เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๑
เข็มทิศทางเดิน
อย่าพากันหาญคิดหาญสนใจต่อไป ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องล่มจมแน่นอน เราอย่าไปสงสัยว่าโลกนี้จะมีใครมีความสุข ไม่มีเรายืนยันได้เลยถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว เราอย่าเข้าใจว่าวัตถุสมบัติจะยังโลกให้มีความสุขความเย็นใจและสงบสุขสบาย ไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเชื้อของไฟ เป็นเครื่องส่งเสริมจิตใจให้เห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว แล้วก็ทำไปในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องมนุษย์จะทำเลย ทีนี้สิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการก็คือเรื่องความทุกข์ความฉิบหายป่นปี้ก็เป็นมาได้ เพราะเหตุเปิดออกมาแล้วผลจะปิดได้ยังไง
จิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้รับการอบรม ถ้าเรายังเห็นว่าเรามีคุณค่าแล้ว เราต้องเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งยังคนให้ประเสริฐหรือหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับ ว่าเป็นของมีค่าเหมือนกัน ถ้าจิตใจยังเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นของมีค่าอยู่ตราบใด ก็คือการทำลายตัวเองอยู่ตราบนั้น ทำลายไปโดยลำดับ
เฉพาะนักบวชนักปฏิบัติเรานี้ห่วงใยเสียดายอะไร ผลของมันก็เห็นอยู่นั้นอย่างชัดๆ นี่ ใครมาหามีแต่มาระบายเรื่องกองทุกข์ให้ฟัง เรานี่มันมากต่อมากที่เกี่ยวข้องกับคน ไม่เคยมีใครที่จะนำเรื่องความสุขความสบายมาเล่าให้ฟังเลย ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย คนโง่คนฉลาด ทั้งหญิงและชาย ฐานะชั้นไหนๆ ก็ตามเถอะ มีแต่เรื่องอันเดียวนี้ละมาเล่าให้ฟัง มาระบายเรื่องความทุกข์ความลำบาก
ลองคิดดูซิ หากว่าความเป็นของโลกที่เขาดำเนินกันอยู่นั้น เป็นสิ่งที่ให้ความสุขความสมหวังดังโลกต้องการจริงๆ แล้ว เขาทำไมจึงต้องมาบ่นกัน นั่นก็คือเขาได้รับความทุกข์ นำเรื่องความทุกข์มาบ่นกันนั่นเอง และไม่ทราบว่าจะแก้มันยังไง จะแก้เรื่องทุกข์นั่น ถ้าไม่มีศาสนาเป็นเครื่องกระตุกบ้างแล้วก็แย่ จึงขอให้ผู้ปฏิบัติตระหนักใจ
พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทุกอย่างทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูก ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทรงแสดงทั้งหมดไม่ปิดบังลี้ลับ โทษแห่งความเป็นของกิเลส มันพาให้คนได้รับความทุกข์เพราะมันอย่างใดบ้าง พระองค์ก็แสดง ราคะก่อทุกข์ให้เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง โทสะก่อให้เกิดทุกข์อย่างไรบ้าง โมหะก่อให้เกิดทุกข์อย่างไรบ้าง ความโลภก่อให้เกิดทุกข์อย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ไม่ปรากฏว่าก่อความสุขให้โลกเลย นั่นฟังซิ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ทรงค้นพบจริง ๆ ประจักษ์พระทัยตรัสไว้อย่างนั้น
