เพราะขาดความเอาใจใส่ จิตใจไม่ได้อยู่กับธรรมกับวินัยพอให้มีความหนักแน่นในจิต ที่จะให้เกิดความสนใจจดจ่อ ก็ดูเหมือนสวดพอเป็นพิธีไปอย่างนั้น แต่เราไม่ได้ยกโทษเราพูดตามความจริง เราได้ยินด้วยหูของเรา เรานั่งฟังปาฏิโมกข์อยู่ด้วยทำไมเราจะไม่รู้ ก็เราสวดปาฏิโมกข์ได้ด้วยนี่ไม่ใช่สวดไม่ได้ สวดดีไม่ดีก็ต้องรู้ มีแต่มหาเปรียญทั้งนั้นสวด เวลาสวดไปไม่เป็นท่าไม่สมเป็นวัดใหญ่และอยู่ในกรุงเทพฯ เอาแต่ความเร็วเข้าว่า เลยเหมือนนกขุนทอง ไม่ได้ศัพท์ได้แสงไม่ทราบทีฆะรัสสะอย่างไรฟาดกันไปอย่างนี้ก็มี แล้วผมเกี่ยวข้องอยู่หลายวัดนี่ในกรุงเทพ ไปพักวัดไหนก็ต้องได้ฟังปาฏิโมกข์วัดนั้น ๆ เช่น วัดเทพฯ สวดดี วัดเทพศิรินทร์สวดดี วัด... นี้เป็นรองลงไป รองอยู่มาก นี่เราพูดถึงวัดใหญ่ ๆ
เราไปอยู่ที่ไหนเราสังเกตทั้งนั้น มันอดไม่ได้ที่ไม่สังเกต มันหากสังเกตอยู่งั้นแหละ ตามความรู้สึกของเจ้าของเองมันชอบสังเกต สังเกตหาเหตุหาผลเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมนั่นเอง ไม่ใช่สังเกตเพื่อจะยกโทษยกกรณ์มองใคร ๆ ในแง่ร้ายอย่างนั้นเราไม่มี มองเพื่อหาความสัตย์ความจริง มันเป็นแต่ความจริงทั้งนั้น เช่น การสวดปาฏิโมกข์ก็เป็นความจริงเหมือนกัน อะเป็นอะ อิเป็นอิ อีเป็นอี ครุ ลหุ หนักเบา อักษรนั้น ๆ สระตัวนั้นออกมาจากฐานกรณ์ใด
พวกมหาเปรียญรู้ได้ดีนี่ เพราะอันนี้เป็นหลักของบาลีที่จะสอบเป็นเปรียญด้วยต้องรู้สิถิล ธนิต โฆสะ อโฆสะ ครุ ลหุ ทีฆะ รัสสะ พวกมหาเปรียญรู้ดี ฉะนั้นเมื่อผ่านประโยคนี้ไปแล้วแม้จะไม่ฝึกกับใครก็รู้ เพราะครูได้สอนอักขระฐานกรณ์ตั้งแต่เรียนบาลีอยู่แล้ว นอกจากไม่สนใจเท่านั้นเอง จะว่าไม่รู้พูดไม่ได้ ลงเป็นมหาเปรียญไม่รู้สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ว่างั้นเลย เพราะนี้เป็นหลักสูตรของความเป็นมหาเปรียญ เป็นหลักสูตรฝ่ายบาลี ก่อนจะไปแปลธรรมบทต้องผ่านบาลีเหล่านี้เสียก่อน สนธิสมาสเหล่านี้ต้องคล่องตัว ศัพท์ไหนเป็นสนธิ ศัพท์ไหนเป็นสมาส เป็นตัตธิต อาขยาต นามกิตต์ รู้หมด ดีไม่ดียังรู้ไปจนกระทั่งธาตุ วิภัตติ ปัจจัย จะมาว่าอะไรแต่อักขระฐานกรณ์ที่เรียนเพื่อสวดปาฏิโมกข์เท่านั้น
เราจึงไม่ประสงค์หมู่เพื่อนที่มาอยู่ด้วยนี้ เกี่ยวกับการสวดปาฏิโมกข์อันเป็นกิจสงฆ์อย่างเต็มที่ไม่ดี นี่เป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่ง กิจสงฆ์ทั้งหมดที่จะเป็นความเรียบร้อยลงได้ในสังฆกรรมประเภทนี้ต้องผู้สวดเป็นสำคัญ สวดปาฏิโมกข์ สวดไม่ถูกก็ไม่สมบูรณ์ สงฆ์ไว้วางใจให้ผู้นั้นทำหน้าที่เพื่อสงฆ์ทั้งวัด จึงต้องทำหน้าที่ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยให้ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องเตือนเสมอ ก่อนที่ใครจะสวดต้องได้ฝึกซ้อมให้เป็นที่แน่ใจก่อน
ในระยะขั้นเริ่มแรกแห่งการสวดนี้ถึงจะไม่รวดเร็วอะไรก็ตาม เราไม่ถือเป็นสำคัญยิ่งกว่าการสวดให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ เมื่อจำได้แม่นยำ สวดได้ถูกต้อง ในเบื้องต้นแม้จะสวดช้าไปบ้างแต่เมื่อความเคยชินมีแล้วก็รวดเร็วไปเอง ไม่ใช่เร็วแบบไม่ได้ถ้อยได้ความ เร็วตกตามบทตามบาท ที่ไหนที่มีรัสสะมาก ๆ ก็เร็ว ที่มีทีฆะมาก ๆ ก็ช้าไปเอง ตามจังหวะของการสวดที่มีเสียงสั้นเสียงยาว เคยชินแล้วเป็นไปเอง ความเร็วก็เร็วไปเอง เร็วไปตามหลักแห่งความถูกต้อง ไม่ใช่รวดเร็วไปด้วยสักแต่ว่าอย่างนั้นไม่นับเข้าในกฎเกณฑ์นี้ สวดมนต์สวดอะไรก็ตาม ดูสูตรไหนดูให้ถูกต้องแม่นยำอย่าให้คลาดเคลื่อน อย่าถือว่าไม่สำคัญ ศาสนาสำคัญทั้งพระสูตรทั้งพระวินัยทั้งปรมัตถ์ สำคัญหมด สูตรต่าง ๆ ออกมาจากจำพวกไหน จำพวกพระสูตรหรือพระวินัย หรือพระปรมัตถ์ ก็ให้ถูกต้องตามนั้น อย่าทำมักง่ายไม่ดี
