|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ของขลังเต็มหัวใจไม่ดู |
|
วันที่ 31 ตุลาคม 2545 เวลา 7:45 น. ความยาว 32.56 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
ของขลังเต็มหัวใจไม่ดู
คนหาขลังแต่ข้างนอก ๆ ตัวภายในตัวสำคัญมันไม่ได้หาไม่ได้ส่งเสริม มันจึงไม่มีอะไรขลัง ไม่ได้รับความอบอุ่นเย็นใจสบายใจเพราะความขลังของตน ขลังตรงนี้ พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านเลิศตรงนี้ ขลังตรงนี้ ท่านไม่ได้ขลังว่าอันนั้นมีอย่างนั้น อันนี้มีอย่างนี้ อันนี้พวกที่มันแฝง ชาวพุทธกาฝากมันแฝงศาสนาอย่างนี้ ไปหาดีเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้ ที่ท่านสอนไม่สนใจ แล้วผู้ท่านสอนอย่างนี้ก็มีน้อยอีกเหมือนกัน สอนตามหลักของพระพุทธเจ้า สอนให้เขาขลัง ๆ ละซีมันสำคัญ เพราะฉะนั้นเขาไปตรงไหนเขาจึงไปหาของขลังอย่างนี้มา นี่ศึกษาอบรมมาจากอาจารย์ขลังองค์ไหนไม่รู้จึงมาหาหลวงตาน่ะซี หลวงตาไม่ได้ขลังอย่างนั้นนี่วะ ควรดุ ๆ เอาบ้างให้รู้ตัว
การเสาะแสวงอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ดูความเคลื่อนไหวของจิตนี่อันดับแรก รากศาสนาอยู่ตรงนี้ มันจะเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลาจิตดวงนี้ เพราะมีสิ่งผลักดันออกไป ๆ อยู่เฉย ๆ ไม่ได้จิตนี่ เพราะมันมีอันหนึ่งที่ผลักดันออกภายใน ให้ดีดให้ดิ้นให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่มีใครเรียนรู้วิชาอันนี้ พูดให้เต็มยศก็คือ มีพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์สาวกพระอรหันต์ท่านเท่านั้นที่รู้วิชานี้ แก้มันตกเรียบร้อยแล้วหาความยุ่งไม่มีเลย ตัวนี้ตัวสำคัญก่อกวนยุ่งเหยิง แหมมากที่สุด นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ให้พากันจำเอานะ แล้วกิเลสมีหรือไม่มีในหัวใจเรา สิ่งดังกล่าวนี้มีไหม เอ้า จ้อเข้าไปหัวใจเจ้าของ ที่จะลบล้างศาสนา ให้ลบล้างความจริงที่ศาสนาระบุถึงนี่เสียก่อนนะ จึงไปลบล้าง ว่าสิ่งเหล่านี้มีไหม
ความโลภมีไหมในหัวใจเรา ความโกรธ ความเคียดแค้นทำลายกันให้พินาศฉิบหาย นี่ท่านเรียกว่ากิเลส มีไหมในหัวใจของโลก เอ้า จ้อลงไปอย่างนั้นซี ราคะตัณหาเป็นบ้าดีดดิ้นทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ให้หาความอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้ เหล่านี้มีไหม นี่พระพุทธเจ้าสอนลงจุดนี้ จุดมหาภัยอยู่จุดนี้ ท่านสอนเป็นขั้นเป็นภูมิ ผู้ที่จะถอนรากถอนโคนทีเดียวเลย พระองค์ก็สอนให้ถอนรากถอนโคนไปเลยไม่ให้มีเหลือ แล้วจะไม่เหลือเชื้อแห่งทุกข์อยู่ในหัวใจตนเอง ๆ ถ้าผู้รับทั้งหลายไม่สามารถ ท่านก็ลดลงให้ตามขั้นตามตอน