ถ้าเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเราจะเชื่อใคร หัวใจเรามันจอมปลอมไปกับสิ่งอันนี้อยู่แล้ว มีแต่จะพยายามกำจัดปัดเป่ามันออกไปด้วยอรรถด้วยธรรม สิ่งที่เห็นว่าถูกต้องแล้วตามหลักธรรม เราจำต้องฝืนที่จะต้องทำให้มีในสิ่งที่พระองค์สอนให้ส่งเสริมให้มี ส่งเสริมสอนให้กำจัด จะยากลำบากเสียดายอาลัยขนาดไหนก็ต้องกำจัด เพราะเราเชื่อเราไม่ได้ เราเชื่อได้แต่พระพุทธเจ้าผู้ฉลาดแหลมคมกว่าเรา เหมือนอย่างคนตาบอดที่หวังแห่งความปลอดภัยแก่ตนก็ต้องเชื่อคนตาดี คนตาดีพาไปทางไหนก็ต้องไป สูงต่ำลำบากลำบน ราบรื่นหรือขรุขระอะไรตามสายทาง เมื่อคนตาดีพาไปทางไหนก็ต้องไป เชื่อคนตาดีแล้วปลอดภัย
แต่ถ้าไม่เชื่อคนตาดี เชื่อตัวเองซึ่งเป็นคนตาบอดแล้ว ไปไหนก็ไม่พ้นจากความไปโดนเอากองทุกข์ละ หัวตอก็เป็นภัย ต้นไม้ก็เป็นภัย สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าขวากว่าหนาม เป็นหลุมเป็นบ่อเป็นโสกเป็นเหว เป็นน้ำเป็นโคลน มีแต่เป็นข้าศึกทั้งนั้นสำหรับคนไม่เห็น คนตาบอดจะต้องโดนทั้งนั้น คนตาดีแล้วไม่โดน หลบหลีกปลีกตัวไปได้อย่างสะดวกสบาย เพราะตาเห็นอยู่ สิ่งนี้จะเป็นภัยฝืนเข้าไปเหยียบย่ำมันทำไม ฝืนไปโดนมันทำไม ฝืนเข้าไปทำไม
อย่างพวกเราตาบอดก็ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีหูทิพย์ตาทิพย์ ทรงมีญาณทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมมูลหมดแล้ว สอนอย่างไรก็ต้องพยายาม ทุกข์ยากลำบากในการถอดถอนกิเลสอาสวะ ก็พยายามให้เต็มความสามารถ สิ่งใดที่ควรจะแก้ เอ้า แก้ อาลัยเสียดายขนาดไหนก็ต้องแก้ เพราะเสียดายก็คือเสียดายหัวหนามที่ยอกอยู่ในฝ่าเท้า เสียดายมันอะไร เจ็บก็ต้องทน ถอนมันออกมาถอดออกมาจนได้ นี่กิเลสตัณหาอาสวะฝังจิตใจลึกยิ่งกว่าหัวหนาม จะไม่ให้ทุกข์ยากลำบากเพราะการถอดถอนมันจะได้หรือ ต้องทุกข์
พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมาแล้วและยอมรับมาแล้วว่าทุกข์ ขนาดสลบไสลจะไม่ทุกข์อย่างไรคนเรา นี่ก็คือการประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสนั่นเอง ขนาดที่สลบไสล อดพระกระยาหาร ๔๙ วันก็เพื่อถอดถอนกิเลสนี้เอง เป็นแต่เพียงว่าใช่ทางหรือไม่ใช่ทางพระองค์ยังไม่ทรงทราบ เพราะเป็นสยัมภู จะพึงรู้เองเห็นเอง ปฏิบัติดำเนินโดยลำพังพระองค์เอง ไม่มีครูมีอาจารย์ผู้แนะนำพร่ำสอนเหมือนอย่างพวกเราที่มีอยู่แล้วนี้ ทั้งตำรับตำราทั้งครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนอยู่ มันผิดกันคนละโลกกับพระพุทธเจ้า ที่ทรงดำเนินไปโดยลำพังพระองค์เอง ก็ต้องเหยียบขวากเหยียบหนาม ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการจะเหยียบก็ต้องได้เหยียบเป็นธรรมดา โดนความทุกข์ความลำบาก เช่นอย่างทรงอดพระกระยาหาร ๔๙ วัน ไม่เป็นทุกข์ถึงขนาดแล้วจะเป็นทุกข์ถึงขนาดไหน เราพิจารณาดูซิ ก็ทรงทำทรงฝ่าทรงฝืนทุกสิ่งทุกอย่าง
การเสด็จออกทรงผนวช ด้วยความอาลัยเสียดายบริษัทบริวารไพร่ฟ้าประชาชน ตลอดพระราชโอรสพระชายา ในวงศ์สกุลก็ล้วนแล้วแต่เป็นกษัตริย์ จะไม่อาลัยเสียดายอย่างไร ทำไมพระองค์จึงทรงฝืนขนาดนั้น ทรงทำได้ ไม่ฝืนทำไม่ได้ ต้องฝืน แน่ะ เราก็ทราบแล้ว ฝืนเพราะทรงเล็งเห็นผลข้างหน้าว่าจะเลิศยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว การฝืนนี้แม้จะทุกข์ยากลำบาก ความสุขก็คุ้มค่ากัน คือความเป็นศาสดาของโลกตามพระประสงค์ จึงต้องฝืน และฝืนอยู่ทุกเวล่ำเวลาทุกแง่ทุกมุมเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
