ฝึกจิตด้วยปฏิปทาที่ทรหด
วันที่ 2 ตุลาคม 2521 เวลา 19:00 น. ความยาว 75.49 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑

ฝึกจิตด้วยปฏิปทาที่ทรหด

 

        ถ้าเราไม่สนใจระมัดระวังรักษาตัวเองเพื่อศาสนา ซึ่งเป็นการเพื่อตัวเองโดยเฉพาะอยู่แล้ว ศาสนาจะเหลือได้ยังไง ศาสนาเสื่อมที่หัวใจนั่นซิ ถ้าจิตใจอ่อนแอท้อถอย จิตใจเสื่อมคลายจากศาสนาแล้ว นั้นละศาสนาเสื่อมที่ตรงหัวใจ ให้พึงทราบว่าศาสนาเจริญนี้เจริญที่หัวใจ ไม่ได้หมายถึงด้านวัตถุเจริญ

        ความเจริญของศาสนานั้น หมายถึงคนที่มีศรัทธา พุทธบริษัททั้งสี่มีศรัทธา บวชก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ของนักบวช มีความมุ่งมั่นมีเหตุผลในการบวช มีความเชื่อความเลื่อมใสมีความเคารพต่อศาสนธรรม ไม่เหยียบย่ำทำลายด้วยความประพฤติตรงกันข้ามกับหลักธรรมหลักวินัย ศาสนาก็เจริญ

        ที่นี่เมื่อย่นเข้าถึงธรรมะ ก็คือจิตใจคิดไปในแง่ใดที่เป็นภัยต่อธรรมะ นั่นก็เป็นเครื่องทำลายธรรมะ สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าห้ามสิ่งนั้นคือภัยของหัวใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส นั่นฟังซิ เช่นท่านบอกไม่ให้ยินดียินร้ายในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ย่นเข้ามาเป็นขั้น ๆ เมื่อจิตใจยังฝืนยินดียินร้ายอยู่โดยเจ้าตัวก็ไม่ทราบ หรือทราบแล้วก็ไม่สนใจระมัดระวังรักษาตัวเอง ก็คือการทำลายตัวเองอยู่โดยไม่รู้สึกตัว แล้วก็เป็นการทำลายศาสนาอยู่ในตัว

        ศาสนาเจริญก็คือผู้ประพฤติปฏิบัติระมัดระวัง พยายามเดินตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ ไม่ให้ยินดี พยายามแก้ไขเรื่องความยินดีในสิ่งที่ไม่ควรยินดีด้วยอุบายสติปัญญาของตน จะเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เครื่องสัมผัสใดก็ตาม รวมแล้วสิ่งนี้ควรยินดีท่านให้ยินดี สิ่งที่ไม่ควรยินร้ายอย่าไปยินร้าย มันเป็นการสั่งสมกิเลสขึ้นมาทำลายธรรมที่มีอยู่ภายในจิตใจ ให้เข้าใจอย่างนี้

        ท่านสอนไว้ทุกแง่ทุกมุม สอนเพื่อความปลอดภัยทางด้านจิตใจ นี่หมายถึงหลักธรรม ไม่ได้หมายถึงพระวินัย หยาบไปก็เป็นพระวินัย ละเอียดเข้ามาก็เป็นธรรม ไม่ได้ปรับโทษทางกายวาจา แต่ก็ปรับโทษอยู่ภายในจิตใจของตัวเองที่คิดผิดไปแต่ละครั้งละคราวแต่ละสิ่งละอย่าง เกี่ยวข้องกับสิ่งใดที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจมันก็ทำลายกันไปในตัว ๆ เสื่อมอยู่ในตัวนั่นเอง เหยียบย่ำทำลายอยู่ภายในหัวใจ แล้วเป็นของดีเมื่อไร

        เพราะใจเป็นของสำคัญอยู่ด้วย แทนที่จะได้รับการทะนุบำรุงรักษาด้วยสติปัญญาของเรา ตามหลักธรรมที่ท่านทรงสั่งสอนไว้แล้ว แล้วกลับทำลายตัวเองด้วยความเผลอก็ดี ด้วยความนอนใจก็ดี และยิ่งผิดด้วยเจตนาด้วยแล้วยิ่งไปใหญ่ อันนั้นเป็น อลชฺชิตา หาความละอายไม่ได้ ทำลายตนเองแบบหน้าด้านนั่นแล ทำลายศาสนาไปในตัว

        เรื่องศาสนามีความละเอียดมากที่สุด ปฏิบัติไปเท่าไร รู้ไปเห็นไปเท่าไร ยิ่งมีความละเอียดอ่อนไปโดยลำดับ จนหาที่ค้านไม่ได้ คิดไปในแง่ใดมุมใดเป็นความละเอียดสุด แทบจะพูดได้ว่า โห วิสัยของมนุษย์นี้ไม่สมควรแก่ศาสนานี้เลย  ถ้าเราพูดตามขั้นหยาบจิตใจของมนุษย์กับศาสนานั้นจะเข้ากันไม่ได้อย่างนั้น ต้องพยายามหนุนจิตใจเข้ามาสู่หลักธรรม ฝืนจิตใจซึ่งเป็นไปตามกระแสของโลก ให้ทวนกระแสเข้ามาสู่ธรรม หวานก็อมขมก็กลืน เพราะเป็นยาคือธรรมโอสถ

        ต้องฝืนตัวอยู่เสมอจึงชื่อว่าเป็นการต่อสู้ หากไม่มีการฝืนปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมตามเรื่องความเคยชินของจิต ก็มีแต่กิเลสเป็นผู้ควบคุมฉุดลากไปโดยลำดับ หาเรื่องธรรมที่จะควบคุมหรือฉุดลากไปไม่มี ในขั้นนี้ไม่มี มีแต่กิเลสฉุดลากไป ทีนี้เราจะทำให้จิตใจของเราดีเราก็ต้องต่อสู้ ด้วยการฉุดลากจิตใจคืน ถึงจะชอบใจในอารมณ์ใดสิ่งใดก็ตาม ต้องฝืนใจ ดัดใจ หักห้ามใจ จึงเรียกว่ามีการต่อสู้กัน เมื่อมีการต่อสู้กันอยู่เสมอนี้ก็มีทางชนะได้เป็นลำดับ เมื่อมีการชนะแล้วก็มีทางได้

        การประพฤติปฏิบัติให้เล็งถึงพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกผู้พาดำเนินด้วยดี ท่านดำเนินด้วยหลักอะไร หลักธรรม แน่ะ ฉันทะให้พอใจในผลที่ตนจะพึงได้ และให้พอใจในเหตุคือการกระทำของตน เช่นเดียวกับพอใจในผลที่ตนปรารถนา วิริยะให้เพียรพยายาม ความขี้เกียจความอ่อนแอความกลัวตายมีอยู่ด้วยกันทุกหัวใจ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลส เราอย่าเข้าใจว่านี้เป็นธรรม นี่คือกิเลสตัวฝังจมภายในจิต ต้องอาศัยหลักธรรมเข้าไปแก้กัน ฉันทะ วิริยะ แน่ะ จิตตะ มีความฝักใฝ่ใคร่ธรรมอยู่เสมอ คือใคร่ต่อจิตใจของตัวเองนั่นแหละ ธรรมอยู่ที่นั่น ใคร่ต่อแนวทางการดำเนิน วิมังสา อย่าได้ปราศจากปัญญา อย่าทำอะไรด้วยความเลินเล่อเผลอสติ ให้คิดอ่านไตร่ตรองในกิจที่ทำคำที่พูดทุกแง่ทุกมุม จึงเรียกว่าปัญญา

        พระพุทธเจ้าสอนด้วยความฉลาดแหลมคมมาก เรามาสู่วงพระศาสนาก็เพื่อความฉลาด ต้องนำอุบายของธรรมมาสั่งสอนตนเอง หัดคิดหัดอ่านไตร่ตรองอย่าอยู่เฉย ๆ ความอยู่เฉย ๆ ก็คือความหลับ รักความสุขเป็นความขี้เกียจ การคิดแง่นั้นแง่นี้ว่าเป็นความทุกข์ต่อจิตใจไม่อยากคิด แต่คิดในสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจนั้นเร็วยิ่งกว่าลิงยังงี้ มันก็ไม่ทันกันกับกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่คล่องแคล่วว่องไวที่สุด นอกจากสติปัญญาแล้วไม่มีอะไรจะตามทัน

        ให้พากันประพฤติปฏิบัติ ให้เล็งถึงความพ้นทุกข์นั้นน่ะเป็นหลักใจ เมื่อเล็งจิตใจถึงความพ้นทุกข์เป็นหลักใจแล้ว ความมุ่งมั่นก็มีความแน่นหนามั่นคง และความมุ่งมั่นนั้นแลจะเป็นเครื่องฉุดลากความพากเพียรความอุตส่าห์พยายาม ประโยคแห่งความเพียรทุกด้านจะหมุนตามความมุ่งมั่นไปโดยลำดับ ทุกข์ก็พอทน เพราะเราเกิดในท่ามกลางแห่งความทุกข์มาตั้งแต่ขณะตกคลอดหรืออยู่ในครรภ์ มีความทุกข์อยู่แล้ว เคยอยู่แล้ว ตั้งแต่วันตกคลอดออกมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้เราเคยมาเท่าไรปี คิดดูซิ  อายุเรากี่ปีกี่เดือน นั้นละเราเคยต่อเรื่องความทุกข์มาเท่านั้นปี เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับทุกข์ ในขณะที่เราจะประกอบความพากเพียร เพื่อให้พ้นจากทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ เหตุใดเราจึงจะนอนใจ  และทำไมจะกลัวทุกข์ซึ่งมีอยู่ในธาตุในขันธ์นี้

        ทุกข์เพราะกิเลสเสียดแทงจิตใจนั้นเป็นทุกข์ที่สำคัญมาก เป็นทุกข์ที่เจ็บแสบมากยิ่งกว่าทุกข์ภายในธาตุขันธ์ ซึ่งแม้พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านก็ทรงรับทราบเหมือนกันเรื่องทุกข์ในธาตุในขันธ์ เป็นแต่เพียงว่าทุกข์เหล่านี้ ไม่สามารถที่จะซึมซาบเข้าไปเหยียบย่ำทำลายจิตใจของท่านได้เท่านั้น ต่างกันกับพวกเรา เพราะฉะนั้นให้พึงทราบ อย่าตื่นเต้นในทุกข์ในเวลาประกอบความพากเพียร อย่ากลัวทุกข์จนเกินไปยิ่งกว่ากลัวไม่ได้พ้นทุกข์ ให้หาเหตุหาผลหาสติปัญญามาแก้ไขตนเอง เวลาไปติดขัดอยู่ที่ตรงไหน เช่นติดขัดที่ว่าจิตไม่เอาไหน หาเหตุหาผลแห่งความไม่เอาไหนของจิต นั่นจึงเรียกปัญญา

