เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๑
ปัญญายอกย้อน
ดูเข้าไปแล้วดูออกมา ผิวหนังข้างนอกกับหนังข้างในเป็นอย่างไร สีสันวรรณะต่างกันไหม ความสะอาดความสกปรกต่างกันไหม แล้วดูเข้าไปถึงเนื้อถึงเอ็นถึงกระดูก ถึงภายในร่างกายทุกส่วน มีอะไรอยู่ภายในทำไมจิตใจของเราจึงยึดจึงถือจึงรักจึงชอบจึงสงวนเอานักหนา ไม่มีสิ่งใดที่จะรักสงวน เป็นที่รักสงวนยิ่งกว่าร่างกายของเรา เป็นเพราะเหตุไร สิ่งเหล่านั้นก็เป็นธาตุ เป็นวัตถุธาตุอันหนึ่ง ๆ เหมือนกัน นอกจากร่างกายของเราไปแล้วก็มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุลมธาตุไฟเหมือนกัน แต่ไม่เห็นยึดมากมายเหมือนกับยึดร่างกายซึ่งเป็นธาตุอันเดียวกัน เป็นเพราะเหตุไร ค้นหาสาเหตุนั้นเข้าไป เพราะมันเป็นดินแท้ ๆ น้ำแท้ ๆ ลมแท้ ๆ ไฟแท้ ๆ ผสมกันอยู่นี้ โดยหลักธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น
นี่ได้พิจารณาจนซึ้งจึงได้นำมาสั่งสอนหมู่เพื่อน พิจารณาเข้าใจจริงๆ ซึ้งจริงๆ หาที่ค้านไม่ได้ จนเป็นเรื่องประจักษ์ใจว่า อ๋อ นี่เป็นก้อนธาตุเท่านั้นเอง เราเข้าใจไปเฉยๆ ด้วยความสำคัญของจิตที่เคยลุ่มหลงมาเป็นเวลานาน ว่ากายเป็นเรากายเป็นของเรา ว่านี่เป็นเรา ว่านี่เป็นของเรา เมื่อเรายึดสิ่งนี้ว่าเป็นเราเป็นของเราแล้ว อะไร ๆ ก็พลอยเป็นเราไปหมด เลยต้องแบกต้องหามต้องยึดต้องถือกันทั้งหมดเลย เป็นสัญชาตญาณของจิตประเภทนี้ที่มีกิเลสพัวพัน มีความรักความสงวนตนมาก
ทีนี้มาพิจารณาให้แยกแยะให้เห็นชัดเจน จะดูหนังจะแยกหนังออก เอ้า เนื้อก็เอา เอ็นก็เอา กระดูกก็เอา ส่วนใดก็ตามเถอะที่มีอยู่ภายในร่างกายนี้ให้พิจารณาให้ซึ้ง สติบังคับปัญญาที่กำลังทำงานที่กำลังไตร่ตรอง ให้ทราบว่าตนไตร่ตรอง ตนกำลังพินิจพิจารณาอยู่โดยลำดับด้วยสติเป็นผู้ควบคุมงาน ดูให้ดี กำหนดเป็นภาพสมมุติ เพราะจิตก็ติดสมมุติ ติดสิ่งภายนอกก็ไปติดเป็นภาพสมมุติ เราพิจารณาทางด้านปัญญา เบื้องต้นก็เป็นสัญญาอารมณ์ไปเสียก่อน สัญญาแก้สัญญา สัญญาความสำคัญมั่นหมาย ว่าเป็นสิ่งที่น่ารักน่าติด นั่นเป็นสัญญาฝ่ายสมุทัย สัญญาหรือปัญญาเป็นความมั่นหมาย แยกแยะมันออกว่าไม่เป็นสิ่งที่น่ารัก ไม่เป็นสิ่งที่น่าชอบใจ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย
แยกกันออกอย่างนี้แล้วก็กลายเป็นปัญญาขึ้นมา นานเข้า ๆ ก็เป็นปัญญาขึ้นมาได้ เมื่อเป็นปัญญาขึ้นมาอย่างชัดเจนแล้ว มองดูอะไรมันทะลุปรุโปร่งไปหมด ไม่มีอะไรที่จะกีดขวางปัญญาได้เลย ตามหลักธรรมท่านกล่าวไว้นั้นไม่ผิดว่า นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี แสงสว่างพระอาทิตย์ส่องลงมาได้เฉพาะที่แจ้ง ในที่มืดก็ไม่สามารถที่จะส่องเข้าไปถึง แต่ปัญญานี้ไม่ว่ามืดว่าแจ้งทะลุไปหมด เพราะฉะนั้นพากันพิจารณาทางด้านปัญญา
สติเอาให้ดี เดินไปมาที่ไหน การพูดการจาให้มีสติสตังประกอบอยู่กับตัว เวลาเราจะประกอบความเพียรภาคสมาธิก็ตาม ภาคปัญญาก็ตาม มันถึงเป็นไปได้อย่างใจหวังและเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ผิดกับที่เราปล่อยสติอยู่มาก ถึงเวลาจะมาทำถึงค่อยประมวลสติมา ได้ครู่เดียวมันก็เผ่นไปเสีย ประมวลเข้ามาครู่เดียวก็เผ่นไปเสีย รั้งเข้ามาครู่เดียวก็เผ่นไปเสีย เลยตะครุบแต่สติ งานเลยไม่ได้ทำเพราะสติมันยิ่งกว่าลิง มันหมดไป ๆ หายเงียบ ๆ ลืมเรื่อย ๆ เพราะการไม่สนใจรักษาสติให้มีความสืบต่อกันอยู่โดยลำดับจนเป็นความเคยชิน เมื่อสติมีความเคยชินแล้วบังคับงานได้ที่นี่ บังคับงานก็อยู่กับงานจริง ๆ งานก็เป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาเห็นได้อย่างชัดเจน