เวลาไปประทับอยู่ในสถานที่ใด สถานที่อยู่นั้นก็ไม่ใช่สถานที่อยู่ของกษัตริย์นี่ สถานที่อยู่ของคนขอทานเราดีๆ นี่เอง อาหารก็ไม่ใช่อาหารของกษัตริย์ ฟังซิ อาหารของคนขอทานเราดีๆ นี่ การหลับการนอนเครื่องนุ่งห่มใช้สอยไม่ใช่เครื่องของกษัตริย์ทั้งนั้น เป็นเครื่องของคนขอทานเราล้วนๆ พระองค์จะไม่ฝืนอย่างไรล่ะ ฝืนอยู่ ฝืนเสวย ฝืนหลับฝืนนอน ฝืนนุ่งห่มใช้สอยไปตามสภาพ เพราะทรงมุ่งหวังต่อธรรมอันแรงกล้า ฝืนก็ทรงฝืน เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เอ้า สลบก็สลบ เมื่อพ้นจากสลบก็ฟื้น พระองค์ก็ยอมให้สลบ และทรงทำจนสลบถึง ๓ หนเราเห็นอยู่แล้วในตำรับตำรา ลำบากไหมพิจารณาดูซิ นี่ละจอมศาสดาของเราต้องลำบากถึงขนาดนี้
เหตุใดเราเป็นผู้คอยล้างมือเปิบ เพียงแต่ไปเปิบข้าวมาใส่ปากก็ยังจะร้องไห้ เห็นว่าลำบากลำบนแล้วก็อย่ากิน ปล่อยให้ตายจะเป็นทุกข์ไหมนั่น กว่าจะตายมันก็ต้องหิวโหย มันพอตายมันถึงจะตาย เปิบข้าวมาใส่ปากยังเห็นมีความลำบาก เอ้าอย่างไหนสบาย ไม่ต้องเปิบละ เอ้า อยู่เฉย ๆ ได้ไหมไม่ต้องกิน บทเวลาความหิวโหยมันแผดมันเผาเข้านั้น ยิ่งเป็นทุกข์มากเห็นไหมล่ะ คิดซิเหล่านี้สติปัญญามี จะทุกข์มากขนาดไหน ทุกข์มากยิ่งกว่าการเปิบข้าวใส่ปากไม่ใช่เหรอ ดีไม่ดีตายถ้าไม่มาเปิบไม่มากินมาทำงานประเภทนี้ต้องตาย นี่ละความยากลำบาก
บรรดาพระสาวกทั้งหลายก็มีคล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้าอยู่มาก เป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆ ที่ได้ออกไปได้รับความสะดวกสบาย สำเร็จมรรคผลนิพพานไปเลยมีน้อยมาก ที่เรียกว่าขิปปาภิญญา ควรที่จะได้บรรลุก็ถึงจะได้บรรลุ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ก็บรรลุเอาๆ เราต้องฝืน นี่เป็นเครื่องเตือนเราให้มีความขะมักเขม้น ให้มีความบึกบึนอดทน พูดง่าย ๆ ต่อสู้
กิเลสไม่ใช่ของดี ให้เข้าใจอย่างนั้น คือตัวเวรทีเดียว ตัวพิษร้ายฝังอยู่ภายในใจเสียด้วย ไม่ใช่ฝังอยู่ภายนอกผิวหนัง หรือค้างอยู่บนบ่าบนศีรษะพอจะสลัดปัดทิ้งได้ง่ายๆ มันฝังจมอยู่ภายในหัวใจ ซึ่งจะต้องได้ทำการถอดถอนกันอย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยอุบายวิธีแห่งความเพียรภาคต่าง ๆ นี่จะไม่ยากลำบากอย่างใด ต้องยากต้องลำบาก
ลำบากเราก็ทน เราก็ทราบแล้วว่าเราถอดถอนหัวหนามให้ออกจากหัวใจ ถ้าถอนออกได้มากน้อยก็ค่อยเบาลงไปๆ หนามไม่ใช่หนามเดียวเสียด้วยนะ หนามใหญ่ๆ เป็นหอกเป็นหลาวถึง ๓ หนาม ๔ หนาม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา มีแต่หนามสำคัญๆ เสียด้วย ยอกเข้าแล้วถอนไม่ขึ้นง่ายๆ ด้วยนะ จึงต้องได้ทุ่มเทกำลังความสามารถลงไปให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