        มันขี้เกียจ ความขี้เกียจนั้นเคยได้เป็นเศรษฐีกุฎุมพี ทั้งสมบัติเงินทองและอรรถธรรมไหม ไม่มีใครได้เพราะความขี้เกียจ ความมั่งมีศรีสุขได้เพราะความขยันหมั่นเพียร ผู้พ้นทุกข์ไปได้ก็เพราะความเพียร ดังท่านกล่าวไว้ว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ จะพ้นทุกข์ไปได้เพราะความเพียร นี้แยกได้ทั้งทางโลกทางธรรม คือทุกข์ทางฆราวาสก็เพราะขาดตกบกพร่องปัจจัย ๔ เครื่องใช้ไม้สอย เครื่องอุปโภคบริโภค ถ้าขี้เกียจก็ขาดตกบกพร่องก็เป็นความทุกข์ ให้มีความขยันหมั่นเพียรต่อการเสาะแสวงหาผลประโยชน์มาเลี้ยงครอบครัวของตน เลี้ยงชีพของตน ความสุขก็มีขึ้นเพราะความเพียร  ทีนี้ทางด้านจิตใจก็ต้องอาศัยความเพียร ที่จะถอดถอนกิเลสไปได้แต่ละส่วนละอย่างโดยลำดับ ก็เพราะอำนาจแห่งความเพียร ท่านจึงยกความเพียรเป็นหลักสำคัญ เครื่องสนับสนุนสติปัญญา หรือสติปัญญาเป็นสำคัญอันดับแรก

        เราเป็นผู้ปฏิบัติอย่าได้มองอะไรให้นอกเหนือไปจากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรียกองค์แห่งรัตนะ ที่เป็นสรณะของพวกเรา หากทุกข์เกิดขึ้นมาภายในตัวก็ให้ยกพระพุทธเจ้าเป็นสักขีพยานหรือเป็นข้อเทียบเคียง พระองค์ทรงสลบถึง ๓ ครั้งนั้นทุกข์หรือไม่ทุกข์ คนขนาดสลบจะไม่ทุกข์ได้ยังไง ทุกข์ถึงขั้นสลบถึงสลบ ทุกข์ถึงตายจึงตายได้คนเรา นี่ความเพียรของเราไม่ถึงขั้นสลบทำไมจึงว่าตนเป็นทุกข์ ทำไมความเพียรเพียงแค่นี้เข้าใจว่าเก่งกว่าครู ความเพียรขนาดเรา ๆ ท่าน ๆ ทำไมจะอวดเก่งยิ่งกว่าครู นี่อุบายวิธีแก้เจ้าของต้องอย่างนั้น

        พระสาวกท่านทำความพากเพียร บางองค์ถึงฝ่าเท้าแตกฟังซิ บางองค์จักษุแตก เช่น พระจักขุบาล จักษุแตก พระโสณะ ฝ่าเท้าแตก และนอกจากนั้นมีเยอะในแง่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความลำบากถึงขนาดที่ว่าความเพียรเด็ด แต่เรานี้ไม่เห็นมีอะไร  การประกอบความพากเพียรไม่เห็นถึงขนาดนั้น เหมือนกำลังจะตาย ลูกศิษย์ตถาคตต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นก็เป็น ตายก็ตายไม่มีการท้อถอย

        สติกับจิตอย่าให้ห่างเหินจากกัน จิตเมื่อมีสติเป็นเครื่องรักษาอยู่แล้วภัยก็ไม่ค่อยมี ความคิดปรุงขึ้นจากใจจิตก็รู้ทัน คิดไปในเรื่องใดร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องหลอกทั้งนั้น คิดเป็นเรื่องเป็นราวเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจากอตีตารมณ์ คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว นำเข้ามาเป็นอารมณ์ของใจ มายั่วยวนจิตใจหลอกจิตใจวาดภาพหลอกตัวเอง เหมือนเขาดูหนังนั้นน่ะ หนังสดหนังแห้ง หนังสดก็เช่นโรงบ้าโรงบาร์ นี่หนังสด หนังแห้งก็คือเขาฉายภาพยนตร์ฉายหนังนั้น เอาเงามาฉายให้ดู ทีนี้เราเคยสัมผัสสัมพันธ์กับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสมาซึ่งเป็นเรื่องสด นั่นก็ติดแง่หนึ่งแล้ว และนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ภายในจิตใจที่เรียกอตีตารมณ์ ให้เข้ามาทำลายจิตใจของเรา เป็นเรื่องเป็นราวอยู่อย่างนี้เสมอ เป็นเรื่องของความคิด

        จิตสังขารกับสัญญามันเกี่ยวโยงกัน ให้มีสติแล้วหักห้ามจิตอย่าให้คิด เรื่องนี้เป็นเรื่องหลอกตนเองตื่นเงาของตัวเอง ความคิดนี้ไปจากใจ ไปวาดเป็นภาพเป็นเรื่องเป็นราวต่าง ๆ ขึ้นมาอยู่ภายในจิตใจ เจ้าของก็เคลิบเคลิ้มไปตาม นั่นคือความลุ่มหลง นั่นคือความแพ้เรื่องสมุทัยที่ปรุงออกหลอกเจ้าของ  นี่เราเคยคิดเคยปรุงมาแล้วได้ผลได้ประโยชน์อะไรบ้าง คิดอย่างที่ว่านี้ เคยคิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรได้ผลประโยชน์อะไร นอกจากกอบโกยเอาเรื่องทุกข์เข้ามาเผาลนตัวเองเท่านั้นไม่เห็นมีอย่างอื่น ที่นี่เราจะหาอุบายคิดแง่ใหม่ แน่ะ

        ในขณะที่จะทำจิตให้มีความสงบก็ต้องหักห้ามทั้งหมด ไม่ให้จิตแสดงตัวออกขยับออกไปไหน จะเป็นเรื่องเป็นราว  เพราะจิต เมื่อจิตขยับตัวออกไปได้ก็แสดงว่าจิตแสดงเรื่องราวได้แล้ว แล้วก็ทำให้เราหลงไปตามเพลินไปตามได้แล้ว ขณะที่จิตสงบไม่ยอมให้คิดก็ย่อมไม่คิดอะไร ไม่ปรุงแต่งเรื่องราวอะไรขึ้นมา มีแต่ความสงบ ความสงบที่ไม่มีเรื่องราวเป็นความสุข ขั้นของสมาธิเป็นอย่างนั้น ส่วนขั้นปัญญา เรื่องราวของปัญญามีแต่เรื่องราวปลดเปลื้องกิเลสอาสวะ ซึ่งนอนเนื่องอยู่ภายในจิตใจออกไปโดยลำดับ ๆ ถ้าออกเป็นเรื่องก็ให้เป็นเรื่องของปัญญา อย่าให้เป็นเรื่องของโมหะ อย่าให้เป็นเรื่องของสมุทัยซึ่งคอยจะหลอกลวงตนอยู่เสมอ

        ต้องฝืน นักปฏิบัติไม่ฝืนไม่ได้ นี่เคยทำมาแล้ว เวลาจิตยังไม่เป็นอะไร ล้มลุกคลุกคลานนี่แหมทุกข์แสนสาหัส ตั้งหลักจิตไม่ได้ แต่ก็พยายามหาที่ช่วยเหลือด้วย หาสถานที่เหมาะสมที่จะช่วยเหลือกับกิเลสประเภทนี้จะได้ยอม เพราะฉะนั้นจึงต้องเที่ยวหาอยู่ตามป่าตามเขาที่เป็นที่น่ากลัว ไปอยู่อย่างนั้น เมื่อไปอยู่สถานที่น่ากลัวความเพียรก็ตั้งขึ้นมา ไม่ประมาทนอนใจ สติเมื่อความเพียรตั้ง ก็หมายถึงสติตั้งขึ้นพร้อมกัน ถ้าตายในสถานที่เช่นนี้แล้วจะว่าไง ตายในเวลาเช่นนี้จะว่าไง เวลากำลังเผลอ ๆ จิตใจเลื่อนลอยนี้จะไปทางดีหรือทางชั่วล่ะ ตายก็หมายถึงว่าตายด้วยเสือนั่นแหละ อยู่ในป่าในเขา เพราะเต็มไปด้วยเสือนี่ไม่เหมือนทุกวันนี้นะ แต่ก่อนเสือชุมมาก ไปดงไหนมีแต่เสือ แต่นี้ได้ยินแต่ชื่อ เห็นแต่รูปเสือในกระดาษ

        เมื่อไปอยู่ในที่เช่นนั้นก็เหมือนกับเราถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ กิเลสถูกมัด ความเพียรก็ก้าวเรื่อย ๆ สติปัญญายิ่งดี สตินี้ดี เป็นกับตายก็มอบไว้กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจนี้ จิตใจไม่ยอมให้คิดปรุงถึงเรื่องเสือเรื่องหมีเรื่องช้างเรื่องอะไรทั้งหมด ให้อยู่กับความรู้อันนี้ หรือไม่เช่นนั้นก็ให้ติดแนบกับพุทโธ แน่วอยู่นั้น ยอมเป็นยอมตายกับคำบริกรรมอันนี้ ไม่ส่งจิตไปเสาะหาเรื่องหาราวขึ้นมาหลอกตนเอง เช่นอย่างเสือมา เสือจะมากินคน มากินเรา

        นี่หลอกแล้วนะนี่นะ จิตจะกระเพื่อมขึ้นมา จิตจะตื่นตกใจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้จิตกระเพื่อมออกไปสู่อารมณ์ภายนอก อันจะเป็นเหตุให้เกิดเรื่องนั้นเลย ทีนี้ก็หมุนติ้ว ๆ อยู่ในจิตภายในจิตอย่างเดียว ไม่นานจิตก็สงบตัวลงได้ เมื่อจิตสงบตัวลงแล้วความกลัวทั้งหลายนั้นหายตัวไปหมด ที่เคยกลัวนั้นมันหายไป ความกลัวได้หายไปแล้วยังไม่แล้ว ความกล้าหาญยังเกิดขึ้นมาแทนที่ กล้าหาญสามารถที่จะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ที่น่ากลัวมาแต่ก่อนนั้นได้อย่างสบาย ในเวลาที่เสือเดินผ่านเข้ามาที่นั่น

        นี่เราเป็นมาแล้วกล้าหาญขนาดนั้น ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่า ความกล้าหาญเช่นนี้และเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือทั้ง ๆ ที่เป็นสัตว์ร้าย ซึ่งแต่ก่อนกลัวมาก แล้วไปลูบคลำได้อย่างสบายไม่สะทกสะท้านเลยเป็นเพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่จิตยังไม่ได้รวม คือจิตเข้าใจมันคิดได้อย่างสบายๆ แล้วเสือจะทำอันตรายต่อเราอย่างใดหรือไม่นั้นไม่สนใจคิดเลย แน่ใจอยู่แต่ว่าเสือไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยในขณะนั้น ไม่ว่าเสือไม่ว่าอะไรทั้งหมด เพราะจิตมันเต็มที่ กำลังของจิตในขณะนั้นรู้สึกว่าเต็มที่ ถึงขนาดที่ว่าศัตรูไม่มีกลัว นี่ละเวลาไปอยู่ในสถานที่กลัว ๆ มันดัดเจ้าของได้ถึงขนาดนี้เอง

