จนตรอกออกปัญญา
วันที่ 12 กรกฎาคม. 2522 เวลา 19:00 น. ความยาว 45.33 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒

จนตรอกออกปัญญา

 

โลกถือเป็นข้อหนักแน่นยิ่งกว่าการปฏิบัติจิตใจของตน ความสงบผ่องใส โอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์รวมลงในหัวข้อ ๓ ประการ สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังจิตใจของตนให้มีความฉลาด การชำระจิตใจของตนให้มีความเฉลียวฉลาด ยังกุศลให้ถึงพร้อมก็หมายถึงยังความฉลาดให้ถึงพร้อมนั่นเอง กุสล ๆ ก็แปลว่าความฉลาด สจิตฺตปริโยทปนํ การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วจนถึงขั้นบริสุทธิ์ เอตํ พุทฺธานุสาสนํ นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านว่าอย่างนั้น นี่หัวข้อใหญ่ ๆ แห่งพระโอวาทรวมลงใน ๓ บทนี้เป็นหลักใหญ่

จากนั้นท่านก็กล่าวเป็นปริยายไป อนูปวาโท การไม่กล่าวร้ายคนอื่น อนูปฆาโต ไม่ทำลายสัตว์และบุคคลอื่น ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร สำรวมในสิกขาบทวินัยที่เรียกว่าปาฏิโมกข์ มตฺตญฺญุตา จ ภุตฺตสฺมึ ให้รู้จักประมาณในการขบการฉันการใช้การสอยปัจจัย ๔ ท่านว่าให้รู้จักประมาณ คำประมาณก็ลงในความพอดีคือมัชฌิมานั่นแล ปนฺตญฺจ สยนาสนํ ให้อยู่ที่นอนที่นั่งอันสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค ย้ำเข้าอีกทำจิตให้เป็นอธิจิต ยอดเยี่ยม เอตํ พุทฺธาน สาสนํ เหมือนกัน นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สวดท้ายปาฏิโมกข์สวดอย่างนั้น

จึงต้องหนักแน่นในข้ออรรถข้อธรรมของพระพุทธเจ้า อย่าสักแต่ว่าอ่านไปเฉย ๆ จำได้ติดปากติดคอแล้วก็ว่าเป็นชิ้นเป็นอันเป็นสมบัติของตนขึ้นมา นั่นยังไม่ใช่สมบัติของเราแท้ เป็นเพียงความจำวิธีการหรือจำชื่อของธรรมนั้น ๆ มาไว้เพื่อดำเนินตามให้ถูกต้องเท่านั้น ยังไม่จัดว่าเป็นสมบัติของตนอย่างแท้จริงได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าปริยัติ ได้แก่การศึกษาเล่าเรียนกว้างแคบ ได้มากได้น้อยเพียงไรเรียกว่าปริยัติ การศึกษาเล่าเรียนทั้งนั้น ปฏิบัติ เมื่อศึกษาเล่าเรียนจำชื่อจำเสียง จำวิธีการของการแก้กิเลสการสั่งสมความดีการสั่งสมธรรม คือมรรค มีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญให้เกิดขึ้น เป็นเรื่องของเราที่จะต้องดำเนินตาม เรียกว่าปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็คือความรู้แจ้งไปโดยลำดับลำดาจนถึงขั้นรู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมทั้งหลายโดยสมบูรณ์ เป็นผลปฏิเวธความรู้แจ้งแทงตลอด สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติ

การปฏิบัติสืบเนื่องมาจากวิธีการที่ท่านอบรมสั่งสอน เช่นเราได้ศึกษาจากตำรับตำราหรือครูอาจารย์ เฉพาะอย่างยิ่งจากอุปัชฌายะ นั่นก็เป็นปริยัติคือการศึกษา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น นี่คือการศึกษา การเรียนกรรมฐาน การเรียนงานว่างานของเรามีอะไร นี่ละงานสำคัญงานรื้อภพรื้อชาติรื้อวัฏสงสาร รื้อกิเลสตัณหาออกจากใจต้องรื้อด้วยวิธีการอย่างนี้ เพราะกิเลสตัณหาทุกประเภทย่อมหลบซ่อนอยู่ตาม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อาการ ๓๒ เป็นที่หลบซ่อนของกิเลสได้ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นจึงต้องคลี่คลายเพื่อความเปิดเผยของสิ่งเหล่านี้ให้เห็นตามเป็นจริงของมัน กิเลสก็หาที่หลบซ่อนไม่ได้เพราะอุบายของปัญญาเป็นผู้คลี่คลายออก เปิดเผยออก รื้อถอนสิ่งที่ปกคลุม รื้อที่หลบซ่อนของกิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ ออกโดยลำดับ นี่ภาคปฏิบัติ อยู่ไหนอย่าลืมงานอันนี้ งานอันนี้เป็นงานละเอียดลอองานติดต่อสืบเนื่อง ไม่ใช่งานกระทำเป็นเวล่ำเวลาเหมือนงานราชการงานเมือง หรือการทำไร่ทำนาทำเรือกทำสวนซึ่งทำตามฤดูกาลตามเวล่ำเวลา เช่นทำตอนเช้าเลิกตอนเย็นอย่างนี้ นี่เป็นงานของโลกเขาทำกัน

