เข้าใจแล้วจะได้ปล่อย เพราะสิ่งเหล่านี้มันปลอม ปลอมจากความจริง เรามันปีนเกลียวกับความจริง อยู่กับความปลอมทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนแต่เราไม่ทราบ จึงต้องพิจารณา
เอ้า ถ้าพูดถึงเรื่องปฏิกูลโสโครกดูซิ มันก็มีแต่ขี้เต็มตัว ขี้ผม ขี้ขน ขี้เล็บ ขี้ฟัน ขี้ไคล ภายนอกก็เต็มไปด้วยขี้ เข้าไปภายในอีกก็ยิ่งเต็มไปหมด มีอะไรที่เป็นของสวยของงาม หนังบาง ๆ ห่ออยู่นั้น บาง ๆ เท่านั้นสติปัญญาแทงไม่ทะลุเป็นไปได้เหรอ ถ้าเราใช้สติปัญญาแทงจริง ๆ สติปัญญามีไว้เพื่ออะไรถ้าไม่มีไว้เพื่อแทงหาความจริงของสิ่งทั้งหลายมีขันธ์ ๕ นี้เป็นต้นเท่านั้น ปัญญาต้มแกงกินไม่ได้ สำหรับใช้ขุดค้นทิ่มแทงลงไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่เจ้าจอมปลอมมันจับจองเอาไว้ ให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วจิตจะปล่อยตัวเอง ปล่อยมากปล่อยน้อย
อุปาทานซึ่งเป็นของหนักรวมกันแล้วยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก เมื่อพิจารณาให้เห็นชัดเจนแล้วก็ปล่อยลงไปโดยลำดับ ๆ จิตก็ดีดขึ้น ๆ จนกระทั่งดีดขึ้นเป็นอิสระของตัวเอง นั่นเรียกว่าจิตที่บริสุทธิ์
เอาให้จริงให้จังให้มีหลักมีเกณฑ์การปฏิบัติ อย่าเหลาะแหละ เราอย่าไปคาดโน้นคาดนี้ ว่าที่โน่นจะดีที่นี่จะดียิ่งกว่าจดจ่อลงไปในวงสัจธรรมซึ่งอธิบายมาแล้วสักครู่นี้ นี่เป็นหลักใหญ่ อยู่ที่ไหนต้องเอาหลักนี้เป็นหลักสมรภูมิเป็นสนามรบ กิเลสอยู่ตรงนี้แหละไม่อยู่ที่อื่น เอาให้เห็นชัดเจน พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่มีปัญหาอะไรเลย สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งแล้ว สอนไว้ชอบทุกสิ่งแล้ว นิยฺยานิโก เป็นธรรมที่นำผู้ปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับจนกระทั่งพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงได้โดยไม่ต้องสงสัย เราจะสงสัยที่ไหนอีก
กิเลสไม่มีใครมาประกาศสอนทำไมมันถึงได้เป็นครูของเรา พระพุทธเจ้าทรงอุตส่าห์สอนจนแทบล้มแทบตาย ทำไมธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีฤทธิ์มีเดชเหนือกิเลสไปได้มันเป็นยังไง ในวงปฏิบัติของเรานี้ควรจะได้ธรรมเป็นเครื่องเหนือกิเลส ประหัตประหารกิเลสให้หลุดลอยออกไปจากใจ กิเลสมันไม่มีครูมีอาจารย์ เรามีครูมีอาจารย์เป็นผู้อบรมสั่งสอนมาด้วยดีแล้ว ทำไมต่อสู้กับกิเลสที่ไม่มีโรงร่ำโรงเรียนก็สู้เขาไม่ได้ แพ้เขาอย่างหลุดลุ่ยตลอดเวลานี่ใช้ไม่ได้เลย