ศาสนาออกมาจากท่านผู้มีความเพียรมาก ท่านผู้มีความอดทนมาก ท่านผู้มีความเฉลียวฉลาดมาก ท่านผู้มีความสามารถมาก ทุกสิ่งขึ้นชื่อว่าเป็นความดีแล้วออกมาจากพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมศาสดาของโลก เพราะฉะนั้นศาสนธรรมที่ประกาศออกมา จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแม่นยำควรแก่การเคารพนับถือและปฏิบัติตามทุกแง่ทุกมุมไป ไม่มีแง่ใดไม่สำคัญ เพราะเป็นแง่ที่จะทำให้คนดีทั้งนั้น เป็นแง่ที่จะระงับดับพิษภัยภายในจิตใจซึ่งกิเลสสร้างขึ้นมาให้ค่อยหมดไป ๆ เหมือนกับน้ำที่สะอาดชำระล้างสถานที่หรือสิ่งที่สกปรกรกรุงรัง ให้ปราศจากสิ่งสกปรกนั้นกลายเป็นของสะอาดสถานที่สะอาดขึ้นมา
จิตใจของเราเป็นเหมือนกับพื้นที่หรือวัตถุอันหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สกปรกมาตั้งแต่ดั้งเดิมแต่กาลไหน ๆ จนเจ้าตัวก็ไม่สามารถทราบได้ว่าจิตของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร และคลุกเคล้ากับสิ่งใด และการคลุกเคล้านั้นคลุกเคล้ากันมาตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเป็นสิ่งที่ฝังจมเหมือนลูกศรก็เรียกว่าฝังจนจมมิด สิ่งสกปรกนั้นน่ะฝังจิตใจจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่สามารถทราบได้โดยธรรมดาสามัญ ที่จะค้นคว้าพินิจพิจารณาให้ทราบ แต่จะทราบได้ทางเดียวคือการปฏิบัติจิตตภาวนา ดังพระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินมาแล้ว
พระพุทธเจ้าทรงทราบความจริง และชะล้างสิ่งที่สกปรกโสมมทั้งหลายอยู่ภายในพระทัยออกได้ด้วยธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำที่สะอาด ศาสนาปรากฏออกมาให้โลกได้เห็นได้กราบไหว้บูชา เพราะการค้นคว้าหรือภาคปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาของพระพุทธเจ้า รองลำดับมาก็ดำเนินแบบเดียวกัน แม้พระองค์เองเป็นผู้ประทานพระโอวาทให้แก่บรรดาสาวกตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกที่ได้ประกาศธรรมแก่สาวก มีเบญจวัคคีย์เป็นต้น ก็ทรงแสดงวิธีการปฏิบัติและการปฏิบัติ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกรกรุงรังทั้งหลายซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตใจนั้นแก่สาวก
ในขณะที่บรรดาสาวกฟังก็ฟังเพื่อรู้จริงเห็นจริง ฟังด้วยความใคร่ครวญพินิจพิจารณา เพราะเป็นผู้มีภูมิสูงอยู่แล้ว พวกอุคฆฏิตัญญู เช่น พวกเบญจวัคคีย์เป็นพวกอุคฆฏิตัญญู ที่พร้อมแล้วจะรู้ซึ่งธรรมทั้งหลายอย่างรวดเร็ว ด้วยสติปัญญาที่ใคร่ครวญไปตามในขณะนั้น เนื่องจากความสงบทางด้านจิตใจนี้ ท่านเหล่านี้ได้บำเพ็ญมาเต็มสติกำลังความสามารถ จนถึงกับบางรายอาจคิดว่าตนได้ถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์วิเศษแล้วก็ได้ นี่เพราะความสงบเยือกเย็นของใจ ไม่มีเกี่ยวกับโลกภายนอกแต่อย่างใด และโลกภายนอกก็ไม่เข้ามาประสับประสาน เป็นจิตที่มีความสงบแนบแน่น เป็นแต่เพียงว่ากิเลสส่วนละเอียดที่ฝังจมอยู่ภายในนั้น ท่านเหล่านี้ไม่อาจทราบได้
เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟังในอริยสัจ ๔ ซึ่งประกาศในวงแห่งธรรมจักร ท่านเหล่านี้จึงได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา คือรู้ตามความจริงแห่งสภาวธรรม ทั้งที่มีอยู่กับตัวเองและทั่ว ๆ ไป ดังพระอัญญาโกณฑัญญะท่านอุทานขึ้นมาในขณะนั้น เพราะการถึงความจริงในขั้นเริ่มแรกว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นสิ่งนั้นต้องดับ เป็นสิ่งที่ซึ้งถึงใจพระอัญญาโกณฑัญญะ ในขณะที่แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบลงพระองค์ก็ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ อญฺญาโกณฺฑญฺโญเตฺวว นามํ อโหสีติ นามนั้นจึงได้เป็นนามพระอัญญาโกณฑัญญะสืบต่อมา นี่ต้องอาศัยทั้งการฟังซึ่งก็เป็นภาคปฏิบัติอยู่ในตัวด้วย ทั้งการปฏิบัติโดยลำพังตนเองด้วย เพราะพระองค์ทรงสอนอย่างนั้น