        ทีแรกมันกลัวเสียจนตัวสั่น ดีไม่ดีเวลาเสือกระหึ่ม ๆ มันก็ไม่ใช่มากระหึ่มข้าง ๆ ทางจงกรม มันกระหึ่มอยู่ตามเรื่องของมัน แต่ทางนี้ตัวสั่นขึ้นมาแล้ว แล้วมันกลับพลิกไปเป็นความกล้าหาญอย่างเต็มที่ แบบตัวสั่นอีกเหมือนกันคิดดูซิ นี่จิตมันฝึกได้ขนาดนี้เองด้วยอุบายวิธีของเรา เราจึงต้องไปเที่ยวหาอยู่ในสถานที่เช่นนั้น เพื่อดัดสันดานจิตประเภทดื้อ ๆ ด้าน ๆ อันนี้ให้มันยอมจำนน เมื่อเราเคยได้ผลด้วยวิธีการและสถานที่เช่นนั้น ๆ แล้ว เราจึงชอบหาอยู่แต่สถานที่เช่นนั้น กำลังจิตก็มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นโดยลำดับ ๆ

        นี่เป็นขั้นเริ่มแรกแห่งการประพฤติปฏิบัติต่อสิ่งที่น่ากลัวในสถานที่น่ากลัวซึ่งเราเคยอยู่ โดยบังคับจิตไม่ให้คิดปรุงออกไปในสิ่งที่น่ากลัวเลย ให้อยู่กับคำบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ เป็นต้น ติดแนบสนิทกับใจ ไม่ยอมให้คิดแม้ในขณะหนึ่ง ให้ติดแนบกันไป นี่ต้องบังคับบัญชาขนาดนั้น ถ้าเผลอไปนี้ตายในเวลาเสือมากัดนี้ประการหนึ่ง ประการที่สองเดี๋ยวจมไปอีกหาความดีไม่ได้เพราะไม่มีสติ นี่ละขั้นเริ่มแรกวิธีฝึกความกลัว ปราบความกลัวของตน ปราบอย่างนี้

        พอขั้นที่สองขึ้นมา คือจิตมีความเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับด้วยการอบรม พอจิตก้าวเข้าสู่ปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญา ทีนี้แยกธาตุแยกขันธ์อยู่นั่น ไม่อยู่แบบนั้นนะ แบบที่เคยอยู่ไม่อยู่  พอมากำหนดว่าเสือดังที่เขียนไว้แล้วในปฏิปทานั้นน่ะ พอมากำหนดว่าเสือ เสือมันมีอะไรที่น่ากลัว เอามาค้นนะ กลัวขนมันหรือเสือ มันมีลายอะไร ขนดำขนเหลืองขนอะไร ขนเรายังมีไม่เห็นกลัว ถ้ากลัวขนเสือขนเราก็มีแล้วกลัวขนเราเสียซิ นี่ขนเราไม่เห็นกลัวทำไมไปกลัวขนเสือซึ่งเป็นขนเหมือนกัน เอ้าเล็บ กลัวเล็บ เล็บเสือเหรอ เล็บเราก็มีไม่เห็นกลัว มันแก้กันอย่างนี้นะปัญญา แยกดู เอ้าดูหนังดูเล็บดูเขี้ยวของมัน กลัวเขี้ยวมันเหรอเขี้ยวเราก็มีไม่เห็นกลัว แน่ะ กลัวตามันเหรอตาเราก็มีไม่เห็นกลัว

        ไล่ไปเสียจนทุกแง่ทุกมุมทุกสิ่งทุกอย่างไล่กันไปด้วยปัญญา จิตจ่ออยู่นั้นบังคับอยู่นั้นไม่ยอมให้หนีไม่ให้พลาดไปไหนเลยนี่ ไม่ให้มันผิดมันพลาดไปไหน กำหนดกันพิจารณาด้วยปัญญามีสติเป็นผู้ควบคุมงาน แยกไป ๆ จนกระทั่งถึงกลัวหางมันเหรอ ทีนี้เราไม่มีหางมันจะจนตรอกละซิ  กลัวหางเสือเหรอ  ทีนี้เราไม่มีหาง ตั้งแต่ตัวมันเองไม่เห็นกลัวหางมัน เราจะไปกลัวมันทำไม แน่ะมันก็แก้กันนั้นจนได้นะ ตัวมันเองยังไม่เห็นกลัวหางมันนี่นะเราจะไปกลัวมันทำไม

        แล้วแยกอีกนะที่นี่ ออกจากนั้นแล้วแยกเป็นหนังเป็นเนื้อเป็นเอ็นเป็นกระดูก ธาตุขันธ์ทุกอวัยวะของมันแยกออก ๆ ด้วยปัญญา ถึงขั้นปัญญามันแยกกันได้ มีที่น่ากลัวที่ตรงไหน ถ้าพูดถึงจิต จิตมันไม่มีธรรมยิ่งกว่าจิตเรา จิตเรามีธรรม จิตเรามีอำนาจยิ่งกว่าจิตของเสือแล้วกลัวหาอะไร หลอกเจ้าของทำไม มันแยกมันแยะได้สัดได้ส่วน โห มันไม่มีกลัวแล้ว มันแยกธาตุได้หมด กลัวอะไรธาตุเฉย ๆ นั่น คำว่าเสือก็สมมุติกันขึ้น มันก็เป็นธาตุหนึ่งเท่านั้นเอง นี่อันหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่สะทกสะท้าน ถึงขั้นปัญญานี้แล้วไม่สะทกสะท้านในเรื่องความกลัวสัตว์กลัวเสือกลัวอะไร มันพิจารณาแยกแยะได้อย่างรวดเร็วทีเดียว ถึงขั้นมันรวดเร็วรวดเร็วมาก พิจารณาแยกแยะกัน นี่เป็นขั้นหนึ่งของการพิจารณาตามขั้นของจิต

        พอถึงขั้นที่สาม เอ้าจิตมันเข้าสู่ความว่าง มันว่างจริง ๆ จิตนี้ พิจารณารูปกายเหล่านี้ ที่แยกเป็นรูปเป็นกาย พอพิจารณานานเข้า ๆ มันจะพรากจากกันระหว่างจิตกับกาย อุปาทานของทางร่างกายมันหมดไปมันปล่อย ออกจากนั้นแล้วพิจารณาต่อไปนั้นมันว่างไปหมด ร่างกายแม้จะมองเห็นก็เพียงรางๆ เป็นเงาๆ แต่จิตมันทะลุไปหมด เป็นความว่างไปหมด ทีนี้ร่างกายทั้งร่างขึ้นอยู่กับจิตเป็นของสำคัญ เมื่อจิตมันว่างในตัวของมันแล้วร่างกายก็เลยกลายเป็นของว่างไปตาม ๆ กันหมด มองดูต้นไม้ภูเขาที่ไหนมองเห็นเป็นเพียงเงา ๆ แต่จิตนั้นมันทะลุไปหมดว่างไปหมดเลย

        ถ้าถึงขั้นว่างนี้ก็ไม่มีนิมิตของเสือเข้ามาเกี่ยวข้องเลย พอปรุงขึ้นเรื่องเสือ แย็บนี้มันก็ดับพับ หือความปรุงอันนี้มันเป็นเสือนี่นะ มันปรุงว่าเสือ ความปรุงต่างหากเป็นเสือ เสือไม่มีนี่ นั่นปรุงพับดับพร้อม ปรุง ๆ แย็บขึ้นมาเป็นรูปเสือนะ ปรุงเรื่องเสือมันก็ดับไปพร้อมในขณะที่มันปรุง ปรุงเกิดกับดับพร้อมพูดง่าย ๆ แล้วอะไรจะมาหลอกล่ะเมื่อต้นเหตุตัวที่หลอกมันอยู่กับเรา มันปรุงขึ้นมาอะไรมันก็ดับในขณะนั้นด้วยอำนาจของสติปัญญาทัน ก็ไม่มีอะไรหลอก เป็นความสะดวกสบายไปหมด

        อุบายวิธีปราบจิตแก้ความกลัว แก้เป็นขั้น ๆ ขั้นต้นแก้ด้วยสมาธิให้จิตสงบ ไม่ให้ส่งไปเรื่องของสิ่งที่น่ากลัว ขั้นที่สอง แยกธาตุแยกขันธ์ของสิ่งที่น่ากลัวออกให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเป็นสภาพเช่นเดียวกับเรา หรือเป็นดินน้ำลมไฟเหมือนกันไม่มีอะไรแปลกประหลาดพอที่จะให้กลัว จิตมันก็หยั่งทราบตามนั้นมันก็ไม่กลัว พอครั้งที่สามเป็นขั้นที่สาม จิตมันว่างไปหมดแล้ว ปรุงเรื่องเสือขึ้นมาพับก็ดับพร้อม มันว่างไปหมด ปรุงอะไรขึ้นมาก็ว่างไปหมด พอปรุงดับ เกิดขึ้นดับ ๆ เกิดดับ ๆ เป็นภาพขึ้นมาแย็บก็เหมือนกับฟ้าแมบเท่านั้นเอง มันดับไปพร้อม ที่จะให้เป็นภาพของเสือยืนจังก้าอยู่เหมือนอย่างแต่ก่อนไม่มี มันดับพร้อม ๆ

        ทีนี้เราก็ทราบชัดว่าความปรุงตัวนี้เป็นสิ่งที่หลอกต่างหาก ที่ว่าถ้าเราปรุงเป็นเสือก็คือสังขารนี้แลเป็นเสือไม่ใช่อะไรเป็นเสือ ตัวสังขารนี้เป็นเสือ ตัวสังขารนี้หลอกตนเอง ปัญญามันทันว่าสังขารเป็นตัวหลอกแล้วมันจะไปกลัวอะไร ก็สังขารนี้เกิดกับใจ ปัญญาก็อยู่ที่ใจ มันอยู่ด้วยกัน มันรู้เรื่องของกันแล้วจะไปหลงกันได้ยังไง

        อุบายวิธีฝึกเราเคยฝึกมาอย่างนี้เป็นขั้น ๆ จนกระทั่งเลยจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ความว่างนี้เป็นพื้น ถึงแม้จิตจะผ่านพ้นไปจากสมมุติโดยประการทั้งปวง หรือว่าหลุดพ้นแล้วโดยสมบูรณ์ก็ตาม ความว่างของจิตนี้ก็เป็นพื้น แต่มีต่างกันอยู่ที่ว่าความว่างของจิตในขั้นที่พิจารณาเสือที่ว่านี้มันว่างทางวิปัสสนา ไม่ได้ว่างด้วยความบริสุทธิ์