อย่าไปคิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น โลกดินน้ำลมไฟนี้เคยมีมาตั้งแต่กาลไหนๆ แล้วไม่สูญหายไปไหน อย่าไปเสียดาย อย่าไปวาดภาพ อย่าเอาความคิดไปปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้ขึ้นมาหลอกลวงตนเอง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี ถ้าจิตไม่ออกไปเกี่ยวข้องวุ่นวายและก่อเรื่องให้เกิดขึ้นมายุแหย่ก่อกวนเจ้าของแล้ว โลกทั้งโลกจะเหมือนไม่มีเลยภายในจิต เพราะจิตไม่ออกไปเกี่ยวข้องยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ไปวาดมโนภาพต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งอดีตอนาคตทั้งปัจจุบัน เข้ามายุแหย่ก่อกวนตนเองให้เป็นเหมือนกังหันหมุนติ้วๆ นั่นแหละมันถึงเกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าจิตไม่ออกไปยุ่งเสียอย่างเดียวเท่านั้น โลกมีก็เหมือนไม่มี
เอ้าพิจารณาไปซิ จะไม่หนีจากที่พูดนี้ ไม่พ้นไปได้ จะยอมรับคำพูดอันนี้อย่างถึงใจเมื่อปฏิบัติให้ถึงจุดนี้แล้วนะ นี่เคยได้เป็นมาเป็นลำดับลำดา เวลาล้มลุกคลุกคลานมีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายเรา ทั้งล้มทั้งลุกทั้งเหมือนกับว่าจะสลบไสลไปก็มี เรื่องอำนาจของกิเลสมันเล่นงานเรา เราก็เป็นมาแล้ว เคยเป็นมาแล้ว ภาวนาจิตมีแต่ความคึกความคะนอง ดิ้นรนกวัดแกว่งยิ่งกว่าจะเอาไปฆ่านะ เป็นมาแล้ว แต่ก็เพราะความเพียร ความเพียรนี่สำคัญมาก ความต่อสู้ ความเอาจริงเอาจัง ความเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ความมุ่งมั่นเป็นเข็มทิศทางเดิน เป็นเครื่องดึงดูดความเพียรทั้งหลายให้เป็นไปตามกัน วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นไปตาม ๆ กัน
เรื่องความมุ่งมั่นสำคัญมากนะ เราได้เห็นคุณค่าเหลือเกิน เพราะเรามุ่งมั่นต่อธรรมแดนพ้นทุกข์อย่างสุดหัวใจ ไม่หวังจะค้างอยู่ในโลกไหนๆ เลย ตั้งแต่เวลาเริ่มออกมาปฏิบัติมีความมุ่งมั่นอย่างนั้น แม้ตั้งสัจอธิษฐานเอาไว้ในขณะที่เรียนหนังสืออยู่เราก็ตั้งสัจอธิษฐานว่า เรียนสำเร็จตามความต้องการในภูมินั้นแล้ว จะออกปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
ทีนี้เมื่อออกมาแล้วกิเลสมันไม่ได้เห็นดีด้วยเรานะ เรื่องความหลุดพ้นของเรา พอมันจะอนุโมทนาเรา ยิ่งจะต้องฟัดกันอย่างเต็มที่ในขณะที่เราจะออกจากมัน เห็นไหมล่ะ ล้มลุกคลุกคลานเลยละ ขนาดสลบไสลว่าไง มันต่อมันสู้มันฉุดมันลากเรา แต่เราไม่ถอยนี่ จนกระทั่งจิตได้รับความสงบเยือกเย็น กิเลสตัวฟุ้งมากๆ ค่อยระงับตัวลงไปแล้วนี่ ระงับตัวลงไปเพราะเหตุใด ก็เพราะอำนาจแห่งความพากเพียรความพยายามความบึกบึนของเรานั่นเอง เห็นคุณค่าแห่งความเพียรประเภทเหล่านี้แล้ว กิเลสหมอบลงไปเป็นความสงบใจไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย
ตอนที่มันยังไม่สงบนี่ โอ้โห จิตนี่เหมือนกับผีตัวหนึ่งนะไม่ทราบเป็นยังไง เราไม่ลืมทั้งนั้นนะเพราะมันอยู่ในหัวใจ เป็นสัจธรรม ถึงจะเป็นพวก นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี ก็ตาม คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็ตาม ก็เป็นสัจธรรม เป็นสมุทัยสัจว่าไง เราออกมาปฏิบัติแล้วเหมือนมันจะกัดจะฉีกเรานี่จิตใจดวงนี้ แต่ไม่ถอย อะไร ๆ มันคิดไปได้หมด บางครั้งจนถึงวิตกวิจารณ์ เอ๊ ทำไมจิตตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ก็ไม่เห็นมันผาดโผนโลดเต้นถึงขนาดนี้ เรื่องกิเลสประเภทต่างๆ เมื่อเวลาออกมาปฏิบัติทำไมถึงเป็นอย่างนี้ บางทีได้วิตกวิจารณ์เจ้าของ แต่ความจริงก็คือ พอมีสติเข้าก็เหมือนอย่างตะกอนมันนอน พอเราจะพยายามเอามันออกมันก็ฟุ้งขึ้นมาตะกอน ก็มีเท่านั้นละไม่มีมาจากไหน เวลาถูกคุ้ยเขี่ยก็ฟุ้งขึ้นมาทำน้ำให้ขุ่น ก็มีเท่านั้นละ