กำหนดพิจารณาให้มันแตกกระจายให้เห็นซิ กำหนดถลกหนังออกมา เฉือนเนื้ออะไรออกไป ตัดเส้นตัดเอ็นเข้าไป ดูเจ้าของกำหนดเจ้าของก็ดี กำหนดรูปภายนอกก็ได้เช่นเดียวกัน ขณะที่มันเหลือแต่โครงกระดูก เนื้อหนังมังสัง ตับไตไส้พุงขาดกระจุยกระจายกันไปแล้วเป็นยังไง เป็นคนไหมล่ะ เป็นสัตว์เป็นบุคคลไหมนั่นน่ะ เป็นเราเป็นเขาไหมนั่นน่ะ ปัญญาต้องซักเจ้าของเรื่อย น่ารักไหมนั่นน่ะ เป็นของปฏิกูลหรือของไม่ปฏิกูล น่าเกลียดหรือน่ารักเอ้าดู แยกออกดู ภายในมันก็เป็นความจริงอยู่อย่างนั้น สมมุติกระจายออกไปทำลายออกไป มันก็เป็นตัวปฏิกูลโสโครกอยู่นั้น
ถ้าว่าธาตุก็ธาตุเป็นส่วนละเอียดไป เรามันติดอยู่หยาบ ๆ นี่ ให้ดูตรงนี้ ดูตามที่สมมุติขึ้นมาว่าหนังว่าเนื้อว่าเอ็นว่ากระดูก ว่าตับไตไส้พุง อาหารใหม่อาหารเก่า ให้ดูตรงนี้ หมดในตัวของเรา ก็เป็นภาชนะสำหรับใส่สิ่งเหล่านี้ ดูให้เห็นชัดเจนแล้ว จนจิตมีความเคยชิน กำหนดดูตัวเมื่อไรก็มีแต่อย่างนั้น มีแต่ของปฏิกูลเต็มตัว
ออกจากนั้นแยกเป็นธาตุ กำหนดไปที่ไหนก็มีแต่ธาตุเต็มตัว ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เมื่อชินเข้าไป ๆ จะกำหนดดูเป็นอสุภะอสุภังความไม่สวยไม่งามความปฏิกูลโสโครกมันก็ประจักษ์ใจ เราจะกำหนดไปทางธาตุ อันนั้นก็ธาตุ อันนี้ก็ธาตุ มันก็เห็นเป็นธาตุอย่างชัดเจน ถ้าว่าขันธ์ รูปขันธ์ก็คือธาตุ รูปขันธ์นี่คือธาตุดิน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เป็นธาตุแต่ละอย่าง ๆ เช่น วิญญาณธาตุนี้เป็นต้น ท่านบอกไว้แล้วในวิปัสสนาภูมิ เป็นสิ่งที่เกิดดับ ๆ ของเหล่านี้เป็นของไม่แน่นอน จิตผู้รู้นั้นน่ะ อะไรเกิดก็รู้อะไรดับก็รู้ ผู้นั้นไม่ดับ เอาหลักใหญ่ตรงนี้ให้ได้
เมื่อเราพิจารณาแยกแยะสิ่งเหล่านี้อยู่ไม่หยุดไม่ถอยแล้ว จิตกับสิ่งเหล่านี้จะแยกกันออกโดยลำดับ ๆ จนเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้รู้อาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่เพียงเท่านั้น ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่เห็นมีคุณค่าอันสำคัญพอที่จะเทิดทูนจนเกินเหตุเกินผล ถึงกับสร้างความกังวลเดือดร้อนให้แก่ตน เมื่อได้ทราบกันตามหลักความจริงด้วยทางปัญญาแล้วนั้น ระหว่างขันธ์กับจิตอยู่ด้วยกันอย่างสบาย เช่น พิจารณาธาตุขันธ์รู้เท่าทันหมดจนปล่อยวางโดยสิ้นเชิง กระทั่งถึงอวิชชาซึ่งเป็นตัวการใหญ่สำคัญกลุ้มรุมอยู่ภายในจิตก็ถูกทำลายไปหมด เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้ว ก็อยู่ ๆ กันอย่างนั้น อยู่อย่างสง่าผ่าเผยพูดง่าย ๆ อยู่อย่างไม่อัดไม่อั้นกับสิ่งอันใด ไม่จนตรอกไม่จนมุม อยู่แบบไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต ปัจจุบันก็รู้เท่า ด้วยความสง่าผ่าเผยแห่งจิตที่บริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นคติของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว จึงไม่มีอันใดจะมาคาดหมายได้เลย เพราะอนาคตท่านก็ไม่มี ท่านไม่ไปยึด อนาคตก็เป็นกาลเป็นสถานที่เป็นสมมุติ อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ล้วนแล้วแต่กองสมมุติ ปัจจุบันที่อาศัยกันอยู่เวลานี้ก็เป็นกองสมมุติ จิตจะรู้ตลอดทั่วถึง ก็ไม่ทราบจะไปยึดอะไร เมื่อไม่มีสิ่งใดจะยึดแล้วเราพูดพอจะเข้าใจกันได้ ยังเหลือแต่ความสง่าผ่าเผยอยู่ภายในจิตภายในตัวเองคือความรู้ ความรู้ล้วน ๆ
