เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒
สมณะภายนอก สมณะภายใน
ในมงคลสูตรท่านว่าไว้ว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเห็นสมณะผู้สงบกายวาจาใจจากบาปทั้งหลายเป็นมงคลอันสูงสุด นั่นท่านพูดท่านสอนทั่วๆ ไปหมายถึงสมณะประเภทนักบวชผู้สำรวมระวังตนที่เกี่ยวกับโทษกับคุณคือบุญและบาป ท่านเป็นผู้ระมัดระวัง มีกายวาจาอันสงบจากบาปทั้งปวง การแสดงออกทางกายด้วยความประพฤติก็ไม่เป็นบาป พูดออกมาทางวาจาก็ไม่เป็นบาป คิดออกมาทางใจก็ไม่เป็นบาปเพราะการระวังสำรวม นั่นเรียกว่าสมณะตามหลักธรรมในมงคลสูตร ท่านผู้ทรงความประพฤติไว้ด้วยความบริสุทธิ์ทั้งสามทวารคือกายวาจาใจนี้แลเป็นสมณะ ผู้มาเห็นสมณะเหล่านี้จัดว่าเป็นมงคลอันสูงสุด
เมื่อท่านกล่าวกว้างๆ ไม่ระบุขั้นภูมิของสมณะอย่างนั้น ก็แสดงว่าสมณะมีหลายประเภท แต่จะไม่พูดมากให้เสียเวลา จะพูดเฉพาะสมณธรรมที่ยังผู้ประพฤติตามที่โลกเขาสมมุติยกย่องเทิดทูนว่าเป็นสมณะ นั้นคือธรรมเช่นไร ในธรรมท่านกล่าวไว้มี ๔ ประเภท ธรรมที่สมณะผู้ปฏิบัติตนด้วยความสะอาดทางกายวาจาใจจะพึงได้รับ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล นี่เป็นสมณะที่หนึ่ง สกิทาคามรรค สกิทาคาผล นี่เป็นสมณะที่สอง อนาคามิมรรค อนาคามิผล นี่เป็นสมณะที่สาม และอรหัตมรรค อรหัตผล นี้เป็นสมณะที่สี่ซึ่งสูงส่งสุดยอดแห่งสมณะ ธรรมเป็นเครื่องยังผู้ปฏิบัติตามจะพึงได้รับมี ๔ ประเภทดังกล่าวมา
ผู้ใดมีธรรมเหล่านี้ตั้งแต่เบื้องต้นขึ้นไปถึงสมณะที่สี่ เรียกว่า เป็นผู้มีสมณะเป็นขั้นๆ ของสมณะ นี่พวกเรามุ่งหน้ามาปฏิบัติเพื่อความเป็นสมณะ เพื่อธรรมเหล่านี้ จึงต้องมีอากัปกิริยาความเคลื่อนไหวนับแต่ทางจิตใจออกมาถึงวาจาถึงกาย ต้องแปลกต่างจากโลกทั่วไป เพราะความมีธรรมมีวินัยประจำตัว ในอิริยาบถทั้งสี่จะพึงเป็นผู้มีความระมัดระวังสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่จะแทรกขึ้นมาทางกายวาจาใจอยู่เสมอ การสำรวมระวังอยู่เสมอไม่เลือกกาลสถานที่และอิริยาบถ เว้นแต่ขณะหลับที่สุดวิสัยเสียเท่านั้น นอกนั้นเป็นกิริยาท่าทางของผู้ระมัดระวังบาป และส่งเสริมคุณธรรมขึ้นในตัวด้วยการปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาอยู่โดยสม่ำเสมอ นั่นเป็นความถูกต้องชอบธรรมประจำเพศของตนโดยแท้
คำว่าสมณะนี้ไม่อยู่ในที่อื่นใดนอกจากใจคือตัวรู้ จะเป็นผู้สัมผัสรับรู้ หรือใจเป็นภาชนะแห่งสมณะเหล่านี้เท่านั้น ที่อื่นๆ สิ่งอื่นๆ ไม่มีทางรับได้ ไม่สามารถเป็นภาชนะแห่งธรรม ไม่สามารถรับรู้ธรรม และไม่เป็นของคู่ควรแก่ธรรมเหล่านี้ได้เลยนอกจากใจดวงเดียวนี้ ใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากต่อธรรมทั้งหลาย
แต่เวลานี้ใจกำลังเต็มไปด้วยของสกปรกโสมม คือกิเลสประเภทต่างๆ หุ้มห่ออยู่จนมองหาใจที่แท้จริงไม่เจอ นักปราชญ์ท่านขยะแขยงต่อสิ่งโสมมนี้มาก และเห็นว่าเป็นภัยต่อสัตว์โลกอย่างแท้จริง ท่านเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน และสอนให้ละแต่ไหนแต่ไรมา แต่ปุถุชนทั้งหลายชอบนักชอบหนาในบรรดาของสกปรกเหล่านี้ ราวกับหมูชอบขี้ตมขี้โคลนฉะนั้น สิ่งที่ปราชญ์ทั้งหลายกลัวขยะแขยงนั้น ชื่อของมันว่ากิเลส มีประเภทต่างๆ กัน นับแต่ความโลภ โกรธ หลง ราคะตัณหาเป็นต้นไป อันเป็นตัวการใหญ่ เพราะฉะนั้นใจที่ยังไม่มีธรรมเข้าแทรก จึงต้องเป็นภาชนะรับสิ่งเหล่านี้ไปก่อน หวานก็ต้องอม ขมก็ต้องกลืนกันไป เพราะไม่มีทางเลือกที่เห็นว่าดีกว่านี้
การที่จะบรรจุธรรมสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่เข้าสู่ใจ จึงต้องซักฟอกหรือชะล้างจิตใจ กายวาจาของตน ซึ่งเป็นเครื่องมือหรือเป็นภาชนะให้สะอาดโดยลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นสะอาดเต็มภูมิได้แก่สมณะที่สี่ เมื่อจิตสะอาดเต็มภูมิแล้วก็เป็นสมณะที่สี่ขึ้นมาที่ใจนั่นแล สะอาดเพียงขั้นหนึ่งก็เป็นสมณะที่หนึ่ง สะอาดไปโดยลำดับก็เป็นสมณะที่สองที่สามขึ้นมา ด้วยการระมัดระวัง การบำรุงรักษาไม่ให้จิตส่ายแส่ออกไปหาสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรม และจงพยายามบำรุงรักษาใจของตนด้วยจิตตภาวนาอยู่โดยสม่ำเสมอ อย่าให้มีวันมีคืนมีปีมีเดือนเข้ามาเกี่ยวข้องในวงความเพียร จะเป็นอุปสรรคในการดำเนิน และอย่าคาดอย่าหมายกาลนั้นเวลานี้ในการประกอบความพากเพียร เพื่อชำระสิ่งสกปรกทั้งหลายซึ่งมีอยู่ภายในใจ สิ่งเหล่านี้ไม่มีกาลเวลา มันติดแนบกับใจอยู่ตลอดกาล การประกอบความพากเพียรเพื่อชำระสะสางสิ่งเหล่านี้ ถ้าจะหาแต่เวล่ำเวลาสถานที่ว่าดีว่าเหมาะอยู่แล้ว ก็ไม่ทันกับสิ่งที่ไม่มีเวล่ำเวลาซึ่งติดแนบอยู่กับใจนี้ จะแพ้สิ่งเหล่านี้เรื่อยไป ไม่มีวันชนะได้เลย
ฉะนั้นความเพียรมีเท่าไร สติปัญญามีมากน้อยเท่าไรต้องทุ่มเทกันลง เพื่อกำจัดปัดทิ้งสิ่งไม่พึงปรารถนาดังกล่าวมา เพื่อใจจะได้เป็นภาชนะอันเหมาะสมแก่ธรรมขั้นนั้นๆ ต่อไป จนถึงขั้นสมบูรณ์เต็มที่ ถ้าพูดฝ่ายเหตุ ศาสนธรรมก็คือเครื่องมือขุดค้นบุกเบิกสิ่งรกรุงรังภายในใจ ให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมาภายในจิตใจนั่นเอง ส่วนผลก็คือความสงบสุขทางใจไปโดยลำดับ ซึ่งเกิดขึ้นจากการชำระ นับแต่ สมาธิ,ปัญญาขึ้นไปถึงวิมุตติหลุดพ้นเรียกว่าผล