อย่างพวกเราเป็นฆราวาสท่านสอนให้มีความพอดี อย่าให้มันผาดโผน ความโลภอย่าให้โผนเกินไป ความโกรธให้ยับยั้งไว้บ้างและยับยั้งไว้อย่างดี ราคะตัณหาให้พอดีกับผัวเดียวเมียเดียว นี่บอกแล้ว ผู้นี้ละไม่ได้ให้อยู่ในกรอบอันนี้ จะเป็นสุขตามฐานะของตน ๆ ที่เป็นฆราวาส นี่ที่ท่านว่ากิเลสมีอยู่ คืออย่างนี้ คำว่าธรรมมีอยู่ก็คือว่า เอาสติธรรม ปัญญาธรรม เข้ามาบังคับให้อยู่ในความพอดี นี่คือธรรมมาบังคับ สติปัญญาพิจารณาให้อยู่ในความเหมาะสม อย่าให้มันผาดโผนโจนทะยานไป มันจะเอาไฟเผาตนและเผาส่วนรวม เหล่านี้มีอยู่ในใจทั้งนั้น ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตรงกันข้ามความโลภไม่มี มีแต่ความเลิศ นั่นธรรมแล้วนะ ความโลภไม่มีมีแต่ความเลิศความเลอ ความโกรธไม่มีมีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุ พิจารณาอย่างนั้นซี ราคะตัณหาไม่มีมีแต่ความสงสารสัตว์โลก ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี อย่าให้มันกำเริบเลยขอบเลยเขตไป นั่นละธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ ๆ อย่างนี้
ผู้ที่ไม่สามารถจะทำได้อย่างนั้น พระองค์ก็ให้ธรรมหรือให้ยาเป็นเครื่องรักษาเป็นลำดับ ๆ ประจำตัวเอง ๆ สำหรับชาวพุทธเรา นี่มันเตลิดเปิดเปิง ๆ ถ้าไปหาวัดก็ท่านดีทางไหน ๆ ดังก็ดังแบบขลัง ๆ แล้วดีทางไหน ๆ มันเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นมาที่นี่จึงเหมือนกับว่าดีทางนี้ ทางขอเป็นบ้าอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นนะ เราสอนโลกเราก็ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า มาสอน ไม่หาขลังภายนอกนะ อะไร ๆ ก็ตามไม่สนใจเพราะไม่ใช่ของขลัง มีแต่ฟืนแต่ไฟ หลงมันเท่าไรยิ่งเป็นไฟเข้าไปสิ่งภายนอก รู้สิ่งภายในสำคัญมาก ต้นเหตุอยู่ภายใน นี่ท่านว่ากิเลสมี มีไหม พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ เป็นฟืนเป็นไฟต่อโลก แล้วธรรมมีไหม ธรรมระงับดับสิ่งเหล่านี้ออกแล้วเลิศขึ้นเลย นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น ให้พากันพินิจพิจารณาบ้างซิ
มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะเวลานี้ จนจะหาศาสนาจริง ๆ หาพระหาเณรจริง ๆ หาวัดหาวาจริง ๆ จะไม่เจอนะ แต่ไปที่ไหนมันเกลื่อนอยู่ด้วยวัดด้วยวาด้วยพระด้วยเณร แต่ทำไมจึงหาพระไม่เจอ หาวัดวาอาวาสไม่เจอ หาศีลหาธรรมไม่เจอ เพราะไม่มีอยู่กับพระกับเณร ไม่มีอยู่กับวัดกับวา เพราะฉะนั้นจึงไม่มี มีแต่กิเลสเป็นส้วมเต็มถาน เต็มพระเต็มเณร เต็มวัดเต็มวาทั่วไปหมด นี้เอาความจริงเรียกว่าภาษาธรรม เป็นอย่างนี้ เป็นยังไงต้องพูดตามความจริง อย่างที่เราพูดนี้ เราก็เป็นพระ เราเอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนเราตลอดไปหมดเลยต่างหาก เมื่อไม่มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มีแล้ว ผลคือความดีงามสงบร่มเย็นจะมีมาจากไหน ความงามหูงามตามีมาจากไหน เพราะเหล่านั้นมีแต่เรื่องข้าศึกของธรรม มองไปดูใครมันก็เหมือนกัน มองดูเขาเหมือนกันดูเราเหมือนกัน แสดงเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจทุกคน ๆ แล้วเอาความดีมาจากไหนความสุขมาจากไหน ท่านจึงสอนให้อบรมธรรม
