เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
กอดกรรมฐานอยู่เฉย ๆ
ทรงเห็นแล้วทุกอย่างในบรรดาที่แสดงออกมาเป็นที่แน่ใจแก่ผู้เทศน์ผู้สอน ไม่มีการสงสัยในการแสดงออกมา เพราะฉะนั้นผู้ฟังจึงได้ผลได้ประโยชน์เต็มกำลังของตน เหมือนกับเราไปเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยตาของเรา ได้ยินด้วยหูของเราอย่างชัดเจน จะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญที่ได้รู้ได้เห็นด้วยตา จึงนำสิ่งนั้นเรื่องนั้นมาพูด ย่อมพูดได้อย่างอาจหาญ พูดได้ตรงกับความจริงมากยิ่งกว่าได้ยินคำบอกเล่ามาพูด
ธรรมของพระพุทธเจ้ามาสมัยปัจจุบันนี้ เป็นศาสนาบอกเล่ามาแล้ว เป็นธรรมบอกเล่า เพียงบอกเล่ากันมาเรื่อย ๆ หาผู้รู้ความจริงไม่มี เพราะฉะนั้นธรรมแม้จะมีน้ำหนักมากเพียงไรตามหลักธรรมชาติของธรรมก็ตาม แต่อาศัยผู้นำมาไม่แน่นอนภายในจิตใจออกมาแสดง เรื่องความไม่แน่นอนนั้นจะให้ผู้ฟังแน่นอนได้อย่างไร เมื่อผู้แสดงก็ไม่แน่ใจผู้ฟังจะเอาความแน่ใจมาจากไหน ผลแห่งความไม่แน่ใจทั้งผู้เทศน์ผู้ฟังก็คือไม่ได้ผลเท่าที่ควรนั่นเอง เลยกลายเป็นเรื่องเทศน์เป็นพิธี ฟังเป็นพิธีไปเสีย
ครั้งพุทธกาลท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเทศน์ก็ดี พระสาวกเทศน์ก็ดี เทศน์ถอดออกมาจากใจที่รู้จริงเห็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ฟังก็ถึงใจ เพราะเทศน์อย่างถึงใจ เพราะรู้ความจริงอย่างถึงใจการเทศน์จะไม่ถึงใจได้อย่างไร จะเทศน์มากเทศน์น้อยขนาดไหน ลึกตื้นหยาบละเอียดเพียงไร ก็ออกมาจากความรู้แล้วเห็นแล้วทุกอย่าง ผู้ฟังจึงได้รับผลรับประโยชน์เป็นความหนักแน่นภายในจิตใจขณะที่ฟัง ต่างกันอย่างนี้ ที่ว่าครั้งพุทธกาลกับสมัยทุกวันนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง คือต่างกันตรงนี้เอง
ฟังว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ผู้ปฏิบัติชอบแล้วยัง นั่นตรงนั้น และรู้ชอบตามหลักธรรมนั้นแล้วยัง ถ้าปฏิบัติไม่ชอบรู้ไม่ชอบจะแสดงออกมาด้วยความชอบธรรมได้อย่างไร ผู้ฟังจะได้รับผลได้รับประโยชน์ให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นขอให้ทุกองค์ทุกท่านได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เห็นความจริงภายในตนเอง ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายที่ท่านรู้ท่านเห็นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น ที่จะสามารถรื้อฟื้นธรรมของจริงขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนได้ประจักษ์ใจ
เพราะธรรมทั้งหลายไม่อยู่ที่ใด ใจเป็นภาชนะอันสำคัญสำหรับรับรองธรรมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดินฟ้าอากาศก็เป็นดินฟ้าอากาศไป โลกก็เป็นโลกไป ธรรมเป็นธรรม ใจเป็นภาชนะที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการรับธรรม เช่นเดียวกับเหมาะสมกับการรับกิเลส สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรมนั้นแลท่านเรียกว่ากิเลส การปฏิบัติก็เพื่อรื้อเพื่อถอนสิ่งที่ปกคลุมหุ้มห่ออันเป็นของจอมปลอมนี้ออกจากใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบ ความประพฤติปฏิบัติชอบนั้นแลเป็นอุบายวิธีที่จะรื้อถอนสิ่งปกคลุมหุ้มห่อจิตใจออกได้ ถ้าปฏิบัติไม่ชอบอย่างไรก็ไม่ได้ไม่มีทาง เพราะไม่ถูกกับหลักมัชฌิมา
คำว่าหลักมัชฌิมาก็คือความเหมาะสม การปฏิบัติเหมาะสมควรจะแก้กิเลสประเภทใดได้ ก็แก้ได้ตามความเหมาะสมแห่งการปฏิบัติ ท่านจึงยกถึงเรื่อง สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ขึ้น เป็นเรื่องปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาด คิดหลายแง่หลายสันหลายคม อุบายวิธีการแก้ไขตนเองต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายแง่หลายกระทง ไม่งั้นไม่ทันกับกิเลสซึ่งมีความแหลมคมอยู่มากภายในจิตใจของเรา มีธรรมะเท่านั้นที่สามารถปราบปรามกิเลสได้ ธรรมะเครื่องมือที่จะปราบปรามกิเลสก็คือสติปัญญาเป็นหลักสำคัญมากทีเดียว
นี่ได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถ ไม่เห็นอันใดยิ่งไปกว่าสติกับปัญญา มีศรัทธา มีความพากเพียรเป็นเครื่องหนุนหลัง สติปัญญาเป็นเครื่องบุกเบิก พิจารณาอะไรถ้ามีสติก็รู้ได้ชัด มีปัญญาสอดส่องมองทะลุไปได้ไม่ครั้งใดก็ต้องครั้งหนึ่ง เห็นไปได้โดยลำดับ
ครั้งพุทธกาลกับครั้งนี้ต่างกันดังที่ว่ามานี้ คือผู้ปฏิบัติก็กลายเป็นเรื่องพิธีไปเสีย สักแต่ว่าปฏิบัติ สักแต่ว่าเรียน ไม่ได้เรียนเพื่อหวังความรู้จริงเห็นจริงในธรรมแล้วประพฤติปฏิบัติตามที่ศึกษาเล่าเรียนมานั้น เพราะฉะนั้นเรียนได้มากน้อยจึงไม่กระเทือนกิเลสแม้นิดเดียวเลย หนังถลอกสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้
ยิ่งเรียนมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการสั่งสมกิเลสมาก ด้วยความสำคัญของตนว่ารู้ว่าฉลาด ได้เรียนอรรถเรียนธรรมมามาก นี่แหละธรรมกลายเป็นกิเลสขึ้นมาเป็นที่ตรงนี้ด้วยความสำคัญของตนเอง ถ้าเรียนเพื่อจะรู้อรรถรู้ธรรมจริง ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น เรียนรู้ตรงไหนจุดใด บทใดบาทใด นำไปพินิจพิจารณา นำไปไตร่ตรองจนเห็นเหตุเห็นผล เห็นความลึกตื้นหยาบละเอียดแห่งบทธรรมนั้น ๆ ผู้นั้นแลชื่อว่าผู้ปริยัติเพื่อปฏิบัติจริง
ทีนี้ปฏิบัติก็มีความจดจ่อต่อเนื่องกันด้วยข้อปฏิบัติที่ถูกชอบจริง ๆ นี่ก็เป็นบาทฐานเพื่อปฏิเวธะ คือความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมโดยลำดับ ๆ คำว่าปฏิเวธธรรมนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะรู้ทีเดียวพรวดพราดให้เสร็จไปเลย คือรู้ไปโดยลำดับ ๆ ตามกำลังของสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตน ตลอดถึงความรู้แจ้งเห็นจริงทั่วถึงในจิตใจนี้ ไม่มีอันใดลี้ลับ นั่นเรียกว่ารู้ตลอดทั่วถึง
ผู้ปฏิบัติอย่ามองที่อื่นใดให้นอกเหนือไปจากใจซึ่งเป็นตัวสั่งสมกิเลส หรือเป็นโรงงานผลิตกิเลสเป็นส่วนมากยิ่งกว่าจะผลิตธรรม ให้มองดูตรงนี้ อย่าไปคาดสถานที่นั่นที่นี่กาลเวล่ำเวลาหรือผู้ใดจะมาช่วยเรา ให้ตั้ง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เป็นที่พึ่งของตน ตนนั้นแลเป็นผู้จะถอนกิเลส เพราะการสั่งสมกิเลสไม่ได้มีผู้ใดมาสั่งสมให้ เราเป็นคนสั่งสมเองมาตั้งแต่ไหนเมื่อไร ทีนี้เราจะคอยให้ผู้ใดมาถอดถอนกิเลสประเภทต่าง ๆ ให้เรา อกฺขาตาโร ตถาคตา พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ ความเพียรเป็นเครื่องแผดเผากิเลสให้ท่านทั้งหลายพึงทำเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกอุบายแนวทางเท่านั้น การทำงานเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายจะทำเอง นี่ท่านสอนไว้อย่างนี้
เราก็เป็นลูกศิษย์ตถาคต ประหนึ่งว่าได้รับโอวาทของพระองค์อยู่ทุกวันด้วยสัจธรรมที่แสดงอยู่กับตน มีแต่จะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภัยทั้งนั้น ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะเป็นคุณต่อจิตใจของคนของสัตว์ มีแต่เป็นโทษทั้งนั้น มากน้อยก็ตาม และไม่มีใครที่จะรู้อย่างถึงจิตถึงใจ เห็นโทษเห็นคุณอย่างชัดเจนเหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระสาวกอรหันต์ท่าน ท่านรู้ทั้งโทษทั้งคุณของกิเลสและของธรรม ท่านจึงนำมาสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ สอนใครก็เมื่อต่างคนต่างมุ่งความจริงอยู่แล้วทำไมจะไม่เข้าใจ และทำไมจะไม่ดูดดื่มในธรรมที่ท่านสอน เพราะธรรมเป็นธรรมชาติที่มีรสชาติเหนือสิ่งใดในโลก สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ รสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวง
หูมีตามีให้ดูผู้มาศึกษาอบรม อย่าคอยฟังแต่ครูบาอาจารย์จะบอกจะกล่าวแนะนำสั่งสอน หรือขึ้นธรรมาสน์ นโม ตสฺส ถึงจะว่าเทศน์ ผู้มาใหม่ก็ให้ดูผู้อยู่เก่า ผู้อยู่เก่าทำยังไงให้สังเกตดู หูมีตามีให้ดูให้ฟัง นั่นเป็นการศึกษาอยู่ในตัว ครูบาอาจารย์สอนเป็นอีกอย่างหนึ่ง เราศึกษาจากหมู่จากคณะที่ทำถูกต้องอยู่แล้วนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
เช่น ข้อวัตรปฏิบัติตอนเช้าตอนเย็นมีการทำอย่างไรบ้าง เราอย่าถือว่าเราเป็นพระอาคันตุกะ เราอย่าถือว่าเราเป็นพระแขก เราเป็นพระของพระพุทธเจ้าด้วยกัน เป็นพระลูกศิษย์ตถาคตเหมือนกัน หน้าที่การงานข้อวัตรปฏิบัติเป็นหน้าที่ของเราจะต้องทำ เพื่อกำจัดกิเลสด้วยกัน ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน ฉะนั้นการมาศึกษาให้ศึกษาด้วยดี ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ทั้งกิจภายนอก ทั้งงานภายในคือจิตตภาวนา ให้ทำให้ถึงเหตุถึงผลถึงความสัตย์ความจริง เรื่องมรรคผลนิพพานจะพ้นอำนาจของความเพียรนี้ไปไม่ได้ ไม่ว่าสมัยใด ๆ มรรคผลนิพพานต้องปรากฏขึ้นได้เพราะความเพียรของผู้ไม่ท้อถอย
การฝึกหัดอบรมภาวนา ผู้เริ่มต้นยังไม่เข้าใจในเรื่องภาวนา เราสังเกตบทธรรมบทต่าง ๆ ที่เรียกว่ากรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งงาน คืออะไร ท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตั้งแต่วันบรรพชาอุปสมบทมานั้นมีความหมายอย่างไร โลกนี้ติด ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหล่านี้เป็นสำคัญ ท่านจึงสอนเรื่องผม เรื่องขน เรื่องเล็บ เรื่องฟัน เรื่องหนัง ว่ามีรูปพรรณสัณฐานเป็นของที่น่ารักน่าชอบใจที่ตรงไหน นอกจากเป็นของปฏิกูลโดยหลักธรรมชาติของมันเท่านั้น จนกระทั่งไปถึงหนัง คนเราเมื่อไม่มีหนังแล้วดูกันไม่ได้ หาความสวยงามไม่มีเลยไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย จะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม คนเราเมื่อไม่มีหนังแล้วดูกันไม่ได้ ท่านจึงสอนแต่เพียงหนัง เพราะเวลานั้นเป็นเวลาที่จำเพาะซึ่งไม่ควรจะสอนเอามากมาย
แต่อย่างไรก็ตาม ตโจ นั้นหนังครอบหมดในอาการ ๓๒ ถลกหนังออกลองดูซิ คนดูได้ไหม ดูไม่ได้ทั้งหญิงทั้งชาย เพียงมองดูแล้วเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดน่าเบื่อน่าหน่ายไปเสียทั้งหมด ที่เกิดความรักความชอบกันก็เพราะมีหนังหุ้มห่อนั่นเอง หลงผิวบาง ๆ เท่ากระดาษหรือเท่าใบลานนี้ก็ไม่ได้ จะว่าเราโง่ขนาดไหนมนุษย์เรา ก็รู้อยู่แล้วว่าผิวบาง ๆ เท่านั้นเป็นเครื่องหลอกตาก็ยังเชื่อ เข้าไปข้างในนั้นเป็นปุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนองเต็มไปหมดด้วยของปฏิกูลหรือป่าช้าผีดิบ เราพิจารณาอย่างนี้พิจารณาเข้าพิจารณาออกหลายตลบทบทวน ทำไมจะไม่เข้าใจตามความจริง เพราะความจริงมีอยู่เป็นประจำในแต่ละบุคคล ๆ ให้พิจารณาอย่างนี้ จากนั้นผู้ที่จะกระจายขยายออกไปถึงอาการ ๓๒ อาการใดก็แล้วแต่ความถนัด
ในขณะที่ภาวนาให้กำหนด จะกำหนด พุทโธ เป็นคำบริกรรม ธัมโม สังโฆ ก็ได้ เราจะกำหนดอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกก็ได้ ลมนั้นสัมผัสที่ตรงไหนมากกว่ากัน เช่นดั้งจมูกลมสัมผัสมากกว่ากันก็ให้ตั้งความรู้ไว้ที่นั้น ตั้งสติไว้ที่ตรงนั้น ให้รู้เวลาลมผ่านเข้าผ่านออก รู้อยู่อย่างนั้นไม่ต้องไปคาดไปหมายถึงเรื่องมรรคผลนิพพานใด ๆ นอกเหนือไปจากงานที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น เรียกว่าในวงปัจจุบัน
จิตเมื่อได้อาศัยสติคอยควบคุมให้ทำงานอยู่เสมอก็ไม่ส่ายแส่ไปในที่อื่น ๆ ย่อมตั้งหน้าทำการทำงาน แล้วก็ได้เป็นความสงบขึ้นมา เมื่อเป็นความสงบขึ้นมาแล้วความสบายความเย็นไม่ต้องพูด ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ต้องปรากฏขึ้นจากความสงบนี้ก่อนอื่น จึงขอให้พากันพินิจพิจารณา
ให้ได้ทรงมรรคทรงผล อย่าให้ได้ยินแต่ข่าวว่าครั้งพุทธกาลองค์นั้นสำเร็จอยู่ที่นั่น สำเร็จพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ อยู่ที่ตรงนั้น ๆ องค์นั้นอยู่ในเขาลูกนั้น องค์นั้นอยู่ในป่านั้น แล้วข่าวเราไม่มีอะไรเลย มีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้งเต็มตัว เพราะความเพียรไม่เป็นท่า ศรัทธาไม่มี ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นได้ยังไง ก็มีแต่ศาสนาข่าว ฟังแต่ข่าวคนอื่น ข่าวของตัวไม่ได้เรื่อง ฟังแต่ข่าวท่านไปสวรรค์นิพพานกัน ข่าวเรามีแต่จมอยู่กับนรกคือความรุ่มร้อนของใจตลอดเวลา ความรุ่มร้อนแม้จะเป็นขึ้นมานิดหน่อยก็ยังมีเป็นความทุกข์ไม่ใช่น้อยพอที่จะไปนอนใจได้ พากันพิจารณาซิ
ถ้าการปฏิบัติยังมีมรรคผลนิพพานก็ยังมี คือมรรคผลนิพพานนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินี้เท่านั้น ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ใด ๆ เป็นสำคัญยิ่งกว่าการปฏิบัติ แต่สถานที่ที่บำเพ็ญนั้นย่อมอำนวยความสะดวกให้แก่การบำเพ็ญได้ ดังพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า รุกขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย โน้นร่มไม้ชายเขา รุกขมูลอยู่ในป่า ซอกห้วยริมเขาที่ตรงไหนเป็นที่สะดวกสบายแก่การประกอบความเพียร ขอให้เธอทั้งหลายไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น ไม่พลุกพล่านวุ่นวายสะดวกแก่การบำเพ็ญเพียร คือเป็นเครื่องสนับสนุนความเพียรของเราได้ดี
แต่อย่าลืมว่ากิเลสนั้นอยู่ภายในจิตใจ ไปอยู่ในป่าถ้าความเพียรไม่มี สติไม่เป็นท่า ก็เหมือนกับกระรอก กระแต ที่เขาอยู่ในป่าก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอันใด ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนี้ เพื่อสนับสนุนถึงเรื่องความเพียรของเราที่ดีอยู่แล้วให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้นไป อำนวยความสะดวกมากขึ้น จนถึงขั้นบรรลุได้ในธรรมขั้นต่าง ๆ จนกระทั่งถึงอรหัตผล สด ๆ ร้อน ๆ อยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้า บรรดามรรคผลนิพพานไม่อยู่ในที่อื่นใด อยู่ด้วยกันกับธรรมของพระพุทธเจ้าคือสวากขาตธรรม ท่านตรัสไว้ชอบแล้ว
ขอให้ปฏิบัติให้ชอบเถิด เรื่องมรรคผลนิพพานไม่มีผู้อื่นใดที่จะมีอำนาจวาสนามากีดกันหวงห้ามไม่ให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นได้รับผลเป็นที่พึงใจ นอกจากกิเลสภายในหัวใจของเราเท่านั้นกั้นกางไม่ให้เรารู้เราเห็นมรรคผลนิพพานได้ เพราะเราเชื่อมัน เราลืมตัวเรา หลงมัน กลมายาของมันมีมากกิเลส จะทำความพากเพียรเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็แสดงอุปสรรคกีดขวางเข้ามาเสีย ทำให้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย กลัวแต่จะล้มจะตาย กลัวจะไม่ได้หลับได้นอน กลัวจะเป็นความลำบาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลมายาของกิเลส เลยไม่เป็นท่าเป็นทาง
ทีนี้เราก็กอดกรรมฐานอยู่เฉย ๆ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็อยู่ในตัวของเรา นอนทับนั่งทับอยู่นั้น ไม่ได้เรื่องอะไรจากกรรมฐานดังที่ท่านสอนไว้ มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นจากการพิจารณารู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งเหล่านี้แล้วก็ไม่เกิดได้ เพราะเราไม่รู้
ใจเป็นของอัศจรรย์มาก ไม่มีสิ่งใดเสมอในโลกนี้ เลวก็เลวมากถ้ากิเลสพาให้เป็นในทางที่เลว กิเลสไม่ได้ทำจิตใจให้มีคุณค่า นอกจากจะทำให้เสื่อมคุณภาพของใจลงโดยลำดับ ธรรมเท่านั้นเป็นสิ่งที่จะส่งเสริมจิตใจให้มีคุณค่าขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งถึงมีคุณค่าอย่างเต็มภูมิ ฉะนั้นเราไม่ได้มุ่งมาหากิเลส ไม่มุ่งมาทำลายจิตใจของตนให้ลดคุณค่าลงไป เรามุ่งเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อการส่งเสริมจิตใจให้มีคุณค่าขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งถึงเต็มภูมิของใจที่มีคุณค่าต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงเห็นความสำคัญของความพากเพียร อย่าลดละอย่าท้อถอย
ป่าช้ามีอยู่ทุกแห่งทุกหน ใครเกิดมาป่าช้ามาพร้อมไม่ว่าที่ไหน เกิดตัวไหนตัวเกิดตัวนั้นตัวตาย ตัวนั้นตัวคร่ำคร่าชรา ตัวนั้นตัวทุกข์ตัวลำบากอยู่ที่นั่นหมด ไม่อยู่ที่อื่นพอที่เราจะไปคาดโน้นคาดนี้ ตายที่โน่นตายที่นี่เท่านั้นปีเท่านี้เดือน มันอยู่กับลมหายใจ เมื่อลมหายใจหมดไปแล้วตายได้ด้วยกันทั้งนั้นทั้งหญิงทั้งชาย ชาติชั้นวรรณะใดไม่นิยม กระทั่งถึงสัตว์ตายได้ทั้งนั้นเมื่อหมดลมหายใจแล้ว
แต่เวลานี้ลมมีอยู่รู้อยู่ว่าเจ้าของเป็นคน มิหนำซ้ำเรายังเป็นพระ มีหน้าที่การงานอันเดียวคือการประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสออกจากภายในจิตใจ โดยไม่ต้องยุ่งเหยิงวุ่นวายกับงานใด ๆ เลย ควรที่เราจะขะมักเขม้นในงานของเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้เห็นเหตุเห็นผลภายในจิตใจ ได้ทรงไว้ซึ่งมรรคผลนิพพานดังครั้งพุทธกาลท่านทรง เพราะข้อปฏิบัติอันดีอันงาม สุปฏิ อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน นี้แลเป็นทางเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน
ท่านว่า ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา คู่แห่งบุรุษ ๔ เป็นบุรุษบุคคล ๘ ก็หมายถึงคนคนเดียวนั้นแล จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลถึงนิพพานได้ เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ นั้นแลคือสาวกอันแท้จริงของพระพุทธเจ้า แน่ะท่านก็ว่าไว้อย่างนั้น ไม่ใช่สาวกปลอม สาวกอันแท้จริง พากันตั้งใจปฏิบัติ
พูดเพียงแค่นี้ก่อน |