เอามันออกเป็นลำดับลำดา สุดท้ายมันก็สงบ แกว่งด้วยสารส้มลงไปๆ เพราะความเพียรในท่าต่างๆ ของอิริยาบถ อุบายต่าง ๆ ของความเพียรพยายามมันก็สงบได้ แน่ะ กิเลสประเภทนี้ก็เรียกว่าหมอบ พอมีความสุขบ้างที่นี่ จิตไม่ระเหเร่ร่อนไม่วุ่นวายเสียจนเกินเหตุเกินผล ทั้งๆ ที่ออกปฏิบัติมันดิ้นจริงๆ เห็นได้ชัดๆ ไม่เคยลืมเลย แต่สำคัญที่จิตไม่ถอยเท่านั้นเอง มันจะผาดโผนโลดเต้นพาเหาะพาบินไปตกนรกอเวจีที่ไหนเราก็ไม่ถอยที่จะต่อสู้มัน สุดท้ายมันก็สงบให้ นี่พูดถึงเรื่องความผาดโผนของกิเลสมันแสดงอย่างออกหน้าออกตา แต่ความผาดโผนของความเพียรเราก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป เพราะฉะนั้นมันถึงได้สงบตัวลงไป นี่ยากหรือไม่ยาก พิจารณาซิ
ถ้าจิตมีความสงบแล้วก็พอสบายคนเรา หากจิตไม่มีรากฐานแห่งความสงบเลยนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่เถอะ มีแต่ความร้อนวุ่นวายไปหมด แม้ครูบาอาจารย์ให้อุบายแนะนำสั่งสอนมันก็ยังไม่พอใจจะว่าอะไร ยิ่งครูบาอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวบ้างแล้วเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาภายในจิตใจ ทั้งๆ ที่คำดุด่าว่ากล่าวนั้นเป็นธรรมอย่างยิ่ง แต่เพราะหัวใจเรามันเป็นไฟ ธรรมกับไฟคือกิเลสนั้นไม่เข้ากันเป็นข้าศึกกัน มันก่อฟืนก่อไฟขึ้นมาเผาเรา ด้วยความไม่พอใจในสิ่งนั้นสิ่งนี้ คำนั้นคำนี้ของครูบาอาจารย์ มันเป็นไปได้เหล่านี้ นี่ละถ้าใจไม่สงบเป็นได้เป็นได้ง่ายๆ ทีเดียว ถ้าใจสงบแล้วเรื่องเหล่านี้ก็ค่อยสงบระงับไป สงบมากเท่าไรก็ยิ่งสงบระงับลงมาก ได้เห็นคุณค่าของโอวาทคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
ออกจากนั้นก็เอาซิ จิตก้าวเข้าไปสู่วิปัสสนาพิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แยกธาตุแยกขันธ์ จิตเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยปัญญา เข้าใจไปโดยลำดับ ยอมจำนนๆ ตามปัญญา จิตพิจารณาโดยทางเหตุทางผลแล้ว ทีนี้จิตก็ยิ่งมีความเบาลงไป ๆ สบายลงไป เรื่องราคะตัณหาก็เหมือนกับไม่มีทั้งๆ ที่มันดิ้นของมันอยู่ มันสงบตัวลงไปเพราะอำนาจแห่งความเพียร นี่เราก็จับอันนี้เป็นสักขีพยานเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้สงบไปเพราะอะไร เพราะความเพียรด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ ยิ่งทุ่มลงไปเรื่อย ๆ
นี่พูดถึงเรื่องความเพียรฆ่ากิเลสมันต้องยาก เพราะธรรมเป็นของประเสริฐ มันอยู่ฟากกำแพงกี่ชั้น กี่ร้อยกี่พันชั้น กำแพงนี้ได้แก่กิเลส มันขวางกั้นไม่ยอมให้ไป ต้องฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป เอ้า ถ้าจะเทียบเรื่องทางโลกก็ระเบิดน่ะซิ มีกี่ประเภทต้องได้ทุ่มกันลงๆ ถึงขั้นปรมาณูนิวเคลียร์ก็ฟาดมันลงไป ถึงขั้นสติปัญญาที่อย่างฉลาดแหลมคมควรแก่กิเลสประเภทใด จะทำลายกิเลสประเภทใดได้ก็ต้องทุ่มกันลง ๆ