เนื่องจากพระองค์ก็ทรงปฏิบัติดำเนินเต็มพระสติกำลังความสามารถขนาดขั้นสลบไสล ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม จึงได้ทรงรู้แจ้งแทงตลอดในเญยธรรมทั้งหลาย เมื่อนำมาสั่งสอนบรรดาสาวกทั้งหลายก็ต้องสอนโดยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมา มีภาคปฏิบัติเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี ที่ได้รู้จริงเห็นจริงในธรรมที่เรียกว่าบรรลุธรรม ท่านบรรลุด้วยภาคปฏิบัติทั้งนั้น ไม่ได้บรรลุด้วยภาคศึกษาเล่าเรียนธรรมดาเหมือนอย่างที่โลก ๆ เรียนกันทั้งธรรมะและวิชาภายนอกวิชาทางโลก ฟังก็ฟังเป็นภาคปฏิบัติ ไตร่ตรองตามหลักความจริงที่พระองค์ทรงสั่งสอน เวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติตามหลักความจริงที่พระองค์สอนแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผลจึงปรากฏเป็นที่พึงใจขึ้นมาโดยลำดับ ๆ
ในเบื้องต้นได้กล่าวถึงจิตที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลาย ที่ไม่ได้ชำระล้างออกเลย จิตทั้งดวงจึงมองเห็นแต่ความสกปรกมืดดำไปหมด จนไม่อาจจะทราบได้ว่าจิตเป็นอย่างไร เพราะมีแต่สิ่งที่หุ้มห่อปิดบังความจริงคือจิตนั้นไว้อย่างมิดชิด จนไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องปฏิบัติ การปฏิบัติก็เหมือนการชำระล้างสิ่งที่สกปรกซึ่งเต็มอยู่ภายในจิตใจนั้นไปโดยลำดับ ตั้งแต่ภาคศีลขึ้นไป สมาธิ สมาธิเป็นสำคัญ คือสมาธินี่เข้าถึงตัวจิต ออกจากนั้นก็ก้าวถึงขั้นปัญญา
สมาธินี่เป็นอุบายวิธีตะล่อมจิตหรือตะล่อมกิเลสให้เข้าสู่จุดรวม เมื่อกิเลสเข้าสู่จุดรวมไม่ซ่านไปทุกแห่งทุกหนตามรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ แล้ว กิเลสก็ไม่กวน กลายเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมา จากนั้นปัญญาก็ชำระล้างโดยลำดับ พิจารณาแง่ต่าง ๆ แห่งความติดข้องของใจ ใจหนักไปในอารมณ์ใด หนักไปในรูป รูปประเภทใด รูปหญิงหรือรูปชายหรือรูปพัสดุต่าง ๆ ซึ่งมีหลายประเภทเต็มอยู่ในรูป จิตมีความหนักแน่นติดพันในรูปใดมากกว่ากัน นั่นละปัญญาจะได้พิจารณาหรือจับสิ่งนั้นเข้ามาเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณาโดยทางสติปัญญา
เช่น ติดรูป เห็นว่ารูปสวยรูปงามจนถึงกับมายั่วยวนกิเลสซึ่งฝังจมอยู่ภายในจิตนี้ให้ฟุ้งตัวขึ้นมา กลายเป็นความรักความกำหนัดยินดีและทำใจให้ขุ่นมัวด้วย ให้วุ่นวายส่ายแส่จนตั้งตัวไม่ติดหรือตั้งตัวไม่ได้บ้าง เนื่องจากอำนาจแห่งสิ่งภายนอกกับความสำคัญมั่นหมายภายในจิตใจก่อตัว ทั้งสองอย่างนี้บวกกันเข้าแล้วมารวมอยู่ที่จิตใจ กลายเป็นความกระวนกระวายขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณาถึงรูปนั้นว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงต้องไปติดไปพัน แต่ก่อนที่ยังไม่เห็นก็ยังไม่รักไม่ชอบใจ หลังจากการได้พบได้เห็นแล้วเข้ามามีแต่ความวุ่นวายส่ายแส่ อารมณ์อันนั้นมาติดอยู่กับจิตกับใจตลอดเวลาเป็นเพราะเหตุไร นั่นอุบายวิธีการพิจารณาทางด้านปัญญา