งานแก้กิเลสตัณหาอาสวะที่เรียกว่างานของธรรม เพื่อความเป็นธรรมแก่เรา เราจะนำวิธีการของโลกมาใช้มันขัดกัน โลกเขามีเวล่ำเวลามีฤดูกาล ข้าราชการก็เริ่มทำงานตั้งแต่เท่านั้นโมงไปเลิกเท่านั้นโมง โรงงานต่าง ๆ ก็มีเวลาปิดเวลาเปิด การทำไร่ทำนาก็ทำตามฤดูกาล ทำเรือกทำสวนก็เหมือนกัน งานของโลกเขามีเวล่ำเวลาเครื่องกำหนดให้ทำงานและเลิกงาน แต่งานของเรานี้เป็นงานที่ละเอียดลออ เป็นงานที่หนักอยู่บ้างถ้าเราจะพูดว่าหนัก แต่ไม่หนักถึงกับว่าให้เกิดความอิดหนาระอาใจ

งานนี้เป็นงานละเอียดเพราะกิเลสละเอียดมาก จึงต้องใช้ความพินิจพิจารณาอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอน เว้นเสียแต่หลับที่สุดวิสัยแล้วเท่านั้น นอกนั้นให้ถืองานนี้ติดกับความรู้สึก มีสติเป็นเครื่องกำกับงานอยู่เสมอ ยืนก็ให้ทำงาน กับอาการใดก็ตามซึ่งเป็นเครื่องถอดถอนกิเลส เช่น จะพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกหรือทั่วสรรพางค์ร่างกายก็พิจารณา ด้วยความมีสติ ปัญญาเป็นเครื่องสอดส่องแยกแยะคลี่คลายให้หลายสันหลายคมหลายแง่หลายนัยจึงเรียกว่าปัญญา จะทำแบบทื่อ ๆ ไปเลยไม่ได้

ในขณะที่ยังไม่มีปัญญาก็ให้ใช้สติเป็นเครื่องควบคุมงาน รวมกระแสของจิตเข้ามาให้ได้เพื่อความสงบด้วยสติ โดยการภาวนาในธรรมบทใดก็ตามดังที่เคยอธิบายให้ฟังแล้ว นั่นเป็นวิธีการรวมพลังของจิต กระแสของจิตเมื่อรวมตัวเข้ามาสู่จิตแล้วย่อมมีกำลัง ปกติของจิตจะต้องส่ายแส่เร่ร่อนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา หาความว่างไม่ทำงานของจิตคือความคิดปรุงไม่ได้เลย นอกจากหลับสนิทเสียเท่านั้น ถ้าไม่หลับสนิทก็จะต้องมีคิดมีปรุงฝันนั้นฝันนี้ยุ่งไปอีก นี่ล้วนแล้วตั้งแต่งานของจิต

เพราะฉะนั้นผู้จะทำการรื้อฟื้นอรรถธรรมซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจ คือนิโรธธรรมให้ปรากฏขึ้น จึงต้องพยายามส่งเสริมหรืออบรมมรรคธรรมให้มีกำลัง สติก็เป็นมรรค สมาธิก็เป็นมรรค ปัญญาก็เป็นมรรค การประกอบความเพียรในท่าต่าง ๆ ก็เป็นมรรค สถานที่ที่เราทำงาน หรือสิ่งที่เราจัดเป็นการเป็นงาน เช่น เกสา โลมา เป็นต้น ก็เรียกว่างาน เรียกว่ามรรค มรรคมีอยู่ทุกวรรคทุกตอนถ้าพิจารณาให้เป็นมรรค ถ้าจิตปราศจากสติเมื่อไรแล้วจะต้องเร่ร่อนอ่อนกำลัง แล้วก็ไหลลงไปสู่ความดึงดูดของกิเลสซึ่งมีอยู่ดั้งเดิมนั้นโดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยการฉุดการลากการบังคับบัญชา เพื่อจะให้ออกจากเครื่องดึงดูด คือ กิเลสอาสวะทุกประเภทเป็นเหมือนกับแม่เหล็กตัวสำคัญ ดึงดูดจิตใจของเราให้เคลิบเคลื้อมหลงใหลไปจนได้

สัตวโลกนี้ตายก็ตายเพราะกิเลส เกิดก็เกิดเพราะกิเลส ทุกข์ก็ทุกข์เพราะกิเลส วุ่นวายสับสนอะไรมีตั้งแต่เกิดขึ้นจากกิเลสเป็นสมุฏฐานสำคัญ เราอย่าเข้าใจว่าเป็นเพราะสิ่งอื่นใดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องทุ่มเทกำลังลงให้เพียงพอกัน ที่จะให้เรียกว่าเป็นความเพียรไปโดยลำดับได้ ให้มีความสืบต่อจนถึงกับว่าสตินี้กลายเป็นสัมปชัญญะขึ้นภายในตัว ความระลึกรู้เรียกว่าสติ ความระลึกรู้สืบต่อเป็นลำดับกับงานที่ตนทำหรือกำกับจิตให้ทำงานไปโดยมีความรับรู้ในเวทนานั้นแฝงอยู่โดยลำดับนั่นท่านเรียกว่าสติ หรือว่าการทำงานโดยถูกต้องเรียกว่าความเพียรชอบ ท่านเรียกว่ามรรค

งานนี้เป็นงานผิดกับโลกทั้งหลาย จึงไม่มีเวล่ำเวลาผู้ประกอบการงานนี้ เพราะความมุ่งมั่นของเราเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งความมุ่งมั่นมีเต็มหัวใจด้วยแล้ว การงานที่ทำนั้นเพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นหากดึงดูดกันไปเอง ให้มีความขยันหมั่นเพียร ความอดความทนตะเกียกตะกายไปจนได้ มากน้อยก็ไม่ถอย บึกบึนไปอยู่อย่างนั้นเพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นมีกำลังมาก เป็นเหมือนกับแม่เหล็กเครื่องดึงดูดความเพียร หรือวิธีการที่จะแก้กิเลสทุกประเภทให้มีพลังมากขึ้น