ความเพียรก็หนัก เป็นก็เป็น เหมือนกับว่าเราจะตายไม่ตายก็ให้รู้ เราไม่ตายให้กิเลสตาย เอ้ากิเลสไม่ตายก็เราตาย มีสองเท่านั้นเพราะคู่ต่อสู้มีสองเท่านี้ จึงต้องทุ่มกันลงละซิ แล้วก็พ้นมือเราไปไม่ได้ กิเลสหมอบลงไปๆ ฆ่าไปด้วยนะ พอฆ่าตรงไหนฆ่า คำว่าฆ่าคือขาดออกไปด้วยความรู้ชัดของเรา ขาดออกไปๆ นี่เรียกว่าฆ่า หมอบลงไปคือความสงบของกิเลสประเภทนั้นๆ สงบตัวเข้าไป กิเลสมันหมอบ กิเลสประเภทใดที่ขาดออกไปจากใจ ทราบชัดว่าขาดออกไป นี้คือถูกฆ่าแล้วนี่ เพราะฆ่าด้วยปัญญา ชัดลงไปโดยลำดับ จนกระทั่งฆ่าหมดไม่มีอันใดเหลืออยู่ภายในใจเลย
นี่ความเพียรประเภทต่างๆ ที่เราล้มลุกคลุกคลานมา รวมมาเป็นพลังอันสำคัญ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เห็นคุณค่าของความเพียร เพราะได้รู้อันนี้เพราะความเพียรประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ขั้นล้มลุกคลุกคลานมา จนกระทั่งสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย เรียกว่าได้ชัยชนะเต็มภูมิ งานก็เสร็จสิ้นที่นี่ นี่งานศาสนา งานฆ่ากิเลสมีความเสร็จสิ้นลงได้ด้วยความเพียรของเรา มากน้อยช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับความเพียรความพยายาม อุบายวิธีการต่าง ๆ
สำคัญที่ปัญญา ถ้าไม่ชอบคิดชอบค้นแล้วปัญญาไม่ค่อยเกิด จิตหาความสงบไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิ จิตที่จะเป็นสมาธิคือความสงบไม่ได้เพราะไม่มีสติในขณะภาวนา มันก็ต่อเหตุต่อผลเกี่ยวเนื่องกันมาโดยลำดับ ถ้ามีสติคอยกำกับ มีความมุ่งมั่นมีความตั้งใจ มีความรักในอรรถในธรรมในความเพียรของตนแล้ว มันไม่หนีความพยายามไปได้ แล้วจิตก็สงบเพราะสติเป็นสำคัญ สงบลงได้แล้วก็เย็น เห็นผลเป็นลำดับลำดาไป
เราเห็นไหมในโลกสามโลกนี่ อยู่ใต้อำนาจของกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น มีใครอยู่เหนือกิเลสได้ นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น อุบายวิธีการที่จะได้ขึ้นอยู่เหนือกิเลส ก็ไม่มีใครแหลมคมยิ่งกว่าอุบายวิธีการของพระพุทธเจ้า และอุบายเหล่านั้นก็ทรงสั่งสอนพวกเราทั้งหลายอยู่แล้วเวลานี้ ในพระไตรปิฎกที่จดจารึกไว้เวลาท่านปรินิพพานล่วงไปแล้วเราอ่านนั่น อ่านอันนี้แล้วก็เข้ามาอ่านใจตัวเองดูซิ
อุบายวิธีใดที่ถูกกับจริตจิตใจของเรา ก็นำอุบายนั้นเข้ามาเป็นเครื่องมือของเรา ซักฟอกกิเลสตัณหาอาสวะของเราให้ปรากฏผลขึ้นมาด้วยเราเอง ผลอันนี้ไม่มีใครมาแบ่งสันปันส่วนเลย เป็นสมบัติของเรา ด้วยอุบายวิธีการของเราที่หยิบยืมมาจากพระพุทธเจ้าซึ่งประทานโอวาทไว้ เรื่องปัญญาสำคัญ ความรวดเร็วอยู่กับปัญญา อยู่กับความเพียร ความสงบก็อยู่กับความเพียรความพยายาม