พระเราจึงไม่มีงานใดยิ่งไปกว่างานชำระกิเลสประเภทต่าง ๆ ในอิริยาบถนั้น ๆ ตลอดไป ถืองานฆ่ากิเลสนี้เป็นกิจจะลักษณะจริงๆ ประจำตน ผู้จะแก้กิเลสปราบปรามกิเลสให้หมดไปจากใจอย่าไปหาเวล่ำเวลา อย่าคิดไปในแง่เป็นการส่งเสริมกิเลส จงคิดในแง่เพื่อฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว และจงใช้สติปัญญาระมัดระวังความคิดปรุงของใจอยู่เสมอ ว่าความคิดประเภทนี้เป็นไปเพื่อมรรคเพื่อผล หรือเป็นไปเพื่อกิเลสสมุทัยพึงระมัดระวัง
ความยากลำบากในการประกอบคุณงามความดีทั้งหลายนั้น เป็นเรื่องของโลกที่เขาพูดกันติดปากติดใจมานาน เพราะเขาไม่เคยรู้เคยเห็นในรสชาติแห่งธรรม เขาไม่เคยสัมผัสธรรมทางใจเช่นการปฏิบัติธรรม และการรับรสแห่งธรรมขั้นต่างๆ แต่งานทางโลกที่เขาเคยทำและชอบอกชอบใจนั้น เขาไม่คิดว่าเป็นความลำบากรำคาญ อายุจะสิ้นเปลืองไปมากน้อยเพราะสิ่งที่ชอบใจ สมบัติจะหมดสิ้นไปมากหรือจนหมดตัวและคว้าน้ำเหลวหาสาระเป็นหลักยึดไม่ได้ เขาก็ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นเป็นความลำบากรำคาญและทรมานใจ เพราะความชอบใจ เพราะความพอใจ และคล้อยตามสิ่งที่ชอบใจนั้นๆ ไม่มีวันเห็นโทษและอิ่มพอบ้างเลย
แต่พอย้อนเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรม คือคุณงามความดีที่จะทำตนให้มีความสุขความเจริญ กิเลสจะเข้ามากระซิบกระซาบหรือบอกสอนทันที ว่าเป็นความยากความลำบากเกี่ยวกับด้านสังขารร่างกายวัยนั้นวัยนี้ สมบัติเงินทองเวล่ำเวลาไม่มี ลุกลามไปถึงหน้าที่การงานที่จะต้องจัดต้องทำ มีมากต่อมากจนทำไม่หวาดไม่ไหว จะมามัวสนใจในอรรถธรรมอยู่อย่างไรกัน เดี๋ยวอดตาย นี่เป็นอุบายของกิเลสกั้นกางหรือปิดทางไว้ไม่ให้ทำดี และผ่อนคลายทางด้านจิตใจตามหลักธรรมชาติที่ธาตุขันธ์และจิตใจจำต้องได้รับการผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดจนเกินไป ส่วนมากจึงต้องยอมจำนนโดยไม่รู้สึกตัวว่า อุบายเหล่านี้คือความฉลาดแหลมคมของกิเลสเสี้ยมสอนมนุษย์ผู้มีกิเลสอยู่แล้ว ไม่ให้ออกหรือเล็ดลอดออกไปจากอำนาจของมันได้ เราผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้ตั้งหน้าจะออกจากกรงขังของกิเลสอยู่แล้วจึงควรระวังให้มาก อย่าได้ถูกหลอกถูกกล่อมจากกิเลสตัวแสนมารยาอย่างเต็มลวดลายของมันที่เคยเป็นมาในหัวใจ
เมื่อเรามาบวชเป็นพระแล้ว นิสัยของกิเลสนั้นก็ยังฝังอยู่ภายในใจไม่ยอมถอนตัวออกไปบ้างเลย ดังนั้นพอคิดถึงเรื่องประกอบความพากเพียรเพื่อมรรคผลนิพพานขึ้นภายในใจเท่านั้น ในขณะเดียวกันกิเลสก็ให้คิดถึงเรื่องความลำบากลำบน อายุสังขารหน้าที่การงาน อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ความเสียดายโลกสงสารอันเต็มไปด้วยป่าช้านี้ ขึ้นมากีดขวางในทันทีทันใด ไม่ยอมให้ธรรมก้าวไปถึงไหนได้เลย สุดท้ายก็ตายกองกันอยู่ในสิ่งที่ว่าดีที่ว่าชอบนี้แล แต่เมื่อเจอเข้าแล้วก็กลับไม่เป็นสิ่งพึงปรารถนา ทำไมว่าเป็นของดีจึงไม่ปรารถนา
.พิจารณาดูซิ ก็เพราะที่ทำให้ชอบใจอยากทำนั้นมันเป็นเหยื่อล่อของกิเลสต่างหาก ผลที่ตกออกมาจึงกลายเป็นปลาติดเบ็ด เพราะเหยื่อล่อไปตามกฎของกิเลสจอมล่อลวงสัตว์โลก ให้ล่มจมไม่มีวันเห็นโทษได้เลย ถ้าไม่ใช่ธรรมนำส่องแสงสว่างให้รู้ให้เห็นกลของมัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้จะผ่านพ้นหลุมนรกที่มันแผดเผาอยู่ภายในจิตใจสดๆ ร้อนๆ นี้ออกไปได้ จึงมีน้อยนักน้อยหนา เพราะสู้อุบายของกิเลสเสี้ยมสอนและฉุดลากไปไม่ได้ ก็ต้องยอมจำนนต่อมันไปเรื่อยๆ นี่เราก้าวเข้ามาสู่วงศาสนธรรมด้วยความเป็นนักบวช เรียกว่าเตรียมพร้อมแล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องบรรดาเครื่องสนับสนุน เช่น ปัจจัยสี่ จีวรก็เต็มไปหมดไม่บกพร่องขาดเขิน เครื่องนุ่งห่มใช้สอย บิณฑบาตอาหารการบริโภค อย่างน้อยก็ยังพอชีวิตอัตภาพให้เป็นไปวันหนึ่งๆ เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมได้สะดวกสบาย ยิ่งกว่านั้นก็เหลือเฟือ ที่อยู่ที่อาศัยยิ่งหรูหรามากยิ่งกว่าฆราวาสเขาเสียอีก
ถ้าพูดถึงยาแก้โรคแก้ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็เต็มไปอยู่แล้วภายในวัด เพราะเขาให้ทานมาอยู่เสมอ เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ เขาก็รักษาให้ฟรีๆ และพยาบาลรักษาเต็มความสามารถ เฉพาะวัดป่าบ้านตาดไปรักษาโรงพยาบาลหรือคลินิกใดในอุดรฯ นี้ ก็ไม่มีใครเอาเงินค่าหยูกค่ายาเลย หมอรักษาให้อย่างฟรี ๆ ด้วยน้ำใจที่ศรัทธาของหมอซึ่งเป็นชาวพุทธ ที่มีความเลื่อมใสต่อพระและต่อพระศาสนาอยู่แล้ว นั่น มีความลำบากที่ตรงไหนถ้าพูดถึงเครื่องสนับสนุนในการบำเพ็ญสมณธรรม
ที่ขาดตกบกพร่องก็คือกำลังภายในกายในใจของเราเอง คือ ศรัทธาธรรม วิริยธรรม สติธรรม ขันติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม อันจะทำให้สูญเสียความหวังไปโดยไม่อาจสงสัย เรื่องทั้งมวลจึงขึ้นอยู่กับเราผู้เป็นนักบวชและนักปฏิบัติ จะพิจารณาวินิจฉัยตัวเองอย่างรอบคอบและหนักแน่นมั่นคง
ธรรมคือ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เป็นต้น อันเป็นเครื่องสนับสนุนความเพียรและเครื่องฟาดฟันกิเลสของตนทางภายในนี้ ทำไมเราจะผลิตขึ้นมาไม่ได้ ความอดทนพระพุทธเจ้าสอนไว้เพื่อใครถ้าไม่สอนไว้เพื่อพุทธบริษัท อันดับหนึ่งคือนักบวช เพราะผู้นี้จะเป็นผู้ทรงธรรมไว้ก่อนใครอื่น วิริยะความพากเพียรในทุกแง่ทุกมุมทั้งกิจนอกการใน ความอดความทนความบึกบึนต่อสู้ไปโดยลำดับในกิจการงานที่ชอบธรรม เฉพาะอย่างยิ่งการชำระสะสางกิเลสปราบกิเลส สู้อย่างไม่ถอย สติก็มีอยู่กับตัว ระลึกได้เสมอเมื่อพอใจระลึก สติเป็นสติอยู่ได้ตลอดเวลา ปัญญาเมื่อพยายามคิดค้นก็คิดค้นได้เสมอ ปัญญาจะนอนตัวอยู่ได้อย่างไรเมื่อนำมาใช้ ต้องปรากฏขึ้นเป็นปัญญาได้เป็นลำดับและกว้างขวางละเอียดแหลมคม จนสามารถรู้ตลอดทั่วถึงไม่อับจนถ้านำมาใช้ นอกจากจะเรียนวิชาหมูและนอนอยู่เหมือนหมูเท่านั้นก็สุดวิสัยไม่มีใครช่วยได้ ตายทิ้งเปล่าๆ ตลอดกัปกัลป์ไม่มีประมาณว่าจะมีทางหลุดพ้นไปได้
ธรรมเหล่านี้จะมีใครจำเป็นยิ่งกว่าพระ พระเราเป็นผู้จำเป็นอย่างยิ่งในการทรงธรรมทั้งหลายเหล่านี้ไว้ได้ เพื่อเป็นเครื่องสนับสนุนหรือบุกเบิกทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่มีใครจะยิ่งไปกว่าพระ เพราะเป็นผู้มีโอกาสโดยสมบูรณ์อยู่แล้วในอิริยาบถทั้งสี่และตลอดชีวิตของพระด้วย ไม่มีงานทางโลกหรือใครมายุ่งกวนให้งานที่จำเป็นของพระต้องเสียหรือด้อยลง นอกจากความขี้เกียจอ่อนแอโลเลไปตามกระแสโลกทำลายตัวเอง ไม่เหมือนโลกที่ต้องมีหน้าที่นั้นงานนี้ยุ่งไป ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหลับไม่มีเวลาว่างเลย ต้องขวนขวายทั้งกิจนอกการในแทบไม่มีเวลาว่างและพักผ่อนบ้างเลยในวันหนึ่งๆ
แต่พระเรามีแต่การประพฤติปฏิบัติตน เพื่อชำระสะสางปราบปรามกิเลสให้สิ้นซากไปจากใจอย่างเดียว ทำไมจะทำไม่ได้ เพศและเหตุผลก็บ่งบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วในองค์ของพระว่าต้องเพียรละกิเลส ฉะนั้นจงอย่ามองมรรคผลนิพพานข้ามความพากเพียรไป ความเพียรนั้นแลคือทางเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน หรือต้นเหตุที่จะให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน นับแต่สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สามขึ้นไปจนถึงสมณะสุดท้ายได้แก่อรหัตผล จะนอกเหนือไปจากความพากเพียรไม่มีเลย ฉะนั้นจงอย่าคอยเชื่อกิเลสน้อยใหญ่ว่าจะพาเราไปสู่มรรคผลนิพพานตามอุบายที่มันพร่ำสอนเลยจะตายเปล่า ไม่มีสิ่งพึงหวังติดมือเลยจะว่าไม่บอก นี่คือธรรมคำบอกเตือนให้รู้ตัวอย่างถึงใจ อย่าพากันหลงลืมถ้าไม่อยากนอนจมในวัฏฏะอีกต่อไปแบบจมไม่มีวันฟู
ธรรมพระพุทธเจ้าแสดงไว้อย่างเปิดเผย เราปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง ทำไมจะพูดถึงมรรคผลนิพพานอย่างเปิดเผยตามความจริงไม่ได้ ถ้ารู้จริงมิได้พูดอวดอ้างแบบปาวๆ เพราะธรรมทั้งมวลก็แสดงเพื่อมรรคผลนิพพานแก่ผู้สนใจและปฏิบัติตามอยู่แล้ว และการปฏิบัติของเราก็ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่แล้วอย่างเต็มใจ ทำไมจะทำให้แจ้งซึ่งมรรคผลนิพพานไม่ได้ กาลสถานที่เวล่ำเวลาไม่สำคัญ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่กิเลส กิเลสจริงๆ อยู่ที่ใจ จงดูที่ใจ แก้ที่ใจ อย่าดูที่อื่นแก้ที่อื่นจะผิดความมุ่งหมายของธรรมที่สอนย้ำลงที่ใจ แก้กิเลสที่ใจ งานก็คืองานแก้งานถอดถอนกิเลสที่ใจนี้เป็นสำคัญกว่างานอื่นใดสำหรับนักบวชและนักปฏิบัติเรา
ครั้งพุทธกาลงานไม่ได้กว้างขวางมากมายอะไรเลย มีเฉพาะงานชำระกิเลสถอดถอนกิเลสมากกว่างานอื่นๆ และงานนี้ท่านถือเป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ ในครั้งพุทธกาล จะเห็นได้จากแบบแผนตำรับตำราที่ท่านเขียนไว้เป็นคติ เพื่อให้เราทั้งหลายได้ยึดเป็นทางดำเนินตามท่านอย่างรัดกุมและรวดเร็ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช ไม่ว่าการบำเพ็ญ ไม่เห็นมีงานใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องแทรกแซงเลย เวลาทรงผนวชก็ง่ายไม่พะรุงพะรังแห่หน้าแห่หลัง เวลาบำเพ็ญและที่บำเพ็ญก็เงียบสงัด ในเวลา ๖ ปีนั้นมีแต่งานถอดถอนกิเลสอาสวะโดยถ่ายเดียว จนกระทั่งได้ตรัสรู้เต็มภูมิศาสดาแล้ว จึงนำธรรมที่ทรงรู้แจ้งเห็นจริงแล้วนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก
ปฐมสาวกเราทั้งหลายก็ทราบแล้วคือใคร ก็คือพวกพระอัญญาโกณฑัญญะในนามว่าเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ผู้ได้รับพระโอวาทและได้บรรลุมรรคผลนิพพานก่อนผู้อื่น และท่านเหล่านั้นก็ได้บำเพ็ญเพื่อธรรมทั้งหลายอยู่ก่อนแล้ว เป็นแต่ยังไม่ทราบวิธีการปฏิบัติวิธีดำเนินเท่านั้น เมื่อได้สดับตรับฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรและอนัตตลักขณสูตรเท่านั้น ก็บรรลุสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่เป็นลำดับในไม่ช้า เพราะท่านพร้อมอยู่แล้ว
สาวกทั้งหลายในครั้งนั้น เมื่อได้สดับพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เกิดความเชื่อความเลื่อมใสแล้ว ต่างก็ปลีกตัวออกบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่างๆ การบำเพ็ญแต่ละประโยคก็คือการทำงานนั่นแล ด้วยการเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิภาวนาบ้างในอิริยาบถต่างๆ ไม่ลดละความเพียร มีสติเป็นพื้นฐาน มีปัญญาเป็นเครื่องวิจารณ์เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมที่มีอยู่ภายในใจ การบำเพ็ญจะบำเพ็ญอยู่ที่ไหนท่านก็ต่อสู้กับกิเลสอยู่อย่างนั้น