เบื้องต้นก็ต้องฟัดต้องเหวี่ยงกันบ้างเป็นธรรมดา เพราะกิเลสมันเคยเรืองอำนาจมานานแล้ว เราจะให้มันอยู่ใต้อำนาจก็ต้องเอากันเต็มเหนี่ยว เอาเป็นเอาตายเข้าว่าทีเดียว ถึงคราวจะสละก็สละลงไป สละเพื่อสารคุณไม่เป็นไร ให้เห็นเหตุเห็นผลภายในจิตใจ ให้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นภายในจิตใจแล้ว อ๋อ ๆ อย่างนี้เหรอ ๆ นั่นคือรู้แท้เห็นแท้เป็นลำดับ ๆ ไป ถ้าประจักษ์ใจแล้วมันต้องอุทานจนได้แหละ หือ ขนาดนี้เหรอ รู้แล้วเหรอที่นี่เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องทุกข์ในขันธ์ทุกข์ในจิตรู้แล้วเหรอ สมุทัยตัวยึดตัวสำคัญมั่นหมายคืออะไรมันก็รู้ในขณะเดียวกัน ไม่พ้นปัญญาไปได้ เอาให้จริงให้จัง
ครูบาอาจารย์ที่จะแนะอรรถแนะธรรมทุกวันนี้มีน้อยมากแล้วนะ จะไม่มีแหละ พระปฏิบัติมีเต็มบ้านเต็มเมืองแต่จะหาสาระสำคัญจริง ๆ นำมาอวดเพื่อนฝูงด้วยกันตามความจริงที่รู้ที่เห็นมานั้นมีจำนวนน้อยมาก เพราะเหตุไร ก็เพราะวัตถุเหยียบย่ำทำลายนั่นเองไม่ใช่อะไรนะ วัตถุตัวสำคัญเหยียบย่ำทำลายมาก วัตถุเจริญเท่าไรจิตใจยิ่งเสื่อมลงมาก ๆ ไม่ว่าทางโลกทางธรรมเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ กระดาษเขาเสกขึ้นมาเขาเป่าขึ้นมา สมมุติขึ้นมาเป็นเงินก็เผาหัวใจพระเราจนได้ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่ากระดาษ เอาไปมวนบุหรี่สูบก็เหม็นเขียวจะตายไป ก็หลง
ของปลอมนั้นจับเร็วจิต เพราะจิตมันปลอมอยู่แล้ว เมื่อของปลอมมาผ่านมันก็ติดกันได้ง่าย ๆ เพราะยังไม่มีความจริง เมื่อปฏิบัติจิตให้ถึงความจริงเป็นขั้น ๆ ไปแล้ว ของจริงอันใดที่ผ่านเข้ามาจะยึดทันที ๆ ส่วนของปลอมสลัดพับ ๆ ออก จิตดวงเดียวนี้แหละหากต่างกัน เบื้องต้นหนักบ้าง หนักก็ทนซิ แบกทุกข์เรายังแบกมาได้ตั้งกัปตั้งกัลป์ ตั้งแต่อัตภาพนี้ก็ทุกข์ขนาดไหน จิตมันก่อเรื่องก่อราวอยู่ตลอดเวลาจะไม่ทุกข์ได้หรือมนุษย์เรา เพราะจิตเป็นผู้ก่อเรื่อง ในวงขันธ์นี่แหละมันเป็นเครื่องมือของกิเลสได้อย่างดี ๆ จึงได้แสดงออกมาอยู่ตลอดเวลา แสดงออกมามากน้อยก็เป็นการผลิตทุกข์ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แล้วใครจะไม่แบกกองทุกข์ เรายังไม่เห็นโทษในสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เราจะไปหาคุณธรรมที่ไหน
นี่ก็เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกสิ่งทุกอย่างให้เพื่อนฝูงฟัง อยากให้เข้าอกเข้าใจประพฤติปฏิบัติ เราไม่อยากเห็นมีแต่ลมแต่แล้งหาตัวจริงไม่มี เดินจงกรมก็เดินแบบลม ๆ แล้ง ๆ นั่งสมาธิภาวนาก็มีแต่ความโงกง่วงสัปหงกงกงัน ปรากฏอรรถธรรมขึ้นมาเพราะความเพียรในท่าต่าง ๆ ไม่ปรากฏนี่แล้วทำไง วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ วันต่อไปก็เอานิสัยเก่ามาใช้ มันก็เป็นเรื่องนิสัยเก่าอันเก่านั้นแหละ ไม่ได้ของใหม่อะไรขึ้นมาแปลกจิตแปลกใจตัวเอง ก็ยิ่งทำให้ท้อถอยลงทุกวัน ๆ