จากนั้นก็ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาในสกลกาย ไม่ว่าข้างนอก เอ้ามันติดมันข้องมันดูดดื่มพอใจอยู่กับวัตถุสิ่งใด เอา นำวัตถุอันนั้นมาค้นคว้ามาพิจารณามาแยกแยะมาขยายดูให้หมด เช่น รูปเป็นต้น เป็นอย่างไรถึงรักถึงชอบมัน ดูให้ละเอียดลออจนกระทั่งกระดูกทุกท่อน อาหารใหม่อาหารเก่าที่เต็มไปด้วยของปฏิกูล ทั้งเนื้อทั้งหนังทั้งเส้นทั้งเอ็น เวลาเน่าลงไปแล้วเป็นยังไง กระจายออกจากกันหมด กระดูกทุกท่อนที่ติดต่อกันได้ด้วยเส้นด้วยเอ็น เส้นเอ็นเปื่อยไปแล้วกระจายไปด้วยกันหมด
ยังเหลือแต่กะโหลกศีรษะกับกระดูกนั้นรักได้เหรอ ชอบใจแล้วเหรอ ชอบใจได้เหรอ นั่นเรียกว่าปัญญา พิจารณานั้นย่นเข้ามาย้อนเข้ามาหาเจ้าของ พิจารณาลงไปแบบนั้น ดูซิกระดูกต่อกระดูกรักกันได้เหรอ ถ้าไม่ใช่ใจเป็นบ้าต่างหากไปหลงกระดูก กระดูกนี้เมื่อขยายออกไปให้ลงตามส่วนของมันอย่างแท้จริงแล้ว ก็คือธาตุดินดีๆ ไม่ว่าส่วนไหน พิจารณาเป็นขั้นปฏิกูลก็พิจารณา พิจารณาลงเป็นขั้นธาตุก็เอาให้มันชัดเจน ชัดเจนด้วยปัญญาทุกอย่าง ๆ จิตใจก็ถอนตัว
ซ้ำๆ ซากๆ พิจารณาให้มันเห็นชัด ให้มันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งวันทั้งคืน เหมือนกับเราเคยจมอยู่ในกิเลสที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนซิ ไม่งั้นก็ไม่ทันกัน จนกระทั่งพอแล้วมันถอนเอง พอแล้วอิ่มพูดง่าย ๆ อิ่มตัวแล้วถอนเอง ไม่มีใครบอกก็รู้มันพอ ไม่เคยรู้ก็รู้ จึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกขาด
นี่เคยพูดซ้ำๆ ซากๆ มาหลายครั้งหลายหนจนเบื่อจะพูดแล้วเบื่อจะฟังแล้วผู้ฟังก็ดี เป็นความจริงอยู่ตลอดเวลาแล้ว เราจะไปท้อถอยยังไง นี่เรียกว่าปัญญา พิจารณา เอ้า มันมีความดูดดื่มพอใจในรูปไหน เอามันมาฟาดให้แหลกหมดวันหนึ่งกี่หนไม่ต้องไปนับ เอ้า ให้มันอยู่ด้วยกันเลยกับสิ่งเหล่านี้ปฏิกูลโสโครก ในสิ่งที่มันเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของดีเป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจ พิจารณาให้มันเห็นชัดๆ หือ ชอบใจหรือนี่
ดังพระพุทธเจ้าทรงสอนสาวก เช่น นางสิริมาซึ่งเป็นผู้มีความสวยที่สุดแต่เป็นโสเภณี ผู้ชายมานอนร่วมคืนหนึ่งพันกหาปณะ คืนละพันกหาปณะ จนกระทั่งแกป่วย พอล้มป่วยแล้วยังมีธรรมในใจ มีความเลื่อมใสศาสนา นิมนต์พระไปฉันที่บ้านของแก ทั้งๆ ที่กำลังแกป่วย พอสาวใช้พยุงแกลุกขึ้นมาไหว้พระเท่านั้น พระโมฆะองค์นั้นเห็นเข้าก็รักชอบนี่ว่าไง เลยจะเป็นบ้าอยู่ในขณะนั้นเลยที่นี่ จะเป็นบ้าเอาในขณะนั้น รู้สึกจนกระทั่งจะลืมเคี้ยวอาหาร ไปกินข้าวบ้านเขานั่นจะลืมเคี้ยวอาหาร หลงรักนางสิริมา กลับมาถึงวัดแล้วกินข้าวกินน้ำไม่ได้เลยผอมโซจะตายไป ถามเป็นยังไง รักนางสิริมา ว่างั้นนะ แต่ดีนะพระครั้งพุทธกาลพูดตรงไปตรงมาดี
เผอิญในระยะนั้นนางสิริมาก็ตาย แต่ก่อนคงไม่มีกฎเกณฑ์อะไร ๆ เวลาตายพระองค์เสด็จเองและประกาศว่า วันนี้นางสิริมาตาย หากใครจะไปพิจารณากรรมฐานด้วยกันก็ไป พระองค์นั้นไปด้วยไปพิจารณา ต่อนั้นแล้วก็ดูว่าให้คนเอาศพนางสิริมานั้นไปเที่ยวประกาศทั่วเมือง ไปประกาศขาย เอ้า ใครจะเอาศพนางสิริมาเท่านั้นเอาไหม ๆ ลดลงไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งกหาปณะหนึ่งก็ไม่เอา คนตายมันเน่าเฟะลงไปแล้ว พระองค์นั้นถ้าหากว่าจำไม่ผิดก็พิจารณานี่แหละ เรื่องที่รักมากๆ หญิงคนนี้แหละเป็นเหตุ ว่าได้สำเร็จพระอรหัตผลนะ