นำรูปนั้นกำหนดรูปนั้นมาแยกแยะดูให้เห็นสิ่งที่น่าติดน่าข้อง สิ่งที่น่ารักใคร่ชอบใจนั้นมีอยู่ที่ไหนกันแน่ ทีแรกจิตจะเหมาเอาหมดทั้งตัว หมดทั้งตัวนี้ดูให้เห็นตั้งแต่ผมลงไปโดยลำดับ ๆ ถึงผิวหนัง เข้าไปหนังภายใน เข้าไปถึงเนื้อถึงเอ็นถึงกระดูกถึงภายใน อาหารใหม่ อาหารเก่า พิจารณาเข้าไปจนตลอดทั่วถึงด้วยปัญญาหลายตลบทบทวน กำหนดให้แตกลงไป หรือกำหนดให้พองตัวขึ้นในขณะที่ตายแล้ว แม้ยังไม่ตายก็เต็มไปด้วยของปฏิกูลอยู่แล้ว ความที่ว่าสวยว่างามนั้นเป็นเรื่องของกิเลสตัวจอมปลอม มาหลอกลวงจิตให้หลงสิ่งนั้น ซึ่งไม่เป็นของสวยของงามว่าเป็นของสวยของงาม แล้วให้เกิดความชอบใจกำหนัดยินดี นี่คือสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นปัญญาจึงต้องแก้ไปตามสภาพแห่งความจอมปลอม มันนิยมอย่างไร ก็แก้ความจอมปลอมของกิเลสนั้นให้ตกไป เช่นว่างาม งามที่ไหนค้นหา นี่คือความจริง คำว่างามไม่ใช่ความจริง คำว่าสวยไม่ใช่ความจริง คำว่าน่ารักใคร่ชอบใจน่าติดพันไม่ใช่ความจริง เป็นความจอมปลอมของกลมายากิเลสต่างหาก ส่วนธรรมคือความจริงแล้วกำหนดแก้กันได้ในขณะนั้นทันทีว่า มันสวยมันงามที่ไหน มีผิวหนังบาง ๆ เท่านั้นฉาบทาไว้ในบุคคลคนหนึ่งทั้งหญิงทั้งชาย ไม่ได้หนาเท่ากระดาษเลยที่หลอกตาคนโง่ พวกเราโง่ให้เห็นว่าเป็นของสวยของงามไปตามกิเลสตัวหลอกลวง พิจารณาเข้าไปในเข้าไปลึกเข้าไปเท่าไร ยิ่งเต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครกทั้งนั้น นี่คือความจริง กิเลสที่มันเสกสรรว่าสวยงามนั้นตรงไหนไม่มี มันหลอก นี่ให้ดูอย่างนี้เรียกว่าปัญญา
เราเคยเชื่อกิเลสเชื่อมานานแล้ว ได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะกิเลสบีบคั้นจิตใจ กิเลสมันหลายประเภท กิเลสที่หลอกให้สำคัญว่าสวยว่างามก็มี หลอกให้มีความรักใคร่ยินดีก็มี หลอกให้เกิดเป็นอารมณ์สำคัญมั่นหมายจนกลายเป็นธรรมารมณ์ แล้วเป็นไฟราคะตัณหาสุมอยู่ภายในจิตใจตลอดเวลาก็มี กิเลสมีได้หลายประเภท หลอกได้หลายอย่าง ทั้งเหตุทั้งผลเป็นความรุ่มร้อนทั้งนั้น เป็นความจอมปลอมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาธรรมซึ่งเป็นของจริงนี้เข้าไปแก้กัน เช่นว่าความสวยงาม สวยงามที่ตรงไหนดูให้ดี ดูให้ดูตามความจริงซึ่งเป็นหลักธรรม อย่าดูให้ปีนเกลียวกับความจริงจะเป็นเรื่องของกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกต่อธรรม ในขณะเดียวกันก็เป็นข้าศึกต่อเราด้วย
แยกแยะดูหมดตั้งแต่ผิวหนังเข้าไป ดูให้ตลอดทั่วถึงทั้งภายในภายนอกหลายตลบทบทวนด้วยสติด้วยปัญญาเอาให้แหลกละเอียด ดูแล้วดูเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค้นแล้วค้นเล่า ดูที่ไหนไปที่ไหนมันก็เต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครกอยู่ภายในร่างกายของเรา ทุกสัดทุกส่วน ทุกอวัยวะ ทุกชิ้นทุกอัน หาความสวยงามหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลที่น่ารักใคร่ชอบใจที่ไหนไม่มี มีแต่ลมแต่แล้งที่มาหลอกเฉย ๆ ความจริงแท้ ๆ ไม่มี นี่ยังไม่ตายก็เป็นอย่างนี้ นี่เป็นขั้นหนึ่ง
เอ้า กำหนดเวลามันตายลงไปเป็นยังไง หรือเฒ่าแก่ชราลงไปแล้วเป็นยังไง กำหนดถึงขั้นตาย เอ้า ตายแล้วเป็นยังไง ถึงขั้นหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็เถอะ ตายลงไปแล้วเป็นของเน่าของเหม็น ยิ่งเพิ่มความเป็นปฏิกูลมากขึ้น ไม่มีความปฏิกูลใดเท่าคนตายแล้ว ที่กำลังเน่าพองตัวและแตกกระจัดกระจายให้เห็นอยู่ในขณะนั้นเลย นี่เป็นของปฏิกูลเต็มส่วน นี่คือเป็นธรรมเต็มส่วน สำหรับแก้เรื่องความสวยงามได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ พิจารณาให้เห็นอย่างนั้นตามหลักของปัญญา ซึ่งเป็นธรรมาวุธเครื่องฟาดฟันหั่นแหลกความสำคัญมั่นหมายทั้งหลายอันเป็นกลมายา หรือเป็นเรื่องของกิเลสให้เห็นเหตุเห็นผลอย่างชัดเจนแล้ว ทำไมจิตจะไม่ถอนตัวออกมาจากความสำคัญมั่นหมายอันเป็นเครื่องหลอกลวงนั้นล่ะ ต้องถอนตัวออกมาแน่นอน นี่อุบายปัญญา