สถานที่อยู่ในครั้งพุทธกาลที่เป็นตัวอย่างมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้คือที่เช่นไร คือ รุกขมูล ตามร่มไม้ชายเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ตามป่าอันรกชัฏ อันเป็นสถานที่สงัดปราศจากความพลุกพล่านวุ่นวายต่างๆ เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมอันเป็นงานรื้อถอนกิเลสออกจากใจด้วยความสะดวกคล่องตัวในการบำเพ็ญ แต่ละองค์ท่านตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมล้วนๆ ไม่มีคำว่าโลกามิสเรื่องได้เรื่องเสียกับสิ่งภายนอกเข้าเคลือบแฝงเลยภายในใจ และความเพียรมีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมหล่อเลี้ยงจิตใจอยู่โดยสม่ำเสมอ ราวกับน้ำมันเครื่องหล่อลื่นอยู่ภายใน จิตใจเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ขุ่นมัวร้อนรนด้วย ราคคฺคินา โทสคฺนา โมหคฺคินา เหมือนใจพวกเราที่เป็นไฟทั้งดวงสุมอยู่ตลอดเวลา
องค์ใดทูลลาพระพุทธเจ้าออกไป มีแต่เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมอันเป็นสมบัติน่าอัศจรรย์ทั้งสิ้น มีความหมายมั่นปั้นมือที่จะหลุดพ้นจากแหล่งแห่งวัฏจักร อันเป็นเครื่องพัดผันสัตว์โลกให้เหลวแหลกแตกกระจายไปด้วยความทุกข์ความทรมาน ท่านขะมักเขม้นทางความเพียรอยู่ตามสถานที่ดังกล่าวมาโดยลำดับ เพราะฉะนั้น สถานที่เหล่านั้นจึงเป็นที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้จะรื้อถอนตนออกจากทุกข์ตามแนวทางแห่งศาสดา และสาวกท่านดำเนินมาและสั่งสอนไว้แล้ว
องค์ไหนก็เป็นอย่างนั้น องค์นั้นบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่นั้น ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่น มีถ้ำบ้าง ร่มไม้บ้าง ชายเขาบ้าง เงื้อมผาบ้าง ป่าอันรกชัฏบ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่วิเวกวังเวงเหมาะสมแก่การบำเพ็ญธรรมเข้าสู่ใจโดยถ่ายเดียว ท่านจึงเจริญด้วยมรรคด้วยผลภายในใจ ไม่อดอยากขาดแคลนแร้นแค้นกันดารธรรมในใจเหมือนพวกเรา ซึ่งมักมีแต่ชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม แต่ความจริงพากันวิ่งตามกิเลสในลักษณะแห่งความเพียรโดยไม่รู้สึกตัวว่าได้วิ่งตามกิเลส
ท่านไม่สนใจไยดีกับสิ่งใดเพราะท่านเคยผ่านมาแล้ว เห็นโทษเห็นคุณกันมาเต็มหูเต็มตาและเต็มใจ เพราะได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้สัมผัสสัมพันธ์ด้วยใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อก้าวเข้ามาสู่วงพระศาสนาท่านจึงพอใจที่จะประพฤติปฏิบัติเต็มสติกำลังความสามารถ ในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าองค์ใดเมื่อออกสู่ความเพียรแล้วท่านดำเนินตนอย่างนั้น ไม่เป็นกังวลกับทางบ้านเรือน หน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติเงินทองครอบครัวลูกหลาน ญาติมิตร ท่านไม่ยุ่งไม่เกี่ยว มีแต่มุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติตนเพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว สุดท้ายก็พ้นความพากเพียรความพยายามของท่านไปไม่ได้ ผลที่พึงใจก็คือองค์นั้นบรรลุธรรมขั้นนี้อยู่ในเขาลูกนั้น องค์นั้นบรรลุธรรมขั้นนั้นอยู่ในป่านั้น องค์นั้นบรรลุธรรมขั้นวิมุตติหลุดพ้นอยู่ในถ้ำนั้นเงื้อมผานั้น นั่นแหละสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ คือบรรลุเป็นลำดับลำดาด้วยความเพียรตามแนวของศาสดาที่ทรงสอนไว้ และทรงดำเนินให้ดูเป็นตัวอย่างอย่างเต็มภูมิศาสดามาแล้ว
แนวของศาสดาและสาวกที่ดำเนินมานั้น ไม่ได้จืดจางเหินห่างไปไหนในบรรดาธรรมที่เราได้ยินได้ฟังอยู่เวลานี้ และไม่ได้เหินห่างไปจากตัวเรา ที่ท่านแสดงไว้ทั้งหมดเป็นเรื่องของท่าน เรื่องของท่านกับเรื่องของเราเป็นเหมือนกัน ธรรมจึงเป็นธรรมเหมือนกัน เป็นเครื่องมือแก้กิเลสได้อย่างมั่นเหมาะเหมือนกัน จึงเรียกว่า มัชฌิมาคือเสมอต้นเสมอปลายและเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ขอให้ดำเนินด้วยความเหมาะสมเถิด คำว่าสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่นั้นจะไม่มีผู้ใดได้ชม ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ นอกจากผู้ปฏิบัติด้วยความชอบธรรมนั้น จะเป็นเจ้าของแห่งธรรมเหล่านั้นแต่ละรายๆ ไป
ธรรมทั้งสี่ประเภท คือ สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่นี้ จะเกิดขึ้นด้วยวิธีใด ถ้าไม่ใช่วิธีการแห่งจิตตภาวนาที่เป็นไปด้วยความอุตส่าห์พยายาม ความพากเพียรที่เต็มไปด้วยสติปัญญาของนักปฏิบัติ ไม่มีอันใดนอกเหนือไปจากธรรมที่กล่าวนี้จะสามารถบุกเบิกเพื่อธรรมอันสูงส่งได้ มีธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยัน ท้าทายในการถอดถอนกิเลสทุกประเภทให้สิ้นซากไป เพราะฉะนั้นจงมั่นใจในธรรมที่กล่าวเหล่านี้และนำเข้ามาประชิดติดกับใจของเราอย่าให้เหินห่าง ไปที่ไหนก็ตามอยู่ที่ใดก็ตามอิริยาบถต่างๆ ให้มีสติเป็นเครื่องรักษาจิต ปัญญาเป็นผู้ไตร่ตรองอยู่เสมอ ชื่อว่าผู้นั้นมีความเพียรอยู่ทุกๆ อาการที่มีสติปัญญาเครื่องรักษาใจทุกระยะ นี่คือความเพียรแท้ของผู้จะเอาตัวรอดเป็นยอดคน คือยอดเรานั่นแลดีกว่าเป็นยอดใคร