ความหนักอะไรก็หมดที่นี่ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา หนักขันธ์ ๕ ด้วยการบำรุงรักษามันยังพอทำเนา ไอ้หนักด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นมันด้วยนี้ซิหนักมากที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะหนักก็ให้หนักเฉพาะการดูแลรักษามันพอถึงกาลอายุขัยเท่านั้น ก็ปล่อยทิ้งไว้ตามสภาพแห่งสมมุติทั้งหลายเสีย ส่วนที่เป็นวิมุตติก็หลุดพ้นไปเสีย ปล่อยความรับผิดชอบเสียโดยประการทั้งปวง นั่นแหละท่านว่าเป็นบรมสุข
ขอให้ท่านทั้งหลายมีความกระหยิ่มต่อธรรมที่เป็นบรมสุข ซึ่งจะไม่นอกเหนือไปจากใจของเราทุก ๆ คนทุก ๆ องค์นี้ เมื่อความเพียรถึงที่แล้วเราจะไม่ถามผู้ใด ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ,หนึ่ง สนฺทิฏฺฐิโก หนึ่ง จะพึงเกิดขึ้นปรากฏขึ้นประจักษ์กับผู้ปฏิบัติธรรมตามขั้นนั้น ๆ และขั้นธรรมอันสมบูรณ์แล้วโดยไม่ต้องสงสัย นี่เป็นหลักรับรอง จึงขอให้พากันตระหนักในความพากเพียรให้มาก ต้องการแต่ผล ความพากเพียรซึ่งเป็นเหตุที่จะให้ถึงผลย่อหย่อนมันถึงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นความพากเพียรจึงเป็นของสำคัญ เรารักผลกับรักเหตุให้เท่ากัน เราต้องการผลคือสิ่งที่พึงหวังนั้น ในขณะเดียวกันก็ต้องทำเหตุให้เต็มภูมิ ถึงจะบรรลุถึงผลอันสมบูรณ์ได้
ให้พากันตั้งใจพินิจพิจารณา อย่าไปสนใจกับเวล่ำเวลากับโลกสงสารอันใด โลกนี้มีดังที่เห็นนี้แหละ ไม่เกินอันนี้ไปได้เลย พอตื่นขึ้นมาตาได้เห็นหูได้ยิน เครื่องสัมผัสต่าง ๆ ก็มาสัมผัสตัวเราตลอดเวลา แล้วอันใดที่มาสัมผัสสัมพันธ์ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ล้วนแล้วแต่ผ่านไป ๆ เราได้อะไรมาเป็นสาระแก่นสารบ้างพอเราจะเสียดายความคิดความปรุงกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล่ะ มีแต่เรื่องผ่านไป ๆ เท่านั้น
เพราะฉะนั้นเพื่อจะไม่ให้ขาดทุนและเพื่อตัดกังวลกับสิ่งเหล่านี้ จึงให้พิจารณาความคิดความปรุงของจิต ถึงเวลาจะดูจิตให้ดูมันปรุงเรื่องอะไร อะไรสัมผัสจิตกระเพื่อมขึ้นมา มันรู้ได้ทัน รูปกระทบตา สัมผัสเข้าถึงจิต กระเทือนถึงจิตรับรู้ เสียงรับรู้ถึงจิต อะไรรับรู้ถึงจิต พอจิตกระเพื่อมก็รู้เท่าทัน ๆ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เป็นภาพไม่เป็นอารมณ์หลอกลวงตนเองได้เพราะสติทัน สังขารปรุงขึ้นจะให้เป็นภาพนั้นภาพนี้มันก็ปรุงขึ้นไม่ทันเสีย พอแย็บขึ้นมาสติทันมันก็ดับไปเสีย ปัญญาทันขาดไปเลย ๆ นั่นท่านอยู่ด้วยอย่างนี้ ให้พยายามทำ สิ่งเหล่านี้จะไม่นอกเหนือไปจากใจดวงนี้ จะไม่นอกเหนือไปจากสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเรา ที่เร่งอยู่อย่างเต็มจิตเต็มใจ จะพึงได้ชมสมบัติอันมีคุณค่าโดยลำดับ จนกระทั่งถึงมหาสมบัติคือมรรคผลนิพพาน อยู่ภายในจิตใจของเรา ไม่อยู่ที่อื่น อย่าคาดอย่าหมายให้ผิดจากหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน สัจธรรมอยู่ที่ใดนั่นแหละคือมรรคผลนิพพานอยู่สถานที่นั้น ดังที่เคยแสดงให้ฟังแล้ว