ถ้าพูดถึงเรื่องเสียงก็เป็นลมปากเท่านั้น เสียงดีเสียงชั่วผ่านหูเราทราบ ถ้าเราไม่ไปตั้งความสำคัญมั่นหมายในเสียงนั้น เสียงนั้นก็ไม่ผิดอะไรกับลมที่โชยมาโชยไปผ่านหูเราเท่านั้น เขาตำหนิเราว่าไม่ดีหรือเขาชมว่าดี หรือได้ยินเสียงเพลงเพราะ ๆ ก็เพราะความหมายของใจไปสำคัญมั่นหมายอย่างนั้น ๆ วาดภาพไปตามแล้วก็ทำให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปตาม นี่เป็นเพลงของกิเลสประเภทหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากใจ โดยอาศัยเสียงเพลงเป็นต้นนั้นเป็นสาเหตุ ใจก็วาดภาพแล้วเคลิบเคลิ้มไปตาม นี่ก็คือความลุ่มหลงกลมายาของกิเลสทั้งสิ้น เพราะความจริงแล้วก็คือลม เหมือนลมพัดใบไม้ธรรมดานี่เอง ถ้าเราไม่ไปตั้งความสำคัญมั่นหมายเป็นเครื่องหลอกตนขึ้นมา เกิดขึ้นมันก็ดับไป ๆ
แต่การพิจารณานั้นไม่จำเป็นต้องพิจารณาทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส เครื่องสัมผัสถูกต้องต่าง ๆ ไปโดยสิ้นเชิง ขอแต่ให้เป็นที่ถนัดใจ เหมาะกับจริตนิสัย จิตใจดูดดื่ม ควรจะพิจารณาอาการใดหรือสิ่งใดในอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสเหล่านั้น เราพิจารณานั้นเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ก็สามารถรู้แจ้งแทงตลอดทั่วถึงไปหมดในบรรดาสิ่งภายนอกที่มาเกี่ยวข้องกับใจของเราดวงเดียวนี้ และนอกจากนั้นก็ย้อนเข้ามาพิจารณาตัวเองเป็นข้อเทียบเคียงกันกับสิ่งภายนอกมีรูปเป็นต้น
เอ้า รูปนั้นเป็นอย่างนั้นรูปนี้เป็นอย่างไร รูปนี้ก็เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีสิ่งใดผิดกันเลย ทุกอาการทุกส่วนของร่างกายนี้ไม่ว่าข้างในข้างนอก เต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครกเหมือนกันกับภายนอกที่เราพิจารณาผ่านไปแล้วนั้น เทียบกันได้ทุกสัดทุกส่วน ถ้าเป็นกระเบียดก็ทุกกระเบียด ทุกอนุกระเบียด ไม่มีอะไรผิดแปลกแตกต่างกันไปเลยพอจะให้เกิดความสงสัย ยึดมั่นถือมั่นในส่วนร่างกายว่าเป็นเราเป็นของเรา เป็นสิ่งที่น่ารักน่าสงวน เป็นเรื่องของการสร้างฐานให้กิเลสมีความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น แล้วทับจิตใจของเราให้ได้รับความทุกข์ไม่มีประมาณ นี่คือด้านปัญญา
การพิจารณาดังที่กล่าวมาโดยย่อ ๆ นี้ นี้แลคืออุบายของปัญญา การพิจารณาชะล้างจิตใจที่เกี่ยวข้องพัวพันที่ตรงไหน ตัดออกมาด้วยการพิจารณาทวนกระแสของกิเลส กิเลสไปตามกระแสของมัน เราทวนกระแสของกิเลส การไปตามกระแสของกิเลสนั้นเป็นเรื่องหลอกเราทั้งมวล การทวนกระแสของกิเลสแก้กิเลส แก้เผ็ดร้อนซึ่งกันและกัน ถ้าเราจะพูดแยกมาอย่างนี้ก็ได้เป็นธรรม พิจารณาอย่างนั้น นี่คือปัญญา
เมื่อได้พิจารณาอยู่ไม่หยุดไม่ถอยตามโอกาสที่ควรพิจารณา และตามโอกาสที่ควรหยุดพักเพื่อความสงบใจในทางสมาธิอยู่โดยลำดับลำดาแล้ว สมาธิก็มีฐานอันดีคือความสงบเย็นใจ เพราะอำนาจแห่งความสงบของใจนี้ด้วย เพราะอำนาจแห่งสติปัญญาเป็นผู้หว่านล้อมพิจารณาคลี่คลายทุกสิ่งทุกอย่างให้จิตใจหายสงสัยแล้วไม่ไปข้องแวะกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นพอให้เกิดอารมณ์ด้วย จิตใจก็มีความสงบด้วย มีความองอาจกล้าหาญ มีความสง่าผ่าเผย เพราะอำนาจของปัญญาเข้าสนับสนุนด้วย
พิจารณาไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ ไม่ลดละ ถือนี้เป็นงานอย่างยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่าไปคาดไปคะเนไปเดาเรื่องมรรคผลนิพพาน ว่าอยู่ในสมัยนั้นในสมัยนี้ อยู่ในครั้งโน้นครั้งนี้ สถานที่โน่นที่นี่ ดังครั้งพุทธกาลท่านบรรลุอยู่ในป่านั้นเขานั้นท่านดำเนินอย่างไร ท่านดำเนินดังที่อธิบายมาแล้วดังธรรมที่พระพุทธเจ้าประทานสอนไว้แล้วทุกวันนี้ ไม่มีอะไรเคลื่อนคลาดจากหลักความจริงพอที่จะทำลายกิเลสไม่ได้ เป็นหลักธรรมที่สามารถกำจัดกิเลส หรือประหัตประหารกิเลสให้สิ้นไปจากใจได้ทุกบททุกบาทแห่งธรรมทั้งหลาย