ให้ดูหัวใจเจ้าของบ้างซิ มันเคลื่อนอะไร ๆ ไป ตื่นนอนขึ้นมามันเคลื่อนเรื่องอะไรบ้าง พิจารณาให้ดี ร้อยทั้งร้อยมันจะออกทางผิดทางพลาด เพราะกิเลสไม่เคยถูก มีแต่ผิด ออกนิดก็ผิดนิด ออกมากผิดมาก ออกน้อยผิดน้อย ผิดไปโดยลำดับคือกิเลส เรื่องธรรมมีแต่ถูกล้วน ๆ ออกนิดออกหน่อยออกเท่าไรถูกโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้ระวัง สังเกตดูตัวเองเพื่อจะแก้ จะปัดมันออกด้วยการรักษาตัวเอง ต้องมีการระมัดระวังรักษาปัดเป่ากันออกซิอะไรไม่ดี แล้วก็จะเห็นความสุข ไม่ต้องไปหาที่ไหน
ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นที่เราในหัวใจของเรานั่นเอง เมื่อชำระกิเลสตัวชั่วช้าลามกซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ออกมากน้อย ความสุขคือธรรมพระพุทธเจ้า ชำระนั้นคือธรรมฝ่ายเหตุ ความสุขคือธรรมฝ่ายผล จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของคนทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร เอ้า ที่นี่เมื่อต่างคนต่างสำรวมระวังเป็นศีลเป็นธรรมนี้ มองดูฆราวาส ฆราวาสก็มีธรรม มองดูพระดูเณรก็เป็นศีลเป็นธรรม มองดูวัดดูวาก็สง่างามไปหมดด้วยศีลด้วยธรรม นั่นงามอยู่ที่ผู้ทรงศีลทรงธรรมนะ ไม่ได้งามอยู่ที่อิฐ ปูน หิน ทราย ก่อขึ้นกี่ชั้นกี่ห้องกี่หับ อันนั้นเป็นอิฐเป็นปูนเป็นทราย ก่อถึงพรหมโลกก็คืออิฐ ทรายอยู่นั้นแหละ มันไม่เป็นของวิเศษวิโสอะไร มันเลวที่คน มันดีที่คนเลิศที่คน จึงปรับปรุงแก้ไขที่คนเข้าใจไหม
นี่ศาสนาท่านสอนคน เราเป็นอะไรถามเราซิ คนอื่นถามมันสะเทือนใจ ดีไม่ดีเคียดแค้น แทนที่จะเกิดประโยชน์เกิดโทษขึ้นมา ให้เจ้าของถามเจ้าของเป็นธรรม ฝึกซ้อมเจ้าของตลอดเวลาจะเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่ละที่ว่ามองดูที่ไหนมันไม่เห็นศีลเห็นธรรม ก็เพราะไม่มีใครเสาะแสวงหาศีลหาธรรม หาตั้งแต่ฟืนแต่ไฟด้วยอำนาจของกิเลสเท่านั้น มันก็เป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน แล้วเวลานี้ท่านทั้งหลายหาดูที่ว่าที่ไหนเจริญในโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุ คนที่มีตึกรามบ้านช่องสูง ๆ นั้นเหรอเจริญ นั่นมันอิฐมันปูนมันหินมันทรายมันเหล็กมันหลาต่างหาก ความเจริญความเสื่อมไม่มี นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลกไม่มีในอิฐในปูนในหินในทราย มันมีในบุคคลเข้าใจไหม