        ว่างทางวิปัสสนาตัวจิตเองยังไม่ว่าง ว่างทางความบริสุทธิ์นั้นตัวจิตเองก็ว่าง สิ่งทั้งหลายก็ว่าง มันว่างไปหมดแล้วก็วางไปหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเอาอะไรมายึดมาถือพอให้เป็นสิ่งที่น่ากลัว กลัวอะไรตัวตนอยู่ที่ไหน สัตว์สาราสิงอยู่ที่ไหน มันเป็นเรื่องสมมุติอันหนึ่ง ๆ ที่ปรุงแต่งขึ้นเท่านั้น ถึงขั้นนั้นแล้วพูดไม่ถูกละที่นี่ ว่าจะกลัวอันนั้น จะพิจารณาแก้ความกลัวอย่างนั้นอย่างนี้ พูดไม่ถูกแล้วไม่พูดเสียดี เมื่อพิจารณาไปก็รู้เอง พูดไว้อย่างนี้พูดตามหลักความจริงที่ได้ปฏิบัติมา ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพิจารณาแล้วปฏิบัติตนอย่างนั้นดูซิ จะไปไหนถ้าไม่ไปแถวแนวเดียวกันนี้ ไม่มีทางอื่นเป็นทางไป

        จิตใจตามหลักความจริงของทางภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ เมื่อจิตถึงขั้นว่างทั้งภายนอกว่างทั้งภายใน คือจิตได้บริสุทธิ์เต็มที่แล้วมันหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง เพราะมันเป็นสมมุตินี่ อันนั้นไม่ใช่สมมุติ จะว่าอะไรก็แล้วแต่จะว่า ไม่ว่าก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ไม่มีหิวมีกระหายมีอะไร มันสบายไปเลย  หมดเรื่อง ฟังแต่ว่าหมดเรื่อง เรื่องสมมุติทั้งหมดนั่นละมาเกี่ยวข้องกับใจ หรือใจไปเกี่ยวข้องกับสมมุติทั้งหลาย นั้นละเรียกว่าเรื่อง ทีนี้เมื่อไม่เกี่ยวข้องและรู้เท่าทันกันด้วย ไม่เพียงว่าไม่เกี่ยวข้อง รู้เท่าทันกันทุกสิ่งทุกอย่างด้วย แล้วอะไรจะมาเกี่ยวมาเกาะ มันก็สบายน่ะซิ

        การฝึกหัดตนให้หาอุบายทำ อย่างเวลานั่งภาวนาถ้ามีความเจ็บปวดแสบร้อนก็ให้พึงใช้ปัญญาให้มาก อย่าไปจ่ออยู่เฉย ๆ กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ให้ค้นหาสาเหตุของทุกขเวทนานี้เกิดขึ้นมาจากไหน อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นทุกข์ซึ่งเป็นตัวผล  เช่นนั่งนานก็เป็นเหตุให้ร่างกายบอบช้ำให้ร่างกายเจ็บนี่เราก็ทราบ  แล้วมันเจ็บที่ตรงไหนให้สติจ่อลงไปตรงนั้น แยกดูหนังหรือเป็นผู้เจ็บ เนื้อหรือเป็นผู้เจ็บ กระดูกหรือเป็นผู้เจ็บ หรืออวัยวะส่วนใดเป็นผู้เจ็บ อวัยวะส่วนนั้น ๆ มันรู้ตัวของมันไหมว่ามันเจ็บ แล้วทุกขเวทนาที่กำลังบีบตัวอยู่อย่างสาหัสเวลานี้ มันทราบความหมายของมันไหมว่าเป็นเวทนา เป็นตัวบีบสิ่งทั้งหลาย เป็นตัวบีบขันธ์มีรูปขันธ์เป็นต้น มันทราบความหมายของมันไหม มันทราบว่ามันได้บีบอะไรไหม

        เวลาย้อนมาดูเวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ดูหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แต่ละส่วน ๆ ที่ว่าเป็นตัวทุกข์เป็นกองทุกข์ มันก็เป็นหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตามหลักธรรมชาติของมันอยู่นั้น ต่างอันต่างไม่รู้เรื่องของกัน ต่างอันต่างไม่ทราบความหมายของตนและของกันและกัน แล้วผู้ใดเป็นผู้ไปหลอกลวง เป็นผู้สำคัญมั่นหมายว่าอันนั้นเป็นทุกข์อันนี้เป็นทุกข์เดือดร้อนวุ่นวาย ย้อนเข้ามาหาใจ มันก็มาสู่ที่ใจ แล้วก็แยกจากใจออกไป หลายครั้งหลายหน เมื่อเห็นอาการของส่วนร่างกายที่ว่าเป็นทุกข์แต่ละอย่าง ๆ นั้นเป็นความจริงไม่เป็นทุกข์แล้ว เวทนาก็สักแต่เวทนา เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นทุกข์

        เห็นตามความจริงของมันแล้วก็ย้อนมาเห็นจิต  จิตก็สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่ารู้ เมื่อต่างอันต่างจริงในขั้นนี้แล้ว ๑) ทุกขเวทนาดับ ๒) อันใดที่เป็นอยู่อย่างไร เป็นจริงตามสภาพของมันอยู่อย่างนั้น ไม่มาเหยียบย่ำทำลายมากระทบกระเทือนกันเลย นี่วิธีพิจารณา ถ้าพิจารณาเห็นตามความจริงของตัวเองนี้แล้วมันเกิดความอาจหาญไม่ใช่ธรรมดานะ อาจหาญเหมือนกับว่าเอาศีรษะนี้แกว่งภูเขาลูกไหน ภูเขาลูกนั้นแตกกระจายเลยนู้นน่ะ ดูซิความสามารถอาจหาญของจิตของปัญญา ทั้ง ๆ ที่เอาหัวแกว่งใส่ภูเขาให้ภูเขาแตก ความจริงก็หัวแตกนั่นแหละ แต่เราไม่ได้เอาตรงนี้ เราเอาตรงที่อำนาจของปัญญา ความฉลาดแหลมคมความกล้าหาญของสติปัญญา มีความสามารถขนาดนั้น

        เพราะฉะนั้นจึงสามารถแก้กิเลสในจุดที่มันยึดมันถือ เช่นทุกขเวทนาในเนื้อในกายในจิตได้โดยลำดับ ๆ จนทะลุไปหมดทั้งกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งอยู่ภายในจิตใจ พ้นสติปัญญาไปไม่ได้  นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ถูกปัญญานี้แทงไปที่ไหนทะลุไปหมด

        ฉะนั้นจงพากันรักษาสติให้ดี ในอิริยาบถต่าง ๆ ยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับให้พึงประคับประคองสติให้ดี ถ้าไม่ได้พิจารณาในแง่ใดก็ดี เมื่อสติมีอยู่กับจิต จิตปรุงเรื่องอะไรรู้ นั่นละคือผู้ประกอบความเพียรอยู่ทุกอิริยาบถ ถ้ามีสติกำกับใจแล้วเรียกว่ามีความเพียรอยู่ตลอดเวลา หากสติหาไม่แล้วนั้นแหละคือการขาดวรรคขาดตอนของความเพียร แม้จะนั่งสมาธิภาวนาอยู่ก็สักแต่ว่านั่ง เหมือนหัวตอ กิริยาของจิตไม่ได้ทำความเพียรตามประโยคพยายาม เดินจงกรมอยู่ก็สักแต่ว่าเดิน อย่าว่าแต่เดินเลยวิ่งก็วิ่งเถอะ ถ้าลงได้ขาดสติแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้ไอ้ตีนหุบก็ไม่ได้หรอก ตีนหุบนะ มันวิ่งจัก ๆ แต่ไม่มีสติจะเรียกว่ามันเก่งได้ยังไง ไม่มีสติ

เอาแค่นี้เสียก่อน

พูดท้ายเทศน์

        พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ จาติ     นานาโหนฺตมฺปิ วตฺถุโต,

        อญฺญมญฺญาวิโยคา ว        เอกีภูตมฺปนตฺถโต.

        ท่านว่าไว้อย่างนั้น แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง ก็จริงอย่างท่านว่า  ในเมื่อกล่าวโดยอรรถ สรุปความลงแล้วก็เป็นอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน เช่น

        พุทฺโธ ธมฺมสฺส โพเธตา             ธมฺโม สงฺเฆน ธาริโต,

        สงฺโฆ จ สาวโก พุทฺธสฺส             อิจฺเจกาพทฺธเมวิทํ.

        พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม  พระธรรมพระสงฆ์ทรงไว้ พระสงฆ์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า นี่ท่านว่าไว้อย่างนั้น คือเป็นอันเดียว เวลานับเข้าแล้วเป็นอันเดียว ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคตนั่นละ ธรรมนั้นแลคือองค์ตถาคตแท้ คือจิตที่บริสุทธิ์เป็นธรรมแล้ว เป็นธรรมทั้งดวงแล้ว พ้นจากสมมุติแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรจะมายุ่งกัน ที่ยุ่งที่สุดก็คือสมมุตินั่นเอง พอผ่านจากสมมุติกองยุ่งนี้แล้วก็ไม่มีอะไรยุ่ง เพราะฉะนั้นสาวกจะมีกี่หมื่นกี่แสนองค์ท่านก็ไม่สะทกสะท้านเลย เพราะเหมือนกันหมด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ความยิ่งหย่อนต่างกันนี้ไม่มี นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้าย จะหาความยิ่งหย่อนต่างกันหรือกว่ากันโดยทางความบริสุทธิ์นี้ไม่มี

        ที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นธรรมก็ตั้งแต่เริ่มลงไปประพฤติปฏิบัติ คำว่าเห็นธรรมไม่ใช่เห็นในขั้นเดียวภูมิเดียว จิตมีความสงบเยือกเย็นได้ดื่มรสแห่งพระสัทธรรมเข้าไปโดยลำดับ ก็เรียกว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าเข้าไปโดยลำดับ ๆ แม้ยังไม่ตลอดทั่วถึงก็เป็นสักขีพยานได้แล้ว จนกระทั่งจิตได้ถึงความบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เห็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์ พุทธะแท้อยู่ที่ใจ ผู้นี้เป็นฉันใดพุทธะทั้งหลายก็เป็นฉันนั้น เพราะพุทธะนี้กับพุทธะนั้นเป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน

        นี่ก็บูชาตถาคตซิ ให้ได้เห็นตถาคตซิ ตถาคตแท้คืออะไร ถ้าเห็นใจเจ้าของนี้เต็มภูมิเต็มดวงแล้วก็หมดปัญหา พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานกี่ปีกี่เดือน หรือพระพุทธเจ้าองค์ใดปรินิพพานกี่ปีกี่เดือน ไม่ได้ไปคาดนะสถานที่กาลเวล่ำเวลาว่าช้านานเพียงไร เพราะธรรมชาตินี้ไม่มีกาลไม่มีเวลาสถานที่ไม่เกี่ยวข้องเลย เป็นอยู่กับจิตเสียทีเดียวเลย เมื่อเห็นนี่ชัดเจนก็เห็นพระพุทธเจ้าชัดเจน ไม่สงสัยอันนี้ก็ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจิตนี้เข้าถึงนั้นแล้วจะเอาอะไรมาสงสัย