ความเห็นว่าลำบากลำบนเป็นทุกข์ทรมานในการประกอบความเพียร เห็นว่าอำนาจวาสนาน้อย เหล่านี้ไม่ใช่แนวทางของธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่เป็นอุบายอันแยบคายของกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรม มันร่ายมนต์กล่อมใจสัตว์และฉุดลากให้เหินห่างจากธรรมโดยถ่ายเดียวต่างหาก มนต์ประเภทนี้ให้พึงระวังเสมอ มันจะกระซิบอยู่เรื่อยๆ เพื่อเหนี่ยวรั้งใจสัตว์โลกให้เหินห่างจากอรรถจากธรรม จากมรรคผลนิพพาน เฉพาะอย่างยิ่งจากสมณะทั้งสี่ที่เราต้องการนั้นแล
ดังมงคลสูตรท่านแสดงไว้ สมณะทั้งสี่นั้นจะมาจากที่ไหน ถ้าไม่เกิดขึ้นที่หัวใจของผู้ปฏิบัติธรรม ให้เราเห็นสมณะทั้งสี่นั้นเสียเอง ดีกว่าไปเห็นสมณะที่ท่านสงบกายวาจาใจอยู่ภายนอกนั้น การเห็นสมณะภายนอกนั้นเป็นพื้นฐานหรือเป็นสื่อเป็นทางที่จะให้เกิดสมณะภายใน ความเห็นอันจริงจังแท้ก็คือการเห็นสมณะภายในใจของเราโดยลำดับ จนถึงขั้นสมณะที่สี่โดยสมบูรณ์ นั้นแหละจะเป็นที่หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทุกมุม บรรดาศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ จะไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นตกค้างภายในใจอีกต่อไป ที่เป็นปัญหาก็เพราะความรู้ความเห็นของเราต่างหากที่ไม่ชอบ มันจึงสร้างปัญหาต่างๆ ขึ้นมา และการประพฤติ การกระทำ การแสดงออกทางกายวาจาใจของเราต่างหากที่ไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบก็ย่อมเป็นข้าศึกแก่ตนและแก่ธรรม ธรรมจึงเกิดขึ้นไม่ได้เพราะเป็นการทำลายตนและทำลายธรรมอยู่ในตัว จึงต้องระมัดระวังอยู่เสมอ เผลอเมื่อไรเป็นเสียท่าให้กิเลสโดยไม่ต้องสงสัย
เราอยากเห็นเพื่อนฝูงที่มารับการอบรมกับเรา ว่าได้อะไรเป็นหลักใจบ้างทางด้านสมณธรรมที่สั่งสอนเรื่อยมา เพราะที่รับภาระการอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนมานี้ก็เป็นเวลา ๓๐ กว่าปีแล้ว เราพยายามเต็มสติกำลังความสามารถ ไม่ให้มีจิตใจเหินห่างจากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่มารับการอบรมสั่งสอนนี้เลย ภาระเหล่านี้ท่านทั้งหลายย่อมทราบได้เองในกิริยาการแสดงออกของผม มีการสอดส่องมองดูกิริยาความเคลื่อนไหวผิดถูกประการต่างๆ ของหมู่เพื่อนอยู่เสมอในฐานะที่เป็นอาจารย์ ตลอดถึงการให้โอวาทแนะนำสั่งสอนทุกแง่ทุกมุม ตั้งแต่ต้นจนสุดความสามารถที่จะสั่งสอนได้ ก็ได้ทุ่มเทลงเต็มสติกำลังความสามารถตลอดมา ไม่เคยมีการปิดบังลี้ลับในธรรมทั้งหลายเลย จึงอยากพบอยากเห็นบรรดาเพื่อนฝูงที่มารับการอบรมว่าได้ผลอย่างไรบ้าง
อย่างน้อยก็ได้ความสงบเย็นใจ คือจิตใจมีความสงบ ก็นับว่าเป็นผลของการมาศึกษาอบรมของแต่ละราย ไม่เสียเวลาไปเปล่าทั้งฝ่ายลูกศิษย์และอาจารย์ผู้ให้การอบรม และมีปัญญาพินิจพิจารณาในสภาวธรรมทั้งหลายทั้งภายนอกภายใน ตามแต่จริตนิสัยของใครจะหนักไปในทางใด ถนัดในแง่ใดแห่งการพิจารณา จนมีความรู้แจ้งแทงทะลุเป็นลำดับลำดาเพราะอำนาจของปัญญา เราอยากทราบผลดังกล่าวมานี้โดยลำดับ และอยากจะทราบความหลุดพ้นของหมู่เพื่อนอย่างเต็มหัวใจด้วย เพราะธรรมที่แสดงมานี้แม้เราผู้แสดงจะไม่หลุดพ้นก็ตาม แต่ก็ได้ขวนขวายอุบายวิธีการแห่งความหลุดพ้นมาแสดงให้ท่านทั้งหลายฟัง อย่างถึงใจทั้งสองฝ่าย ไม่เคยปิดบังไว้เลย หากได้ปฏิบัติตามที่ได้อธิบายมานั้น ก็แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ออกนอกลู่นอกทาง นอกจากใจจะเข้าสู่จุดที่หมายอันเป็นที่พึงใจอย่างยิ่งโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
แต่เรื่องมารนั่นซิมันสำคัญ มันอยู่รอบด้านรอบหัวใจ คอยแต่จะฉุดจะลากความคิดความเห็นให้ออกนอกลู่นอกทางอยู่เสมอไม่ลดละ กำลังเดินจงกรมอยู่มันก็ฉุดก็ลาก มีแต่การก้าวเดินอยู่เหมือนพระตุ๊กตา หาสติปัญญาประคองจิตใจไม่ได้ นั่งสมาธิก็เหมือนหัวตอ แต่นี่เป็นพระทั้งองค์ไม่ใช่หัวตอเพราะมีความรู้อยู่ภายในองค์พระหัวตอนั้น เป็นแต่ความรู้นั้นมันเลื่อนลอยไปกับกิเลสที่ฉุดลากไป หรือเสือกคลานไปกับกิเลสที่ลากไป ยืนก็ยืนแบบเหม่อมองแบบไม่มีสติสตัง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีแต่เรื่องของกิเลสควบคุมอยู่เหมือนผู้ต้องหา แล้วจะเอามรรคผลนิพพานมาจากที่ไหนกัน เมื่อเหตุก็เป็นเรื่องของกิเลสสมุทัยเข้าทำงานเสียสิ้น ทั้งๆ ที่ภูมิใจว่าตนกำลังประกอบความพากเพียร ความจริงมีแต่กิเลสสมุทัยทำงานอยู่ในวงความเพียรท่าต่างๆ เสียสิ้น สติธรรม ปัญญาธรรมไม่มีช่องมีโอกาสได้ทำงานเลย
คำว่าสมุทัยก็คือความลืมตัว ความไม่มีสติสตังประคับประคองจิตใจนั่นแล ปล่อยให้กิเลสฉุดลากไปทางความคิดความปรุงต่างๆ อันเป็นเรื่องของมันเสียสิ้นไม่มีชิ้นดีเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นคำว่ามรรคมีสติปัญญาเป็นสำคัญจะก้าวเดินได้ที่ไหน ก้าวไปไหนก็มีแต่กิเลสตัวพลั้งเผลอปิดกั้นทางไว้เสียหมด การดำเนินอันเป็นมรรคนั้นได้แก่สติ มีได้ตั้งได้จึงชื่อว่ามีมรรคหรือเดินมรรค ปัญญาออกพิจารณาในสภาวธรรมแง่ต่างๆ กว้างแคบ ลึกตื้นหยาบละเอียดตามขั้นของปัญญา จึงชื่อว่ามรรคหรือดำเนินมรรค มรรคนี้แลเป็นธรรมที่จะยังผลอันพึงใจให้เกิดขึ้น ไม่ใช่กิเลสตัวพลั้งเผลอจะพาให้เกิด นอกจากคอยทำลายท่าเดียว
ต้องพยายามให้มากแต่ต้องระวังมารให้ดี กิเลสมารนั้นแหละเป็นตัวสำคัญ มันบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแนบเนียน ไม่ให้เราเห็นเนื้อเห็นตัวมันได้ถนัดชัดเจนเลย การแสดงออกจึงมักมีแต่เรื่องของมันทั้งนั้น จึงยากจะทราบได้ในขั้นเริ่มแรก จำต้องใช้ความพยายาม ใช้ความบึกบึน ใช้ความอดความทนเต็มที่ จึงจะปรากฏเป็นความสงบสุขขึ้นมาให้ได้ชม จากนั้นก็พอมีทางก้าวเดิน เพราะมีกำลังใจที่ได้รับจากผลคือความสงบ ไม่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนแต่ก่อนนัก
การมีความสงบเป็นพื้นฐานของใจก็เหมือนกับมีต้นทุน จากนั้นก็พยายามพิจารณาทางด้านปัญญาไปตามขั้นแห่งความสงบของจิต โดยยึดร่างกายเป็นสนามรบ เพราะอุปาทานความยึดมั่นในขันธ์ที่ท่านว่านั้นมันยึดมั่นขันธ์ใดบ้าง ยึดมั่นในรูปขันธ์เป็นสำคัญในขั้นนี้ ขันธ์ก็แปลว่ากอง กองก็กองทุกข์นั่นแลจะเป็นกองเงินกองทองมาจากที่ไหน อะไรเป็นความสุขอยู่ในขันธ์นี้มีไหม ตามความจริงแล้วมันมีแต่กองทุกข์ทั้งมวล ร่างกายนี้ก็กองทุกข์ เวทนาส่วนมากในร่างกายมีแต่กองทุกข์ สุขในร่างกายให้เราเห็นชัดๆ นั้นไม่ค่อยมี ส่วนมากมีแต่ความทุกข์ สังขารก็ปรุงเพื่อให้เกิดความทุกข์ สัญญาก็หมายเพื่อให้เกิดความทุกข์ เพราะเป็นเรื่องของกิเลสพาให้สำคัญมั่นหมาย พาให้ปรุงแต่งต่างๆ วิญญาณรับทราบอะไรก็เป็นไปเพื่อกองทุกข์ เมื่อสิ่งทั้งมวลในขันธ์ห้านี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ เราทำไมจะพิจารณาทุกข์ซึ่งมีอยู่ในขันธ์นี้ด้วยปัญญาของเราไม่ได้ล่ะ ถ้าตั้งใจพิจารณาจริงๆ ไม่หลอกตัวเองอยู่เปล่าๆ
ขันธ์หยาบเป็นของสำคัญคือรูปขันธ์นี้ จงพิจารณาแยกแยะออกให้เป็นชิ้นเป็นอันเป็นสัจเป็นจริง ตามความจริงของมันที่มีอยู่แล้วโดยทางปัญญา ร่างกายนี้แหละเป็นตัวสำคัญ รูปูปาทานกฺขนฺโธ กองแห่งความยึดมั่นก็คือรูปกายนั่นแลพาให้เป็นกองทุกข์ จงพิจารณาคลี่คลายตั้งแต่เบื้องบนลงมาเบื้องล่างตลอดด้านขวางสถานกลาง พิจารณาเข้าไปข้างในออกมาข้างนอกแห่งกาย ที่เต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครก เต็มไปด้วยของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีชิ้นใดที่จะนอกเหนือไปจากนี้เลย ก็สติปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วอย่างเต็มพระทัย เรานำมาพิจารณาความจริงที่มีอยู่กับตัวนี้ ทำไมจะไม่รู้ทำไมจะไม่เห็น ถ้ามีสติบังคับบัญชาจิตให้ทำหน้าที่จริงๆ ด้วยความสืบต่อกันไปเป็นลำดับไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน ต้องเข้าใจวันหนึ่งจนได้ไม่สงสัย เพราะเคยพิจารณามาแล้วนี่
ทุกข์ก็ยอมรับว่าทุกข์ เพราะต่อสู้กับกิเลสไม่ทุกข์ได้ยังไง เขารบกันเขาก็ทุกข์ นี่เรารบกับกิเลส นำธรรมเข้ารบกับกิเลสมันก็ต้องเป็นทุกข์ แต่ผลที่จะได้รับคือความสงบเย็นใจความสว่างไสวและได้ชัยชนะไปโดยลำดับ มันคุ้มค่ากับความทุกข์ที่ได้รับในเวลาที่ต่อสู้กันเป็นไหนๆ ทุกข์ประเภทนี้เป็นทุกข์ที่มีค่ามากยิ่งกว่าทุกข์ที่เกิดจากกิเลสเหยียบย่ำทำลายจิตใจให้หาความสุขไม่ได้ นอกจากนั้นก็ถูกมันลากไปเหมือนกับของตายแล้ว ไม่มีสติปัญญาต่อสู้ต้านทานกันบ้างเลย นี่สำคัญมาก จงพากันระวังให้จงหนัก ทุกข์ประเภทนี้ยังเป็นภัยไม่มีทางสิ้นสุดอีกด้วย ไม่เหมือนทุกข์ที่เกิดจากการต่อสู้กับกิเลสซึ่งมีทางสิ้นสุดยุติกันลงได้ ปราชญ์ท่านจึงจัดว่าเป็นทุกข์ที่มีคุณค่ามหาศาล บันดาลให้ผู้นั้นหลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นมหาภัยของกิเลสได้
นี่ก็พยายามให้ความสะดวกในการประพฤติปฏิบัติแก่หมู่เพื่อนเสมอมา ก็เพราะไม่เห็นสิ่งใดมีคุณค่ายิ่งกว่าธรรม กว่าพระแต่ละองค์ในวัดนี้ เราจึงต้องสงวนมาก เราเป็นผู้รักษาเอง เป็นผู้ให้ความสะดวกแก่พระทั้งหลายที่ปฏิบัติอยู่นี้เสียเอง ไม่ให้มีกิจการเรื่องราวอันใดที่จะเป็นข้าศึกต่อการปฏิบัติธรรมเข้ามายุ่งเกี่ยว นอกจากมีความจำเป็นในบางคราวเท่านั้น ก็ได้กำหนดเอาไว้ในความจำเป็นนั้น ให้มีขอบเขตจำกัดอยู่เพียงแค่นั้น พอหมดธุระนั้นแล้วก็ให้ยุติ ไม่ให้ยืดเยื้อเรื้อรังต่อไป ได้พยายามอย่างนี้เสมอมา เพื่อให้พระทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยความสะดวกสบาย ให้ได้เห็นความจริงในจิตสมเจตนาที่มุ่งมา
จิตนี้แหละตัวสำคัญในท่ามกลางแห่งขันธ์ เวลานี้มีแต่กิเลสรุมล้อมอยู่ตลอดเวลาจึงหาความสงบเย็นใจไม่ได้ หาความแปลกประหลาดอะไรไม่ได้ ทั้งที่จิตดวงนี้พร้อมจะแสดงความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ให้เห็นอยู่ทุกเวลานาที ถ้าได้รับการบำรุงรักษาสมน้ำสมเนื้อกัน ฉะนั้นจงพยายามอย่าได้ละ จะต้องเห็นความอัศจรรย์ของจิตแสดงออกอย่างเต็มภูมิวันหนึ่งแน่นอนจากความเพียรของเรา ถ้าอยากรู้ธรรมเห็นธรรมแดนหลุดพ้นประจักษ์ใจ จงเชื่อธรรม อย่าเชื่อกิเลสที่เคยหลอกลวงล้วงเอาของดีจากเราไปกินมานานแสนนาน ซึ่งควรเข็ดหลาบอย่างถึงใจได้แล้ว
สติเป็นสำคัญอย่าได้ลืม นี่พูดอะไรก็ตามถ้าขาดการพูดเกี่ยวกับเรื่องสติแล้ว รู้สึกว่าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะได้เคยดำเนินมาอย่างนั้น จึงเห็นสติกับปัญญาเป็นสำคัญมากในวงความเพียร เมื่อสติได้จดจ่อลงตรงไหนแม้ความสงบก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องสงบจนได้ไม่นอกเหนือสตินี้เลย จิตจะผาดโผนโลดเต้นขนาดไหนก็ตาม ถ้าลงได้ตั้งข้อบังคับจิตไม่ให้คิดปรุงฟุ้งเฟ้อไปไหนด้วยสติเป็นเครื่องกำกับ แม้เป็นก็เป็นตายก็ตาย สละกันลงในเวลานั้นไม่อาลัยเสียดาย แต่สติไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน มันจะผาดโผนขนาดไหนจิตนี่ ก็เข้าสู่ความสงบจนได้ ไม่ได้ด้วยสมถภาวนาก็ได้ด้วยวิปัสสนาภาวนา คือใช้วิธีตีต้อนจิตด้วยปัญญา เอาจนจิตหมอบเห็นประจักษ์ในขณะนั้นก็ได้ การรบการต่อสู้ต้องใช้หลายวิธีจึงจะทันกลทันเล่ห์เหลี่ยมของกิเลสตัวเคยเรืองอำนาจด้วยความฉลาดของตน
ฉะนั้นสติกับปัญญาจึงเป็นของสำคัญมาก ยิ่งเข้าสู่ในที่จนตรอกจนมุมด้วยแล้ว นั้นแหละจะเห็นคุณค่าของสติปัญญาอย่างประจักษ์ไม่สงสัย เพราะเราเคยเจอมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน หากเราเป็นผู้เสาะ เราเป็นผู้แสวง เราเป็นผู้ประกอบความเพียรเอง เราเป็นผู้ต่อสู้เอง แล้วเราก็ไปเจอความจนตรอกจนมุมของเราเอง และมีวิธีต่อสู้กันไปในตัวนั่นแล คำว่าจนตรอกจนมุมก็คือระหว่างกิเลสกับธรรมนั้นแหละปะทะกัน เมื่อปะทะกันแล้วศาตราวุธของเราคืออะไรที่จะปราบกิเลสให้ราบ ไม่ให้กิเลสปราบเราอย่างราบ เราต้องมีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ความอดความทนเป็นเครื่องหนุนสติปัญญาเข้าไป สติปัญญาเป็นผู้เบิกหมุนติ้วๆ เข้าไปไม่มีคำว่าลดละท้อถอย เอาชีวิตเข้าประกันกันทีเดียว ไม่กลัวตาย กลัวแต่จะไม่รู้ความจริงอย่างสมใจในขณะนั้น จิตพุ่งลงช่องเดียวไม่มีการแบ่งรับแบ่งสู้ให้กิเลสได้ใจในเวลานั้น
ที่เด่นชัดในการปฏิบัติซึ่งได้ดำเนินมาเต็มสติกำลังความสามารถของเรา ก็คือทุกขเวทนา เวลานั้นแหละเป็นเวลาจนตรอกเพราะมันทุกข์จริงๆ ทุกข์จนร่างกายทั้งร่างนี้เป็นกองเพลิงไปหมด แต่ก็ทนสติปัญญาที่ขุดค้นโดยไม่ยอมให้ออกจากจุดนี้เลยในเวลานั้นไปไม่ได้ สุดท้ายก็รู้ รู้แจ้งจริงๆ ชัดจริงๆ ในเรื่องทุกขเวทนา ระหว่างกายกับเวทนา ระหว่างเวทนากับจิต รู้กันได้อย่างชัดเจนจนกระทั่ง กาย เวทนา จิต พรากออกจากกัน ต่างอันต่างจริงอย่างเห็นได้ชัด หายสงสัยในสัจธรรมที่ว่าทุกข์เป็นของจริงเต็มส่วนของตน เพราะอำนาจของสติปัญญาที่ขุดค้นลงในเวลาจนตรอกจนมุม ชนิดเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติ ตนนั้นน่ะช่วยตัวเอง เป็นที่พึ่งของตน ตนเป็นผู้ช่วยตัวเองในเวลาจนตรอกจนมุม จนผ่านพ้นไปได้เป็นพักๆ ใจยอมรับธรรมบทว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เต็มภูมิ หาที่คัดค้านไม่ได้เลย
จิตในขณะนั้นทั้งรู้เด่น ทั้งอัศจรรย์บอกไม่ถูก เพราะไม่มีอะไรเหมือน เนื่องจากจิตไม่เคยเหมือนอะไรอยู่แล้วด้วย ยิ่งมาเจอความจริงเต็มส่วนเต็มภูมิของตนเข้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งเด่นยิ่งอัศจรรย์เกินคาด ทั้งที่ไม่คาดไม่หมายในขณะนั้น พอผ่านจากความจนตรอกไปได้ ความอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นให้ได้เห็นได้ชมอย่างสมใจที่ทุกข์แสนทุกข์แสนทรมาน เมื่อได้เห็นธรรมะอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากความจนตรอกจนมุมนั้นแล้ว วาระต่อไปจิตจะถอนได้อย่างไร หลักฐานพยานก็รู้เห็นกับตัวเองอยู่แล้วอย่างชัดๆ จึงถอยไม่ได้ ยิ่งเข้มแข็ง จิตใจยิ่งแข็งแกร่งราวกับเพชรทีเดียว เมื่อสติปัญญาหมุนติ้วลงไปเท่าไรก็รู้อีกๆ รู้ไม่สิ้นไม่สุด ยิ่งรู้ยิ่งเพลิน ยิ่งแตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวางไม่มีประมาณ และชำนิชำนาญคล่องตัวเข้าไปเรื่อยๆ นี่แหละความจนตรอกจนมุมของผู้เป็นนักต่อสู้ด้วยสติปัญญาจริงๆ ไม่ท้อถอย ต้องเจอความจริงอันประเสริฐขึ้นมาจนได้ เพราะความจริงดังกล่าวนี้มีอยู่กับทุกคน
ท่านผู้ประกอบความพากเพียรทั้งหลาย เช่น ครูบาอาจารย์ที่ปรากฏชื่อลือนามมีคนเคารพนับถือมากๆ นั้น เราได้เคยสนทนาปราศรัยกับท่านมาหลายๆ องค์แล้ว ท่าต่อสู้ของท่านมีลักษณะเหมือนๆ กันนี้เอง ถึงเวลาจนตรอกจนมุมก็ต้องเจอ และต้องต่อสู้แบบเดียวกันตามแต่ยุทธวิธีของท่านองค์ใดจะออกในแง่ใดมุมใด แต่ก่อนที่ยังไม่ได้สนทนากับท่านก็เหมือนกับว่า คนในโลกนี้มีแต่เราทนทุกข์ทนลำบาก จนตรอกจนมุมแต่คนเดียว แต่เวลาได้สนทนากับครูอาจารย์แล้วท่านก็เป็นผู้หนึ่ง ไม่ใช่มีแต่เราคนเดียวที่เจออย่างนั้น ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่เจออย่างนั้นเหมือนกัน เพราะท่านเป็นนักรบนี่ ต้องเจอต้องปะทะกับข้าศึกจนได้ เมื่อปะทะกับข้าศึกแล้วส่วนมากผลคือชัยชนะมักเป็นของท่าน เช่นเดียวกับชัยชนะเป็นของเราที่ได้เห็นประจักษ์ใจมาโดยลำดับ
เมื่อเป็นเช่นนั้นคนเราต้องมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองจึงเป็นแม่เหล็กอันสำคัญที่จะหนุนความเพียรให้หมุนติ้วๆ ไม่หยุดหย่อนอ่อนกำลัง เมื่อเห็นผลที่ปรากฏขึ้นในเวลานั้นแล้วพลังของใจไม่ทราบมาจากไหน มันหากเป็นของมันเอง สุดท้ายคำว่าแพ้นี้มีไม่ได้นอกจากตายเสียเท่านั้น กับรู้หรือผ่านพ้นไปได้เสียเท่านั้น ที่จะถอยหลังนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว เป็นไปไม่ได้จริงๆ เรียกว่าหัวเห็ดเด็ดขาดจะถอยไม่ได้ นอกจากต้องพุ่งให้ทะลุเลยเท่านั้น
ความเป็นเช่นนั้นเราเคยคิดไว้เมื่อไร ไม่เคยคิดไว้เลย แต่ถึงเวลามันเป็นมันก็เป็นให้เห็นอย่างชัดๆ แบบนักต่อสู้ เห็นอย่างชัดๆ แล้วก็เพิ่มพลังของจิต เพิ่มศรัทธาความเชื่อมั่น เป็นอจลศรัทธา ในผลที่ตนได้รับมากขึ้นๆ ความอดความทนความพากเพียรไม่ต้องบอกหากเป็นมาเอง ความทนก็ทนจนตายสู้จนตาย และจนรู้จนหลุดพ้นไปเท่านั้น สติปัญญาซึ่งทำการบุกเบิกไม่ยอมถอยนั้น เมื่อไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในใจให้รบให้ต่อสู้แล้ว จะรบกับอะไรล่ะที่นี่ สติปัญญาย่อมยุติลงโดยอัตโนมัติของตัวเอง ไม่มีการบังคับด้วยเหตุผลใดๆ
สรุปความลงแล้วก็มีแต่กิเลสเท่านั้น ที่เป็นสาเหตุให้เอาเป็นเอาตายเข้าสู้จนลมหายใจแทบจะไม่เหลือ แทบจะทิ้งร่างกายไว้ในสถานที่ทำความเพียร ทั้งนี้ก็มีแต่เรื่องของกิเลสเป็นข้าศึกตัวสำคัญเท่านั้น รบก็รบกับกิเลสนี้ ชนะก็ชนะกับกิเลสนี้ ไม่เห็นรบกับอะไร ไม่เห็นชนะกับอะไร จากนั้นแล้วก็จะรบกับอะไรอีก ดังที่ท่านพูดว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ งานนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ไม่ได้ทำอีกแหละบรรดางานแก้กิเลส เมื่อแก้ให้หมดปราบให้เรียบไม่มีเชื้อแห่งภพชาติเหลืออยู่ภายในใจแล้วจะปราบอะไรอีก เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ภายในใจเท่านั้น รู้ประจักษ์กับตัวเอง จะพูดได้หรือไม่ได้ก็ตาม แต่ความรู้ประจักษ์ใจนั้นไม่ปราศจาก เด่นชัดอยู่ที่ใจ เมื่อแยกออกมาเป็นสมมุติก็เป็นอีกแง่หนึ่ง พูดให้แจ่มแจ้งชัดเจนเห็นชัดเหมือนอย่างที่ตัวเองเห็นตัวเองรู้อยู่ภายในใจนั้นพูดไม่ได้ พูดไม่ถูกกับความจริงที่เป็นอยู่
ข้าศึกอันใหญ่หลวงในแหล่งแห่งไตรภพ ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กันอย่างถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงถึงเป็นถึงตาย เป็นการรบที่หนักหน่วงมากในชีวิตของการต่อสู้ การเผาศพกิเลสก็เผาอยู่ทุกแห่งทุกหน ทุกอิริยาบถ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ไม่ว่าจะอยู่ในท่าใด มีแต่ท่าเผากิเลสด้วยตปธรรม ความพากเพียร มีสติปัญญาอัตโนมัติเป็นเครื่องมือ เป็นตปธรรม
จึงขอสรุปความว่า ทุกท่านจงอย่าท้ออย่าถอย อย่าเห็นสิ่งใดว่าเป็นสิ่งดีมีค่ายิ่งกว่าธรรม สำหรับนักบวชเราธรรมเป็นธรรมเลิศธรรมประเสริฐ สำหรับเราเองเทิดทูนจนสุดหัวใจ ไม่มีอันใดมีความหมายยิ่งกว่าธรรมเลย แม้ที่สุดชีวิตจิตใจนี้ก็มอบไว้กับธรรมทุกขณะ ไม่เคยเห็นว่าชีวิตจะมีค่าเหนือธรรมเลย ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเป็น ทั้งนี้ก็เพราะธรรมมีคุณค่าน่าเทิดทูนเหนือกว่าชีวิตนั่นเอง เห็นอย่างชัดๆ อยู่ภายในใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่เทิดทูนธรรมจะเทิดทูนอะไร การเทิดทูนมูลสดมูลแห้งคือกิเลสราคะตัณหาก็เคยเทิดทูนมาแล้ว ผลต่างกันอย่างไร ใจก็เคยรับรสกิเลสกับธรรมมาแล้วจะสงสัยอะไรอีก
จึงขอให้พากันจริงจังต่อสมณกิจสมณธรรมของตน ทำอะไรอย่าเหลาะแหละ ฝึกหัดนิสัยของตนให้มีความจริงจัง มีเจตนาติดตามไปกับความรู้สึก อย่าสักแต่ว่าทำจะเคยต่อนิสัย แล้วจะหาความจริงในตัวไม่ได้ตลอดวันตาย การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ของธรรมดา ต้องฝึกต้องฝืนนิสัยของกิเลสและเอาให้จริงจัง มรรคผลนิพพานพระพุทธเจ้าไม่ได้กอบโกยไปด้วย ทำไมพวกเราที่ตั้งใจบำเพ็ญอยู่จึงจะไม่มีหวัง พระโอวาททั้งหมดก็คือเครื่องมือบุกเบิกเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่แล้ว สอนก็สอนมาหาพวกเราผู้มีส่วนจะได้รับอยู่แล้วด้วยการปฏิบัติของตน เอาให้จริงให้จัง ไม่เช่นนั้นจะตายเปล่าๆ นะ
นักบวชตายเปล่านี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าโลกเขาตายเปล่าๆ จงจำข้อนี้ไว้ให้ดีอย่าให้ตายเปล่า ให้ตายเต็มไปด้วยลวดลายของนักรบของนักบวชที่เป็นศิษย์ตถาคต ให้เต็มไปด้วยมรรคผลนิพพาน อยู่ก็ให้ได้ครองมรรคผลนิพพานภายในใจ ตายก็ให้ตายด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่มีเยื่อใยกับสิ่งใด ขึ้นชื่อว่าโลกามิสในสมมุติ ไม่ว่าหยาบกลางละเอียด ไม่เสียดายไม่ติดไม่ผูกพันกับอะไร เหลือแต่วิมุตติล้วนๆ ไปอยู่ไหนก็ไปเถอะอยู่เถอะ ไม่ต้องไปกำหนดสถานที่นั่นที่นี่ เป็นที่เกิดที่ตาย ที่เสวยสุขเสวยทุกข์ให้เสียเวลา อันเป็นเรื่องของโมฆภิกษุผู้สิ้นท่าหาทางหลุดพ้นจากกิเลสไม่ได้ ขอให้ใจสมบูรณ์ภายในตัวเองไม่มีความบกพร่องแล้ว อยู่ไหนใจอยู่ได้ตายได้ไม่ขัดข้อง ไม่ขอร้องผ่อนผัน ไม่อยากไม่หิวโหยต้องการอะไรทั้งสิ้น เช่น เวลายังครองขันธ์อยู่อย่างนี้จะนั่งอยู่ก็ตาม นอนอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม เดินอยู่ก็ตาม ไปที่ไหนมาที่ใดก็ตาม ด้วยทั้งจิตที่บริสุทธิ์อิ่มตัวแล้ว ไม่มีความหมายกับอะไรยิ่งกว่าความประจักษ์ใจว่าเป็นความพอแล้ว เรื่องสมมุติทั้งมวลจึงสิ้นสุดลงที่วิมุตติจิตแห่งเดียว
สถานที่นั่นที่นี่เป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมนี้ไม่ใช่สมมุติคือวิมุตติต่างหาก จะไปพาดพิงเกี่ยวกับสถานที่นั่นที่นี่อย่างไร จงเอาให้เห็นกับตัวเองซิจึงจะหมดปัญหา ถ้าไม่เห็นกับตัวเองรู้กับตัวเองมันก็เป็นปัญหาวันยังค่ำอยู่นั่นแล แบกคัมภีร์จนท่วมหัวก็แบกไปเถอะ ก็หนักคัมภีร์เปล่าๆ นั่นแหละ ไม่ได้มีความผาสุกสบายภายในใจเลย การถอดถอนสิ่งที่หนักหน่วงถ่วงใจคือกิเลสออกหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะเบายิ่งกว่าใจที่หลุดพ้นจากสิ่งกดถ่วงทั้งหลายแล้วนี่เลย ฉะนั้นจงเตรียมตัวเตรียมใจรบกับมหาภัยคือกิเลส ซึ่งตั้งกองร้อยกองพันกองพลอยู่ภายในใจให้สิ้นซากไป จะได้ครองมหาสมบัติกองมหาศาลภายในใจ กินไม่หมดไม่สิ้นตลอดอนันตกาล
จึงขอยุติเพียงแค่นี้ |