ถ้าเป็นคาถาอาคมที่ครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนพ่นใส่หัวใจทุกวัน ๆ ก็เลยกลายเป็นน้ำท่าไปหมด ไม่ได้เป็นน้ำยาเลยเพราะกิเลสมันชนะ กิเลสมันครอบหัวใจแล้ว น้ำอรรถน้ำธรรมเข้าไม่ถึง เหมือนอย่างไฟมันรุนแรงน้ำไม่พอสู้ไม่ได้ เหลือแต่เถ้าแต่ถ่านเท่านั้น เคยพูดแล้วเรื่องทุกข์ที่เกิดเพราะอำนาจของกิเลสนี้ทุกข์มาก ทุกข์อย่างฝังจม ทุกข์ทุกเพศทุกวัยทุกชาติชั้นวรรณะไม่เลือกหน้า ก็คือกิเลสทำให้คนทุกข์ ทำให้สัตว์ทุกข์ อยู่บนหัวใจของคนทุกประเภทไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใด มันอยู่บนหัวใจกดขี่บังคับอยู่ตลอดเวลา ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะกิเลสทำพิษ
นี่เราบวชเข้ามาเพื่อจะแก้พิษแก้ภัยอันนี้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำไมเราจะไม่สามารถ แก้ไปได้มากน้อยเราก็เห็นคุณค่าแห่งความเพียรของเรา จิตเคยว้าวุ่นขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา แต่ได้มาเกิดความสงบขึ้นมาเพราะการภาวนา นี่เราก็เห็นคุณค่า ควรจะเขยิบขึ้นไปอีกโดยลำดับ สติปัญญาถ้านำมาใช้ก็เกิดปัญญา ผลิตให้เกิดก็เกิด ชอบคิดอ่านไตร่ตรองเรื่องนั้นเรื่องนี้ในธาตุในขันธ์ เดี๋ยวก็แย็บขึ้นมาให้เป็นคติเตือนใจ เดี๋ยวแย็บขึ้นมา ๆ ให้ได้คติอยู่เรื่อย ๆ นั่นเรียกว่าปัญญา เพราะการค้นคว้า หากไปเจอจนได้ เบื้องต้นก็ต้องใช้อย่างนั้นเสียก่อนปัญญาจึงจะเกิด
เมื่อปัญญาก็เห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นผลของตัวที่คิดค้น ปัญญาก็มีความขยันหมั่นเพียรไปเอง จนกลายเป็นปัญญาอัตโนมัติไปได้ กิเลสเบาไป ๆ ความเพียรก็หนักขึ้นโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งในตัวของเรามีตั้งแต่ความเพียร ความจะเอาความจะสู้ท่าเดียว ความขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมดเพราะเป็นเรื่องของกิเลส เบาลงเท่าไรสติปัญญาศรัทธาความเพียรยิ่งหนักหน้า กิเลสเบาลงเท่าไรธรรมก็ยิ่งหนักข้อขึ้นไปทุกที ๆ เอาจนปราบได้อยู่ไม่มีอะไรเหลือ นั่นที่นี่ความทุกข์ที่เคยกดถ่วงอยู่ในหัวใจเพราะพิษของกิเลสมันสร้างขึ้นมา ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเกลี้ยงไม่มีเหลือ
จิตจึงว่างไม่มีอะไรเข้ามาเหยียบย่ำทำลายเหมือนอย่างแต่ก่อน เพราะวางหมดแล้วด้วยปัญญา ปัญญาพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงแล้ววางหมดปล่อยหมด แล้วก็ว่าง จิตว่างจากกิเลสตัณหาอาสวะซึ่งเคยเป็นพิษเป็นภัยมาแต่ก่อน ความว่างเลยเป็นธรรมทั้งดวง ก็มีแต่เรื่องของขันธ์เท่านั้นแหละที่มันดิ้นอยู่ตามสภาพของมัน เหมือนหางจิ้งเหลนขาดดุ๊กดิ๊ก ๆ พอถึงกาลของมันที่จะสลายตัวไม่มีความหมายอะไร ตัวมันเองก็ไม่ทราบความหมาย
เช่น รูปมันก็ไม่ทราบความหมายว่าตัวเป็นรูป เวทนาที่มีอยู่ในขันธ์นี้ก็ไม่ทราบความหมายว่าตนเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เหมือนกัน มันก็คิดก็ปรุงไปอย่างนั้น ปรุงไปพร้อมดับไปพร้อม ๆ ปรุงไปขณะไหนก็ดับ สัญญามันวาดไปพับมันก็ดับไปพร้อม วิญญาณความรับทราบในสิ่งต่าง ๆ ก็ดับไปพร้อม ๆ เพราะไม่มีเจ้าตัวการผลักดันอยู่ภายใน
เจ้าตัวการนั้นคือกิเลสอวิชชานั่นเองมันหมด ขันธ์ก็เลยกลายมาเป็นเครื่องมือของธรรม แต่ก่อนเป็นเครื่องมือของกิเลสให้มันใช้เอาเสียจนแหลก พอความว่างเปล่าได้เกิดขึ้นแล้วภายในใจ ก็ได้อาศัยขันธ์นั่นแหละทำประโยชน์ให้โลกต่อไป เช่นพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนา พระสาวกสั่งสอนธรรมแก่พุทธบริษัทสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป ก็อาศัยธาตุอาศัยขันธ์นี้เมื่อยังครองตัวอยู่ กลายเป็นเครื่องมือของธรรมไปแล้วขันธ์เหล่านี้ เพราะกิเลสตายไปขันธ์ก็เป็นเครื่องมือของธรรม เมื่อขันธ์หมดความสามารถที่จะสืบต่อกันไปได้ ขันธ์ก็สลายตัวลงไปตามสภาพแห่ง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเป็นความสมมุติก็ต้องเป็นไปตามสมมุติ ขันธ์ก็เป็นสมมุติ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เป็นสมมุติ ลงไปตามสภาพแห่งความจริงของเขา ผู้ที่บริสุทธิ์แล้วมีปัญหาอะไร นั่นแหละท่านว่าหายห่วง นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ หาที่ไหน กิเลสว่างจากหัวใจแล้วก็อยู่แหละ ไปหานิพพานที่ไหนอีก
เราเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เราทุกข์เพราะกิเลสต่างหาก เมื่อกิเลสกองทุกข์มันดับไปแล้วจะไปหานิพพานที่ไหน ถ้าหลงละหา ถ้ารู้แล้วไม่หา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เป็นอนันตกาลตลอดกาลไปเลย นิพพานเที่ยงท่านว่า จิตถึงความอิ่มตัวเต็มที่แล้วปล่อยวางสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้วนั้น ใครจะว่าอะไรต่อไปนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะจิตดวงนั้นเป็นจิตที่หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง จะมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีกล่ะ จะเป็นจะอยู่จะตายก็หมดปัญหาอยู่แล้วโดยหลักธรรมชาติ ไม่ได้อยู่ในข่ายแห่งปัญหาเหมือนปัญหาโลกแตกนี้
เอาเท่านั้น