พระองค์ก็ย่อมทรงมีความมุ่งหมายถึงต้องทำอย่างนั้น เพื่อหวังจะเอาพระองค์นี้ไม่ให้จมไปกับนางสิริมา ให้ขึ้นเสีย นางสิริมาจะตายก็ตายไป คนนี้จะจมไปด้วยความรักความติดจมนางสิริมาก็ถอนขึ้นมาได้ด้วยอุบายของพระพุทธเจ้าเอง นี่มีอยู่ในตำรา นี่ก็นานแล้ว หลงๆ ลืมๆ ไปแล้ว เมื่อมีสิ่งเทียบเคียงกันเข้า คนคนเดียวนั่นแหละที่ว่าสวยว่างามนั่นแหละ เมื่อพิจารณาไปตามส่วนแห่งความไม่สวยไม่งามความปฏิกูลของมันที่มีอยู่ในตัวของมันเองนั้นน่ะ ก็ต้องเข้าใจตามนั้น ความรู้ความเห็นความเป็นที่เคยเป็นมาก่อน ก็ต้องพลิกตัวไปตามความจริงนั้น เพราะการพิจารณาอย่างนั้นเป็นความจริงของมันในขั้นนั้น ออกจากนั้นก็กลายลงไปเป็นธาตุ
จิตก็เหมือนกัน เมื่ออยู่ในขั้นนี้ต้องพิจารณา อยู่ในขั้นรักต้องพิจารณาขั้นอสุภะเป็นยาแก้กัน จะข้ามนี้ไปไม่ได้ บนบ้านเราเห็นอยู่ แต่เราจะเหยียบบันไดนี้แล้วย่างใส่บ้านเลยไม่ได้ ต้องไต่ขึ้นไปโดยลำดับๆ เหยียบบันไดขึ้นไปเป็นขั้นๆ จนกระทั่งถึงบ้านถึงที่อยู่จริงๆ การพิจารณาธรรมะทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อติดอยู่ในที่ตรงไหน การแก้กันแก้ด้วยอุบายใดที่จะเหมาะสมกับความติดอันนี้ให้ถอนตัวออกมา เราก็ต้องแก้ด้วยอุบายนี้ จนกระทั่งมันหมดความติดแล้วก็จะไปพิจารณาอะไร ก็เหมือนกับขึ้นบันไดจนกระทั่งถึงบ้านแล้ว ใครจะไปกอดบันไดไว้ ไปกอดไว้ทำไมถ้าไม่ใช่บ้า
ผู้พิจารณาธรรมทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อพิจารณาจนถึงเหตุถึงผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีอะไรที่จะพิจารณาอีกแล้ว ก็ปล่อยโดยประการทั้งปวง ฟังซิ สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น นั่นถึงขั้นที่พระองค์จะทรงแสดงธรรมบทนี้ขึ้นมาแก่สาวกเป็นบางองค์ แต่ธรรมนี้สาธารณะทั่วไป หากมีบทมีเหตุที่พระองค์จะทรงแสดงโดยเฉพาะบุคคล จึงต้องยกธรรมบทนี้ขึ้นมา สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น นั่นเห็นไหม เมื่อถึงที่แล้วปล่อยหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ เพราะเป็นสมมุติทั้งนั้น
ทีนี้อาศัยอะไร จะอาศัยอะไร สิ้นความอาศัยแล้ว สิ้นความพึ่งพิง หมดแล้ว จิตก็เป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว ว่าจิตก็ว่าไปอย่างนั้นเอง เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วจิตก็ว่ากันไปอย่างนั้นแหละ ถ้าให้ถนัดใจก็ว่าธรรมทั้งดวง ธรรมทั้งแท่ง นั้นสนิทใจมากกว่า จิตทั้งแท่งหรือจิตบริสุทธิ์นี่ก็เหมาะ เพราะยังทรงธาตุทรงขันธ์ครองกันอยู่ระหว่างขันธ์กับจิต ว่าจิตบริสุทธิ์ไปเสีย ถ้าพูดถึงตามหลักความจริงของธรรมชาตินี้แท้ ๆ แล้ว จิตเป็นธรรมทั้งแท่งแล้วอาศัยอะไร พึ่งพิงอะไร นี่แหละการปฏิบัติ
ตั้งแต่ออกพรรษามาแล้วผมก็ไม่สบายเลย สุขภาพไม่ค่อยดี เวล่ำเวลาก็ไม่อำนวยดังที่เห็น คิดไว้มันก็ไม่ผิด ออกพรรษาแล้วไม่ค่อยจะมีโอกาส ตอนหนึ่งก็ให้หมู่เพื่อนเย็บผ้า ทำงานอันนี้ให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงไป พอว่างเมื่อไรเราจะประชุมมันก็ไม่ค่อยว่าง ออกจากนั้นแล้วก็ไม่ค่อยสบาย ๔ วันมานี้ไม่สบาย
เอาแค่นี้เสียก่อน
|