อย่าลืม เราอย่าให้เรื่องของโลกใด ๆ ที่เราเคยผ่านเคยรู้เคยเห็นเคยสัมผัสสัมพันธ์มาแล้วตั้งแต่วันเกิดซึ่งน่าจะหายสงสัยแล้ว อย่าให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันอันเป็นในลักษณะความเสียดาย ถ้ายังเสียดายมันอยู่มันก็ต้องได้ฉุดได้ลากออกจากความเสียดาย นั่นละความดึงดูดของโลกมันเป็นอย่างนั้น โลกก็หมายถึงกิเลสนั่นแหละ สำหรับเราผู้ปฏิบัติไม่ต้องหมายเอาสิ่งอื่นใด เพราะกิเลสมันเป็นสมมุติเครื่องฉุดลากจิตใจลงอยู่โดยลำดับไม่มีเวลาเว้นเวลาพักผ่อนหย่อนตัวเลย เราทำงานอย่างอื่นอย่างใดยังมีการพักผ่อนหย่อนตัว แต่กิเลสไม่มีการพัก มันทำงานของมันอยู่อย่างนั้น

การบำเพ็ญธรรมจึงต้องได้อาศัยความขยันหมั่นเพียร ความสืบต่อ ความอุตส่าห์พยายาม ฉันทะท่านบอกไว้แล้วในอิทธิบาท คือพื้นเพแห่งความสำเร็จพูดง่าย ๆ หรือรากฐานแห่งความสำเร็จ ไม่ว่างานใดถ้าลงมีอิทธิบาทแล้วย่อมสำเร็จเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ไปได้ ฉันทะ ให้มีความพอใจในความเพียรเพื่อความหลุดพ้นของตน วิริยะ เพียรอย่าลดละในอิริยาบถต่าง ๆ ตลอดถึงความคิดความปรุงใด ๆ ให้พยายามตามสอดแทรกรู้ความคิดความปรุงของตนว่าเป็นไปในแง่ใด ส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลสเกือบจะว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ ถ้ามีสติกิเลสมันก็หดตัวบ้าง พอเผลอสติมันก็ต่อยเราทันที

จิตตะ ท่านว่าเอาใจฝักใฝ่ คืออย่าให้ความรู้สึกคือใจกับสตินั้นห่างเหินจากความเพียรซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของตนเพื่อความพ้นทุกข์ มีความจดจ่อต่อเนื่องกันโดยลำดับ นี่ที่เรียกว่างานของเราแท้ วิมังสา ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญในการจะถอดถอนกิเลสหรือถากถางกิเลสทุกประเภทให้เตียนโล่งออกจากจิตใจ ใจจะได้มีความสง่าผ่าเผยมีความผ่องใสมีความองอาจ มีความรู้ความเชี่ยวชาญพอที่จะต่อสู้กับกิเลสได้เป็นลำดับลำดาไป จิตต้องมีสติมีปัญญาเป็นเจ้าของคอยควบคุม

ลำพังจิตอย่างเดียวนั้นไม่มีความรู้สึกดีชั่วประการใด ผิดถูกอะไรก็ไม่รู้ ต้องอาศัยสติอาศัยปัญญาเป็นผู้แนบนำ เป็นผู้คอยสังเกตเป็นผู้คอยควบคุมรักษาจิตจึงเป็นไปได้ด้วยความปลอดภัย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้รักษาจิตก็ต้องเป็นไปตามเรื่องของกิเลสทั้งมวลถ้าไม่มีสติเสียจริง ๆ สติเป็นของสำคัญระลึกรู้ว่าผิดว่าถูกชั่วดีไม่มีภายในใจแล้วเขาก็เรียกว่าคนบ้า คนบ้าที่เดินงก ๆ งัน ๆ อยู่ตามถนนหนทาง ไม่ได้สนใจกับเรื่องความผิดความถูกใด ๆ ไปตามภาษีภาษาของตน นั้นแลคนที่มีแต่จิต ไม่มีสติไม่มีปัญญาเป็นความรับผิดชอบ เป็นเครื่องกระตุกให้รู้ว่าดีว่าชั่วว่าผิดว่าถูกประการใดเลย และไม่มีความใคร่ครวญไม่มีความแยบคายในแง่ต่าง ๆ เกี่ยวกับการไปการมาการทำอะไรก็ตาม นี่คือคนไม่มีสติคือขาดเอาเสียจริง ๆ เมื่อสติขาดจากตัวไปเสียจริง ๆ แล้วก็เรียกว่าคนบ้า

ใจน่ะรู้แต่รู้ไม่ได้ว่าผิดหรือถูก มีแต่ทำไปตามความอยากของกิเลสซึ่งครอบอยู่ในหัวใจนั้น อยากนั่งที่ไหนก็นั่ง อยากเดินที่ไหนก็เดิน อยากนอนที่ไหนก็นอน ความสกปรกโสมมอะไร ๆ ไม่รู้ทั้งนั้น คือไม่รู้ว่าสกปรกเป็นของสกปรกสะอาดอะไรไม่รู้ นี่เรียกว่าคนบ้า มันรู้เฉย ๆ ไม่รู้ว่าดีว่าชั่วว่าสกปรกว่าสะอาดว่าควรหรือไม่ควร เช่น ไปนั่งถนนสี่แยกเราไปเห็นแล้วที่อุดรไปเห็นชัด ๆ นั่งจัดนั้นหยิบนี้ เอานั้นใส่นี้ เอานี้ใส่นั้น อยู่กลางสี่แยกเลยทีเดียว รถวิ่งขวักไขว่กลัวจะไปชนมัน หลบมัน โอ้โห จะตาย เพราะตอนนั้นตำรวจไม่มี