        เราพิจารณาตั้งแต่...คิดย้อนหลัง ตั้งแต่เริ่มออกบวชมาแล้วเริ่มปฏิบัติมานี้มันไม่ลืมนะ เริ่มออกปฏิบัตินี่ไม่ลืม ถ้าออกบวชมาธรรมดาก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาเราฝึกหัดภาวนาของเราตามประสีประสา แต่ว่านิสัยมันชอบกรรมฐานมาแต่ไหนแต่ไร เห็นพระกรรมฐานนี้โดดผึงเลย ชอบ ทั้ง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่วัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง เห็นพระกรรมฐานมาพักด้วยนี้ ต้องไปถึงท่านก่อนคุยธรรมะท่านก่อน คือท่านเล่าให้ฟังเรื่องจิต เราก็มาทำของเรา ทำจิตให้มีความสงบขึ้นมาโดยไม่คาดไม่ฝัน โอ้โหเกิดความติดอกติดใจกระหยิ่มยิ้มย่องเชียวละ มันไม่ลืมนะ

        เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีนี้จิตรวมได้ ๓ หนเท่านั้นละ เมื่อเป็นทีไรคราวหลังมามันขยับจะเอาแต่เรื่องอดีตมาจะเอาให้เป็นอย่างนั้น ๆ งานไม่ทำมันก็ไม่ได้เรื่อง ทีนี้พอเราจาง ๆ ไป มันไม่ได้เรื่องเราก็จาง ๆ ไปจิตมันไม่ไปยึด มาภาวนาเป็นอีกทีหนึ่ง ขยับเข้าอีกแล้ว ขยับเข้าจะให้มันเป็นอย่างนั้นอีก มันไม่เป็นเสียเพราะจิตไปยึดอารมณ์อดีตที่เป็นผลมาแล้วและผ่านไปแล้วนั้น มันไม่ได้อยู่ในวงปัจจุบันคือพุทโธ ๆ ที่ภาวนานี้

        อันนี้จึงมาเป็นสักขีพยานเป็นข้อยืนยันกันชัด ๆ ก็ตอนที่จิตเราเจริญแล้วเสื่อม ๆ สุดท้ายเราก็ปล่อยให้หมด เจริญยังไงก็ตามเสื่อมยังไงก็ตาม เราจะไม่ปล่อยคำบริกรรมคือภาวนาพุทโธนี้ เราไม่ยุ่งละเรื่องอดีตอะไรเคยเป็นมาอย่างไร เคยเสื่อมมามากน้อยจะเป็นผลอย่างไร เจริญมามากน้อยเพียงไรเราไม่สนใจกับมันละ เราจะเอาแต่พุทโธอย่างเดียวนี่  เวลาขยับอยู่กับพุทโธปล่อยอารมณ์เหล่านั้นเสีย มันก็เจริญขึ้นมาไม่ได้เสื่อม เพราะมันไม่ไปยึดนี่มันก็ไม่เสื่อม นี่ก็เป็นสักขีพยานอันหนึ่ง

        เมื่อเราผิดด้วยประการใดนี้ เวลาสอนหมู่เพื่อนนั้นก็เป็นครูเป็นอาจารย์ได้ดี เวลาล้มลุกคลุกคลานในการภาวนานั้น ผมยังไม่ลืมนะนิมิตผม ผมเคยเล่าให้หมู่เพื่อนฟังแล้วยังล่ะ นิมิตแปลกประหลาด ภาวนาอยู่นะ มาพักจำพรรษาที่จักราช อำเภอจักราชนี่ จังหวัดโคราชนี้เอง นอนภาวนานะ

        ตอนนั้นจำได้ถนัดนอนภาวนาจิตรู้สึกมันสงบ ค่อยยุบยอบ ๆ เข้าไป หดตัวเข้ามา ๆ สู่ความสงบ แต่ไม่สงบมากนัก พอสงบรู้ได้ว่าสงบ ปรากฏว่ามีตาปะขาวคนหนึ่งเดินมายืนต่อหน้าประมาณสักวาหนึ่งเศษ ๆ  ตาปะขาวนั้นอายุประมาณสัก ๕๐ หรืออย่างสูงก็ไม่เลย ๖๐ มีรูปลักษณะพอดี ทุกส่วนสัดพอดีทุกอย่าง แต่ผิวพรรณนั้นรู้สึกจะมีสีเนื้อรู้สึกขาว พอมานั้นมายืนตรงหน้าเรา เราก็ปรากฏว่าดูแกดูตาปะขาวคนนั้น แล้วพอมองมาทางเราแล้วก็ก้มลงและนับข้อมือให้เราดู เรายังไม่ลืมนะ

        นับข้อมือไม่ได้บอกว่าหนึ่งสองสามนะ หากทำอย่างนี้ให้เราดูชัดนะ มันไม่ลืมนะมันติดตาใจ  อย่างนี้ ๆ ทำไปอย่างนี้ละ คือดูด้วยแกทำอย่างนี้ พอถึงข้อที่ ๙ นี้ พอปุ๊บลงนี้รู้สึกว่าหนักมือตรงนี้ ปั๊บนี้เงยหน้าขึ้นดูเรา พอดูปรากฏว่ารู้กันทางนี้เหมือนว่าตาปะขาวคนนั้นมาบอกอยู่ในนี้เลย บอกว่า ๙ ปีสำเร็จ ๆ แล้วตาปะขาวก็เดินกลับหายเงียบไปเลย พอจากนั้นจิตของเราก็ถอยออกมา โห ๙ ปีสำเร็จนี่ นี่เราก็ได้ ๗ ปีแล้วนะบวชมานี่ ทำไมสำเร็จง่ายนักนะ สำเร็จง่ายนักหรือ ใช่หรือภาวนา ๙ ปีสำเร็จ มันก็ภาวนาเอาใหญ่เลยจะให้ ๙ ปีสำเร็จ บวชมาคือทีแรกคิดว่าบวชมา ๙ ปีนี้สำเร็จ  ก็เร่งภาวนา  พรรษา ๙ ออกแล้วจิตมันยังเจริญแล้วเสื่อม ๆ อยู่อย่างนั้น

        พรรษา ๗ มาจำพรรษาโคราช ออกพรรษา พรรษาเป็นพรรษา ๘ มาจำพรรษาที่ ๘ นะ พรรษา ๗ ออกปฏิบัติ พรรษา ๘ มาจำพรรษาที่โคราชเป็นพรรษาแรกแห่งการออกปฏิบัติ จิตมันก็เจริญได้ดี แต่ที่ว่าเสื่อมมาทำกลดนี่ละมันเสื่อม เสื่อมตั้งแต่พรรษา ๘ จนกระทั่งพรรษา ๙ ผ่านไปแล้วมันยังเจริญเสื่อม ๆ ไม่หยุด จนถึงเดือนเมษาฯ โน่นน่ะ แล้วพรรษา ๙ ก็ออกไปแล้วสำเร็จได้ยังไง จิตคนมันเป็นบ้าอยู่อย่างนี้เอาอะไรมาสำเร็จ

        แต่มันก็คิดไปปั๊บอีกแง่หนึ่ง หรือจะเป็นออกปฏิบัติ ๙ ปีได้สำเร็จนา ถ้า ๙ ปีในการออกบวช นับการออกบวชมาถึง ๙ ปีไม่สำเร็จ หรือจะเป็นไปทางว่าออกปฏิบัติได้ ๙ ปีสำเร็จนะ ทีนี้มันก็เลยปล่อยอันนั้น ปล่อยที่ว่า ๙ ปีในการบวชสำเร็จ มันไม่สำเร็จนี่ นี่ ๙ พรรษาแล้วก็ไปถึง ๙ ปี จนเข้าพรรษา ๑๐ มันยังไม่สำเร็จ แต่เดือนเมษาฯ ไปแล้วนั้นมันเจริญแล้วละจิตนี่ ทางสมาธิเจริญแล้วไม่เสื่อมละที่นี่

        พรรษา ๑๐ นั้นเป็นพรรษาที่ทุ่มเต็มที่กำลังวังชา ทุ่มความเพียรนี้เต็มที่ในชีวิตของเรา ประกอบความเพียรที่เกี่ยวกับประโยคพยายามทางร่างกายด้วยนี้เป็นพรรษานั่นละ เป็นพรรษาที่เด็ดที่สุด เมื่อถึงพรรษา ๑๐ เข้าพรรษาแล้วมันก็หมดหวังที่ว่า ๙ ปีสำเร็จ  แสดงว่าไม่ใช่ ๙ ปีสำเร็จในการออกบวช แต่คิดว่าคงเป็น ๙ ปีสำเร็จเพราะการปฏิบัติ ปฏิบัติ ๙ ปีถึงจะสำเร็จ คิดใหม่นะ อันนั้นคงไม่ใช่ คงจะใช่อันนี้ ว่างั้นนะ

        คือ ๙ มีสอง ๙ หนึ่ง ๙ ตั้งแต่บวช เราบวชมาจนกระทั่งถึงพรรษา ๙ เรียกว่า ๙ ปี สอง ตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติไปจนกระทั่งถึง ๙ ปีจึงสำเร็จนี้อันหนึ่ง อาจจะเป็นอันนี้ก็ได้ ทีนี้ใจก็รู้สึกว่ามันปักอยู่ตรงนั้น เร่ง ๙ ปีพอพรรษา ๑๐ จิตรู้สึกว่าแน่ใจละเรื่องความเสื่อมนั้นไม่เสื่อม เพราะความเพียรเอากันอย่างเต็มที่ มันบอกอยู่ชัด ๆ นี่ว่าจิตได้ฐานได้อะไรชัดเจนแล้ว จนถึงกับออกอุทานว่า เอ้อต้องอย่างนี้ไม่เสื่อม ทีนี้ไม่เสื่อม มันชัดอยู่นี่

        พอมาถึงพรรษา ๑๖  เอ้าสรุปเลย พอพรรษา ๑๖ ล่วงแล้วตอนนั้นปัญญาเป็นธรรมจักรอยู่นะ พรรษา ๑๖ ในพรรษามันเป็นธรรมจักรอยู่แล้วนี่ เร่งเต็มที่ ในขณะนั้นเรื่องความเพียรเป็นอัตโนมัติแล้วละ สติปัญญาในขั้นนั้น จนกระทั่งออกพรรษา พอออกพรรษาปั๊บในวันนั้น มันไม่สำเร็จนี่ ทำไมเรื่องนิมิตที่มาบอกมาแสดงเหตุให้เราเห็นว่า ๙ ปีสำเร็จนั้น เราก็คาดมาแล้วหนหนึ่งมันผิด คาดหนที่สองนี้ก็ ๙ ปีในการออกปฏิบัติ ก็นี่ออกพรรษาแล้วในวันนี้ยังไม่เห็นสำเร็จเลย แม้จิตจะละเอียดขนาดไหนก็ยังมีกิเลสอยู่จะเรียกสำเร็จได้ยังไง คำว่าสำเร็จในนิมิตนั้นบอกสำเร็จถึงที่สุดของธรรมนะ ไม่ใช่จะสำเร็จธรรมดาขั้นนั้นขั้นนี้ เอ๊ทำไม ทีนี้ชักไม่แน่ใจ ไม่ใช่