สัจธรรมก็คือทุกข์กับสมุทัย นี่เป็นเครื่องปิดบังมรรคผลนิพพาน มรรคคือข้อปฏิบัติมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นต้น เป็นเครื่องกำจัดปัดเป่าหรือบุกเบิกสมุทัย ที่เป็นสิ่งที่รกรุงรังนี้ให้ออกไปได้โดยลำดับ ๆ ก็เปิดโล่งไปหมดไม่มีอะไรเหลือ นิโรธคือความดับสนิทไม่ต้องบอก นั่นเป็นผลของมรรคที่ทำงานขึ้นมา เป็นคู่เคียงกัน เช่นเดียวกับการรับประทานกับความอิ่มนี้แหละ การรับประทานกับความอิ่มก็อิ่มไปโดยลำดับๆ รับประทานโดยลำดับอิ่มไปโดยลำดับ ทุกข์เกิดจากความหิวก็ดับไปโดยลำดับๆ เช่นเดียวกันไม่เห็นมีอะไรผิดกัน ยังผลนั้น ๆ ให้เกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง
ผลใด ๆ ก็ตามไม่เกิดขึ้นจากการคาดการหมาย ให้พากันจำไว้ให้ถึงใจ สิ่งใดที่เราเคยเป็นมาแล้ว เราเป็นครูสอนเราแล้วได้นำมาสั่งสอนหมู่เพื่อน ไม่ให้ยึดอารมณ์ของตัวเองผลของตัวเองที่เกิดขึ้น เช่นวันนี้พิจารณาแจ้งสว่างไปหมดภายในร่างกายไม่มีสงสัย จิตมีความสงบแน่วแน่ละเอียดลอออย่างนี้เป็นต้น ทีนี้วาระต่อไปเราจะมาเอาอันนี้เป็นอารมณ์ไม่ได้ เอาได้แต่ปฏิปทาเครื่องพิจารณา นั่นคือเหตุเราเป็นอย่างนี้เพราะพิจารณาอย่างไร ให้จับต้นเหตุนั้นไว้ แต่อย่ามายึดผล ต้นเหตุนั้นๆ ถ้าหากเป็นสัญญาอารมณ์อยู่มันก็ไม่เหมาะ ไม่ยึด
จึงว่าปัญญาเป็นของสำคัญมากนะ คือมันเกิดขึ้นมาเองแม้จะเหมือนเก่าก็ตาม ถ้าเกิดขึ้นมาในหลักปัจจุบันล้วน ๆ แล้วมันก็เป็นของใหม่ขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมาด้วยความคาดคิดว่า เราเคยพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะไปพิจารณาอย่างนั้นๆ มันก็พ้นไปจากการคาดผลอีกในขณะเดียวกันไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นปัญญาให้เกิดขึ้นในปัจจุบัน ๆ ที่พิจารณา จะเหมือนเก่าหรือไม่เหมือนก็ให้ถือหลักปัจจุบันเป็นเหตุ อย่างนั้นไม่เป็นไร จึงค่อยคืบขึ้นไปเรื่อย ๆ
นี่ได้เคยพิจารณาแล้ว เช่นอย่างเวลาเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังที่ว่านั่งตลอดรุ่ง เพราะความเพียรนั่งตลอดรุ่งนี้ต้องหนักมากทีเดียว สำหรับผมเองไม่เคยเห็นทุกข์ใดที่จะถึงขนาดนั้น แต่มันก็ผ่านไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยอำนาจของสติปัญญามันหมุนติ้ว ๆ ไม่ยอมออกเลย ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุนเข้าไปที่ทุกข์ ทุกข์มีมากเท่าไรสติปัญญาไม่นอนใจเลย นอนไม่ได้
ยิ่งอยากให้ทุกขเวทนาหายเท่าไรยิ่งเพิ่ม นั่นแหละสมุทัย จะอยากให้หายไม่ได้ หายไม่หายก็ตามขอให้รู้ตามความจริงของมันนี้เป็นหลักสำคัญของผู้พิจารณา เอ้า พิจารณาไม่หยุดไม่ถอย ดูเวทนาจ้องดูเวทนาให้เห็นชัดเจน แล้วก็จ้องดูในสิ่งที่เวทนาเข้าไปพาดพิง เช่น เอ็นบ้าง เจ็บเอ็นที่ตรงไหนบ้างมาก ๆ กระดูกที่ตรงไหนบ้าง เช่นเหมือนกระดูกจะแตก นี้เป็นต้นนะ แล้วเอากระดูกมาเทียบกับเวทนามันเหมือนกันไหม แยกแยะอย่างนี้ แยกแยะยอกย้อนไปมาอยู่ พิจารณาจนเอาเทียบเคียงได้ทุกสัดทุกส่วน ทีนี้เวทนามันก็จริง ทุกขเวทนา อ๋อ มันสักแต่ว่าทุกขเวทนา มันไม่มีความหมายในตัวของมันเลย แน่ะมันรู้ชัดแล้วที่นี่
เหมือนกับไฟ มันจะส่งเปลวขึ้นจรดฟ้าก็ตาม ไฟนั้นไม่ทราบความหมายของตัวเลยว่าร้อนหรือเย็น เอ้าฟืนที่ถูกไฟไหม้มันก็ไม่ทราบความหมายของมัน ทั้ง ๆ ที่มันถูกไฟไหม้ เช่นไม้ไผ่นี้เสียงแตกปึ้งปั้ง ๆ เหมือนกับมีวิญญาณ ครั้นแล้วเชื้อไฟนั้นน่ะเช่นฟืนเป็นต้นนะ มันก็ไม่มีความหมายในตัวของมันเลย
นี่เหมือนกัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ร่างกายของเราทุกส่วนเป็นความจริงของมันอยู่ธรรมดา ทุกขเวทนาเกิดขึ้นในช่องใดแง่ใด ก็เป็นความจริงของตนอยู่ธรรมดา เป็นแต่เพียงว่าจิตไปสำคัญมั่นหมาย นี้เป็นหลักใหญ่มากทีเดียว เมื่อแยกแยะให้จิตเห็นชัดเจนตามความจริงแล้วจิตก็ถอยตัวเข้ามา ทุกขเวทนาก็จริงตามทุกขเวทนา กายก็จริงตามกายทุกส่วน จิตก็จริงตามจิต เมื่อต่างอันต่างจริงแล้ว ๑) เวทนาดับไปอย่างหายห่วง ๒) แม้เวทนาไม่ดับก็ยิ้มได้อย่างสบายอยู่ในท่ามกลางกองทุกข์นั่นแหละ แต่จิตไม่ได้เป็นทุกข์ คือกองทุกข์ คำว่ากองทุกข์ก็คือ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ไปเสีย คือเป็นความจริงล้วน ๆ กายก็เป็นความจริงล้วน ๆ จิตก็เป็นความจริงล้วน ๆ เมื่อต่างอันต่างจริงไม่มีอะไรปลอมแล้วไม่กระทบกัน
นี่เป็น ๒ อย่างสำหรับเราที่เคยพิจารณามา เพราะฉะนั้นมันถึงกล้าหาญต่อความล้มความตาย ในขณะที่จะตายนี่ทุกขเวทนาต้องโหมกันมาอย่างเต็มที่ ขนาดที่ว่าทนไม่ได้ต้องตายนั่นแหละ จะเป็นเวทนาขนาดไหนก็เถอะ ถ้าลงได้พิจารณาเห็นตั้งแต่ต้นรู้ตั้งแต่ต้นไว้แล้ว ก็คือจะมาเป็นสัจธรรมอันเดียวกัน ไม่มีเวทนาหน้าไหนจะมาหลอกเราได้ ให้เผลอเนื้อเผลอตัวระส่ำระสาย ให้เดือดร้อนเสียใจได้เลย เพราะเวทนาเป็นของจริงอยู่แล้ว จิตก็เคยพิจารณาด้วยปัญญา จนถึงความจริงแล้วด้วยกัน ทุกส่วนแห่งร่างกายก็ทราบแล้วว่าเป็นความจริง ต่างอันต่างจริง เอ้าแตกก็แตก แตกจากส่วนผสมของธาตุเท่านั้น นี่ทราบได้ชัด
ดังนั้นเมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่สะดวกสบายอะไร จึงไม่ให้ใครไปยุ่งนะ เราไม่เชื่อสิ่งใดไม่แน่ใจกับสิ่งใดยิ่งกว่าความแน่ใจในตัวของเรา ซึ่งเป็นหลักฐานมั่นคงอย่างชัดเจนอยู่ภายในใจ เราพูดอย่างเต็มปากของเรา เป็นอย่างนั้น จึงได้เคยพูดกับหมู่เพื่อนเสมอ หากว่าเป็นไปตามอัธยาศัยของเราแล้ว เวลาจะตายเราโดดเข้าภูเขาลูกไหนหรือถ้ำใด เงื้อมผาใด หรือหัวซุกเข้าในร่มไม้ร่มใดโดยลำพังคนเดียวของเราเท่านั้นเราเหมาะสมที่สุด สะดวกสบายที่สุด ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งหมด ขณะจิตหนึ่งที่จะคิดออกมาเกี่ยวกับเรื่องโลกเรื่องสงสารนี้แน่ใจว่าไม่มี มันจะหมุนอยู่กับความจริง ดูความจริงล้วน ๆ ดูอย่างสะดวกสบาย ดูอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้ดูด้วยความเสียอกเสียใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงด้วยกันอยู่แล้วโดยสมบูรณ์ จะเอาอะไรมาเสียใจ ถึงวาระสุดท้ายก็ปล่อย เอ้า เมื่อถึงนั้นแล้วก็ปล่อยตามสภาพของมันหายห่วงเสียที
อย่างที่ ๒ จำเป็นต้องอยู่กับหมู่กับเพื่อน เวลาสุดวิสัยแล้ว ยานี้หมดความหมายแล้วอย่าเข้ามายุ่งนะ อย่ามายุ่งนี่เป็นขั้นที่ ๒ เมื่อหมดความหมาย ร่างกายกับยาเข้ากันไม่ได้แล้วก็หยุด ไม่ต้องฉีดไม่ต้องกินไม่ต้องอะไรกันทั้งนั้น ปล่อยไว้ตามสภาพ
๓) เมื่อจนตรอกเข้าจริง ๆ จวนตัวแล้วเต็มที่ ห้ามไม่ให้ส่งเสียงอันใด ไม่ให้มาแตะต้องกระทั่งร่างกาย ให้ต่างองค์ต่างนั่งเงียบสงบ พิจารณา ถ้าจะปลงธรรมสังเวชก็ปลงเสีย เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มีอยู่ทุกรูปทุกนาม ทั้งผู้ที่กำลังจะตาย ทั้งผู้ที่ไม่เป็นอะไร ก็คือเรื่องอันเดียวกันมีอยู่ด้วยกัน เป็นเพียงแต่ว่าวาระมันจะมาถึงเมื่อไรเท่านั้น ให้อยู่ด้วยความสงบ ไม่ให้มาแตะต้องกายส่วนใดส่วนหนึ่ง นี่เป็น ๓ วาระ
อีกอันหนึ่ง อย่าได้เตือนว่าให้ระลึกสิ่งนั้น ให้ระลึก เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น เราไม่ได้ประมาทธรรม แต่ไม่ให้เอาเรื่องเข้ามายุ่งกับใจของเรา ซึ่งเวลานั้นกำลังทำงานเกี่ยวกับธรรมอยู่อย่างเต็มที่แล้ว เมื่อถึงวาระแล้วผ่านเป็นที่สะดวกสบาย
นี่แหละเรียนความจริง ให้เห็นความจริงอย่างนี้แล้วจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เป็นกับตายก็เท่าเดิมอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไรแปลกต่างกัน เป็นก็คือธาตุ ก้อนธาตุมาอยู่ด้วยกันกับผู้รู้เท่านั้น ตายก็คือก้อนธาตุนี้สลายลงไปสู่ธาตุเดิมของเขา จิตนี้ก็ถอนตัวออกเท่านั้น จิตอยู่ในขั้นใดภูมิใดก็ไปตามขั้นตามภูมิของตนที่ได้ชำระแล้วโดยไม่ต้องสงสัย รู้อยู่กับใจว่าแน่ใจจะต้องไปขั้นใดขั้นหนึ่ง ถ้าหากสิ้นสุดวิมุตติพระนิพพานแล้วก็แน่ใจว่าหมดเรื่องเสียที
การพิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ในเวลาจะตาย ไม่ใช่พิจารณาเพื่อชำระสะสางจิตใจซึ่งมีความลุ่มหลงนะ มันหากเป็นตามอัธยาศัย เราแน่ใจว่าบรรดาพระขีณาสพทั้งหลายท่านเป็นอัธยาศัยของท่าน ที่จะต้องพิจารณาตามความจริง ในระหว่างขันธ์กับจิตที่จะจากกัน คือสัมผัสสัมพันธ์กับความรู้อันนั้น ส่วนความรู้ที่บริสุทธิ์แล้วจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากความบริสุทธิ์ล้วน ๆ อยู่ตลอดเวลาอกาลิโกเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอื่น
อย่างพระพุทธเจ้าท่านทรงเข้าฌานเสีย ๑) ตามพระอัธยาศัยของพระองค์ ๒) เป็นถึงขั้นศาสดาต้องวางลวดลายไว้ให้เต็มภูมิของศาสดาในวาระสุดท้าย ในบรรดาสาวกทั้งหลายท่านทำตามอัธยาศัยของท่าน เช่นดังที่ท่านอาจารย์มั่นท่านพูดแล้วเรามาเขียนไว้ว่า บางองค์ท่านเดินนิพพาน บางองค์นั่งนิพพาน บางองค์ยืนนิพพาน บางองค์นอนนิพพาน ทำไมท่านจึงเป็นอย่างนั้น ท่านทำตามอัธยาศัยของท่าน เพราะเหตุใด เพราะเวทนาทั้งหลาย แม้ถึงขั้นขนาดนั้นก็ไม่สามารถจะมาครอบงำจิตของท่านที่เป็นวิสุทธิจิตนั้น ให้อยู่ใต้อำนาจแห่งสมมุตินี้ได้เลย เพราะฉะนั้นท่านจึงทำตามความสะดวกสบายของท่าน ตามอัธยาศัยของท่านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วก็ผ่านไปอย่างสบายหายห่วง
นี่แหละการเรียนธรรมะ ให้มันรู้ถึงใจอย่างนั้นซิ อย่าฟังแต่ความคาดคะเนของตน หลอกตนเองอยู่เรื่อย ๆ ปฏิบัติ ความจริงมีอยู่ สติปัญญามีอยู่ ศรัทธาความเพียรมีอยู่ ของจริงที่จะพิจารณา เป้าหมายแห่งการพิจารณา เพื่อทราบความจริงมีอยู่ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นสถานที่ลับสติปัญญาให้คมกล้า ถึงกับรู้ความจริงนี้มาโดยลำดับ จนกระทั่งรู้ความจริงสุดส่วนก็อยู่ที่นี่ไม่อยู่ที่ไหน อย่าคาดอย่าหมายไปที่ไหนนักปฏิบัติ เอาให้เห็นที่ตรงนี้ พระพุทธเจ้ารู้ที่ตรงนี้ พิจารณาที่ตรงนี้ รู้ที่ตรงนี้ สาวกทั้งหลายท่านก็ปฏิบัติที่ตรงนี้ รู้ที่ตรงนี้ รู้ที่ตรงนี้แล้วหายห่วงหมด
โลกวิทู รู้แจ้งโลก โลกคืออะไร โลกก็คือโลกแห่งขันธ์นี้เอง กิเลสมีอยู่กับจิต ก็เป็นโลกตามขั้นของโลก ตามขั้นของธรรม เมื่อหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิตแล้ว นั้นแหละหมดแล้วเรื่องโลกเรื่องสมมุติ หมดโดยประการทั้งปวง นี่ท่านอยู่กับสมมุติ พิจารณาไปตามเรื่อง ท่านจึงต้องเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่อเป็นวิหารธรรม ความอยู่สะดวกสบายระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่ไปเท่านั้น ท่านไม่มีอะไรที่จะต้องถอดถอนกิเลสตัวนั้นตัวนี้เหมือนแต่ก่อนมา เจตนาอันนี้ผิดกัน เป็นวิหารธรรมไปเสีย
เราเคยสงสัยท่านอาจารย์มั่นแต่ก่อน เราถึงได้ยอมไปกราบท่านเสียสนิทเลย ในขณะที่ท่านอยู่บ้านภู่ยังไม่ได้ไปสกลฯเลย บางทีลักษณะเหมือนจะครางอี๊ ๆ แอ๊ ๆ ขณะนี้ท่านอาจารย์ท่านจะมีเผลอบ้างหรือไม่นา จิตคิดนิดหนึ่งนะไม่ได้คิดมาก มีนิดแต่จำได้ไม่ลืม ท่านบางทีเป็นลักษณะเหมือนจะครางอี๊ ๆ แอ๊ ๆ แต่นิด ๆ เท่านั้น พอให้เราจับเอามาพิจารณาเท่านั้น ไม่ได้มากมาย บทเวลาพิจารณาไป ๆ เข้าใจเท่านั้นเอง โอ้โหตาย ๆ ไปกราบท่านอย่างสนิทเลย กราบขอขมาโทษท่าน อันนี้เป็นเรื่องของขันธ์ ที่มีลักษณะอี๊ ๆ แอ๊ ๆ บ้างเป็นเรื่องของขันธ์ คิดดูซิไฟไหม้กอไผ่นั้นเสียงมันระเบิดปึ้งปั้ง ๆ มันเป็นยังไง มันมีหัวใจไหมล่ะ หรือโยนใบไม้สดเข้าใส่ในไฟนี้ เวลามันไหม้มันงอหงิกบิดโน้นบิดนี้เหมือนมีหัวใจ แล้วมันทราบความหมายมันไหม
เรื่องของขันธ์กับทุกขเวทนาที่บีบบังคับกันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ทุกขเวทนานั้นเป็นเหมือนไฟ ธาตุเช่นปฐวีธาตุ คือกองรูปนี้ก็เหมือนกับฟืน เวลามันบีบบังคับกันเข้าก็มีลักษณะอาการอย่างนั้นบ้างเป็นธรรมดา จิตท่านไม่มีส่วนมาเกี่ยวข้องเลย ลงถึงขั้นนั้นแล้วไม่มีทาง เราเชื่ออย่างนั้น จึงยอมกราบท่านที่นี่ โอ้โห เราทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เราขอกราบท่านอย่างสนิทเลย ได้เห็นโทษเห็นภัยของตน แม้แต่คิดต่อครูบาอาจารย์เพียงนิดหนึ่งเท่านั้นก็ตาม แสดงว่าเป็นความผิดของตัวเองแท้ๆ ยอมกราบขอขมาโทษท่านอย่างราบเลย เพราะมันผิดนี่
ไปคิดเอาขันธ์ของท่านไปใส่จิตของท่าน มีปัญหาอะไรกำลังอย่างนั้น จะตายแบบไหนก็ตายซิ เช่น ตกต้นไม้ ควายชน อุบัติเหตุแบบไหนก็แบบเถอะ มันก็เรื่องของขันธ์แตกธรรมดา ความบริสุทธิ์ของใจก็คือความบริสุทธิ์ อรหันต์ก็คืออรหันต์อยู่ที่ใจอยู่ตลอดเวลาอกาลิโกแล้ว จะไปได้ไปเสียอะไรกับเรื่องธาตุขันธ์ตายโดยอาการต่าง ๆ กันอย่างนั้นล่ะ เราเชื่อไม่มีความสงสัย เชื่อในใจนี้ละมันถึงเหมาะดี เอาให้ถึงความจริงแล้วเชื่อได้ด้วยกันทั้งนั้นละไม่มีสะทกสะท้าน ให้เต็มภูมิของมันแล้วไม่สะทกสะท้าน สบาย
ถึงเวลาที่จะพูดจะจาหนักเบากับผู้ใดก็ตามก็พูดไปเสีย เมื่อพูดไปแล้วก็หายพร้อมๆ ไปเสีย ไม่มีความอยากความหิวความโหยกระหายอะไร อยากเทศนาว่าการให้คนนั้นฟังคนนี้ฟังอะไร อยากคิดประกาศศาสนาอย่างโน้นอย่างนี้ มันบ้า ให้เป็นไปตามเหตุตามผลเป็นไปเอง เพราะมีเรื่องความอยากเข้าไป ความอยากคือความบกพร่องนี่ จิตอันนั้นมีความบกพร่องที่ไหน เป็นความเสมอตัวตลอดเวลา เมื่อเป็นไปแล้วด้วยเหตุด้วยผลที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อยเพียงไรมันเป็นไปเอง เมื่อจบอันนั้นแล้วก็หายเงียบไปเลย ไม่มีอารมณ์กับสิ่งใดทั้งหมด เพราะฉะนั้นถึงว่าไม่มีอดีตอนาคต เพราะท่านไม่ยึดอะไรทั้งนั้น อดีตก็ไม่ยึด อนาคตก็ไม่ยึด ปัจจุบันก็รู้เท่า ไม่ติดอะไรทั้งหมด นั่นฟังซิ จะไปหลงอะไร
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอะไร ถ้าไม่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นหลักสำคัญ นี่แหละงานนี้เป็นงานสำคัญงานชิ้นเอกของพระเรา ขอให้สนใจงานของตน อย่าลืมงานอันนี้ อย่าลืมตัว ไปไหนอย่าลืมงานอันนี้ งานนี้งานพระพุทธเจ้าทรงชมเชย พระพุทธเจ้าเป็นเอกเพราะงานนี้ สาวกเป็นเอกเพราะงานนี้ ไม่ใช่งานอื่นใดพาให้เป็นเอกวิเศษ
ผมเป็นห่วงหมู่เพื่อน มาอยู่ก็หลายปีหลายเดือน จะไม่ได้อะไรติดจิตติดใจไปเลยมีอย่างเหรอ พยายามแนะนำสั่งสอน ผมถือเป็นสำคัญกับพระ ถึงจะลำบากลำบนแค่ไหนก็ตาม จิตใจผมไม่เคยห่างเหินจากพระจากเพื่อนฝูงที่ได้มาอยู่ด้วย เราเห็นใจที่มาทั้งใกล้ทั้งไกลมาเพื่อเรา เราจึงต้องคิดเพื่อท่านผู้มาทั้งหลายให้สมดุลกันเหมาะสมกัน พอเทศนาว่าการอบรมสั่งสอนในแง่ใดอันใดแล้วเราต้องสั่งสอน ผิดถูกประการใดเราพูดตามเหตุตามผลไปเลย เทศน์ให้เข้าใจเพราะผู้มามาด้วยความตั้งใจ
ไอ้เรื่องโลกๆ เลกๆ อะไร เรื่องที่จะกระทบกระเทือนจิตใจซึ่งกันและกันนั้น เป็นเรื่องโลกไม่เอาเข้ามาเกี่ยวข้องในวงปฏิบัติ ผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมแล้วจะไม่มีเรื่องเหล่านี้เข้ามาอยู่ในใจเลย นอกจากเหตุผล ใครพูดผิดพูดถูกประการใด ยึดเอาตามหลักเหตุผลแล้วเป็นพอ ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยไม่สำคัญ สำคัญที่เหตุผลคือหลักธรรม ให้ยึดเอาตรงนั้น เมื่อต่างคนต่างมุ่งต่อธรรมแล้ว ความอยู่ด้วยกันก็สบาย เหมือนอวัยวะเดียวกัน
ใครพูดไม่ได้ถืออะไร ถืออะไร ถือประโยชน์อะไรความถูกต้องมีอยู่ เรามาหาความถูกต้อง ต้องยึดเอาความถูกต้องซิ ใครพูดออกมาก็ตาม ใครแสดงกิริยาอาการอะไรออกมาก็ตาม เมื่อถูกต้องแล้วยึดเอาเลย ตรงนั้นเป็นจุดที่เหมาะสมเป็นจุดที่ถูกต้อง สำหรับผู้มุ่งมาหาอรรถหาธรรม ไม่ได้มุ่งมาหาทิฐิมานะเพื่อสั่งสมกิเลสกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน ดังที่เห็นๆ อยู่นั้น อย่าให้มีสำหรับวัดป่าบ้านตาด เพราะหยาบเหลือเกิน หยาบเกินกว่าที่จะชำระ
ให้ดูเจ้าของนี่ มันเกิดอธิกรณ์อยู่ภายในจิตใจเจ้าของ ให้แก้ตรงนี้ อันนี้แหละเรื่องใหญ่สำคัญ ให้แก้ตรงนี้ อย่าไปให้มันเกี่ยวข้องกระทบกระเทือนกับผู้ใด ที่มันเกี่ยวข้องกับตัวมันก็พอแล้ว ให้แก้ตรงที่มันเกี่ยวข้องกับตน มีการกระทบกระเทือนอะไรภายในตน ระหว่างกิเลสกับธรรม ธรรมมักจะแพ้เสมอ สติไม่ทัน ปัญญาไม่ทัน ดีไม่ดีไม่คิดไม่อ่านไม่พิจารณาว่าตัวผิด วันหนึ่งๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดแหละ ระหว่างผิดนั่นแหละคือกิเลสได้ท่าแล้ว สติปัญญาไม่ทัน เอาให้ทันซิ มันคิดเรื่องอะไรบ้าง เราตามจ้ออยู่ตลอดเวลามันจะไปไหนจิต มันยอมจำนน ยอมจำนนจนได้
เอาละ
|