เราได้นำเอามาคิดตั้งหลายเวลานะ โฮ้ แบบนี้มีแต่ความรู้เท่านั้นกับกิเลสเป็นผู้ควบคุมโดยถ่ายเดียว ไม่มีสติไม่มีปัญญาเครื่องสอดแทรกพอรู้สึกตัวบ้างเลยเป็นอย่างนี้คนเรา นั่นคือผู้ที่หมดสติหมดปัญญาจริง ๆ เป็นคนบ้า เราไม่ใช่ประเภทแห่งคนบ้า เรามีสติอยู่เหมือนอย่างคนทั่ว ๆ ไปหรือสามัญชนทั่ว ๆ ไป แต่สติอันนี้เราใช้งานอะไรยังไม่ได้ ไม่สามารถที่จะถอดถอนกิเลสตัณหาอาสวะตามความมุ่งหมายของเราได้ จึงต้องอาศัยสติที่เกี่ยวกับบทธรรมอันเป็นอุบายวิธีที่จะเป็นไปได้ ในทางชำระถอดถอนกิเลส หรือท่านให้กำหนดความรู้นี้ให้อยู่กับบทธรรมบทใดก็ตาม มีสติควบคุมให้จิตทำงานอยู่กับบทธรรมนั้น ๆ ทีนี้เมื่อมีสติคอยกำกับรักษาอยู่ กิเลสก็ไม่มีอำนาจที่จะฉุดลากจิตไปต่อหน้าต่อตาเราสู่อารมณ์ต่าง ๆ ใจย่อมมีความสงบได้ด้วยการรักษาของสติ นี่ท่านเรียกว่าความสงบ สงบก็ต้องสงบได้ด้วยสติ

เราต้องการจะใช้อุบายความแยบคายของปัญญาในกาลอันควรเราก็ต้องใช้จริง ๆ พิจารณาดูเรื่องธาตุขันธ์ของเราหรือธาตุขันธ์ของผู้ใดสัตว์ใดก็ตามเป็นเรื่องของมรรคทั้งนั้น พิจารณาเทียบเขาเทียบเรา เดินไปไหนมันก็เห็นอยู่แล้วเรื่องสัจธรรมไม่บกพร่องในโลกอันนี้ เฉพาะอย่างยิ่งทุกข์กับสมุทัยมีเกลื่อนโลกจนจะหาที่ปลงที่วางไม่ได้ เพราะมีตั้งแต่เรื่องกองทุกข์กองสมุทัยที่เต็มอยู่ในหัวใจสัตว์ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกสัตว์แต่ละประเภทมีมากมาย มันมีทุกข์มีสมุทัยเต็มตัวด้วยกัน เรื่องของทุกข์เรื่องของสมุทัยเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาแล้วเหรอ สมุทัยก็เป็นเครื่องเสริมทุกข์นั่นก็บอกอยู่แล้วจะหาความสุขที่ไหนมี จึงต้องได้พลิกให้มีสัจจะ ๒ ประเภทซึ่งเป็นคู่ปรับกัน หรือเป็นเครื่องแก้กัน คือมรรค ได้แก่อุบายแห่งความพากเพียร

พิจารณาให้เห็นชัดเจนมันมีอะไรในร่างกายของเรานี้ พิจารณาให้เห็นตามความจริงอย่าปีนเกลียวกับธรรม การปีนเกลียวกับธรรมก็คือความเป็นข้าศึกต่อธรรม เพราะอำนาจของกิเลสพาให้เป็นข้าศึก กำหนดดูเบื้องบนเบื้องล่างด้านขวางสถานกลาง เบื้องบนก็ศีรษะ เบื้องล่างก็พื้นเท้า กำหนดลงไปนี่กองอริยสัจเท่าตัวของเรานี้ฝ่ายรูป และดูเข้าไปข้างในมีอะไร มีกระดูกเป็นท่อน ๆ เป็นชิ้นเป็นอัน ติดต่อเกี่ยวโยงกันไปด้วยเส้นด้วยเอ็น มีหนังเป็นเครื่องหุ้มห่อ มีเนื้อมีเอ็นเป็นเครื่องฉาบทาไว้ภายใน มีผิวหนังบาง ๆ อยู่ข้างนอก มีเท่านี้นิดเดียวเท่านั้นปัญญาก็แทงไม่ทะลุจะเรียกว่าเราโง่ถึงขนาดก็ได้ น่าละอายกิเลสตัณหาอาสวะเป็นไหน ๆ เพราะของบาง ๆ แท้ ๆ ไม่น่าจะหลงเลยมันยังหลงได้ นี่ละความแยบคายของกิเลสมันเหนือธรรม

คำว่าเหนือธรรมคือว่าเหนือธรรมภายในใจเราที่จะต้านทานกิเลสได้ คือเรายังไม่มีกำลังธรรมได้แก่สติปัญญาเหนือกิเลสพอกิเลสจะหลุดลอยออกไปด้วยพลังของธรรมได้ เพราะฉะนั้นกิเลสจึงคอยแทรกทั้ง ๆ ที่เราจะพิจารณานี้ให้เป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา กิเลสมันก็ฝืนเราซึ่ง ๆ หน้านั่นแหละ มันทำไม่ให้เห็นเสีย เห็นตั้งแต่เรื่องของคนของเราของเขา มองดูในแง่ไหนมีแต่ว่าเป็นเราเป็นของเราเต็มไปหมดในกองปฏิกูลโสโครกป่าช้าผีดิบเต็มอยู่ทั้งตัว มันก็เหมาเอาว่าเป็นคนทั้งคน เป็นของสวยของงาม เป็นของน่ารักใคร่ชอบใจไปเสียทุกชิ้นทุกอันภายในร่างกาย นี่ละคือความฝืนธรรมของกิเลสพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุม พยายามพิจารณาแล้วพิจารณาเล่าบังคับจิตใจให้ทำงานในส่วนเหล่านี้ให้เห็นตามเป็นจริง