        ได้มีพวกเดียวกันละ แต่ท่านก็ดีอุบายท่านดีอยู่นะ เรานั้นได้ยกบูชาอุบายของท่านจนกระทั่งป่านนี้ ผมไม่ลืมนะนิสัยผมไม่ค่อยลืมคุณใคร เรื่องเห็นบุญเห็นคุณคนนี้ความกตัญญูนี้เราชัดอยู่ในใจของเรา เนรคุณคนไม่เป็น เป็นนิสัยกตัญญูกตเวทีฝังใจจริง ๆ ท่านองค์นี้เราก็เล่าให้ท่าน คือเก็บมาได้ ๙ ปีอันนี้ไม่บอกใครเลย วันนั้นมันหมดหวังว่างั้นเลย

        นี่ผมจะเล่าให้ท่านฟังนะ แหม ผมได้แบกอันนี้มาฝังไว้ภายในจิตนี้ได้ ๙ ปีแล้วนิมิตอันนี้ ผมจะเล่าเรื่องความเหลวไหลของผมให้ฟัง แต่ผมพูดเฉพาะท่านนะท่านอย่าไปพูดให้ใครฟัง ผมเก็บฝังไว้ในหัวใจนี่และเชื่อแน่ด้วย ผมมันก็เหลวไหลเสีย จนต้องมาเล่าเรื่องความเหลวไหลให้ฟัง ความโกหกของผมให้ฟัง เอ้าเล่าซิเป็นไง ก็เลยเล่าไปตามเรื่องนิมิต จนกระทั่งมาถึงพรรษา ๙  ที่ว่า ๙ ปีสำเร็จ นี่ก็ออกพรรษาแล้วในวันนี้ เดี๋ยวนี้มันยังไม่สิ้นนี่จะทำยังไง มันยังมีอยู่ละเอียด ๆ มันรู้อยู่ชัด ๆ นี่ยังไม่สิ้น ก็แสดงว่านิมิตโกหกอย่างชะมัดเลย

        มันไม่ใช่อย่างนั้นท่าน ว่างั้นนะที่เราไม่ลืม คือคำว่า ๙ ปีสำเร็จนี้ ๙ ปีนี้ต้อง ๙ ปีตั้งแต่ออกพรรษานี้ไปชนพรรษาหน้าน่ะซี ท่านว่าอย่างนี้นะ นี้ยังเป็นโอกาสของ ๙ ปีอยู่ดี ๆ เมื่อถึงเข้าพรรษาหน้าวันไหนก็วันนั้นละถึงจะหมดเขตของ ๙ ปีนี้ อย่างนั้นหรือ ก็อย่างนั้นแหละ มันยังไม่หมด ๆ อายุของ ๙ ปีนี้นะ เมื่อหมดก็นู้นนะวันเข้าพรรษาวันไหน พรรษาที่ ๑๐ เมื่อไรแล้วของการปฏิบัตินี้เมื่อไรแล้ว นั้นแหละจึงจะหมดอายุอันนี้ ถ้าจะตำหนิก็ตำหนิได้ เวลานี้ยังไม่ควรตำหนิ ยังอยู่ในเกณฑ์ ว่าอย่างนั้นนะ หือว่างั้นหรือ มีกำลังใจขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ใจก็หมุนติ้วอยู่แล้วละ มันก็มาเพิ่มกำลังใจอีก ฟาดเข้าอีกเอากันอย่างหนักเลย

        นิมิตแปลกดีนะ นิมิตอันนี้มีแปลกแต่ต้องได้ชม ถ้าลงนิมิตได้แสดงให้เห็นชัดๆ อย่างนั้นมันไม่ค่อยผิดค่อยพลาดเท่าไร ผมมาพิจารณาดูเรื่องเกี่ยวกับโยมแม่นี่เหมือนกัน นี่ก็เป็นอยู่โน้น ภูเขาโน้น อันนี้มันเรื่องภาระเรื่องเกี่ยวกับโยมแม่ก็หมดปัญหากันไป เวลาภาวนาอยู่นิมิตปรากฏเกี่ยวกับโยมแม่นี้ ถ้าเราไม่ได้เอาโยมแม่บวชจะไม่ได้นะมันเกี่ยวกัน อย่างไรจะต้องให้โยมแม่บวชแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ตามนิมิตตามความเป็นในสิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่สงสัย แล้วเป็นจริง ๆ ตามนั้นผมจึงไม่มีอะไรคิด  เพราะเป็นไปตามที่คิดไว้แล้ว มันก็ได้ตั้งสำนักนี่ว่ายังไง แต่ก่อนผมไม่มีสำนักนี่ ตามนิสัยเราอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ของเราไปของเราสบาย ออกพรรษาแล้วหายเงียบ ๆ ไปอย่างสบายหายห่วง เหมือนนกมีแต่ปีกกับหางเท่านั้น

        อันนี้มาเอาโยมแม่บวชจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ แล้วก็เป็นอย่างว่าจริงๆ พะรุงพะรังเรา เราไม่มีทางแก้ไข เพราะพิจารณาทราบไว้แล้วตั้งแต่โน้น เอามือเขียนจะเอาตีนลบได้ยังไงไม่เอาโยมแม่บวช  ถ้าไม่เอาโยมแม่บวชนี้เห็นจะไม่แล้วกันได้  เรื่องเกี่ยวกับโยมแม่แน่ ๆ มันเป็นจริง ๆ เห็นอย่างชัดเจนอยู่ในนิมิต จึงต้องมาบวช แต่โยมแม่ก็บวชได้อย่างง่ายดาย โยมแม่ก็ยิ้ม เอาเลย แน่ะ มันก็เป็นไปตามนั้น

        เรื่องนิมิตนี่แปลกๆ มันเป็นหลายครั้งหลายหน  ถ้านิมิตชนิดอย่างชัดๆ จริงๆ แล้วไม่ค่อยผิด หลายครั้งหลายหนที่เราเคยเป็น อย่างคราวมาอยู่นี้ทีแรกก็เหมือนกัน คืนวันนั้น แหม นิมิตแสดงออกมานี้จนกระทั่งเรานี้ไม่กล้าจะพูดอะไรให้ฟังเลย ทำไมนิมิตจึงเป็นอย่างนี้ ปรากฏว่ามันเป็นรั้วอย่างนี้ รั้ว ให้เราไปอยู่ตรงกลางไม่มีทางออกเลย ตามนิมิต  นายพรานมือแม่นปืนมายิงเราต่อหน้านั้น เอาปากกระบอกปืนมาหาเรานี้ ห่างกันไม่ถึงวา มายิงเปรี้ยง  เอ้ายิงเลย เราเปิดผ้าให้หมดเลยเหลือแต่ผ้าอังสะ เอ้ายิง คือเขาบอกเขามาขอยิงท่าน เขาว่าอย่างนั้นนะ เอ้ายิงเราบอกอย่างนั้น ปืนก็เปรี้ยงๆ ไม่มีทางออก เราออกไปที่ไหนไม่ได้

        แต่ยิงแล้วทำไมไม่เห็นถูก ไม่เห็นมาถูกเราก็ไม่ถูก ถ้าว่าถูกแล้วไม่เข้ามันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ถูก เปรี้ยงอยู่เฉยๆ จนกระทั่งหมด กระสุนดินดำหมดแล้วมาหมอบกราบ ขอกราบท่าน หมดความสามารถแล้ว มีเท่านี้แหละความสามารถ พอกราบแล้วหายเงียบเลย พอเขากราบเขาลุกไป พวกท่านสิงห์ทองใครต่อใครรุมเข้ามาหาเรา เป็นอย่างไรไม่เป็นผุยผงไปหมดแล้วเหรอท่านอาจารย์ เสียงปืนนี้ลั่น เหมือนกับว่าพระเห็น ยืนดูอยู่นี่นะ อยู่ข้าง ๆ พระเต็มเลย มาจับผ้าอังสะดูก็ไม่เห็นมีอะไร แบบดีๆ นี่นาไม่เห็นมีอะไร แล้วนี่ท่านอาจารย์ดีด้วยอะไร ดีด้วยพุทโธ เราว่าอย่างนี้นะ ในนิมิตมันบอก

        พอตื่นเช้าขึ้นมานี้ เอ มันเรื่องอะไรกันนาถึงได้ถนัดจริง ๆ แต่ไม่บอบช้ำ หาทางหลีกไม่ได้หากไม่บอบช้ำ นี่เป็นเรื่องอะไรนา คือบอกความหมาย  มันไม่มีอันหนึ่ง คือเรื่องมาแสดงนิมิต จะแสดงความหมายไปนั้นไปนี้ก็ไม่มี เราจะมาตีความหมายว่าอย่างไหนนิมิตเป็นอย่างนี้

        พอตอนบ่าย ๓ โมงพวกตลาดก็มาซิ เอาหนังสือท่านเจ้าคุณอุปัชฌายะองค์นี้มอบให้มาส่งผม แล้วมีเด็กผู้หญิงสาวคนหนึ่งมา ขอฝากเด็กคนนี้บวชเป็นชีในสำนักนี้ อ๋อ อันนี้เอง คือไม่มีทางไปได้เลย จดหมายของท่านเจ้าคุณมาหาเรา แล้วก็พวกตลาดเป็นพวกเจ้าหน้าเจ้าตากันทั้งนั้นละมา มันก็เหมือนเล่านิมิตให้ฟัง พอมาแล้วเราก็ชี้แจงเหตุผลให้ฟังตามเรื่องตามราว

        ให้ไปกราบเรียนท่านอย่างนั้นนะ เราไม่รับนี่เราหาอุบายพูดอย่างเหมาะสมกับเหตุผลที่เขาจะยอมรับ เขาก็ยินดีตกลง บอกว่าเท่าที่มีอยู่นี้ก็ด้วยความจำเป็นเกี่ยวกับโยมแม่เรา ไม่เพื่อจะสั่งสมแม่ชีแม่ขาวที่ไหนมากมาย มีแต่คนแก่ ๆ อยู่ด้วยกันที่ติดมาด้วยกันแล้ว ถึงเวลาจำเป็นเรารับเท่านี้นา คนอื่นเราไม่รับ ขอให้ไปกราบเรียนท่านอย่างนั้นนะ เรารับด้วยความจำเป็นเกี่ยวกับโยมแม่ ให้โยมแม่มีหมู่เพื่อนอยู่ด้วยเฉย ๆ เราไม่ตั้งใจว่าจะสั่งสมแม่ชีแม่ขาวให้มากมายอะไร เราก็บอกอย่างนั้น