สรุปความลงแล้วมีมัชฌิมาปฏิปทาเป็นต้น นี่แหละคือธรรมที่ทันสมัย ธรรมที่เหมาะสมต่อการปราบปรามกิเลสทุกประเภทไม่เหนือจากธรรมนี้ไปได้เลย กิเลสจะฉิบหายวายปวงไปหมดจากใจ กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ก็เพราะมัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นธรรมที่เหมาะสมนี้ นอกเหนือไปจากนี้ไม่ได้ และไม่มีกิเลสตัวใดจะนอกเหนือไปกว่าธรรมคือมัชฌิมานี้ ครั้งพุทธกาลท่านก็แก้กิเลสด้วยมัชฌิมาธรรมนี้ ไม่ว่าพระองค์ใด พระพุทธเจ้า พระสาวก กิเลสก็มีประเภทเดียวกัน ราคะตัณหาหรือความโลภความโกรธความหลงมีเหมือนกัน กิเลสประเภทเดียวกันอยู่ที่ใจอันเดียวกัน
การพิจารณาก็ต้องอาศัยหลักธรรมเป็นเครื่องพิจารณา อาศัยธรรมาวุธมีปัญญาเป็นต้น เป็นเครื่องฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไปเหมือนกับครั้งพุทธกาล กิเลสก็ย่อมหลุดลอยไปเช่นเดียวกับครั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่สงสัยว่ากิเลสจะหลุดลอยไปเพราะสถานที่กาลเวลาใด จะหลุดลอยไปจาก สถานที่ก็หมายถึงใจดวงนี้ เวลาก็หมายถึงขณะที่สติปัญญาเต็มภูมิแล้วก็ตัดขาดจากกันได้ที่จิตใจ ให้เอาจริงเอาจัง
นักบวชเป็นผู้ที่อดทน ดังที่กล่าวมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมศาสดา เป็นเจ้าของศาสนา ความสามารถก็คือพระพุทธเจ้า ทีนี้ย่นลงมาหาบรรดาสงฆ์สาวกและมาถึงพวกเรา ความสามารถพระพุทธเจ้ามอบให้ใคร มอบให้พวกเรา ความเพียรมอบให้ใคร มอบให้พวกเรา วิริยะ ฉันทะ ความพอใจ พอใจอะไร เราพอใจกับมรรคผลนิพพานเราก็ต้องพอใจในความเพียรของเรา ฉันทะคือความพอใจในงานที่จะดำเนินตนให้ถึงความพ้นทุกข์ตามที่เราได้มุ่งมั่นเอาไว้ วิริยะก็เพียรดำเนิน
เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ตถาคตต้องเป็นผู้มีฉันทะ วิริยะ จิตตะความฝักใฝ่ใยดีกับงานของตนคืองานภาวนาไม่ลดละปล่อยวาง ไม่ว่ากาลสถานที่อิริยาบถใดให้กลมกลืนไปกับอิทธิบาททั้งสี่นี้ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา วิมังสาก็หมายถึงองค์ปัญญาล้วน ๆ แล้ว ให้มีความเกี่ยวพันกันกับธรรม ๔ บทนี้เสมอ ชื่อว่าเป็นผู้ก้าวเข้าสู่สงครามอันจะมีชัยชนะในวันเวลาหนึ่งแน่นอนและจะชนะไปเรื่อย ๆ ลูกศิษย์ตถาคตคือนักบวชผู้ปฏิบัติไม่มีความเพียรใครจะมีได้ในโลกนี้ ไม่มีความอดความทนใครจะมีได้ในโลก
ศาสนาเป็นแก่นเป็นหลักใจของโลก เราเป็นผู้ปฏิบัติศาสนาโดยหน้าที่และความมุ่งมั่นของเราอยู่แล้ว ทำไมจะอบรมธรรมทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นที่ใจของตน ฟิตตนให้มีกำลังความสามารถในทางที่ดีโดยทางสติปัญญาศรัทธาความเพียรไม่ได้มีเหรอ เราต้องจริงต้องจังกับเรา กับเราก็เหมือนกับกิเลสนั่นเอง สู้ต้องสู้กันจริง ๆ อย่าทำเล่น ๆ เหลาะ ๆ แหละ ๆ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้าผู้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางของสาวกที่ผ่านพ้นทุกข์ไปแล้ว ต้องเป็นคนจริงจังทุกอย่างไม่ว่ากิจนอกการใน ทำอันใดให้มีความรู้สึกเจาะจงอยู่กับกิจการงานนั้น ๆ เป็นความจริงใจของผู้ปฏิบัติ เวลาก้าวเข้าสู่ความเพียรทางด้านจิตใจโดยเฉพาะ จิตจะมีความจดจ่อต่อเนื่องกันไป เป็นความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกับกิจภายนอก เพราะเราเคยฝึกหัดของเราอย่างนั้นอยู่แล้ว
ให้ทำกันอย่างนี้นักปฏิบัติถ้าอยากเห็นมรรคผลนิพพาน จะไม่มีขึ้นที่ใดนอกเหนือไปจากใจดวงที่ถูกกิเลสรุมล้อมอยู่เวลานี้ ซึ่งเราได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดมันอยู่ทุกเวลา จนกระทั่งกำจัดกิเลสทุกประเภทให้หมดไปจากใจแล้ว เราไม่จำเป็นต้องถามหานิพพานที่ไหน นั่นเป็นชื่อของนิพพาน คำว่ากิเลสก็เป็นชื่อของสิ่งมัวหมอง สิ่งมืดตื้อที่มีอยู่ภายในจิตใจ ปัญญาคือความเฉลียวฉลาดรอบคอบขอบชิด เป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสซึ่งก็แหลมคมไม่น้อย แต่ยังไงก็ไม่พ้นอำนาจของธรรมมีสติปัญญาศรัทธาความเพียรเป็นสำคัญไปได้ มีความหนักแน่นต่อการประพฤติปฏิบัติ อย่าลืมตัว
ถือหลักปัจจุบันธรรมปัจจุบันจิตอยู่เสมอ อย่าไปคาดไปเดาอดีตอนาคตสถานที่นั่นที่นี่ เป็นแหล่งแห่งกิเลสจะดับจะสูญเป็นแหล่งที่จะได้รับมรรคผลนิพพาน ไม่นอกเหนือไปจากใจนี้เลย กิเลสไม่เห็นมันคาดคะเนที่ไหน แต่ทำไมมันอยู่บนหัวใจของสัตว์โลกได้ตลอดมา เวลาเราจะบำเพ็ญหรือประพฤติปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส ทำไมเราจะต้องไปหาสถานที่นั่นที่นี่ ไปหากาลหาเวล่ำเวลาให้กิเลสหัวเราะเยาะเอา ค้นลงไปที่ตรงนั้น หนักก็ทราบว่าหนัก ทุกข์ก็ทราบว่าทุกข์ เพราะไม่ใช่คนตายต้องมีทุกข์เป็นธรรมดาเมื่อประกอบการงานทุกชิ้นไป
ไม่ว่างานทางโลกงานทางธรรม ขึ้นชื่อว่างานแล้วต้องมีความหนักเบาไปตามเรื่องของมัน เราทราบกันแล้วเพราะเราเคยผ่านงานมามากน้อยแล้ว อย่าถือเป็นอุปสรรคว่าเป็นงานหนักบ้างเบาบ้างอะไร ให้ถือความที่จะหลุดพ้นจากการถอดถอนหนามคือกิเลสที่มันยอกหัวใจออกได้นี้เป็นที่พอใจ อันนี้เป็นหลักสำคัญของผู้ปฏิบัติ ให้มีใจหนักแน่น
สมาธิยังไม่เกิดก็เอาให้เกิด ทำไมจะเกิดไม่ได้ จิตมันดิ้นไปไหนสติปัญญาตามต้อนมันมาได้ทั้งนั้น บังคับได้ สติปัญญาบังคับจิตไม่ได้ไม่มีอันใดที่จะบังคับได้ในโลกนี้ สติปัญญามีอำนาจเหนือกิเลส มีอำนาจเหนือจิต จิตมีแต่ความรู้เฉย ๆ ไม่รู้ดีรู้ชั่วรู้หยาบรู้ละเอียดรู้ลึกตื้นหนาบาง ไม่รู้จักความคิดอ่านไตร่ตรอง มีแต่รู้ ๆ อย่างคนบ้านั่นเราเห็นอยู่แล้วรู้เฉย ๆ อยากทำอะไรก็ทำไปตามความรู้ซึ่งมีกิเลสเป็นเครื่องผลักดันให้ทำ แต่สติปัญญาความรับผิดชอบไม่มีจึงเป็นคนประเภทนั้น เราเห็นอยู่ นั่นแหละคนไม่มีสติดูเอา ที่ขาดไปหมดเลยคือสติก็ไม่มีปัญญาก็ไม่มี มีแต่ความรู้และกิเลสรุมล้อมเป็นเจ้าของจึงแสดงอาการที่น่าทุเรศให้เห็นในที่ต่าง ๆ ดังที่เคยผ่านมาและเห็นมาด้วยกันแล้ว นั่นคือคนไม่มีสติ ขาดเอาเสียจริง ๆ ขาดสติขาดปัญญา
เราไม่ใช่คนประเภทนั้น มีสติปัญญาอยู่ตามธรรมดาสามัญชนเรา เรียกว่าปกติ อันนี้เราจะสั่งสมสติปัญญาขึ้นให้เลยจากขั้นธรรมดานี้ เพื่อจะแก้กิเลสไปโดยลำดับ ๆ ด้วยสติปัญญาซึ่งมีกำลังขึ้นโดยลำดับเพราะการฝึกฝนอบรมอยู่เสมอ เอาจนกระทั่งกลายเป็นมหาสติมหาปัญญาหมุนไปเองด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยความชำนิชำนาญราบรื่นของตนเองที่สืบเนื่องมาจากการฝึกฝนอบรมฝึกซ้อมอยู่เสมอ แม้เบื้องต้นจะเป็นขั้นล้มลุกคลุกคลานก็ตาม แต่ก็ถึงความชำนาญได้เพราะการฝึกฝนอบรมอยู่เสมอไม่ลดละ
สติปัญญาอันนี้แหละที่จะกำจัดกิเลสทุกประเภทซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจให้หมดสิ้นไปได้โดยไม่ต้องสงสัย และไม่มีกาลสถานที่ใดมากีดกันหวงห้ามไม่ให้ผู้บำเพ็ญโดยชอบธรรมนี้ได้บรรลุถึงความหลุดพ้น สนฺทิฏฺฐิโก คือความรู้เองเห็นเองของผู้ปฏิบัตินั้นพระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกขาด มอบไว้กับผู้ปฏิบัติด้วยความชอบธรรมจะพึงรู้เองเห็นเองด้วยกัน ตั้งแต่สมัยโน้นจนกระทั่งปัจจุบันและต่อไป เพราะธรรมทั้งหลายแสดงไว้นี้แสดงเพื่อแก้กิเลสทั้งมวล จากนั้นก็เรียกว่าเพื่อมรรคผลนิพพานทั้งนั้น จึงไม่มีธรรมข้อใดเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัย มีแต่กิเลสนั่นแหละเป็นตัวที่ครึที่ล้าสมัยตัวกดถ่วงความเจริญของโลกของจิตใจเราให้หาความสุขความสบายไม่ได้
ธรรมแทรกเข้าไปในจิตมากน้อยเพียงไร จิตจะเริ่มไหวตัวขึ้นสู่ความสงบเย็นใจทันที ทันสมัยเข้าโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงสติปัญญาที่ทันสมัยเต็มที่แล้ว กิเลสประเภทใดก็ทำลายได้หมดไม่มีสิ่งใดเหลือ นี่ธรรมของพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาทสอนเพื่ออย่างนี้ ขอให้พากันเข้าใจ ไม่ใช่ธรรมเหลวไหล เราอย่าพาทำกันเหลว ๆ ไหล ๆ ไม่ใช่หลักธรรมของพระพุทธเจ้าทำให้เนิ่นช้า อย่างน้อยเนิ่นช้า มากกว่านั้นก็ทำลายตนเองด้วยความรู้ความเห็นในทางที่ผิดซึ่งเป็นพิษต่อธรรม ในขณะเดียวกันก็เป็นพิษต่อเราด้วย เมื่อเป็นพิษแล้วจะไม่เป็นโทษยังไง ต้องได้รับความทุกข์ความลำบาก พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
อย่าสนใจกับสิ่งใดในโลกนี้ เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้เป็นเวลานานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างได้ผ่านทางหูทางตาหูจมูกลิ้นกายทางใจของเรามาพอแล้วไม่น่าสงสัย แต่เรื่องธรรมนั้นเรายังไม่ถึงใจ ยังไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์เหมือนโลกที่เราเคยสัมผัสสัมพันธ์มาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งป่านนี้ ควรจะพอหายสงสัยได้บ้างแล้ว และสนใจต่อธรรมที่ยังไม่รู้ไม่เห็น ให้ได้รู้ได้เห็นขึ้นมาเป็นเครื่องเทียบเคียงกันกับสิ่งที่เราได้รับสัมผัสสัมพันธ์ มีความสุขความทุกข์เป็นมาอย่างไรกับโลก
ระหว่างโลกกับธรรมที่เราผู้เดียวเป็นผู้ผลิตขึ้นมานี้ อันไหนที่มีน้ำหนักมีคุณภาพต่างกันอย่างไรบ้าง ให้เห็นด้วยตัวของเราเอง รู้ด้วยใจของเราเองเราจะหายสงสัย คำว่าปล่อยวาง- ปล่อยวางยังไง ไม่รู้ไม่เข้าใจเสียก่อนปล่อยวางได้เหรอ ต้องรู้ก่อนถึงปล่อยวางได้ รู้น้อยปล่อยวางน้อย ปล่อยวางความยึดถือสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งเป็นสมบัติของโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นั่นแล ปล่อยเข้ามาเรื่อย ๆ
เพราะเหตุไรถึงปล่อย เพราะสิ่งที่เรารู้เห็นนี้มีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่เราเคยยึดถือมาแต่ก่อนเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงมีคุณค่ามหาศาลหรือมีคุณค่าอันสูงสุด จึงปล่อยได้หมดบรรดาสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในสามโลกธาตุนี้ ไม่มีอันใดที่จะมีคุณค่ายิ่งกว่าความหลุดพ้น ไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์แล้วนั้น นั่นแหละตรงนั้น ตรงนั้นที่เหนือโลก เพราะฉะนั้นจึงต้องปล่อยไปโดยลำดับ อันนั้นสูงกว่า ธรรมะสูงกว่า สูงกว่าไปเรื่อย ๆ ปล่อยไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงขั้นสูงสุดปล่อยได้หมดเลย แม้ที่สุดจิตที่บริสุทธิ์นั้นก็ไม่ได้ยึดตัวเอง
ที่กล่าวมาทั้งนี้เป็นขึ้นเพราะอะไร เป็นขึ้นเพราะการปฏิบัติของผู้ปฏิบัตินั่นเอง เราบวชมาเรามีจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่บวชมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เราบวชมีกฎมีเกณฑ์ จิตมีความมุ่งหมายมีความมุ่งมั่น เพราะฉะนั้นความเพียรจึงต้องให้เป็นไปตามความมุ่งหมายมุ่งมั่นของเราอย่าให้เหลาะแหละอ่อนแอ เอาให้จริงให้จัง สติเป็นสิ่งสำคัญมากอย่าลืม นี่พูดเสมอ สติเป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียวในวงความเพียร ปัญญายังใช้เป็นบางกาลบางเวลา สตินี้ไม่เลือกกาลสถานที่เลย เว้นแต่หลับเท่านั้นยิ่งดี จะเป็นการรวดเร็วเข้าโดยลำดับ ๆ ขอให้ทำความเข้าใจไว้
พูดเท่านี้เสียก่อน