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนที่บุคคล เมื่อสอนที่บุคคลแล้วไปสร้างตึกกี่ชั้นก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ามีธรรมพาสร้างพาอยู่ พาจับจ่ายใช้สอยดีหมด ถ้าธรรมพาไป ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหน ธรรมเป็นเครื่องเสริมจะสง่างามไปหมด นั่น ถ้าตรงกันข้ามไม่มีธรรมแหลก เข้าใจเหรอ ให้พิจารณาอย่างนั้นกันบ้างซิ นี่เราทนไม่ได้นะ เป็นยังไงเวลาพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายว่าหลวงตาบัวโกรธให้ท่านทั้งหลายเหรอ โกรธให้กิเลสมันอยู่กับท่านทั้งหลาย ฟาดหัวกิเลสมันก็ฟาดหัวคนละซิ เพราะกิเลสอยู่กับคน ตีหัวกิเลส แต่มันตีถูกหัวคนเข้าไป โอ๊ย.หลวงตาบัวดุ นี่เห็นไหมกิเลสมันต่อสู้ มันไม่ยอมรับนะ มันต่อสู้ มันไม่ยอมถอยออกจากเก้าอี้คือหัวใจสัตว์โลก ตีลงไป มันปีนขึ้นมาแล้วมันไล่ตีเราอีกนู่น เข้าใจเหรอ
เพราะฉะนั้น ถ้าพูดตามความจริงที่เป็นอยู่เวลานี้ ถ้าหากว่าจะฟังหากว่าจะสนใจนะ จะไม่มีโลกอยู่นะหลวงตาบัว เขาว่าเทศน์ดุเทศน์ด่าเทศน์เผ็ดเทศน์ร้อนเทศน์สกปรกโสมม และทั้ง ๆ ที่ชำระสิ่งเหล่านี้ด้วยธรรม ๆ ตลอดเวลา เผ็ดร้อนก็เพื่อกำจัดอันนี้ที่มันรุนแรง ก็ต้องเอากันหนัก อันนี้สกปรกมากสุดใส่ลงไปชะล้างอันนี้มันก็หาว่าน้ำที่สะอาดนี้สกปรก มันหาว่ามูตรว่าคูถสะอาดไปเสีย เข้าใจไหม นี่กิเลสมันยอมผิดเมื่อไร ดูเอาซิท่านทั้งหลาย
นี่ฟัดมาพอแล้วถึงได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาหลอกลวงนี่นะ มองไปไหนมันจะไม่เห็นแหละศาสนา ต่อไปนี้จะไม่มีแล้วนะ ค่อยหมดไป ๆ แม้ที่สุดในพระในเณรในวัดในวาก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นที่บรรจุของกิเลสเกือบทั้งหมดแล้วเวลานี้นะ จะยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามศีลตามศีลตามธรรม ไปที่ไหนท่านมีวัด อยู่ในป่าท่านก็มีวัด อยู่ในถ้ำเงื้อมผาท่านมีวัด ท่านผู้มีวัดภายในใจ ถ้าไม่มีวัดภายในใจ มีแต่เทวทัตคือฟืนคือไฟได้แก่กิเลสตัณหาภายในใจ อยู่หอปราสาทราชมณเฑียรก็คือเทวทัตเผาตัวเองอยู่บนนั้นแหละ พากันจำเอานะ มันจะฉิบหาย
เกิดมานี้กี่ปีแล้วได้ทดสอบเจ้าของดูบ้างหรือเปล่า ความดีความชั่วมีเท่าไร ความดีความชั่วมันติดอยู่ที่ใจนะ ตายแล้วสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเลย แต่ดีกับชั่วไม่ไปนะ ติดอยู่ในใจ ใครสร้างชั่วไว้แล้วพันกันลงไปเลย อย่าอวดเก่งกับพระพุทธเจ้านะ ศาสดาองค์เอกทุก ๆ พระองค์สอนบาปบุญ นรก สวรรค์ เป็นอันเดียวกันหมด ใครจะไปลบล้างได้ ขนาดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมปราชญ์ลบล้างไม่ได้แล้ว เราเก่งกล้าสามารถมาจากไหนจะไปลบล้าง แล้วสร้างแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวตัวเอง โดยที่พระพุทธเจ้าซึ่งถูกลบล้างนั้นไม่ได้มีความกระทบกระเทือนเลย เวลากระทบกระเทือนเป็นฟืนเป็นไฟเป็นเถ้าเป็นถ่านคือพวกเราตัวเก่ง ๆ นี้นะ ให้พิจารณาให้ดี
อู๊ย.มันน่าทุเรศจริง ๆ ไปที่ไหนต้องดูแบบหูหนวกตาบอดไป พูดจริง ๆ นี่นะ หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าควรจะแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยก็สอนไปเสีย ผู้ควรจะเป็นประโยชน์บ้างแย็บออก ๆ ๆ ถ้าไม่เป็นประโยชน์สอนไปทำไม เกิดประโยชน์อะไร นั่น ธรรมของมีคุณค่ามาก ไปเรี่ยราดกับสิ่งสกปรกโสมม ตามมูตรตามคูถเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์แล้วทำไปทำไม ชะล้างไปทำไม สอนไปทำไม นั่น
มันจะไม่มีจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น ๆ เวลานี้ศาสนา เราถืออะไรเป็นศาสนาเวลานี้นะ เหอ ถือพระถือเณรเป็นศาสนา เอาวัดวาอาวาสเป็นศาสนาอย่างนั้นเหรอ ถ้าพระเณรเป็นธรรมเราก็เป็นพระได้ พระแปลว่าอะไร แปลว่า ประเสริฐ นั่น ยกออกมาถึงธาตุวิภัตติปัจจัยก็ได้ นี่มหารู้ไหมนี่ เวลาจะยกก็ยกออกมาบ้างซิ มันแปลได้ทั้งศัพท์ ทั้งแปลทั้งธาตุวิภัตติปัจจัยนั่นถ้าจะแปลนะ แต่อันนั้นมันไม่เกิดประโยชน์ มันไม่ใช่กิเลส ธาตุวิภัตติปัจจัยไม่ใช่กิเลส กิเลสมันอยู่กับคน แปลเข้าหาคนละซิ เข้าใจไหม จึงไม่สนใจกับศัพท์กับแสงอะไร สนใจแต่กิเลสตัวเป็นภัย ฟาดหัวกิเลสลงไปแล้วไม่ต้องตั้งวิเคราะห์ ธาตุวิภัตติปัจจัย สบายไปเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
ให้ดูตัวของเรา อยากมีวัดมีวา อยากเป็นพระคือความประเสริฐ ธรรมประเสริฐภายในใจให้พากันสำรวมระวัง อย่าตื่นเกินไปนะตื่นโลก ตื่นไปเท่าไรยิ่งเป็นไฟ ใครอย่าว่าจะดิบจะดีจะเลิศจะเลอเพราะอำนาจของกิเลสหลอกลวงนะ จะหลอกลวงเพื่อจมโดยถ่ายเดียว มีดีดมีดิ้นมีเครื่องล่อลวงคือความหวัง ๆ ความอยากความทะเยอทะยาน อันนี้แหละมันดึงไป ๆ แล้วก็วิ่งตามความอยาก วิ่งตามความหวัง วิ่งไปเลย ให้สมหวังบ้างเพียงนิดเดียว ผิดหวังนั้นมากต่อมาก มันไม่ให้เห็นโทษนะ แล้วดึงไปเรื่อย ๆ จมไปเรื่อย ตายแล้วยังหวัง ไม่ทราบว่าหวังอะไรก็ไม่รู้นะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สร้างความดีงามเพื่อให้สมหวังไว้เลย แล้วจะเอาอะไรมาดี ภพไหนก็ใจดวงนี้นะ ไปไหนมันตายเมื่อไหร่ใจดวงนี้ ไม่เคยตาย มีแต่ธาตุขันธ์ตาย เข้าไปอาศัยร่างใดก็เรียกว่าสัตว์ ว่าบุคคลขึ้นมา ใจดวงเดียวนี้ละเข้าไป เข้าไปร่างไหนก็เป็นสัตว์เป็นบุคคล เรียกว่าเกิด สัตว์เกิดสัตว์ตาย อันนี้หมดสภาพตายไป แต่ใจดวงนี้ไม่เคยตาย เรียนเข้าไปกระทั่งถึงใจดวงนี้
เมื่อวานนี้ก็ได้พูดให้ลูกศิษย์ฟัง เรื่องที่จะรู้วิถีทางรู้จิตจริง ๆ นี้ไม่มีทางว่างั้นเลย
๑.พุทธศาสนา
๒.ผู้นำพุทธศาสนามาวิพากษ์วิจารณ์ มาวินิจฉัยใคร่ครวญด้วยจิตตภาวนาจะรู้แน่นอน
นอกนั้นใครจะมีความรู้สูงต่ำขนาดไหนไม่มีทาง เป็นวิชาของกิเลสที่จะกลบความจริง ๆ คือใจดวงนี้ ให้ว่าตายแล้วสูญ ๆ ไปเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เจ้าของเป็นนักเกิดนักตายมันก็ปฏิเสธในเจ้าของว่าตายแล้วสูญ ๆ เพราะกิเลสพาปฏิเสธเนื่องจากเราหลงตามมันเราก็ไม่รู้ เกิดกี่กัปกี่กัลป์ก็ปฏิเสธมาอย่างนั้น ว่าตายแล้วสูญ ๆ มันสูญยังไงพิจารณาซิ ถ้ามันสูญแล้วอะไรมีในโลกนี้ได้ ก็มันสูญไปหมดแล้ว แล้วเวลาเต็มโลกไหม ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดมันก็มีอยู่นี้ คนตาบอดนี้ชนปั๋ง ๆ เลย เพราะชนของมีอยู่นั้นเอง มันสูญไปไหน หัวใจดวงนี้ยิ่งเลิศเลอไม่มีคำว่าสูญ แม้ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ ก็ทนทุกข์ทรมานยอมรับกรรมที่ตนได้ทำไว้แล้ว แต่จะให้ฉิบหายไม่มี ยอมรับกรรม
พอพ้นจากนั้นกรรมเบาเข้า ๆ ออกมา ก็จิตดวงนี้ออกมา ได้สร้างบุญสร้างกุศลหนุนกำลัง ๆ ขึ้นไป ใจดวงนี้ก็ค่อยดีดออก ๆ ความสุขหนุนไป ๆ หนุนไปจนกระทั่งพ้นจากทุกข์ เพราะอำนาจแห่งธรรม ไม่ใช่อำนาจกิเลสนะ พาสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์เป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้น พ้นจากทุกข์ไปแล้วจิตดวงนี้ท่านเรียกว่าอมตะ อมตจิต คือจิตที่ไม่ตาย ที่นี่ไม่ตายล้วน ๆ แต่ก่อนว่าไม่ตาย แต่กิเลสมันเข้าแฝงก็ต้องเข้าร่างนั้นร่างนี้
พอกิเลสตัวพาแฝงพาให้เกิดภพนั้นภพนี้หมดไปเท่านั้น จิตดวงนี้เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ ท่านเรียกว่าอมตจิต อมตธรรม หรืออมตมหานิพพานคือใจดวงนี้ ที่ไม่ตายนี้แล ถึงขั้นนี้แล้วไม่ตาย เรียกว่าเที่ยงโดยถ่ายเดียว อย่างท่านว่านิพพานเที่ยงคือจิตดวงนี้ไม่มีสมมุติตัวเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปแทรก ปัดออกหมดแล้วเป็น อมตจิต อมตธรรมขึ้นมา ไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติ นั่นละท่านว่าจิตเที่ยง จิตถึงนิพพานเป็นอมตจิต นี่เรียนวิชาจิตตภาวนาเข้าไปถึงนี้จะไม่ต้องทูลถาม นอกจากกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบ เหอ พระพุทธเจ้ารู้อย่างนี้ละหนอ นั่นเห็นไหมล่ะ
ถามอะไรของอย่างเดียวกัน สอนเข้าไปหาจุดเดียวกัน ๆ พอไปเจอแล้วถามท่านหาอะไร สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติผู้ก้าวเดินนั้นแหละ จะไปเจอสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วอย่างนี้ทั้งนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัวนะ อย่าเพลินกับกิเลสจนเกินเนื้อเกินตัวมันจะจมไปเรื่อย ๆ นะ เห่อกับนั้นเห่อกับนี้ เห่อกับเขาเห่อกับเรา เห่อกับเมืองนั้นเห่อกับเมืองนี้ หัวใจเป็นไฟไม่ดู ดูตัวนี้เมืองไหนก็เป็นไฟด้วยกันนั่นแหละ เมืองกิเลสครอบหัวใจอยู่แล้วจะหาความสุขความเจริญไม่ได้ มีแต่กิเลสมันยกยอสรรเสริญ ปั้นขึ้นมา ๆ หลอกกันว่าเมืองนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ มันเจริญที่ไหน เอาธรรมจับปุ๊บมันเห็นหมดนี่ว่าไง ไม่งั้นจะเป็น โลกวิทู ของศาสดาเหรอ ท่านเห็นอย่างนั้นท่านจะไปสงสัยกับอะไร ตาธรรมจับปุ๊บเห็นหมด พากันตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินะ
มันจะตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ทั้ง ๆ ที่กิเลสมันหลอกว่าตายแล้วสูญอยู่นั้นแหละ จะตายอยู่นั้นตลอดไปนะถ้าไม่เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ศาสดาองค์เอกพูดคำไหนออกมาเป็นที่ตายใจได้เชื่อใจได้ เรียกว่าภาษาธรรม ธรรมหนึ่ง ความรู้ที่ออกมาจากธรรมหนึ่ง ภาษาของธรรมหนึ่ง ออกมาแง่ไหนตายใจได้เลย ๆ แต่เป็นเรื่องของกิเลสแล้วจมไปได้ทั้งนั้น มันจะต้องหลอกลวงต้มตุ๋น นิ่มนวลอ่อนหวาน ไพเราะเพราะพริ้ง กล้วย ๓ สวนสู้ความหวานของกิเลสไม่ได้นะ มันหลอกสัตว์โลก หลอกจนกระทั่งจมไปทั้งบ้านทั้งเรือนทั้งประเทศเขตแดน มีแต่กิเลสหลอกทั้งนั้น ธรรมท่านไม่หลอกนะ
หลอกเอาจนจมทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้ อุบายวิธีการหลอกให้เมืองนั้นจมให้เมืองนี้จม มีแต่เรื่องของกิเลสมันหลอกเอานะ กลืนเมืองนั้นบ้างกลืนเมืองนี้บ้าง มีแต่กิเลสหลอกลวงกลืน ถ้าไม่มีธรรมสะดุดใจ แก้ไขตนเองแล้วจมไปด้วยกิเลสทั้งนั้นแหละ ให้จำเอานะ ไอ้เรานี้ก็เหมือนกันให้กิเลสหลอกจมไปไม่มีวันฟื้น ไม่สมควรนะ ต้องให้ฟื้นบ้างซิ โอ้.ทุกฺขํ นะ มันพิจารณา มีแต่ของขลัง ๆ นะมาทำให้หลวงตาทุกข์วันนี้ ทีแรกก็อยู่ธรรมดา ๆ ของขลังสอดเข้ามา ฟาดของขลังละซิ มันโมโห ของขลังเต็มหัวใจมันไม่ดู
นี่พูดไปนี้นะ เป็นจบพักหนึ่งแล้วเทศน์ ให้ท่านทั้งหลายเอาไปคิดนะ นี่หลวงตาบอกแล้วหลวงตาจวนจะตายแล้วนะ บอกชัด ๆ นี่ก็พูดเป็นภาษาธรรม แล้วผิดพลาดไปตรงไหน ดุด่าว่ากล่าวยังไง เด็ดเผ็ดร้อนตรงไหน สกปรกที่ตรงไหนที่พูดตามความจริงนี้น่ะ ถ้าความจริงเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ เป็นสิ่งที่เสนียดจัญไรแก่หู แก่ใจของผู้ฟังแล้ว โลกนี้ต้องจม มีแต่ความจอมปลอมหลอกด้วยความนิ่มนวลอ่อนหวานให้จมไปด้วยกันหมด ธรรมะคำไหนออกมาจริงทุกคำ กิเลสออกอันไหนต้มทุกอย่าง ไม่ว่าจะส่วนย่อยส่วนใหญ่หลอกทั้งนั้นแหละกิเลส เชื่อกันไม่ได้นะ ภาษากิเลสเชื่อกันไม่ได้ ภาษาธรรมตายใจได้เลย ต่างกันอย่างนี้นะให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
ถือศาสนามานานเท่าไหร่ แล้วเป็นยังไงภาษาธรรม ภาษากิเลสใครเอามาพูดบ้างมีไหม ก็มีแต่หลวงตาบัวผีบ้าเอามาพูดอย่างอาจหาญชาญชัยด้วย ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนี่นะ ไม่ได้สะทกสะท้าน เราปฏิบัติตามธรรมมา ภาษาของธรรมปฏิบัติตามธรรม ธรรมเป็นของจริงถอนขึ้น ๆ ให้เห็นประจักษ์นี่จะว่ายังไง ภาษากิเลสลากลงก็เห็นประจักษ์ นั่น นึกว่าจบไปแล้วเทศน์อีก ยังไม่จบนะ เอาละพอเสียก่อน
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta. or.th |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|