        เขาก็เลยไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณ พอวันเขาไปวันนั้นแล้ววันหลังเราก็ตามไปอีก ท่านก็บอก เออ รู้ความประสงค์ของเจ้าแล้ว เราก็ไม่ติดใจอะไรแล้วละบัว อุบายของเจ้าพูดก็ดี ไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง เราไม่ขัดข้อง ท่านว่าอย่างนั้น เจ้าเมื่อมีความจำเป็นแล้วเราก็เห็นใจ นี่ก็ไม่บอบช้ำ ท่านก็ไม่บอบช้ำ พวกตลาดก็ยอมรับเหตุผลเรา ไม่มีใครโกรธใครเคียดอะไรให้เรา นี่ที่ว่ามันไม่บอบช้ำ ยิงขนาดนี้ไม่บอบช้ำ พอตอนบ่ายมา อ๋อ เรื่องนี้เหรอ เข้ากันปั๊บเลย

        ถ้ามีอันไหนแสดงอย่างถึงใจแล้วมันไม่ลืมนะ เรื่อยๆ ธรรมดานี้ เช่นคนจะมาใส่บาตรนี้ เอ๊ จิตคนนี้มันหยาบนะ กระแสของจิตคนนี้ เช่นเขาจะมาใส่บาตร หรือมีใครจะเอาของมาทำบุญทำทานนี้นั้น กลางคืนมันจะแสดง แต่เราชินเสียแล้วกับเรื่องเหล่านี้ มาแสดงเรื่องใส่บาตร เรื่องเอาของมาทำบุญ นิมิตมันแสดงเวลาเข้าที่ภาวนา กระแสของจิตมันมาถึงกันได้มาแสดงให้เห็น อันนี้มันเป็นอยู่ประจำว่างั้นเถอะ จนเราไม่สนใจ เพราะก็เป็นทำนองที่เราเคยรู้แล้วเรื่องโน้นเรื่องนี้ อ๋อเรื่องนั้น คือว่าเรื่องเก่านี่

        เรื่องลึกลับเรื่องแปลก ๆ ที่แต่ละครั้งละคราวที่แสดงนี่ นานๆ จะแสดงที เรื่องแปลก ๆ เช่นอย่างผมจะไปจังหวัดตราด ผมตัดสินใจปุ๊บปั๊บในเดี๋ยวนั้นจะไป กลางคืนนิมิตไม่ดีแต่มีความจำเป็นที่จะต้องไป ไปตราด อยู่สถานีทดลองฯนี้ ก็เลยเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เรียกพระมาบอก วันนี้ผมจำเป็นที่จะต้องไปจังหวัดตราดด้วยความจำเป็น แล้วให้คอยฟังเสียงของผมด้วยนะ นิมิตผมไม่ดีนะเมื่อคืน แต่ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เกี่ยวกับเรื่องเวล่ำเวลา บอกอย่างนี้ เกี่ยวกับเรื่องเวล่ำเวลามีความคลาดเคลื่อนได้ เมื่อคืนนิมิตแสดงอย่างนั้น

        แล้วก็ออกเดินทาง พอไปถึงหน้าสถานีถามเขา แต่ก่อนรถไม่ค่อยมีนี่ ถาม: มีรถเทียนชัยไปแล้วหรือ ไปแล้ว รถเขามีรถเทียนชัย ร...อ๋อ รถเทียนชัยยังไม่ไป เขาว่างั้น พอเขาว่ารถเทียนชัยพอว่าอย่างนั้นมันสะดุดจิตปุ๊บในนิมิต ควรไปรถเทียนชัยหรือไม่ มันขวางทันทีเลยนะ พอว่ารถเทียนชัยมันขวางอยู่ในจิตนี้ สมควรจะไปรถเทียนชัยเหรอ เราว่างั้น มันเป็นอยู่ในนี้มันขวางอยู่ในนี้ทันทีเลย

        สักเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงรถบึ่งๆ มา ไปดูซิรถคันไหนมา เขาก็วิ่งปุ๊บออกไป รถกำลังวิ่งมานี่ รถ ร...ๆ มา เอ้าขึ้นคันนี้ๆ ถ้าไม่ได้ขึ้นคันนี้ไม่ได้ไปคันนี้ไม่ไปนะ เราว่าอย่างนี้นะ บอกให้เขาไปบอก เราขึ้นคันนั้นไป พอไปแล้วก็คงฝนตกทั้งคืน คืนที่ว่านิมิตนั้นน่ะ ตกตลอดไปถึงจังหวัดตราด พอเลยขลุงไปเท่านั้นแหละ โอ้โห จนกระเป๋ามันต้องได้เดินนำหน้า ร...มันสูงนี่ แล้วคอยทำมือโบกนี้ไปเป็นย่าน ๆ แล้วขึ้นเนินแล้วลงที่นั่น ก็ต้องเป็นอย่างนั้นไปตั้ง ๓ ย่าน ๔ ย่าน พยายามบุกไปจนได้ ไปค้างอยู่คืนเดียว พอกลับมาวันหลังนี้เท่านั้น โอ้โหมันมากยิ่งกว่าอะไร..น้ำ รถก็เลยมาถึงแค่ ๑๒ กิโลหรือไงตรงนั้น เราก็ลงมาถ่ายผ้าอาบน้ำแล้วเอาผ้าจีวรพันคอ ลุยน้ำขนาดนี้ ๓-๔ แห่ง บางแห่งก็ได้นั่งเรือเขามา เขามีเรือรอนี้ให้มาเหมือนกัน

        บางแห่งไม่มีเรือ มาถึง ๓ แห่ง ๔ แห่ง พอขึ้นมาเนินนั้นเห็นแต่ใบไม้ลาดอยู่ตามนั้น แล้วก็เห็นรถเทียนชัยตายอยู่นั้นไปไม่ได้ พอถึงเนินนั้นมันหมดที่จะไปแล้ว น้ำมันเดือด คันเทียนชัยน้ำมันเดือดแล้ว ตรงที่จะไปข้างหน้านี้มีแต่น้ำ เห็นรถเทียนชัยตายอยู่นั้น เห็นคนเอากิ่งไม้อะไรมากันดาดาษ ฝนพรำทั้งคืนนี่หมดคืนเปียกแฉะไปหมด มีรถคันเดียวทิ้งไว้นั้นไม่มีสักคนเดียว ไปดูบริเวณโน้นคนที่ตากฝนกัน โอ้โห ถ้าเรามารถคันนี้มันเป็นอย่างนี้เอง นี่ละมันถึงได้ขวางในจิตมันไม่ยอมจะขึ้นรถคันนี้ กี่คนมาก็อยู่นั้นหมด ไม่ทราบว่ากลับคืนไปนู้นหรือไปไหนก็ไม่รู้ กลับคืนไปเขาสมิงหรือไปไหนก็ไม่รู้ เราก็ไม่ได้ถามเขา เพราะไม่มีคนสักคนเดียว รถเทียนชัยอยู่นั้นก็ไม่มีคนเฝ้านี่นะมีแต่รถ โห เทียนชัยเป็นอย่างนี้หรือ มองดูตามข้างทางใบไม้ปูเกลื่อนไปหมดเลย มีแต่ขี้ตมขี้โคลนเต็มไปหมดเพราะฝนพรำทั้งคืนนี่แล้วทำไมคนจะไม่แย่ล่ะ พอตื่นเช้ามาก็ออกจากนั้นแล้วก็มาค้างที่วัดขลุง วัดท่านวิริยัง วัดธรรมมงคล

        พอตื่นเช้ามาก็ขึ้นรถมาแต่เช้า เป็นวัน ๑๕ ค่ำพอดี วันเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำจะเข้าพรรษาพอดี พวกญาติโยมก็แน่นอยู่นี่ มาถึงและเขามาถึงก่อนเราเต็ม รถเราก็ลงนั้น พอถึงพระก็เดินเข้ามา  มีคนที่มารออยู่แล้วก็มาก คนกำลังหลั่งไหลมา พระบิณฑบาตกำลังมาถึงก็มี ยังไม่มาก็มี แต่คนแน่นเพราะวันนั้นเขาถือเป็นวันรวมการเข้าพรรษา

        อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นอุปสรรคเรื่องกาลเวลา มันเป็นจริง ๆ นะ จะมาตามเวลาไม่ได้มันติด คือว่าไม่จำเป็นแล้วผมจะกลับวันพรุ่งนี้ ไม่กลับไม่ได้พรุ่งนี้ จะกลับมาให้ถึงนี้ให้ได้วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เลยมาค้างที่ขลุงนั้นเสียคืนหนึ่ง ๑๕ ค่ำตอนเช้าถึงได้ออกจากนู้น

        เรื่องนิมิตนี้ผมไม่ค่อยเท่าไร นอกจากมันสำคัญจริงๆ ผมถึงจะยึดเอามาพิจารณา ถ้าธรรมดาๆ ที่มันเป็นในจิตนิดๆ ก็ไม่เป็นไร เท่าที่เด่นมากก็คือเกี่ยวกับเรื่องคนจะมาทำบุญทำทานนี้รู้สึกเด่น มันมาผ่าน จิตใจของคนกระแสของจิตมันเป็นเหมือนคลื่นอากาศอย่างไรไม่รู้นะ เหมือนคลื่นวิทยุออกอากาศ นี้เป็นไปตามนิสัยของคน แต่เราก็ไม่ค่อยจะไปสนใจกับเรื่องนิมิตอะไร มันหากเป็นความรู้แปลก ๆ อย่างนี้ โดยเฉพาะแม่แก้วนี่เก่งมาก

        อย่างนี้มันเกี่ยวกับเรื่องนิสัยของแต่ละคนๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพานนะ ไม่ใช่เป็นเรื่องของมัชฌิมาปฏิปทา เป็นพิเศษอันหนึ่งต่างหาก จึงไม่ควรสนใจ ตั้งหน้าประพฤติปฏิบัติให้ได้หลักได้เกณฑ์ และทุกวันนี้ด้านวัตถุกำลังเหยียบย่ำทำลายพระกรรมฐานเรานะให้พากันระมัดระวัง เพราะการอยู่ด้วยกันเป็นของไม่แน่นอน ต้องได้โยกได้ย้ายกันไปที่นั่นที่นี่ เวลาจะตั้งเป็นรากเป็นฐานในสถานที่ใดแล้วพากันไปยุ่งกับเรื่องการก่อการสร้างนะ ซึ่งเป็นการทำลายจิตตภาวนาอย่างยิ่ง ผมเห็นว่าเป็นภัยอย่างยิ่งสำหรับนักภาวนา เกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้างนี้

        เพราะฉะนั้นผมถึงได้ปัดเสมอวัดนี้ ใครจะมาสร้างให้ก็มายุ่ง ไม่ว่าแต่เราสร้างเอง คนอื่นจะมาสร้างให้มันก็ยุ่ง มันเป็นภาระให้วุ่นอยู่นั่นละ สัมมากัมมันตะส่วนหยาบจนกลายเป็นสมุทัยแก่ธรรมอยู่ภายในจิตได้ เช่นการก่อสร้าง เป็นสาเหตุที่จะทำลายจิตใจได้ ตัวนี้สำคัญ สัมมากัมมันตะของประชาชนทั่วไปตามขั้นภูมิของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่สำหรับพระแล้วเหล่านี้มิใช่สัมมากัมมันตะ เป็นการทำลายจิตตัวเอง เมื่อเป็นสิ่งที่ทำลายได้นั้นจะเรียกสัมมาได้ไง มันก็ผิดซิ

        แม้แต่ในมหาขันธ์ท่านก็ยังเคยพูดไว้เขียนไว้ ผู้ประกอบความพากเพียรให้พึงสังเกตระมัดระวัง สถานที่ที่ควรไปไม่ควรไป สถานที่ควรอยู่ไม่ควรอยู่ สถานที่เช่นใดที่ควรอยู่ ที่ไม่ควรอยู่ เช่นไปตั้งสำนักหรือไปพักภาวนาอยู่ริมน้ำเป็นท่าน้ำ แม้ที่สุดต้นไม้ที่มีนกมีกามารุมกินมาก ๆ ก็ไม่เหมาะ สถานที่ท่านกำลังก่อสร้าง หรือโบสถ์วิหารอะไรชำรุดทรุดโทรม กุฏิชำรุดทรุดโทรม ท่านกำลังก่อสร้างหรือสร้างอะไรก็ตาม สถานที่เช่นนั้นไม่ควรจะเข้าไปอยู่จะเข้าไปอาศัย เพราะเป็นการก่อกวนวุ่นวายแก่การปฏิบัติของตน ในมหาขันธ์ท่านพูดอย่างนี้

        การอยู่กับสำนักนั้นสำนักนี้ในวงกรรมฐานเราก็ไม่เหมือนกัน ที่จะเข้มงวดกวดขันทางด้านจิตตภาวนานี้ต่างกันอยู่มาก เพราะส่วนมากมักจะเถลไถล เพราะฉะนั้นผมจึงวิตกวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องว่าพระกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นนี่ ยังเขียนไว้ในปฏิปทาฯ เพราะกิเลสมีอยู่ในหัวใจแล้วต้องลืมตัวได้คนเรา ยิ่งเห็นเขาเคารพนับถือแล้วก็ลืมเนื้อลืมตัว ดินเหนียวติดหัวเข้าใจว่าตัวมีหงอนไปเสียนั่นละมันจะเสีย เราวิตกวิจารณ์มากกับคณะกรรมฐานเรา เช่น ไปกรุงเทพบ่อยๆ อย่างนี้ ถูกเขานิมนต์ไปกรุงเทพลืมเนื้อลืมตัวไปละซิ จิตใจไม่มีรากมีฐานมั่นคงมีทางเสียได้เอนไปได้ เมื่อเอนไปแล้วก็ล้มได้ เลยกลายเป็นเรื่องกรรมฐานหากินไป ถ้าหากจิตใจมีหลักมีฐานยังไงก็ไม่เป็น จะไปนอนอยู่ในกองสมบัติก็ไม่ติดไม่หลง ไม่พัวพัน ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ที่เรื่องของกิเลสเต็มหัวใจนี้ยังไงก็ติด ยังไงก็ลืมเนื้อลืมตัวได้ ยิ่งมีคนเคารพนับถืออะไรก็ยิ่งเห่อเหมือนกับตัวมีหงอนไป นั่นละตรงที่มันจะเสีย

        กรรมฐานอย่างแท้จริง ตามเหตุของพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านดำเนินมา ต้องมีขาดเขินบกพร่อง กินอะไรก็เขียม ๆ อย่างนั้น เกี่ยวกับเรื่องวัตถุนั่นเหมาะ แต่ภายในไม่บกพร่อง เรื่องความเพียรไม่บกพร่อง เต็มเม็ดเต็มหน่วย วัตถุกับปัจจัยไทยทานต่าง ๆ มีความบกพร่องเป็นธรรมดา นี่เหมาะสำหรับกรรมฐาน เราเคยอยู่แล้ว สี่หลังคาเรือนเราก็เคยอยู่ เจ็ดแปดหลังคาเรือนเราก็เคยอยู่ สิบสี่สิบห้าหลังคาเรือนเราเคยอยู่ จำนวนน้อย ๆ นะ แม้แต่ไร่เขา ๒ ครอบครัว เราไปอาศัยชาวไร่เขา เราก็เคยอยู่ก็ไม่เห็นตาย เราไปหาเองนี่ เราจะไปเป็นอารมณ์กับอาหารเราจะไปหาที่เช่นนั้นได้เหรอ เราเป็นอารมณ์กับธรรม เรามุ่งมั่นต่อธรรมเราจึงไปหาที่อย่างนั้น

        ลิ้นเรามันยาวมันกว้านเอานั้นเอานี้ได้มาก ๆ พุงมันก็โต ถ้าอยู่บ้านใหญ่เมืองใหญ่มีผู้เคารพนับถือมาก คนทำบุญทำทานมาก ลิ้นมันก็ยาวท้องมันก็ใหญ่กินเท่าไรไม่มีพอ เพราะฉะนั้นจึงต้องหาวิธีดัดสันดานเจ้าของ ไปอยู่ในที่ขาดๆ เขินๆ เช่นนั้นให้เขาดัดสันดานช่วยเรา โดยลำพังเราไม่สามารถจะดัดสันดานเจ้าของได้ ต้องให้สิ่งเกี่ยวข้องสิ่งแวดล้อมดัดสันดานช่วย เราจึงไปหาอยู่ในที่เช่นนั้น

        เมื่อไปอยู่ในที่เช่นนั้นแล้วเราไม่เคยเป็นอารมณ์กับอาหารการกิน แม้แต่ข้าวเปล่า ๆ บางวันก็ไม่พอ แต่เราไม่ได้มาคิดว่าวันนี้อาหารไม่พอจะเป็นอารมณ์ ตั้งแต่เราอดมากี่วันเราก็ไม่เห็นตาย ได้กินอยู่ขนาดนี้แล้วจะตายก็ตายไปซิ ก็เรามาหาอย่างนี้นี่นา ให้เขาดัดช่วยนี่ว่าไง เจ้าของยังไม่สามารถดัด จะมาเกี่ยงเอาอะไรอีก

        นี่วิธีแก้เจ้าของเคยทำ เคยอยู่มาแล้วทั้งนั้น อยู่ที่เช่นนั้นยิ่งเจริญดีจิตตภาวนา ฉันจังหันมีแต่ข้าวเปล่า ๆ ข้าวเปล่า ๆ บางวันก็ไม่อิ่ม แต่มันก็เหมาะแล้วเพราะเราหาที่อย่างนั้นนี่ เวลาภาวนานั่นตอนมันเห็นฤทธิ์กันตรงนั้นนะ นั่งภาวนานี้เป็นหัวตอ แน่วเลย จิตไม่วุ่นวายธาตุขันธ์ก็ไม่ทับ ความง่วงเหงาหาวนอนไม่มารบกวน ฉันแต่ข้าวเปล่า ๆ นี้ ความง่วงเหงาหาวนอนไม่กวน ถึงฉันอิ่มก็ตามก็ไม่เห็นกวน มันเป็นเพราะกับผมว่านะ

        คือได้ลองทุกอย่าง ๆ ถ้าหากเราฉันธรรมดามีกับมีอะไร ๆ แล้วฉันมากเท่าไรก็ยิ่งง่วงมาก.นอน ภาวนานี้คอยแต่จะง่วง เอ๊ะทำไมเป็นอย่างนี้ มีแต่ข้าวเปล่า ๆ ฉันอิ่มก็ไม่เห็นง่วง มีก็พอรู้สึกนิด ๆ เท่านั้นละ ฉันน้อย ๆ ก็ยิ่งไม่ง่วง ไม่ฉันเลยมันก็ยิ่งไม่ง่วง นี่เราหาที่เช่นนั้น เราไม่ได้ตำหนิติเตียนกับเรื่องอาหารว่ามีมากมีน้อย เพราะเราไปหาเองนี่ เรียกว่ามือเขียนมือลบ เขียนด้วยมือลบด้วยมืออย่างนี้ ต้นกับปลายต้องตรงกัน

        ปฏิปทาเช่นอย่างที่ผมปฏิบัติมานี้ สำหรับนิสัยผมเองต้องเป็นปฏิปทาอดอยากไม่ได้สมบูรณ์ เราไม่หานี่ความสมบูรณ์ เราหาอย่างนั้น เรื่องอะไร ๆ จะขาดตกบกพร่องขาดไปซิไม่ได้เป็นอารมณ์เลย แต่เรื่องความพากเพียรทางด้านจิตใจนี้จะขาดไปไม่ได้ จิตมันแน่วอยู่ตรงนี้มันจ่อๆ อยู่ตรงนี้ไม่ได้จ่อที่อื่น แล้วเวลาจะได้สติสตังหรือได้อุบายต่างๆ เหล่านี้ก็ได้ด้วยสถานที่เหล่านั้น ที่เราหาเองนั้นมากกว่า กับที่เอาเป็นเอาตายเข้าว่า

        มีอยู่ ๒ อย่าง เช่นตอนเอาเป็นเอาตายเข้าว่า ความหมายคือนั่งตลอดรุ่ง ฟาดมันตลอดรุ่งให้มันเห็น เราอดอาหารจนเดินโซซัดโซเซจะหกจะล้มมันก็ได้อุบาย แต่เป็นที่หนึ่งก็คือนั่งแบบเอาเข้าตะแลงแกงเลย ไม่ถึงเวลาไม่ยอมให้มันลุก อันนี้เป็นที่หนึ่งสำหรับผมเอง นิสัยเรามันหยาบถ้าไม่ทำอย่างนี้มันไม่ได้ ไม่เหมาะกับเจ้าของเองซึ่งเป็นนิสัยหยาบ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วถึงใจ การทำถึงใจผลที่ปรากฏขึ้นมาถึงใจทุกอย่างเลย หาที่ต้องติไม่ได้ ถ้าลงวันไหนได้ทุ่มลงไปขนาดนั้นแล้วได้ความอัศจรรย์ทุกคืนไม่มีพลาดเลย

        พูดถึงเรื่องสกลนคร ไปอยู่ตามพวกบ้านป่า ๆ เขา ๆ ไปภาวนา ไปทางไหนก็เหมือนกันไปหาอยู่อย่างนั้นนะ บ้านไหนบ้านใหญ่ๆ มีคนมาเคารพนับถือมากหลั่งไหลมาหาเรา โอ๊ย บ้านนี้อยู่ไม่ได้ นึกในใจ คนกวนไม่ได้ภาวนา

 

***********

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก