กิเลสสู้เราไม่ได้ กิเลสก็ตาย กิเลสประเภทนี้ต้องใช้มัชฌิมาประเภทนี้โต้ตอบ หรือต้านทาน หรือปราบปรามกัน เราจะมีแต่มัชฌิมาเรื่อย ๆ ไปเฉย ๆ มันไม่ได้เรื่อง คำว่าเหมาะสมนี้ คือกิเลสประเภทใดแสดงขึ้นมา นำธรรมะหรือธรรมาวุธ ได้แก่อาวุธคือธรรมนำมาต่อสู้ หรือปราบปรามกับกิเลสประเภทนั้นให้เหนือกว่ามันอยู่เสมอ ถ้าเสมอกันก็พอทรงตัวแล้วกิเลสก็จะชนะเรา ถ้าให้หนักมือคือมีอำนาจมากกว่ากิเลส กิเลสก็อ่อนตัวลงไป พอเห็นผลและเป็นสักขีพยานในการประกอบความเพียรขั้นนี้ ด้วยมัชฌิมาประเภทนี้ ในกาลต่อไปก็ยึดหลักนี้ไว้เป็นเกณฑ์แล้วปราบปรามกันไปเรื่อย ๆ
กิเลสอ่อนตัวลงไปมากเพียงไรเรื่องมัชฌิมาคือ ความเหมาะสมแห่งธรรมที่จะนำไปปราบกิเลสนั้นเป็นไปเอง เวลากิเลสผาดโผน มัชฌิมาคือเครื่องมือนี้ก็ต้องผาดโผน เอากันถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงถึงเป็นถึงตาย ไม่มีการท้อถอย แต่เรื่องของสติปัญญา ที่เรียกว่าเป็นอาวุธสำคัญซึ่งจะต้องนำหน้าเสมอนี้ ปล่อยวางกันไม่ได้
ขณะที่ทุกขเวทนาเกิดขึ้นภายในร่างกาย เพราะการนั่งมากเจ็บนั้นปวดนี้หนักขึ้นทุกที ๆ เราจะใช้แต่เพียงความอดทนต่อทุกขเวทนานี้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ใช้ความอดทนต่อสู้กับอดทน ใช้การพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา คือปัญญาเป็นผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาความจริงของทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ด้วยความมีสติเป็นเครื่องควบคุมปัญญาของตนอยู่เสมอไม่ลดละซึ่งกันและกัน ว่าเวทนานั้นเกิดขึ้นมาจากไหน มันจะต้องหมายในส่วนใดส่วนหนึ่งจนได้ว่าเวทนานี้เกิดขึ้น เช่น ที่เข่าบ้าง ที่เอวบ้าง ที่ก้นบ้าง ที่ตะโพกบ้าง
ที่ใดก็ตามที่เด่น ๆ กว่าเพื่อนนั้นน่ะ เป็นจุดที่เราจะต้องดิ่งสติปัญญาเข้าไปตรงนั้น ว่าในจุดนี้ทุกขเวทนาเกิดขึ้นจากอะไรกัน อะไรเป็นทุกข์ เป็นหนังเป็นทุกข์ หรือ เนื้อเป็นทุกข์ หรือเอ็นเป็นทุกข์ หรือ กระดูกเป็นทุกข์ในจุดนี้ ค้นดูเนื้อ กับเทียบเคียงกับเวทนาเป็นรูปลักษณะอันเดียวกันไหม เข้ากันได้ไหม เนื้อเป็นรูปเป็นลักษณะ มีสีสันวรรณะ ทุกขเวทนาไม่ได้มีรูปมีลักษณะมีสีสันวรรณะ แสดงแต่ความเจ็บปวดแสบร้อนอยู่ ตามหลักธรรมชาติของตนเท่านั้น นี่แยกแยะให้เห็นชัดเจนอย่างนี้
การแยกแยะก็ต้องมีสติคอยจดจ่อต่อเนื่องกันกับปัญญา ที่คุ้ยเขี่ยขุดค้นในทุกขเวทนาหรือในเนื้อนั้น ให้เห็นติดต่อสืบเนื่อง ให้เข้าใจติดต่อสืบเนื่อง รู้ติดต่อสืบเนื่องกันอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่ให้ลดละสติกับปัญญาที่จะต้องไปพร้อม ๆ กันในการพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย มีเวทนาและเนื้อนั้นเป็นต้น