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เวลาเห็นจริง ๆ แล้วมันสลดสังเวชจริง ๆ นะ นี้ได้เคยเป็นแล้ว ผมเคยเป็นมาแล้ว บทเวลามันเห็นเกิดความสลดสังเวชน้ำตาร่วงพรู ๆ โอ้โห ทำไมพึ่งมาเห็นวันนี้ กายมีมาตั้งแต่วันเกิดเราก็พิจารณาภาวนามาตั้งแต่วันบวช เฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติกรรมฐานก็เพื่อจะเห็นเนื้อเห็นกายตามที่ท่านสั่งสอน แต่ทำไมมันไม่เห็น พึ่งมาเห็นในวันนี้ ราวกับว่าร่างกายนี้พึ่งปรากฏตัวขึ้นมาในวันนี้ทั้ง ๆ ที่เกิดมากี่ปีกี่เดือน มีมากับตัวของเรากี่ปีกี่เดือนแล้วทำไมจึงไม่เห็น มันเกิดความสลดสังเวช มองดูที่ไหนมันเยิ้ม ๆ พอจ่อไปเห็นอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น ทีนี้มันก็เป็นกระดาษซึมไปหมด

ปัญญาสอดแทรกซึมไป ๆ ซึมไปที่ตรงไหนชัดเจนเกิดความสลดสังเวชไปทุกแง่ทุกมุมทุกอวัยวะทุกสัดทุกส่วนข้างบนข้างล่าง เพราะมันเหมือนกันหมดนี่ ดูไปไหนมันก็เหมือนกันหมด ๆ มันจะไม่เกิดความสลดสังเวชได้ยังไง จากนั้นพอกำหนดให้แสดงอาการสลายตัวลงไปโดยลำดับ ๆ ก็เห็นได้ชัด สลายลงไป ๆ เอ้า เวลาตายแล้วเป็นยังไง เวลาตายแล้วเป็นอย่างนั้น ๆ กำหนดดูกายอันนั้นที่เห็นนั่นแหละ มันก็พังทลายลงไปปุบปับ ๆ มองไปมีแต่ร่างกระดูก ยิ่งสลดสังเวชใหญ่โต ในขณะนั้นจิตเบาหวิว ๆ เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้านะ ทั้ง ๆ ที่กำลังพิจารณาจิตใจเกิดความสลดสังเวช นั่นเห็นอย่างนั้นนะเห็นกาย เราเคยเห็นแล้วอย่างประจักษ์ทีเดียว

แต่ความเห็นกายจะเห็นในลักษณะเดียวกันทุกครั้งทุกคราวที่เราพิจารณาก็เป็นไปไม่ได้ ครั้งหนึ่งเห็นอย่างหนึ่ง ๆ แต่ก็นับเข้าได้อย่างแน่ใจว่าคือความเห็นกายเหมือนกัน ถึงจะไม่สลดสังเวชขณะนั้นมันก็มีผลไปคนละทาง เพราะความเห็นมันผิดแปลกต่างกันไปโดยลำดับ ผลปรากฏขึ้นมาก็มีลักษณะผิดแปลกแตกต่างกันไปตามเหตุที่พิจารณารู้พิจารณาเห็น นั่นละเรื่องปัญญาเวลาเราใช้ให้ใช้อย่างนั้น

บังคับอย่าให้หนีไปไหน ถ้าจะพิจารณากายใดก็ตาม อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา กาเยกายานุปสฺสี วิหรติ พิจารณากายนอกก็ดีกายในก็ดี เห็นกายในกาย ส่วนหนึ่งของร่างกายนี้ในร่างกายทั้งหลาย เช่น มองเห็นผมในร่างกาย หรือเห็นผมในผมทั้งหลายก็ได้ เห็นผมในร่างกายทุกส่วนก็ได้ เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟันของกายทั้งหลาย ส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหลายในร่างกายนี้ ท่านว่าเห็นกายในกาย เห็นข้างนอกก็ดูข้างนอกเทียบเคียงภายใน เทียบเคียงทั้งภายในทั้งภายนอกท่านก็บอกไว้อย่างชัดเจนสติปัฏฐาน นี้คือทางดำเนินเพื่อความถอดถอนกิเลสตัณหาอาสวะ อวิชชาอุปาทานออกได้ด้วยการพิจารณา นี่ละงานของพระให้พิจารณาอย่างนี้

อย่าไปเป็นกังวลกับสิ่งใดในโลกนี้ ให้เหมือนกับว่ามีเราคนเดียวอยู่กับกองกระดูกนี่ หอบกันไปหอบกันมา หอบกันพายืนพาเดินพานั่งพานอนพาขับพาถ่าย แสนกังวลอยู่กับร่างกายนี้ตามหลักธรรมชาติของมัน นอกจากนั้นแล้วยังไปยึดไปถือว่ามันเป็นเรามันเป็นของเรา ก็ยิ่งเพิ่มภาระคืออุปาทานนี้ทำให้หนักอึ้งจนยกไม่ขึ้น ยกความเพียรไม่ขึ้น จะทำอะไรก็มีแต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอ่อนเพลียไปหมดเพราะกำลังใจไม่มี นี่แพ้กิเลส พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านเดินตามแถวสัจธรรมทั้งสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย เป็นทางเดิน ทุกข์เข้าใจว่าเป็นทุกข์ มันทุกข์อยู่ที่จุดไหนก็ให้แยกแยะความทุกข์นั้นออกจาก หรือเทียบเคียงกับสถานที่กับวัตถุที่มันกำลังเป็นทุกข์นั้น แยกแยะดูให้เห็นตามความจริงของมัน

เพราะตามหลักธรรมชาติแล้วทุกขเวทนามันเป็นอันหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่เนื้อ ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ขน ไม่ใช่เล็บ ไม่ใช่ฟัน ไม่ใช่หนัง อันนี้ก็เป็นอันหนึ่งต่างหากของเขา ต่างอันต่างจริงต่างอันต่างอยู่ แม้ขณะที่ทุกข์กำลังโหมตัวเข้ามาภายในร่างกายนี้ ร่างกายก็ไม่มีความรู้สึกในตัวเองเลยว่าได้รับความทุกข์ความทรมานจากความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น มันไม่รู้ความหมายในตนเองด้วย ไม่รู้ความหมายในทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นด้วย แม้แต่ทุกข์ก็ไม่รู้ความหมายของทุกข์ด้วย ไม่รู้ความหมายของกายส่วนใดส่วนหนึ่งด้วย ต่างอันต่างไม่รู้เรื่องของกัน จึงแสดงออกมาตามความจริงของตนเท่านั้น ปัญญาพิจารณาให้เห็นชัดเจนอย่างนี้

แยกออกได้ดูทุกข์ ดูทุกข์เป็นยังไง เกิดมาจากที่ไหน ที่ไหนว่าเป็นทุกข์แทรกเข้าไปปัญญาจดจ่อเข้าไปอย่าถอยหลัง เช่น กระดูกเป็นทุกข์ เวลานี้กระดูกกำลังจะแตก มันเจ็บมันปวดรวดร้าวไปหมดภายในกระดูกส่วนนั้น ๆ จดจ่อลงไป จ้อจิตลงไปอันไหนมันเป็นทุกข์จริง ๆ กระดูกเป็นทุกข์เหรอ คนตายแล้วกระดูกมีไหม เอาไปเผาไฟกระดูกแสดงอาการกระวนกระวายเพราะความรู้สึกว่าเป็นทุกข์มีไหม มันไม่มี หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แต่ละสัดละส่วนมันเหมือนกันหมด เป็นตามหลักธรรมชาติของตนอยู่โดยลำพังของตนไม่มีความหมายอะไรเลย นอกจากจิตเป็นผู้ไปหมายให้เท่านั้น ไปหมายแล้วก็หลงความหมาย หลงตื่นเงาของตัวเอง ว่านั้นเป็นทุกข์ว่านี้เป็นทุกข์ ว่านั้นเป็นเรานี้เป็นของเรา เมื่อทุกข์กับกายสัมผัสสัมพันธ์หรือคละเคล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว จิตก็พัวพันแล้วก็ต้องก่อทุกข์ขึ้นมาอย่างหนัก

เมื่อเราพิจารณาแยกแยะด้วยปัญญาอย่างนี้ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทุกข์จะเกิดขึ้นมากน้อยก็คือสภาพธรรมอันหนึ่ง หรือสภาวธรรมอันหนึ่งเท่านั้น กายก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง ๆ ความที่หมายว่านั้นเป็นทุกข์นี้เป็นทุกข์ เป็นไปจากสัญญาซึ่งเป็นสาเหตุออกมาจากกิเลสประเภทต่าง ๆ อยู่ภายใน มันให้สัญญาออกมาเป็นเครื่องมือจับจองที่นั่นที่นี่ สำคัญที่นั่นที่นี่ ว่าเป็นทุกข์ว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ กำหนดลงไปย้อนเข้ามาดูใจ ใจนี้เหรอเป็นทุกข์ แยกดูใจให้เห็น มีแต่ความรู้เท่านั้นใจก็ดี ไม่ปรากฏว่าเป็นทุกข์ที่ไหน

ทุกข์ก็เป็นทุกข์ กระดูกก็เป็นกระดูก กระดูกเป็นต้นก็เป็นกระดูก ทุกข์ก็เป็นทุกข์เป็นความจริงของมัน จิตผู้รู้สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความจริงของตัวส่วนหนึ่ง เมื่อแยกเห็นชัดเจนแล้วเรื่องความทุกข์กับใจก็ไม่เข้าประสานกัน ความทุกข์กับกายก็ไม่กำเริบ ถึงจะกำเริบขนาดไหนก็ไม่สามารถที่จะทำความกระทบกระเทือนแก่จิตใจได้เลย เพราะจิตใจรู้เท่าทันด้วยอำนาจของปัญญาที่พิจารณาเท่าทัน ก็อยู่อย่างสะดวกสบาย นี่ละการพิจารณาพิจารณาอย่างนี้

เรื่องของปัญญาเวลาจนตรอกจนมุมจริง ๆ นั้นแหละเป็นเวลาปัญญาจะเกิด คนเราไม่ได้โง่อยู่ตลอดเวลา ถึงคราวจนตรอกจนมุมหากผลิตหากคิดสติปัญญาขึ้นมาช่วยตัวเอง แล้วปลดเปลื้องรอดพ้นไปได้ นี่เคยเป็นแล้วนี่ไม่ใช่เอามาพูดแบบด้น ๆ เดา ๆ ให้หมู่เพื่อนฟัง เราเคยปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้นจึงสามารถอุทานขึ้นภายในจิตใจอย่างอาจหาญ โอ้โห ความโง่คนเรานี้ไม่ใช่มันจะโง่อยู่ตลอดเวลา เมื่อเวลาถึงคราวจวนตัวจริง ๆ เช่นขณะนี้ แน่ะ เราได้ความเฉลียวฉลาดปลดเปลื้องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ ด้วยอำนาจของปัญญาความฉลาดแหลมคมของเรา เพราะความจนตรอกในทุกข์

ทุกข์มันบีบคั้นมันบีบบังคับ เหมือนกับว่ากระดูกหรืออวัยวะทุกส่วนนี้จะแตกกระจายทลายลงมหาสมุทรทะเลไปหมด ความทุกข์มันมากขนาดนั้น แต่ครั้นเวลาสติปัญญาไม่หยุดไม่ถอยคุ้ยเขี่ยขุดค้นอยู่ในวงนี้จนเข้าใจตามความจริงแล้ว ทุกข์ทั้งหลายมันก็หาความกำเริบต่อไปอีกไม่ได้ แม้มันจะกำเริบต่อไปอีกเช่นถึงวาระจะตายนี้ มันก็กำเริบตามเรื่องของธาตุของขันธ์ต่างหาก ของทุกข์ของกายต่างหากจิตไม่ได้กำเริบ จิตมีความคงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่โดยลำพังตนเองก็เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะสะทกสะท้านต่อความทุกข์ความตายที่ไหนกัน

เพราะความทุกข์ก็เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ความตายก็เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ผู้รู้ความสุขความทุกข์ทั้งหลายก็เป็นความจริงอันหนึ่ง ก็เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญา ทุกข์ก็เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ต่างอันก็ต่างจริง เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วเรื่องทั้งหลายก็ไม่กระทบกัน ทุกข์เป็นไปมากน้อยทนไม่ไหวจะไปหรือ จะไปก็ไป เราเรียนเรื่องเกิดแก่เจ็บตายนี้เรียนมาตั้งแต่วันเริ่มแรกปฏิบัติอยู่แล้ว เมื่อสักขีพยานปรากฏขึ้นมาเราจะหลบหลีกปลีกตัวไปไหน ทำไมจะเอามือเขียนเอาตีนลบล่ะ ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความรู้จริงเห็นจริง ถึงขนาดที่รู้จริงเห็นจริงแล้วหลงมันอะไรกัน มันไม่หลง ก็ต่างอันต่างจริง ความกล้ามันก็ไม่มีถ้ามันเต็มที่ของมันแล้ว ความกลัวก็ไม่มี ความกล้ากล้าหาอะไร กลัว ๆ หาอะไร มันเรื่องของสมมุติทั้งนั้น

จิตเป็นธรรมดามันก็ต้องกล้าต้องกลัว ในขั้นที่กล้ามันก็ต้องกล้า เรื่องของปัญญานี่เป็นมรรค มันกล้าหาญต่อทุกขเวทนาไม่หยุดไม่ถอย สู้มันจนตาย วิถีทางเดินของมรรคย่อมมีความกล้า แต่เมื่อผ่านจากนั้นไปแล้วความกล้าก็ไม่มีความกลัวก็ไม่มี เพราะมันพ้นแดนแห่งความกล้าความกลัวไปหมดแล้ว เข้าถึงขั้นแดนปกติสงบราบคาบโดยหลักธรรมชาติแล้ว ไม่มีอะไรเข้าไปแทรกไปสิงไปเพิ่มไปเติม ถึงจะตัดออกก็ไม่ได้ จะเพิ่มเข้าก็ไม่มีทาง เป็นหลักธรรมชาติตายตัวแล้ว นี่การพิจารณาทางด้านปัญญาให้พิจารณาอย่างนี้

หาอุบายซอกแซกซิกแซ็กคิด วันหนึ่งได้อุบายหนึ่งขึ้นมาก็ดี สองสามวันได้อุบายหนึ่งขึ้นมาก็ยังดี เมื่อพิจารณาไปเรื่อย ๆ สติปัญญาก็จะค่อยมีกำลังและค่อยแตกแขนงไปเรื่อย ๆ จนซ่านไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกายและยังซ่านไปทั่วโลกทั่วสงสาร พิจารณาเทียบเคียงได้ทุกสัดทุกส่วน อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา รู้แจ้งเห็นจริงไปหมดกลายเป็น โลกวิทู รู้แจ้งภายในตัวแล้วยังรู้แจ้งสภาพความจริงทั้งหลายทั่วโลกทั่วสงสารอันเป็นแดนสมมุติเหมือน ๆ กันหลงกันที่ตรงไหน นั่น นี่อำนาจของปัญญาให้ใช้ ให้พากันขะมักเขม้นอย่าพากันนอนใจ

เวลานี้เราอยู่ในที่สงบสงัด หน้าที่การงานอะไรผมพยายามเสมอให้หมู่เพื่อนได้รับความสะดวกสบาย ให้ทุ่มสติปัญญาศรัทธาความเพียรทุกด้านลงเพื่อถอดถอนจิตใจ ซึ่งกำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเราอยู่ เนื่องจากกิเลสบีบบังคับจนหาทางออกไม่ได้ อยู่ที่ไหนยืนเดินนั่งนอนมีแต่ความบีบบังคับของกิเลสภายในหัวใจ เราจึงช่วยใจของเราด้วยความพากเพียร ด้วยสติ ด้วยปัญญา ศรัทธาทุกด้านทุกแง่ทุกมุมที่จะให้รอดพ้นหรืออย่างน้อยบรรเทาความทุกข์ทั้งหลายลงได้ คำว่าบรรเทาความทุกข์ก็คือบรรเทาสมุทัยนั้นเอง ถ้าสมุทัยไม่บรรเทาไม่เบาลงบ้าง ทุกข์ทางใจก็จะหาที่เบาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสมุทัยจึงเป็นของสำคัญ

ท่านกล่าวไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านพูดย่อ ๆ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี ว่าไว้ย่อ ๆ คือเอาแต่หัวข้อใจความใหญ่ ๆ กามตัณหาก็คือความรักความใคร่ ตีแตกแขนงออกไปสักกี่ร้อยกี่พันแขนงก็ได้ มันก็อยู่ในหัวใจทั้งหมด ที่ท่านกล่าวนั้นเราอย่าเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในคัมภีร์นะ กามตัณหาตัวเป็นกามตัณหาจริง ๆ ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ อยู่ในใจของเรา นั้นเป็นชื่อของกามตัณหา ชื่อของกิเลส ชื่อของธรรม ให้น้อมธรรมภายนอกเข้ามาเป็นเข็มทิศทางเดินธรรมภายในใจของเราจึงถูกต้อง ผู้เรียนก็เรียนจดจำเพื่อจะน้อมเข้ามาสู่ภายในจิต ปฏิบัติภายในจิต ท่านว่าไว้ย่อ ๆ อย่างนั้น

ให้พากันพยายาม ไม่มีวันมีคืนการประกอบความพากเพียร ถ้าหากเราไม่ได้ทำงานร่างกายมันหนักนี้ให้เดินให้มาก การเดินเป็นการออกกำลัง ถ้านั่งมากมันก็ทำให้เจ็บนั้นปวดนี้ อิริยาบถไม่เสมอไม่ดี การยืนเดินนั่งนอนให้เสมอ ถ้าออกมาจากที่นั่งแล้วลงเดิน เดินจนเมื่อยเป็นไร นี่คือทำงาน-ทำงานภายในจิตด้วย เป็นอนามัยทางร่างกายด้วย ร่างกายของเราก็ยืดเส้นยืดสายสะดวกสบายเลือดลมเดินสบายสะดวกทุกอย่าง เพราะพาเดินพานั่งพานอนพายืน

ในระยะพรรษา ๓ เดือนนี้ให้พากันเร่งความพากความเพียรอย่าเป็นกังวลกับสิ่งใด อาหารปัจจัยไทยทานเขาเลี้ยงเสียจนเหลือเฟือ สมาทานธุดงค์เพื่ออยากจะได้น้อย ๆ ฉันน้อย ๆ ภาวนาดี ๆ มันกลับกลายเป็นยิ่งมากยิ่งกว่าธรรมดา อย่างที่เห็นนั่นดูซีถ่ายบาตรไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เต็มมาตั้งแต่ในบ้าน ถ่ายในบ้านแล้วยังไม่แล้ว กลางทุ่งนาก็ยังต้องมาถ่ายอีกทีหนึ่ง มาที่ใส่บาตรนี้ก็ถ่ายอีก เราอยากได้น้อย ๆ ก็กลับยิ่งได้มากยิ่งกว่าปกติธรรมดาเสียอีก นั่นเป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของศรัทธาเขา ตามอัธยาศัยไม่ว่าเขาว่าเราอยากได้บุญได้กุศล ขอส่วนบุญส่วนกุศลกับนักปฏิบัติดี เราก็อย่าลืมเนื้อลืมตัวในอาหารปัจจัยทั้งหลาย

ให้พึงมีความสนิทติดใจอยู่กับธรรม ถือธรรมเป็นหลักพึ่งเป็นพึ่งตาย ความอดความอิ่มความหิวความกระหายความขาดตกบกพร่องความสมบูรณ์นี้เป็นเรื่องของโลกที่เต็มไปด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ลุ่ม ๆ ดอน ๆ หาความสม่ำเสมอไม่ได้ อย่าไปเป็นกังวลกับมัน ส่วนที่เราจดจ่อต่อเนื่องกันไม่หยุดไม่ถอยคือความพากเพียรภายในจิตใจของเรานี่เป็นทางถูกต้อง ให้พากันประพฤติปฏิบัติ

เคยพาหมู่เพื่อนสมาทานธุดงค์ข้อนี้ การไม่รับอาหารตามมา นี่เป็นประจำตั้งแต่ผมนำหมู่เพื่อนดำเนินอย่างนั้นเรื่อยมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนดำเนินอยู่อย่างนั้น เพื่อให้หมู่เพื่อนได้หลักได้เกณฑ์รู้จักวิธีประพฤติปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์เป็นผู้นำ ผมทำไปตามประสีประสาของผมอย่างงั้นแหละ อย่างที่จะฉลองศรัทธาที่คนเอามาให้ ๆ มันเร็วที่สุดนะกิเลสมนุษย์เรา ถ้าลองเราอนุโลมหรือฉลองศรัทธา โอ๊ย ท่านฉลองให้จะไปเมื่อไรก็ได้ นั่น ล้มทันที จิตใจของโลกเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่สะดวกในจิตใจเราที่จะทำอย่างนั้น มันขัดต่ออัธยาศัย

เอาให้จริงให้จัง อย่าไปคิดกับเรื่องของผู้ใดมาเป็นอารมณ์ให้เสียเวล่ำเวลา กับเรื่องใดก็ตาม ให้ดูตั้งแต่หัวใจที่มันดิ้นมันดีดอยู่ตลอดเวลานี้ มันทำงานของมัน มันผลิตเรื่องสมุทัยละเป็นส่วนมากขึ้นที่ใจ กำหนดบังคับบัญชาหาอุบายวิธีในเรื่องความพากเพียรให้ได้มีหลายแง่หลายนัยโดยอุบายของปัญญาของเรา บางทีถ้าภาวนาไปมีแต่คำบริกรรมบทเดียว ๆ นั้นมันทำให้จืดชืดได้เหมือนกันนะ ให้พลิกจิตพลิกไปพลิกมาด้วย

อุบายสติปัญญาของเรานี่แหละ ถ้ามันจืดชืดไปแล้วมันไม่เป็นท่าแล้วนะ ให้พลิกหาเงื่อนที่มันจะสืบต่อที่มันจะดูดดื่มจนได้ด้วยปัญญาของเรา นี่เคยทำ-เป็นมาแล้วจึงได้นำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง

พอแค่นี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก