ความเป็นกำหนดกฎเกณฑ์ เป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่กับศาสนาหมด ขึ้นชื่อว่าความดี ๆ ไม่มีอะไรเหมือน แต่ผู้ปฏิบัติศาสนาเข้ามารายไหนก็ขวางหูขวางตา พูดขึ้นก็ขวางหู แสดงออกทางกิริยามารยาทก็ขวางตา แล้วจะไม่ไปขวางใจได้ยังไง ทั้งสองอย่างสามอย่างมันโดดเข้าไปถึงใจนี่ไม่ไปที่ไหน ใจเป็นผู้รับทราบทุกอย่าง
การประพฤติปฏิบัติตัวเอง สติไม่อยู่กับตัวอยู่ที่ไหน ผู้ที่จะฝึกตนเพื่อเป็นผู้มีความสงบร่มเย็นภายในใจจริง ๆ ต้องมีสติมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตัวอยู่ตลอดเวลา นี่เคยพูดเสมอ พูดเสียจนเบื่อจะพูด ผู้ฟังถ้าไม่ได้มาสนใจในธรรมแล้วก็เบื่อจะฟังนั่นแหละ ผู้เทศน์แม้พูดด้วยความตั้งใจขนาดนั้นยังเบื่อที่จะเทศน์ เพราะเทศน์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ของหยาบ ๆ ก็ต้องให้พูดกันอยู่ตลอดเวลา
นี่ตั้งแต่ได้ผ่านศาสนามานี้ ถึงได้เอามาเทียบกันกับเรื่องโลกที่เราผ่านมาเหมือนกัน ตามอายุ วัยของเรา กำลังของเราที่ได้ผ่านเรื่องโลกมา งานบางอย่างก็หนัก แต่สุดท้ายก็ไม่มีงานอะไรหนักยิ่งกว่างานบังคับใจ นี่สำคัญมาก งานบังคับใจก็คืองานภาวนา อยู่ที่ไหนก็จิตมันเป็นนักโทษ จะไม่ควบคุมมันได้ยังไง ต้องควบคุมต้องรักษา ต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เหมือนนักโทษประหารชีวิต ต้องมีคนคุมกันไปกี่สิบคน จนมองหานักโทษไม่เห็น กลัวมันจะขโมยหนี นี่จิตก็เป็นนักโทษอย่างนั้น ถ้าหากเราตั้งใจจะฝึกจิตให้ดี มันต้องได้ควบคุมจิตอย่างนั้น
จิตจึงเป็นเหมือนนักโทษ เพราะโทษมีอยู่ภายในจิต ไม่ใช่จิตจริง ๆ เป็นโทษ สิ่งที่เป็นโทษมันอยู่ในจิตจึงทำให้จิตเป็นโทษ ทำให้จิตเหลวไหล ทำให้จิตกระวนกระวายกระเสือกกระสน หาที่เกาะที่ยึดไม่ได้ มักจะไปเกาะไปยึดตั้งแต่สิ่งที่เพิ่มเรื่องสกปรก เพิ่มโทษที่มีอยู่แล้วนั้นให้มากขึ้น นี่จึงเป็นของลำบากถ้าจะคิดเรื่องลำบาก แต่ถ้าความมุ่งมั่นภายในจิตใจมีอยู่แล้ว ความลำบากอะไร ๆ ก็ไม่เห็นเป็นอุปสรรค ไม่ถือว่าเป็นการลำบาก มีแต่จะเอาท่าเดียว ให้ทำได้อย่างใจคือความดีอย่างเดียว นี่ได้เคยฝึกมาจึงได้กล้าสามารถมาพูดให้หมู่คณะฟัง
จิตบางทีมัน โอ้โห กระฟัดกระเฟียด มันอะไรต่ออะไร มันดิ้นรนกระวนกระวายยิ่งกว่าลิงตัวคะนองหรือช้างตกมันด้วยซ้ำ ฟัดกันไปฟัดกันมา มันหนักเราก็หนัก นั่นละจึงเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา จิตผาดโผนขนาดนั้นเราจะเอามัชฌิมาแบบไหนไปใช้ถ้าไม่มัชฌิมาแบบหักกันโหมกันอย่างเต็มที่ เอาเป็นเอาตายเข้าว่ากัน กำลังสติ กำลังปัญญา กำลังศรัทธา กำลังความเพียรไม่พอจะหายพยศได้ยังไง ต้องให้มันพอกัน นี่จึงเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือเหมาะสมกับกิเลสประเภทนั้น เหมาะสมกับการปราบกิเลสประเภทนี้
กิเลสตัวมันหยาบมันโลดโผนก็ปราบด้วยมัชฌิมาอันโลดโผนต่อกัน ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน เอากบไปไสไม้ทั้งต้นได้เหรอ ไม้ทั้งต้นกว่าจะมาเป็นต้นเสาเราทำยังไง เริ่มต้นทำยังไง ก็เลื่อยก็ขวานซิ ฟาดฟันลงไปจนไม่มีชิ้นดี หักล้มลงเสียงดังฟ้าสนั่นดินสนั่นหวั่นไหวนั่น เหมือนกับมันจะแหลกไปทั้งต้นก็ต้องทำกัน ใครจะไปประคับประคองให้มันค่อยล้มลงมากลัวมันจะบอบจะช้ำอย่างนั้น พอเลื่อยก็เลื่อย พอตัดก็ตัด พอผ่าก็ผ่า พอฟันก็ฟันสุดกำลังความสามารถ จนกว่าจะเข้าถึงขั้นละเอียด นำเครื่องมือละเอียดมาใช้เป็นลำดับ ๆ จนเห็นว่าเหมาะสมทุกส่วนแล้วมันก็ใช้ได้เท่านั้น
พวกเราปฏิบัติธรรมะปฏิบัติยังไงต่อกิเลสนั่น ปฏิบัติต่อกิเลสปฏิบัติอย่างไรกันมันถึงไม่ได้เรื่องได้ราว นี่พูดให้ฟังจนปากจะฉีกอยู่แล้วเรื่องสมาธิก็ดี ก็ได้ยินแต่ชื่อ จิตหาความสงบไม่ได้เพราะไม่ฝึกไม่ทรมานให้เห็นเหตุเห็นผลของมัน มีวันหนึ่งจนได้ที่มันจะยอมจำนนเรา และเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านอย่างชัดเจนภายในจิตใจ และเห็นคุณค่าของการฝึกทรมานอย่างเต็มเหนี่ยวนั้น จนถึงกับใจสงบได้อย่างเต็มที่ อย่างประจักษ์ใจเหมือนกัน เวลามันหนักก็ต้องหนักซิ จะไปเบา ๆ บาง ๆ อยู่ยังไง ถึงได้ว่างานหนัก เรานี่ทุ่มเสียพอจริง ๆ งานจิตตภาวนานี้ได้ทุ่มเอาเสียจนชีวิตจะหาไม่ ไปก็ไปเลย ตายก็ตายไม่เสียดาย ก็เพราะความมุ่งมั่นนี่หนัก มีน้ำหนักมาก
การได้ยินได้ฟังมันเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจ หากมีอุปนิสัยมีความสนใจใคร่ธรรมอยู่แล้ว จะฝืนธรรมไปได้อย่างไร ขณะที่เราบวชแต่ก่อนก็ไม่ได้คิดว่าจะบวชสักกี่ปีกี่เดือน บวชเพียงปีสองปีก็จะสึก บวชพอเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีนิยมกันตามบ้านตามเมืองเท่านั้น แต่เราบวชก็ทำหน้าที่ของการบวชให้จริงจัง ไม่เหลาะแหละเท่านั้นเอง
นั่นซิเหตุที่จะได้อ่านหนังสือทางด้านธรรมะ อ่านไปตรงไหนทำให้จิตใจสะดุด ๆ ไปเรื่อย ๆ เอ๊ะ ๆ ชอบกล ๆ เรื่อย ว่าตรงไหนถูกทุกแห่ง ๆ หาที่ค้านไม่ได้ เรายังไม่ลืมที่ท่องนวโกวาท ไม่ให้ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส นั่นคือไม่ให้ยินดียินร้ายเวลาอายตนะภายในกระทบอายตนะภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบรูป รส กลิ่น เสียง เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ธรรมารมณ์ ไม่ให้แสดงความยินดียินร้าย ก็นี่เรายินดียินร้ายอยู่ตลอดเวลามันเข้ากันกับธรรมได้ยังไง นั่นมันเอานั้นเข้ามาเทียบเคียงตัวเองนะ นั่นธรรมท่านว่าอย่างนั้นนี่ จิตของเราเป็นอย่างนี้ทำยังไงนี่ ก็แสดงว่ามันไม่เข้าร่องรอยของธรรมเลย แน่ะ มันสะดุดใจ อ่านไป ๆ ก็ยิ่งสะดุด
ยิ่งไปอ่านพุทธประวัติกับสาวกประวัติด้วยแล้วยิ่งซึ้ง ๆ พระพุทธเจ้าทรงประกอบความเพียร และทรงสละราชสมบัติออกบวช อันนี้ก็ แหม เหมือนกับแผ่นดินไหวหวั่นไปนั่น ความกระทบกระเทือนซึ่งไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำได้อย่างพระองค์ นั้นซิเหมือนกับฟ้าดินถล่มไป เวลาไปประกอบความเพียรก็เอาอีก ทรงสละเป็นสละตายถึงขั้นสลบ ๓ หน หนักขนาดไหนถึงต้องสลบ คนดี ๆ นี่ถึงขั้นสลบด้วยความเพียร ถึงได้ตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์เอก ไม่มีใครเสมอเหมือนอีกแล้ว ธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นก็เป็นธรรมเอกอีก ไม่มีคู่แข่งเลยพอจะเป็นสองกับคู่แข่ง มันก็ซึ้ง ทำให้เกิดทั้งความสงสารพระพุทธเจ้าอย่างเต็มใจ น้ำตาร่วง
เอ้า อัศจรรย์พระพุทธเจ้าอีกเวลาผลแสดงขึ้นจากการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ น้ำตาร่วงลงไปอีก ที่น้ำตาร่วงทั้งสองนี้มันก็เป็นพลังของจิต ทำให้มีแก่ใจที่จะสนใจภาวนาและประกอบความพากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ แล้วพระสงฆ์สาวกทั้งหลายแต่ละองค์ ๆ มาจากสกุลพระราชามหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพี พ่อค้า ประชาชน ชาวไร่ ชาวนา ทุคตะเข็ญใจ พระองค์ไม่ทรงถือสูงถือต่ำ ถือว่าเป็นมนุษย์เต็มตัวเหมือนกันหมด และเป็นผู้ควรที่จะได้บรรลุธรรม พระองค์ก็ทรงพร่ำสอนเหมือนกันหมด เพื่อความเป็นคนดีพระองค์ก็มีพระเมตตาสนับสนุนอบรม
บรรดาสาวกทั้งหลายที่ออกมาจากสกุลต่าง ๆ นั้น องค์ไหนก็องค์นั้นเราก็เห็นแล้วในประวัติ การประกอบความพากเพียรนี้ ไม่ได้สนใจกับวงศ์สกุลญาติมิตรสหาย สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อย เพื่อนฝูงมีเท่าไรไม่สนใจ เหมือนกับว่าตัดขาดออกหมด ไม่นำมาเป็นเครื่องกังวลให้เป็นสิ่งก่อกวนจิตใจเลย มีแต่ตั้งหน้าตั้งตาตัดจากความห่วงใยทั้งหลายเหล่านี้ไม่ให้มี
ให้จิตไหลลงช่องเดียวคือความเพียร เพื่ออรรถเพื่อธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ผลก็ปรากฏขึ้นเป็นลำดับ ว่าองค์นั้นสำเร็จบรรลุพระอรหันต์อยู่ในภูเขาลูกนั้น องค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ในป่านั้น ในเงื้อมผานี้ ในซอกเขาชายป่า ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ แต่เป็นสถานที่วิเวกสงัดเป็นที่คนทั้งโลกเขาไม่ปรารถนากันทั้งนั้น บรรดาสถานที่พระสาวกทั้งหลายไปอยู่บำเพ็ญเพียรและบรรลุธรรมเหล่านั้น ก็เหมือนกับแมลงวันบ้านไม่ชอบอยู่ในป่า ชาวบ้านก็เป็นเหมือนแมลงวันแมลงวน มันวนอยู่ในบ้านในเรือน ผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมเปิดเข้าไปในป่าในเขาไปบำเพ็ญเพียรอยู่โน้น
แล้วสกุลสูง ๆ นั่นซี มีความละเอียดอ่อนมาตั้งแต่เริ่มแรก ถ้าหากจะเทียบทางธาตุขันธ์แล้วจะมีความสมบุกสมบัน มีความทุกข์ความลำบากอยู่มาก เพราะไม่เคย ประชาชนชาวไร่ชาวนาเขาเคยสมบุกสมบันกับงานมาแล้วก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ทำไมท่านถึงสละได้อย่างนั้น ทำแบบเดียวกันอย่างนั้น เพราะเหตุไร ก็เพราะจิตใจเป็นของสำคัญ เมื่อได้รับการอบรมหรือได้รับโอวาทที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้ว เกิดความเชื่อความเลื่อมใสซึ้งถึงจิตถึงใจแล้วเป็นตายก็ไม่ว่า นั่นแหละเหตุที่ความเพียรท่านจะแก่กล้าและสามารถบรรลุธรรมได้ กลายเป็นสรณะของโลกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่คือแนวทางของผู้ที่จะหลุดพ้นจากทุกข์มีดังที่กล่าวมาเหล่านี้ นอกนั้นมองไม่เห็นว่าเป็นแนวทาง
เราเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสอาสวะต่าง ๆ เราจะยึดอะไรเป็นแนวทาง สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็ฝากเป็นฝากตายท่านไว้ในจิตด้วย ฝากเป็นฝากตายด้วยการประพฤติปฏิบัติ เดินตามร่องรอยของท่านด้วย พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ขอให้รู้ให้เห็นธรรมด้วยการประพฤติปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจัง ไม่เถลไถล ไม่วุ่นวายกับสิ่งใด นี่เป็นทางเดินของผู้จะก้าวพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับ ๆ จนพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่มีสิ่งใดเหลือ
ประวัติของพระพุทธเจ้าก็ดี ประวัติของสาวกทั้งหลายก็ดี เป็นคติเครื่องเตือนใจให้มีพลังใจได้อย่างมากมายอยู่แล้วถ้าเราจะอ่านด้วยความสนใจ นี่ก็ได้พระประวัติและประวัติของพระสาวกนี้แหละเป็นหลักสำคัญ จนถึงขั้นเด็ดเดี่ยว ถึงขั้นสละเป็นสละตายได้ เพราะประวัติของพระพุทธเจ้าหนึ่ง ประวัติของพระสาวกหนึ่ง ที่ซึ้งภายในจิต จึงได้ตัดสินใจในตัวเอง ว่าเรียนก็เรียนแต่เรียนได้ตามที่เราต้องการแล้ว จะออกปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมและบรรลุธรรมดังพระพุทธเจ้าและบรรดาสาวกทั้งหลายบรรลุนั้นให้ได้ เมื่อมรรคผลนิพพานยังมีอยู่ จะให้ได้มรรคผลนิพพานโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ตายก็ตาย
ทีนี้เมื่อความมุ่งมั่นมีมาก ก็เป็นเหตุให้เกิดสงสัยมรรคผลนิพพานว่ามีหรือไม่มี ยังมีอยู่หรือไม่ มันมีได้เรื่องมารอยู่ภายในจิตใจ ว่าท่านผู้หนึ่งผู้ใดจะมาชี้แจงเหตุผลต้นปลาย อันเป็นหลักความจริงเกี่ยวกับมรรคผลนิพพานให้เราฟังอย่างซึ้งถึงใจแล้ว เราจะมอบตายลงเลยกับครูบาอาจารย์องค์นั้น และข้อปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ความเพียรขนาดไหนแค่ตายเท่านั้น จะมอบลงถึงตายทีเดียว
ก็เดชะวาสนาบารมีอะไรก็ไม่รู้แหละ จึงได้พบเห็นท่านอาจารย์มั่น ได้อธิบายธรรมะให้ฟังตั้งแต่ต้นเลยนี้ แง่ใดหาที่ค้านไม่ได้ มองดูปฏิปทาเครื่องดำเนินของท่านก็หาที่ค้านไม่ได้ ไม่ว่าหลักธรรมหลักวินัย ไม่ว่าการพูดทีเล่นทีจริง การแสดงโอวาทคำสั่งสอนหนักเบาลึกตื้นหยาบละเอียดประการใดหาที่ค้านไม่ได้ ซึ้ง ๆ ลงถึงจิต เรื่องมรรคผลนิพพานก็เหมือนกัน เราก็แน่ใจว่าท่านทราบอยู่แล้วว่าเรามีข้อข้องใจในเรื่องมรรคผลนิพพาน ทั้ง ๆ ที่กำลังแสวงหาครูบาอาจารย์ เพื่อบอกเรื่องมรรคผลนิพพานอยู่นั้นแล
ท่านก็ใส่เปรี้ยงลงมาเลยเหมือนกับว่านี้น่ะ ๆ เห็นหรือไม่เห็น มรรคผลนิพพานจะไปหาที่ไหน หาดินเป็นดิน หาน้ำเป็นน้ำ หาลมเป็นลม หาไฟเป็นไฟ หาอากาศเป็นอากาศ หาอะไรก็เป็นอันนั้นไปไม่ใช่มรรคผลนิพพาน การหามรรคผลนิพพานต้องหาที่ตัวนี่ พระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทไว้มากน้อย สอนเข้ามาเพื่อที่ตรงนี้ทั้งนั้น สอนเข้ามาสู่มรรคผลนิพพานที่มีอยู่ภายในจิตใจ ให้ปฏิบัติที่ตรงนี้
แต่จิตใจที่เป็นมรรคผลนิพพานไม่ได้ ก็เพราะกิเลสรุมล้อมอยู่หมดอย่างมิดชิดปิดตัว หาโอกาสเวล่ำเวลาฉายแสงความจริงแห่งธรรมออกมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงขุดค้นลงที่ตรงนี้ ทุกข์กับสมุทัยเป็นเครื่องปิดบังลี้ลับที่ไม่ให้สามารถมองเห็นจิตใจอันแท้จริงได้ มรรคคือ ข้อปฏิบัติมี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ เป็นเครื่องบุกเบิกรื้อถอนสิ่งปกคลุมหุ้มห่อทั้งหลายคือ ทุกข์กับสมุทัยนี้ออกเป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งเปิดตัวอย่างเต็มที่ ทุกข์ดับไปอย่างสนิท ปรากฏเป็นนิโรธอย่างเต็มภูมิขึ้นมาที่ใจนี้ เหมือนกับท่านบอกว่านี่น่ะ ๆ อย่างนี้ จิตใจมันก็ซึ้งถึงใจเลย เมื่อถึงใจแล้วความเพียรก็ถึงทุกอย่าง
เอาละที่นี่เรื่องมรรคผลนิพพาน เราหมดแล้วเรื่องข้อข้องใจในมรรคผลนิพพาน ทีนี้เราจะจริงหรือไม่เท่านั้นเองในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานดังที่มุ่งหวังอยู่แล้วนั้น ทางนี้มันก็รับกันทันที จริงต้องจริง จริงจนตายไม่มีวันถอย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เอ้า ตายก็ตาย ไม่ตายให้รู้ นั้นแลการปฏิบัติมันถึงได้เด็ดเดี่ยว มันถึงได้อาจหาญไม่เสียดายชีวิต ทุกข์ก็ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์ก็เป็นทุกขสัจ เป็นสัจธรรม อะไรมันจะเกิดขึ้นมามากน้อยไม่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องกิเลสมันย่ำยีหัวใจ ให้เกิดความทุกข์ร้อนอยู่ภายในจิตใจนี้ทุกข์มาก จะเอาตรงนี้ให้เต็มที่ ขุดค้นไม่หยุดไม่ถอย