เอา ถ้าแยกไปกระดูก สมมุติว่าเจ็บกระดูกปวดกระดูก เข้าใจว่ากระดูกเป็นทุกข์ ก็ดูทุกข์ให้รู้อย่างชัดเจน แล้วก็ดูกระดูก กระดูกมีรูปมีลักษณะมีสีสันวรรณะ ส่วนทุกข์นี้ไม่มีเช่นเดียวกันหมด เป็นทุกข์อยู่เฉย ๆ เหมือนอย่างทุกข์ที่เราสำคัญว่าเกิดจากเนื้อ หรือเนื้อเป็นทุกข์ หนังเป็นทุกข์ก็ตาม เอ็นเป็นทุกข์ กระดูกเป็นทุกข์ มันก็มีสภาพอันเดียวกัน แต่หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกนี้มีรูปลักษณะต่างกันไปเป็นลำดับ ๆ เหตุใดจึงจะต้องเป็นเวทนานั้น เอ้า สมมุติว่าคนตายแล้ว หนังก็ดี เนื้อก็ดี เอ็นก็ดี กระดูกก็ดียังมีอยู่ทุกข์ไม่มี ถ้าหากว่าเป็นอันเดียวกันแล้ว ทุกข์ทำไมจึงไม่มีในขณะที่ตายแล้วนั้น ทั้ง ๆ ที่เนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ยังมีอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นจะถือว่าเป็นอันเดียวกันได้ยังไง นี่ประการหนึ่ง
ประการที่สอง เรื่องของจิตเป็นสำคัญ แยกเข้ามาดูจิตอีก หรือจิตนี่หรือเป็นทุกข์ ถ้ากายส่วนใดส่วนหนึ่งไม่เป็นทุกข์ หรือจิตนี่หรือเป็นทุกข์ ก็ดูจิตกับดูเวทนา กับดูกายมันมีความแตกต่างกันอย่างไร จิตก็มีแต่ความรู้ รู้เท่านั้น ทุกข์เกิดขึ้น หรือทุกข์ดับไป ทุกข์ตั้งอยู่ความรู้ก็มีอยู่เช่นนั้น ทุกข์ไม่เกิดขึ้นมาไม่ปรากฏเลย ทุกข์ประเภทที่กำลังแสดงอยู่เวลานี้ยังไม่เกิดมาความรู้ก็มีอยู่เช่นนี้ หากว่าจิตเป็นทุกข์ ทุกข์มาเป็นจิต เวลาทุกข์ดับไปแล้วจิตก็ต้องดับไปด้วย แน่ะ จิตไม่ควรจะยังเหลือรู้อยู่ นี่ถ้าเป็นอันเดียวกันต้องเป็นอย่างนั้น แต่นี้ทุกข์ดับไปแล้วจิตก็รู้อยู่ ทุกข์ยังไม่เกิดขึ้นมาจิตรู้อยู่ จะถือว่าเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร
แยกหาความสำคัญมั่นหมายของตัวสัญญาที่ไปหมายว่าสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งนี้เป็นทุกข์ แล้วคว้าเข้ามาคละเคล้าซึ่งกันและกัน จนกลายไปว่าหนังเป็นทุกข์ เนื้อ เป็นทุกข์ เอ็นเป็นทุกข์ กระดูกเป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์ รวมแล้วว่าเราเป็นทุกข์ เมื่อมันถึงขั้นเราเป็นทุกข์ยิ่งเจ็บมากทุกข์มาก มันต้องแยกแยะให้เห็นอย่างชัดเจนอย่างนี้ นี่เรียกว่ามัชฌิมาประเภทหนึ่ง ที่จะต่อสู้กับทุกขเวทนา ในขณะที่เกิดขึ้นมากๆ เวลาเรานั่งนานหรือเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย
ยิ่งวาระสุดท้ายขณะที่จะตายด้วยแล้ว ทุกขเวทนาจะต้องมาเต็มภูมิของมัน เต็มตัว จนขนาดที่ว่าเราแบกหามไว้ไม่ไหว รับไว้ไม่ได้ถึงต้องตายไปขณะนั้นเอง ทุกข์มาก ถึงขนาดทนไม่ไหวตายไป กับทุกข์ในขณะที่นั่งภาวนาเพียงเท่านี้อันไหนมากกว่ากัน หากว่าเราไม่สามารถที่จะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยการพิจารณาทุกข์ในขณะนี้แล้ว เราจะมีความสามารถรู้แจ้งเห็นจริงในทุกขเวทนาที่จะเกิดขึ้นในวาระสุดท้ายคือ ขณะที่ตายนั้นได้อย่างไร ถ้าเราเหลวตั้งแต่บัดนี้การตายของเราก็ต้องตายด้วยความเหลวไหล ไม่มีสาระอะไรที่เราจะยึดได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์
ถ้าเราได้พิจารณารู้แจ้งเห็นจริงในทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งเห็นจริงในกาย ในอาการของกาย เช่น เนื้อ หนัง เอ็น กระดูกที่มีอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกายนี้อย่างชัดเจนนี้ด้วยปัญญา และรู้ว่าจิตเป็นจิต อาการแต่ละอาการเป็นแต่ละอาการ ซึ่งเป็นความจริงของมันแต่ละอย่าง ทุกขเวทนาก็รู้ตามความเป็นจริงของมันแต่ละอย่าง เมื่อต่างอันต่างจริงด้วยการพิจารณาทางด้านปัญญานี้แล้ว เราก็สามารถแยกแยะกันได้ ความทุกข์แม้จะไม่ดับไปก็ไม่สามารถจะทำความกระทบกระเทือนแก่จิตใจให้ห่อเหี่ยวเดือดร้อนวุ่นวายไปได้ เราอยู่อย่างสบาย อยู่อย่างอาจหาญ อยู่อย่างมีเกราะหุ้มหัวใจเรา ต่างอันก็ต่างจริงไปเสีย เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกันกายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตสักแต่ว่าจิต ต่างอันต่างจริง นี่ได้เห็นเหตุเห็นผลด้วยสติปัญญา นี่มัชฌิมาประเภทหนึ่งที่เราจะต้องนำมาใช้
หรือขณะที่กิเลสตัณหาอาสวะราคะตัณหาเป็นต้น มันแสดงขึ้นมาด้วยความรุนแรงเราก็ต้องนำสิ่งที่แก้กันมาอย่างรุนแรงเหมือนกัน ยกข้อเปรียบเทียบหรือว่ายกนิมิตขึ้นมา ยกอสุภะอสุภังขึ้นมา เอาที่สวย ๆ งาม ๆ นั่นน่ะ มาตั้งลงตรงหน้านี้แล้ว ให้ตายต่อหน้าเราให้พุพองขึ้นมาให้เห็นแล้วแตกเน่าเฟะให้เห็นต่อหน้าต่อตา แร้งกาหมากินเต็มไปหมด แล้วมันจะหาความกำหนัดยินดีมาจากไหน นี่เรื่องมัชฌิมาให้พากันเข้าใจเอาไว้อย่างนี้
ต้องหาเครื่องมือให้เหมาะสมกับกิเลสประเภทต่างๆ ที่แสดงตัวขึ้นมา จะเป็นลักษณะผาดโผนขนาดไหน ชนิดหนักเบาขนาดไหนต้องใช้เครื่องมือให้ทันกันไม่เช่นนั้นไม่ได้นะ เรื่องอสุภะอสุภังก็เหมือนกัน เอาให้ทันเหตุทันผลกัน ให้ได้เห็นประจักษ์ในจิตใจของเรา แต่ละประเภท ๆ ของกิเลส แต่ละประเภท ๆ ของมัชฌิมา ซึ่งเป็นความเหมาะสมในการแก้กัน ในการปราบปรามกันแล้ว เราจะอยู่เป็นสุข
นี่ละธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่ามัชฌิมามีหลายขั้นหลายภูมิ จนได้เป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้ว มัชฌิมาปฏิปทาที่จะปฏิบัติต่อกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ อันเป็นส่วนละเอียดยิ่งกว่านี้ ก็เหมาะสมกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งว่าไหลรินอยู่ทั้งกลางคืนกลางวันเพราะการพิจารณา เพราะกิเลสละเอียด สติปัญญาก็ละเอียดไปตามกัน ตามกันทันก็คือ เรื่องของสติปัญญา ที่จะตามกิเลสทัน แล้วออกมาในแง่ใด แสดงมาในท่าใด สามารถที่จะตามกันทัน แก้กันหลุดไปได้ให้นำมาใช้ ขอให้พากันพิจารณากันให้ดี
อย่าอยู่เฉย ๆ อย่าให้เป็นความท้อแท้อ่อนแอ อย่าคิดอนาคตว่าจะเป็นความลำบากลำบนในการประกอบความเพียร ถ้าคิดให้คิดว่า กิเลสนี้จะต้องเหยียบย่ำทำลายเราไปทุกภพทุกชาติในอนาคต ตั้งแต่ปัจจุบันนี้เป็นต้นไปหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ถ้าเราแก้และถ้าเราปราบมันไม่อยู่แล้วมันจะเป็นตัวเจ้าอำนาจวาสนา บังคับจิตใจของเราให้ไปเกิดในสถานที่ต่าง ๆ ตามแต่ยถากรรมของตัวเอง ที่ไม่เป็นท่าให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายเอาอย่างนั้น นี่ถ้าคิดอนาคตให้คิดอย่างนี้ วงปัจจุบันเท่านั้นเป็นสำคัญ เราจะพยายามตั้งเนื้อตั้งตัว ตั้งจิตใจของเราให้ดีไม่ลดละท้อถอย
ธรรมะทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมาแล้วนี้ พระองค์ทรงรับรองผลทุกสิ่งทุกอย่างแล้วด้วยพระองค์เอง ทรงบำเพ็ญในเบื้องต้น ก็พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ จนเห็นเหตุเห็นผลโดยลำดับถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธ เพราะอำนาจแห่งธรรมเหล่านี้พระองค์ก็เห็นผลมาแล้ว เมื่อได้มีการทดสอบด้วยพระองค์เองอย่างประจักษ์แล้ว จึงนำมาสั่งสอนพวกเรา แล้วธรรมะเหล่านี้จะผิดไปที่ตรงไหน กิเลสไม่เหนือธรรมไปได้ กิเลสประเภทใดก็ตาม ธรรมเป็นเครื่องครอบกิเลสไว้แล้วทุกประเภท ถ้าเรานำมาใช้ให้เหมาะสมกับกิเลสประเภทนั้น ๆ จะต้องระงับดับกันได้โดยไม่ต้องสงสัย นี่เป็นหลักใหญ่ที่เราจะต้องนำมาคิดมาดำเนิน ให้มีความอุตส่าห์พยายาม
อย่าเห็นสิ่งใดว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน่าเพลิดเพลิน ยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม ยิ่งกว่าความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ซึ่งเป็นเครื่องกดถ่วงทรมานจิตใจ นี่เป็นจุดสำคัญ การหลุดพ้นไปจากกิเลสโดย ประการทั้งปวงเท่านั้น เป็นความสุขที่พึงหวังและเป็นความสุขอนันตกาล หมายถึงว่าไม่มีกาลไม่มีเวลาเป็นความสุขตลอดอนันตกาลเลย ให้พากันตั้งใจคิดพิจารณา นี่ไม่ได้ประชุมมานานแล้วผมก็เป็นห่วงหมู่เพื่อน มันก็เรื่องอย่างนั้นแหละ มีนั้นมีนี้มาเรื่อย ๆ นี่วันนี้ก็เลยต้องมาพูด ถึงจะเหนื่อยผมก็ทนเอา กับแขกคนมาเกี่ยวข้องกับเรา แบ่งคนนั้นแบ่งคนนี้มันก็เหน็ดก็เหนื่อย หลังจากนั้นก็มาอบรมพระเณร เราภาระมาก ให้ตั้งหน้าตั้งตา
ผมสั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเต็มอกเต็มใจ ไม่มีปิดบังลี้ลับอุบายวิธีการใดๆ ที่จะปราบสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจของผู้ฟังแล้ว นำมาสั่งสอนด้วยตนเอง ที่ได้ปฏิบัติมาแล้วเป็นผลอย่างไร ถูกต้องดีงามประการใดบ้าง ก็นำมาชี้แจงให้ทราบ พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่าท้อถอยความพากเพียร
สติเป็นสำคัญให้พยายามตั้งเสมอ อย่าเผลอตัว เวลาเข้ามาเกี่ยวข้องกันมักจะเผลอตัว เช่นมาฉันน้ำร้อนหรือเดินไปด้วยกันอะไรเหล่านี้ ทำการทำงานด้วยกัน มักจะเผลอตัวจนกลายเป็นคึกคะนองไปก็มี อย่าให้มีในวงผู้ปฏิบัติซึ่งเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยในกิเลส การอยู่ การเดิน การนั่ง การนอน การขบการฉันให้เห็นภัยกิเลสอยู่เสมอ อย่าฉันด้วยความเพลิดเพลิน อย่ายืน เดิน นั่ง นอน ด้วยความเพลิดเพลิน ด้วยความลืมตัวไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทางดำเนินของผู้ที่จะพ้นจากทุกข์ ให้จำไว้ให้ดี อยู่ที่ไหนให้มีสติ อย่าลืมเนื้อลืมตัว ให้มีสติประจำตัวอยู่เสมอ ตั้งให้ดีสติ
เราอย่าให้ไปเสียเวล่ำเวลากับสิ่งใด ซึ่งเราเคยคิดเคยปรุงมาแล้วมากมายก่ายกองหาประมาณไม่ได้ วัฎฎะนี้ของสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ มันก็มีแต่ความคิดความปรุงที่มาก่อกวนวุ่นวายเราให้ได้รับความเดือนร้อน เพราะความคิดนั้น ๆ เราก็เคยเห็นโทษแล้วไม่ใช่เหรอ เราจะไปเสียดายคิดมันอะไรมากมายนักหนา สิ่งที่ถูกเป็นโทษเป็นกรรม เพราะความคิดประเภทใดมาแล้ว ให้ตั้งความเข็ดหลาบเข้าสำหรับตน ให้พยายามหลบหลีกปลีกความคิดประเภทนั้นอยู่เสมอ และพยายามปราบปรามสิ่งที่มันจะเป็นข้าศึกเพราะความคิดนั้น ๆ ปรุงขึ้นมาใหม่เรื่อย ๆ ให้เปิดทางตั้งแต่ความคิดทางด้านธรรมะขึ้น ธรรมะจะได้ปรากฏขึ้นมา แล้วความคิดทั้งหลายที่เป็นฝ่ายสมุทัยนั้นจะได้สยบตัวลงไป ๆ ความคิดนี้จะได้พุ่งตัวออกมาเป็นอรรถเป็นธรรม แลัวก็แก้กิเลสอาสวะได้
ความที่มีจิตสงบเป็นลำดับไปนั่นแหละ เป็นผลแห่งการปฏิบัติของเรา เราอย่าตำหนิวาสนามากวาสนาน้อย กิเลสมันไม่ได้คำนึงถึงอำนาจวาสนาของใคร มีมากมีน้อยมันแสดงโทษ แสดงพิษภัยให้เห็น ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ให้เห็นว่ากิเลสนี้เป็นตัวภัย อย่าไปคิดถึงอำนาจวาสนาอะไรที่ไหน จะมาแก้กิเลสที่เป็นตัวภัยนี้ให้พันไปได้ นอกจากความเพียรมีสติปัญญา เป็นเครื่องมืออันสำคัญเท่านั้น นี่เป็นหลักเกณฑ์อันสำคัญที่จะปราบปรามกิเลส อย่าไปคำนึงถึงอำนาจวาสนามีมากน้อยอะไร จะทำให้ท้อถอยอ่อนแอ ทางด้านจิตใจแล้วก้าวไปไม่รอดนะ เอาให้เข้มแข็งนักปฏิบัติ
ได้ยินตั้งแต่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเคยแสดงให้ฟังเวลาที่ท่านไปประพฤติปฏิบัติ โอ๊ย เราสลดสังเวช ทั้งสงสารท่าน เอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตายเข้าว่า มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีผู้ใดเป็นผู้แนะนำสั่งสอนท่าน ท่านพยายามบึกบึนไปตามแบบแผนตำรับตำรา ซึ่งวางไว้กลาง ๆ นั่นแหละ เอาจนทะลุปรุโปร่งไปได้ กลายมาเป็นครูบาอาจารย์ที่อัศจรรย์ในโลกเราสมัยปัจจุบันนี้ ก่อนที่ท่านจะปรากฏองค์ของท่านว่าเป็นเกียรติแก่พระศาสนา หรือเป็นที่เคารพเลื่อมใสของประชาชนทั่ว ๆ ไป ทั้งพระเณรและฆราวาส ก็เพราะท่านเอาจริงเอาจังเอาตายเข้าแลกทีเดียว ท่านจึงได้เป็นผู้วิเศษวิโส แล้วหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง หมดแล้วเรื่องสมมุติทั้งปวงไม่มีที่จะไปเกาะท่านติดแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปตลอดอนันตกาล นี่ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง
กิเลสเป็นของไม่เที่ยงเพราะเป็นสมมุติ ย่อมมีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสีย พาให้คนดีใจเสียใจอยู่อย่างนี้ทำนองนี้เรื่อย ๆ ไป เมื่อแก้สิ่งเหล่านี้แล้ว จิตไม่ต้องบอกว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง นิพพานเที่ยงหรือไม่เที่ยง มีกิเลสเป็นเครื่องแทรกสิงเท่านั้น ทำให้จิตเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่ายุ่งนั่นยุ่งนี่ เดี๋ยวว่าสงบ มีแต่เรื่องของกิเลสกวนทั้งนั้น
พอกิเลสสงบตัวลงเพราะความเพียรของเรา ใจก็สงบ ถ้าความเพียรหนักเข้า ๆ กิเลสก็สงบตัวลงไป ๆ ถ้าแก้กิเลสประเภทใดได้แล้วกิเลสประเภทนั้นก็หมดไป ๆ ยังเหลืออันใดก็แก้ลงไป ๆ จนกระทั่งไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ภายในจิตใจแล้ว เราไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหนแหละ เราทราบได้ชัด ๆ ว่า อ๋อ เรื่องหาความสุขไม่ได้นี้ก็เพราะกิเลสมันกีดมันกันมันบีบมันคั้น ให้มีตั้งแต่ความทุกข์ได้แบกได้หามอยู่ตลอดเวลาอกาลิโก ภพไหนชาติไหนมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
พอได้สิ้นจากความบีบคั้นของกิเลส กิเลสได้เสร็จสิ้นไปจากจิตใจแล้ว ไอ้เรื่องความสม่ำเสมอของจิต ไอ้เรื่องอกาลิกจิต อกาลิกธรรม หรือ ธมฺโม ปทีโป ความสว่างกระจ่างแจ้งของธรรมเป็นความสม่ำเสมอ คงเส้นคงวานั้นไม่ต้องถาม มีอยู่กับทุกคน ให้พยายามเอาให้ได้ นี้แหละเป็นสมบัติอันล้นค่ายิ่งกว่าสมบัติอื่นใดในโลกที่รักที่สงวนกัน
โลภก็โลภมาก อยากได้ก็อยากได้มาก อะไร ๆ มีแล้วก็อยากมี เช่นมีหน้ามีตามีแล้วก็อยากมี ความโลภมันเป็นอย่างนั้น ความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คือเรื่องของกิเลส ความโลภก็คือเรื่องของกิเลส ความโกรธก็คือเรื่องของกิเลส ความหลงก็คือเรื่องของกิเลส ความทุกข์ลำบากรำคาญทั้งกายทั้งใจ ก็เพราะเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องของธรรม เรื่องของธรรม มีความทุกข์ก็ทุกข์เพื่อจะเอาความสุข ทุกข์เป็นต้นทุนสุขก็เป็นกำไรขึ้นมา ไม่ใช่ทุกข์เฉย ๆ ทุกข์อย่างฉิบหายป่นปี้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องตอบแทนเลยเหมือนกิเลสทำลายคน ผิดกันอย่างนี้
เวลาประกอบความพากเพียร เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์ แต่ผลปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ จิตใจมีความเกษมสำราญขึ้นจนกระทั่งเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วที่นี่ นั่นละหมดละที่นี่ภาระของเราที่เคยต่อสู้กับกิเลสมาเป็นเหมือนกงจักร เหมือน ๆ ธรรมจักรหมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับเท่านั้นต่อสู้กันขนาดนั้น พอข้าศึกดับลงไปแล้วเครื่องมือหรือวิธีการที่เราดำเนิน เป็นเหมือนกงจักรนี้ก็ระงับตัวลงไปทันที เพราะหมดสิ่งที่ต่อสู้ สิ่งที่ทำลาย สิ่งที่รบราซึ่งกันและกันแล้ว
นั้นแหละสงครามธรรมระหว่างกิเลสกับจิตได้ชัยชนะกันลงแล้ว เป็นอันว่า เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม.การชนะตนเพียงคนเดียวเท่านั้น คือชนะกิเลสในหัวใจของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น ประเสริฐสุดยิ่งกว่าการชนะในสงคราม และยิ่งกว่าการ ชนะใครๆ ทั้งหมดในโลกนี้กี่ร้อยพันทวี เอาอันนี้ให้ได้