พอออกไปห่างจากครูจากอาจารย์ไม่ทราบว่าเป็นยังไง ก็หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน กิเลสมันออกลวดลายสู้มันไม่ได้ สติสตังไม่ทัน เดินจงกรมเป็นเรื่องเดินคิดเดินยุ่งไปหมด นี่ละเป็นครูสอนอย่างเอกจึงได้นำมาเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง ความที่ไม่มีหลักใจเป็นอย่างนี้ ถ้าหากว่าเราจะฝืนไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักใจ และทั้ง ๆ ที่มันแสดงความจะล้มเหลวให้เราเห็นอยู่นั้นน่ะ เราจะปล่อยไปตามนั้นต้องล้มเหลวแน่ ๆ เราต้องรีบชักบังเหียนเอามันคอพับกลับเข้ามา
นี่วิตกกังวลกับหมู่เพื่อน อยากให้หมู่เพื่อนได้บำเพ็ญด้วยความสะดวกสบาย เรื่องความสะดวกสบายมันก็ต้องมีผู้นำพาเดินไปที่นั่นที่นี่ อย่างจะไปพักสำนักนั้นสำนักนี้ สำนักไหนก็อย่างที่เราเห็นนั่นแหละ แทนที่จะเป็นเครื่องจูงจิตใจเราให้มีความกระหยิ่มยิ้มย่อง มันไม่เป็นอย่างนั้น ตามองเห็นแล้วมันก็เอือม หูได้ยินก็เอือม อะไร ๆ ทำให้เอือมไปหมด แน่ะ มันเป็นเครื่องชักจูงกันได้ยังไงยังงั้น มันเป็นเครื่องทำลายกัน ทางตา ทางหู ทางความสัมผัสอะไรก็ดี เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน การประพฤติปฏิบัติไม่ตรงตามร่องตามรอยอะไร การพูดการจาหาเหตุหาผลหาหลักธรรมไม่ได้ ความตั้งอกตั้งใจในการประกอบความเพียรนี้จะไม่มี ทางจงกรมไม่มองเห็นเลย สำนักเช่นนั้นเมื่อเราไปด้วยความตั้งใจแล้วมันจะอยู่ได้ยังไง
ส่วนมากเป็นอย่างนั้น เราไม่ได้ตำหนิ เป็นอย่างนั้นส่วนมาก ผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริง ๆ มุ่งหน้ามุ่งตาต่อทางด้านปฏิบัติมีน้อยเต็มทีเวลานี้ ถ้าจะออกไปหาวิเวกอยู่โดยลำพังสะดวกสบายที่นั่นที่นี่ จะไปลำพังคนเดียวทั้ง ๆ ที่จิตใจยังหาหลักเกณฑ์ไม่ได้นี้ มันก็ไม่พ้นที่จะเสื่อมลงไปโดยลำดับ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเจริญแต่ก็จะเสื่อมได้
ทำไมถึงว่ายังงั้น ไม่มีอะไรเจริญมันถึงจะเสื่อมได้ คือระดับจิตอยู่ธรรมดานี้มันไม่เจริญก็จริง แต่มันจะต่ำลงไปยิ่งกว่านี้พูดง่าย ๆ จะกลายเป็นความเดือดร้อนวุ่นวายขึ้นมา เมื่อเราอยู่ที่นี่หรืออยู่อย่างนี้ จิตใจไม่เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป แต่ก็ไม่เกิดความเดือดร้อน พออาศัยเพื่อนฝูงครูบาอาจารย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน พอพยุงกันได้ พอออกไปแล้วมันไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไม่มีเครื่องพยุง มันก็ยิ่งค่อยจมลงไป ๆ ทีนี้เมื่อมันจมไปเต็มที่แล้วฟื้นไม่ขึ้นนะ ตกลงก็ลากไปเลย ถ้ามีผู้พาไปที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์มันก็ดี แต่นี่มันไม่มีจะทำยังไง
ผมก็คิดแล้วคิดเล่ากับหมู่กับเพื่อน อยากจะให้หมู่เพื่อนได้บำเพ็ญภาวนาได้สะดวกสบายมีผู้ยึดผู้เกาะไป แต่ก็มองไม่เห็น บางทีอยู่สถานที่แห่งเดียวอาจจะชินชาต่อสถานที่ ไปเปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง ก็กลัวมันจะไม่เป็นเปลี่ยนบรรยากาศ มันจะเปลี่ยนเป็นยาพิษยาภัยเข้ามาเผาเอาน่ะซิ มันคิดหลายแง่หลายทาง เราเคยเป็นผู้น้อยมาแล้วเคยเป็นมาแล้ว รู้เรื่องเหล่านี้พอสมควร จึงเอาเรื่องที่เจ้าของรู้นั่นแหละมาสอนหมู่เพื่อนให้รู้จักวิธีปฏิบัติ
ตามธรรมดาสถานที่นี่ก็ไม่มีความวุ่นวายอะไร นอกจากแขกคนตอนเช้ามันก็จำเป็น มาเองจะทำยังไง เพราะมันเป็นหลักอยู่แล้วนี่ วัดนี้เป็นหลัก เราจะพูดว่าเป็นจุดหัวใจประชาชนในแถวนี้ก็ถูก และไม่เพียงแต่แถวนี้ ที่อื่น ๆ ก็มาอย่างที่เราเห็นนั่นแหละ ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนซึ่งเขาเคารพนับถือ ก็ต้องเป็นมาเองอย่างนี้ เราไม่ได้ไปหาเชื้อเชิญเขามา ปกติเราไม่อยากยุ่ง นิสัยของเราก็ไม่ชอบยุ่งอยู่แล้ว เราอยู่โดยลำพังเราสบาย
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ เราไปสู่สถานที่ใดไม่ได้พบผู้พบคน ไม่ได้พูดได้จาสนทนาอะไรกับใคร แม้ชั่วระยะไก่บินตกหรือเพียงช่วงระยะ...แล้วย่นลงมาจนกระทั่งถึงช่วงระยะถ่ายปัสสาวะกิจอุจจาระกรรมเท่านั้นเราก็สบาย นั่น แต่เป็นพุทธวิสัยจะทำอย่างนั้นก็ทำไม่ได้ พระองค์ก็ทรงทราบ หมายถึงความสะดวกสบายในพระธาตุพระขันธ์ของพระองค์ นี่เราก็ยอมรับ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นศาสดาท่านก็เป็นเต็มภูมิของศาสดา เป็นครูของเทวดามนุษย์ทั้งหลายทั้งสามโลกธาตุนี้ พระองค์ก็ยังรับสั่งอย่างนั้นให้พระอานนท์ฟัง ว่าทำตามพุทธวิสัย
เวลามีแขกคนมาก็ไม่มีใครจะมีพระเมตตามากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ก็ทรงสงเคราะห์ไป เมื่อไม่มีใครมาเวลานั้นพระองค์เป็นที่สบายมาก ถึงขนาดอุจจาระกิจปัสสาวะกรรมก็สบาย ชั่วระยะเท่านั้นก็ยังสบาย และเหตุใดพระสาวกอรหัตอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้ว ท่านจะไปหวังอะไรกับใคร หวังอะไรกับโลกอันนี้ ท่านไม่มี ท่านไม่อยู่ด้วยความหวัง ไปด้วยความหวัง ในอิริยาบถทั้งสี่ไม่มีอะไรเรื่องความหวังเข้าไปเกี่ยวข้องท่านเลย ในเมื่อมีสิ่งมายุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้าพูดตามประสาโลกเราจะไม่รำคาญได้ยังไง ต้องรำคาญ แต่ท่านรำคาญไม่เหมือนเรารำคาญ พระอรหันต์ท่านรำคาญไม่ได้รำคาญไปด้วยพิษอำนาจของกิเลส เป็นแต่เพียงไม่สะดวกเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์
อย่างวัดเรานี้ก็เป็นที่เกี่ยวข้องของประชาชน ไม่ทราบเป็นยังไงเราก็เคยเป็น อย่างฆราวาสญาติโยมเคยเป็นมา ต้องหาที่เกาะที่เกี่ยวหาที่เคารพนับถือ ที่ไหนเป็นที่เคารพนับถือ มันก็เป็นมาเองตามอัธยาศัยของคน อันนี้เป็นอัธยาศัยของเขาเราห้ามไม่ได้ ที่ไหนเข้าใจว่าเป็นที่ร่มเย็น เป็นที่แน่ใจ เป็นที่อบอุ่น ไม่ว่าพระว่าฆราวาสญาติโยมมันก็ต้องไป ตั้งแต่เรายังไป เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นอัธยาศัย
ตอนเช้ามีมากจะทำยังไง ผมนั่งพลิกโน้นพลิกนี้ผมจะตายผมก็ทนเอา เพราะเพื่อหัวใจคน ปกติมาฉันแล้วหายเงียบไปเลย บิณฑบาตมาถึงปุ๊บปั๊บจัดฉันแล้วหนีไปเลย ๆ อยู่คนเดียวจะนั่งจะนอนจะทำอะไรอยู่ก็สบาย เพราะไม่มีอะไรมายุ่งกวนให้รับทราบนั้นรับทราบนี้ หรือให้กดถ่วงเวล่ำเวลาตลอดถึงธาตุขันธ์ให้ได้รับความไม่สะดวกไปด้วยเราก็สบาย เมื่อไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องอย่างนั้น
แต่นี้ก็ทำไม่ได้ เช่นอย่างคนมาหาเราอย่างนี้ก็เหมือนกัน เราไม่สบายนี่ แล้วผู้ที่มาหากับผู้ที่คอยรับเขา เขามาเกี่ยวข้องกับเรา จะปฏิเสธไปเลยว่าท่านอาจารย์ไม่สบายไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องเลยมันก็ผิด ที่ถูกก็ควรจะไปปรึกษาปรารภกับเราเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น พวกนายพันตำรวจเอกมาวันนั้น เขามุ่งมาอย่างเต็มใจ หวังอยากจะมาอยากจะพบอยากจะกราบครูบาอาจารย์อย่างนี้ พอดีระยะนั้นเราไม่สบาย พระจะไปหาเราไปปรึกษาเราก่อนยังไม่เห็นมา เราเดินมานี้จึงถามเรื่องราว ได้ทราบแล้วเราก็เลยให้เขามา มาถึงได้ทราบเรื่องราวได้ชัดเจน
เหล่านี้ต้องรอบคอบ เราจะเป็นแบบเถรตรงก็ไม่ได้ พอไม่สบายใครมาก็จะไม่ให้ยุ่งเลย ไม่ให้มาเกี่ยวข้องเลยก็ไม่ถูก ต้องปรึกษาปรารภอะไรกับเรา เมื่อเราสั่งลงมาแล้วอย่างไร นั้นละที่นี่ไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะเราเป็นผู้น้อยคอยปฏิบัติตามคำของหัวหน้า คือผู้ควรหรือไม่ควรจะให้เข้ามา จะปัดเขาทีเดียว ๆ นั้นก็ไม่ถูก นอกจากว่าป่วยเต็มที่ ไม่มีโอกาสไม่มีความสามารถที่จะรับแขกอะไร ๆ ได้เลย ต้องอยู่ด้วยความสงบท่าเดียวเท่านั้น ทำธุระเกี่ยวข้องกับอะไรจนไม่ได้ อันนั้นเราจะบอกอย่างนั้นก็ถูก ให้คิดผู้ที่มาอยู่นี้ก็ดี เราคอยอยู่นั่น ไม่ฉลาดมันก็เสีย
น้ำใจเป็นของสำคัญมากยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ เป็นของมีคุณค่ามาก เราหมายน้ำใจคนมาเกี่ยวข้องกับเรา เราไม่หมายสิ่งอะไรเรื่องโลกามิส คิดดูซิหนังสือเราเขียนทุกเล่มเราเคยจำหน่ายที่ไหน ก็เพื่อน้ำใจ เขามาให้เล่มหนึ่งเป็นแสน ๆ โน่นน่ะว่าอะไร ไม่ใช่คุย เขามาซื้อลิขสิทธิ์เราไปพิมพ์จำหน่ายเป็นแสน ๆ นั่น โห อย่าว่าเป็นแสน ๆ เลย เป็นล้าน ๆ อาจารย์ก็เอาไม่ได้เราบอก เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของเงินล้านยิ่งกว่าหัวใจคน
ขอเดินแบบป่า ๆ ยังงี้เถอะเราว่างี้ เราก็เดินของเราเรื่อยมาอย่างนี้ ไม่สนใจกับสิ่งนั้น หากว่าเขาซื้อกรรมสิทธิ์ของเราไปแล้ว โดยที่เราเห็นแก่เงินแก่ทองแล้ว เขาไปขายเล่มหนึ่งสักเท่าไร ขายจนกระทั่งถึงลูกเต้าหลานเหลนถึงไหน เขาก็เป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป เงินสักกี่ล้านแต่ละเล่ม ๆ นั่นละเขาหวังเงินล้าน ในหนังสือแต่ละเล่ม ๆ เพราะฉะนั้นเขาถึงกล้าซื้อเป็นแสน ๆ หนังสือแต่ละเล่มนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาแล้วนี่ เขาจะขายเล่มละเท่าไรใครจะไปว่าให้เขา ถ้าเราคิดเห็นแก่เงินนั้นก็ตัดหัวใจประชาชนซึ่งมีคุณค่ามากลงไปโดยลำดับ ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราจึงทำไม่ได้
หัวใจเรามันไม่มี จะว่าเงินทั้งหลายก็พูดได้ ถ้าหากว่าจะทำแบบท่านทั้งหลายทำกันนั้น เขาทำกันทั่วโลก หนังสือของใครเล่มไหนที่ไม่มีการจำหน่าย มีแต่ขายเป็นปลาเน่าทั่วตลาดเล่มไหนก็ดี ของอาจารย์ไหนก็ดีที่ปรากฏชื่อลือนามมีแต่ขายทั้งนั้น ของเราทำไมไม่ขาย มันก็ออกจากหัวใจ ความรู้สึกต่างกันการแสดงออกก็ต้องต่างกัน เราทำไม่ได้ทำอย่างนั้น เราทำไม่ลง ของในวัดนี้ดูซิ ไปขายไปจำหน่ายอะไร ขายได้ เราทำไม่ได้เราทำไม่ลงเลย เราถือหัวใจเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้นเวลาคนมาเกี่ยวข้อง พอลดหย่อนผ่อนผันประการใดก็ให้อยู่ในความวินิจฉัยของเราก่อนอื่น จะตัดไปเสียทีเดียว ๆ ก็ไม่ถูก แบบเถรตรงใช้ไม่ได้ เสียหมด คิดดูอย่างพระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้เอาไปเทียบพระพุทธเจ้า หากเอามาเป็นเงื่อนพิจารณาในพระเมตตาของพระพุทธเจ้าซึ่งมีต่อสัตวโลก ขนาดเพียบเต็มที่แล้ว ในคืนวันนั้นจะต้องปรินิพพาน พราหมณ์แก่ชื่อสุภัททะเข้ามาจะมาทูลถามปัญหา ถูกพระอานนท์ห้ามไว้ อย่าไปรบกวนพระองค์เลย เวลานี้กำลังทรงลำบากมาก พระองค์ทรงทราบ รับสั่งให้เข้ามาทันที เรามาสถานที่นี่ก็เพื่อพราหมณ์นี้เป็นอันดับแรก ขอให้เธอเข้ามา เวลาจะทูลถามปัญหาพระองค์มากมายก็ให้ย่นเข้ามาเอาเฉพาะจำเป็น ๆ แล้วทรงประทานโอวาทให้แล้วก็ให้เอาไปปฏิบัติในเดี๋ยวนั้น จนเป็นปัจฉิมสาวกคืนสุดท้ายองค์สุดท้าย เราจะเรียกว่าพร้อมกับการปรินิพพานของพระองค์ ซึ่งเป็นวาระสุดท้ายก็ไม่ผิด นั่นละดูซิพระเมตตาของพระองค์
ถึงเราไม่มีความรู้ความสามารถฉลาดแหลมคมเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ความเห็นแก่จิตใจของคนว่ามีคุณค่าเราก็มีอยู่ในใจของเราเหมือนกัน ควรที่จะอนุเคราะห์ได้แค่ไหนก็อนุเคราะห์กันไป เพราะฉะนั้นเราที่มาเกี่ยวข้องควรพิจารณาให้มากเรื่องเหล่านี้ อย่าให้เป็นแบบเถรตรง
การอยู่ด้วยกันนี่เป็นหลักสำคัญอันหนึ่ง ให้เคารพกัน การเคารพกันตามหลักธรรมหลักวินัยนั้นแลคือผู้เป็นธรรมเป็นวินัย เคารพกันตามอายุพรรษา อาวุโส ภันเต แล้วยังไม่แล้ว หลักใหญ่คือเคารพกันโดยธรรมนี้เป็นหลักใหญ่ ใครพูดถูกต้องให้ยึดเป็นหลักยึดเป็นคติ หรือยุติในข้อสงสัยทันที อันจะเป็นเหตุให้เกิดความทะเลาะวิวาทหรือขัดเคืองจิตใจกันเกิดขึ้น เพราะความไม่ยอมลงกันนั่นเอง เหตุผลเป็นหลักยุติ ผู้น้อยผู้ใหญ่พูดไม่สำคัญ สำคัญที่ความถูกต้องตามหลักเหตุผลตามความจริง
ความจริงเป็นเรื่องใหญ่โตมากคือธรรม เราจะมาถืออายุพรรษาให้เหนือความจริงคือธรรมนั้นเป็นความผิดอย่างยิ่ง อย่าให้มีในวงปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งในวัดป่าบ้านตาดเรา ให้แก้ไขทันทีตัวเอง ถ้าเคารพธรรมแล้วให้แก้ไขตัวทิฐิมานะตัวเห็นแก่ตัวออกทันที เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องหยาบ เราตั้งใจมาชำระกิเลสอาสวะ อย่าให้สิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของหยาบ ๆ แสดงออกมาเหยียบหัวเราต่อหน้าต่อตา แล้วก็ทำให้ระบาดสาดกระจายไปเหยียบหัวหมู่หัวเพื่อนที่อยู่ร่วมกัน ตลอดถึงครูอาจารย์ให้แหลกเหลวไปหมด อันเป็นความเสียหายอย่างมากมาย และเป็นความเลวทรามอย่างมากที่ไม่น่าอภัยได้เลย
นี่เราก็ไม่ได้พูดธรรมะมานานแล้ว วันนี้พูดสักหน่อย เด็กก็คอยเตือนมันนะ เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ อันไหนไม่ควรให้บอก ใครฝืนให้มาบอกเรา เด็กมันมาอบรมกับพระไม่ได้มาเป็นใหญ่กว่าพระพอที่พระจะบอกไม่ฟัง อย่างนั้นไม่ได้ ผิดตรงไหนให้บอก ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ ก็ฟังแต่เด็กมันไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร อันไหนที่เกี่ยวกับเด็กที่พระเณรที่จะช่วยพินิจพิจารณาช่วยกัน ใช้สอยเด็กไปยังไง ๆ ก็อย่าให้มาเกี่ยวกับผมนะ โห ลำบาก
เฉพาะอย่างยิ่ง เช่น ขนน้ำเข้าไปในครัวอย่างนี้ ต้องให้ผมซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่ารำคาญมาก ไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของพระที่อยู่ด้วยกันจะคอยสอดส่องดูแล เขามาอาศัยมีแต่คนแก่ ๆ อย่างนั้น เราก็ทำด้วยความเมตตาน่ะซิ เมื่อมีเด็กพอใช้อยู่เราก็ใช้เด็ก พระควรที่จะกำกับอันใดอย่าไปถือว่าเป็นเรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของทุกคนที่รับผิดชอบด้วยกันอยู่ในวงวัดนี้ อันไหนที่เป็นหน้าที่ของผมผมก็ทำของผมเองอย่างนั้น
การภาวนาเป็นสำคัญ ผมพยายามให้หมู่เพื่อนได้รับความสะดวกเต็มกำลังความสามารถ เพราะผมเป็นหัวหน้า รับหมู่เพื่อนด้วยเหตุผลทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการสั่งสอนหมู่เพื่อน หรือการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องหมู่เพื่อนผมจะนอนใจไม่ได้ ในแง่ใดที่จะเป็นอรรถเป็นธรรมต่อหมู่เพื่อน ได้รับความสะดวกสบายโดยความเป็นธรรมแล้ว ผมจะนิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้
แม้ผมเองที่ว่าเป็นหัวหน้านี้ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกว่าผมมีอำนาจเหนือหมู่เหนือคณะ มีอำนาจอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความสำคัญตนขึ้นมาอย่างใด โดยที่จะดุด่าว่ากล่าวบังคับบัญชาหมู่เพื่อนตามใจชอบของตน โดยหาเหตุผลหลักธรรมอะไรไม่ได้นั้นผมทำไม่ลง เพราะความรู้สึกของผมไม่เคยเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นธรรมดาอย่างความรู้สึกที่เป็นอยู่ปกติ ผมกับเพื่อนฝูงก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกต่างกัน ธรรมอยู่ศูนย์กลางแล้วใครก็อยู่ศูนย์กลางด้วยกันหมด ไม่มีใครจะเหนือใคร ผู้มุ่งธรรมผู้มุ่งมาปฏิบัติ คอยรับความจริงจากกันเท่านั้น ผมเป็นที่พอใจ นั้นละคือหลักธรรมแท้อยู่ตรงนั้น ให้พากันยึดกันปฏิบัติตามนั้น
การภาวนาทุกวันนี้ไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน ไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายก่อกวนให้ได้รับความสะดวกสบายไม่ได้ เฉพาะอย่างยิ่งก็พวกกวนบ้านกวนเมืองกวนโลกกวนสงสารคือพวกคอมมิวนิสต์นี่แหละ อันนี้กวนจริง ๆ ไปที่ไหนก็ไม่สะดวกซิ ผมอยากให้หมู่เพื่อนไปเที่ยววิเวกสงัด ให้สะดวกสบายเป็นกาลเป็นเวลา มีเพื่อนฝูงที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ทางด้านจิตใจพากันไป ที่มันสะดวกสบายสถานที่นั่นที่นี่เมื่อคิดแล้วใจมันก็หดเข้ามา มันหากมีเหตุผลที่จะทำให้หดเข้ามา มันเลยไม่คืบหน้า จะหยุดชะงัก ๆ เสียคิดทีไร ๆ
ถ้าจะไปเปลี่ยนบรรยากาศที่วัดนั้นวัดนี้อะไรอย่างนี้ ก็เคยเห็นแล้วนี่ เราไม่ประมาทเราไม่ดูถูกวัดใด มันเห็นด้วยตาอยู่แล้วนี่ผมไม่ใช่คุย เท่าที่ผ่านมานี้ส่วนมากก็มีแต่สำนักที่พระที่ออกไปจากสำนักนี้ พอที่จะอยู่ด้วยกันได้สะดวกสบาย เหมือน ๆ กันสะดวกสบาย เช่นอย่างวัด....บางท่านถึงไม่เคยอยู่สำนักนี้ แต่กับการไปมาหาสู่ของเรานี้เป็นไปอยู่เสมอ มานี้เข้า ๆ ออก ๆ มันก็เป็นเหมือนสำนักเดียวกัน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติดี พอให้เกิดความสงสารเมตตาเลื่อมใสก็ถูก เมตตาสงสารเป็นความสนิทใจ ก็มีเท่านั้นจะว่าไง นอกนั้นผมพูดไม่ถูกพูดไม่ออกจะทำไงฟังเอาซิ แล้วก็ยิ่งกว้างขวางออกไปเท่าไรก็จะให้พูดไปไหนอีก บางสถานที่บางแห่งก็ไม่ค่อยเข้าใจทางการประพฤติปฏิบัติ มีเจตนาดีอยู่นั้นก็มี แต่ที่เข้าอกเข้าใจแล้วทำตัวเป็นอย่างนั้นมันน่าเกลียดมากนะ
ฉะนั้นหากไม่ได้ไปที่ไหนก็ให้พากันเร่งความพากเพียรในสถานที่นี่ จนกว่าว่าเป็นกาลอันควรด้วยเหตุผลสมควรว่าจะควรไปที่ไหน ผมรักผมสงวนเพื่อนฝูงที่มาอยู่กับผมมากมายยิ่งกว่าสิ่งใดนะ ผมไม่มีความรู้สึกที่ว่าจะคิดกักกันเพื่อนฝูงไว้ให้มากในวัดนี้ เพื่อการงานอะไรจะได้รับความสะดวกสบาย ผมไม่มีเลย มีแต่มุ่งต่อเพื่อนฝูงทั้งหลายด้วยอรรถด้วยธรรมเพื่อทางด้านจิตใจโดยเฉพาะเท่านั้น ผมไม่คิดอย่างอื่นว่าเพื่อนฝูงไปแล้วจะไม่มีพระมีเณรได้อาศัยใช้โน้นใช้นี้ ผมไม่ได้คิดอะไรพอที่จะเป็นอุปสรรคแก่ธรรมข้อที่จะให้ท่านทั้งหลายได้รับความสะดวกสบาย
เพราะผมได้รับความสะดวกสบายเพราะการบำเพ็ญ ไม่ใช่มาอยู่กันมองดูหน้ากันเฉย ๆ ก็เป็นความสะดวกสบาย อย่างนั้นผมไม่ประสงค์ อันนี้เมื่อจำเป็นหาที่ไปไม่ได้คิดแล้วก็อั้นตู้อยู่นั้น ๆ หากยังไม่มีโอกาสอันควรที่จะไปก็ให้พากันเร่งความเพียรตามสถานที่ต่าง ๆ ตอนเช้าก็จะลำบากบ้างอย่างที่ว่ากังวลวุ่นวาย ต้องเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ผู้คนที่มาเกี่ยวข้องผม จากนั้นก็ให้ประกอบความพากความเพียรตามเวล่ำเวลา ยิ่งกลางคืนด้วยแล้วไม่มีธุระอะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำความพากเพียร
ธรรมเท่านั้นเป็นสิ่งที่อบอุ่นไว้ใจได้ ถึงเป็นถึงตายตลอดกาลไหน ๆ นอกนั้นหาสาระไม่ได้ และยิ่งโลกปัจจุบันนี้ด้วยแล้วมีแต่ฟืนแต่ไฟ อย่าพากันเห่อในจิตในใจว่าโลกนี้จะมีความผาสุกเจริญรุ่งเรือง มันเจริญแต่เรื่องความโลภความโกรธความหลงราคะตัณหาเท่านั้นเวลานี้ ซึ่งเป็นไฟอันสำคัญ ๆ จะเผาจิตใจของแต่ละดวง ๆ ตลอดถึงโลกสงสารให้เกิดความเดือดร้อนหรือฉิบหายไปตาม ๆ กันนะเวลานี้ เป็นที่ไว้ใจที่ไหน
อย่างเขาเอาหนังสือพิมพ์มาให้ดูนี้ เรา โห สลดสังเวช ดูนิด ๆ หน่อย ๆ บอกแล้วก็ไม่ฟัง ๒ หน ๓ หนแล้วนะ เอามาอยู่เรื่อย บางทีไม่ดู ถ้าดูมันมีเหตุการณ์อะไรบ้างพอจะดู ส่วนมากผมดูเรื่องฆ่าเรื่องฟันกัน เพราะแสดงถึงจิตใจโหดร้ายทารุณเกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรม นอกนั้นไม่ค่อยเกี่ยว เรื่องการบ้านการเมืองด้วยแล้วผมไม่ยุ่ง มักจะดูถึงเรื่องปล้นเรื่องจี้เรื่องฆ่ากันที่นั่นฆ่ากันที่นี่ แล้วก็เอามาพิจารณา เรื่องอรรถเรื่องธรรมก็มีบางฉบับ
สติเป็นของสำคัญในการประกอบความพากเพียรทุกอิริยาบถ ถ้าขาดสติแล้วไม่เรียกว่าความเพียร ให้จำให้ถึงใจ สติเป็นของสำคัญมาก ฝืนต้องฝืน กิเลสเป็นสิ่งรุกล้ำอรรถธรรม เราต้องฝืนเราต้องต่อสู้ด้วยอรรถด้วยธรรม เพื่อให้สิ่งรุกล้ำอันเป็นของไม่ดีนี้ได้กระจายหายไป ความสงบสุขของใจจะได้เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงต่อสู้มาเต็มพระกำลังความสามารถ บรรดาผู้ที่ได้ถึงขั้นวิเศษวิโสส่วนมากมีแต่การต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายเข้าว่า เพราะเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น มันไม่เคยอ่อนข้อต่อผู้ใด
มัชฌิมาปฏิปทาที่ประทานไว้นี้ จะไปอ่อนข้อต่อกิเลสก็ไม่ทันกิเลส กิเลสแข็งก็ต้องแข็งไปตาม แข็งขนาดไหนถึงขนาดชีวิตจะตายไปด้วย เอ้า ก็มอบเลย นั่น เมื่อมันอ่อนลงไปก็มีอีกเครื่องมืออันหนึ่งมัชฌิมาขั้นหนึ่ง ตามเหตุการณ์ที่กิเลสแสดงออกมามากน้อยหนักเบา มัชฌิมามีสติปัญญาเป็นต้นก็เป็นไปตามนั้น พอเหมาะพอควร
พูดถึงเรื่องนี้ก็ได้ทราบว่า....ทรงสนพระทัยเรื่องมัชฌิมาของเรามากทีเดียว ว่ามัชฌิมาของท่านอาจารย์องค์นี้ไม่เหมือนใครเลย เห็นแต่ในหนังสือว่า มัชฌิมาปฏิปทา เดินตามทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก เห็นแต่อย่างนั้น มัชฌิมาของท่านอาจารย์องค์นี้ ถึงเวลาควรจะตายแล้วมอบเลย ว่างั้นนะ เพราะกิเลสมันหนักมันมีกำลังมาก มัชฌิมาจะทำย่อ ๆ หย่อน ๆ ไม่ได้ นั่น เอาชีวิตแลกกันเลย ฟังแล้วไม่มีใครเหมือน ว่างี้เลย รู้สึกว่าโปรดมาก ว่างั้น
ทุกวันนี้ผู้ภาวนามีน้อยนะ ภาวนาหาอรรถหาธรรมมีน้อย หาเงินน่ะมีมากพิจารณาซิ กรรมฐานบวชมาเพื่ออรรถเพื่อธรรมมีน้อยนะ หาเงินน่ะมีมาก พูดอะไรมีแต่เรื่องเงินเรื่องทองไม่มีอรรถมีธรรม กิริยาแสดงออกมีแต่เรื่องเงิน หาเงินหาทอง เงินเลยมีอำนาจเหนือธรรม บีบบังคับจิตใจของผู้แสวงธรรมให้กลายเป็นผู้แสวงเงินไปได้โดยไม่รู้สึกตัว มีเยอะแล้วเดี๋ยวนี้ เราต้องระมัดระวังอย่าให้สิ่งเหล่านี้มาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ
วัตถุเขาสมมุติออกมา กระดาษแผ่นหนึ่งก็เอามาตื่นบ้ากันไป ขาดความนิยมเสียเท่านั้นเอามามวนบุหรี่ สู้ใบตองกล้วยแห้งเราไม่ได้ เหม็นเขียวจะตายไป หลงบ้ากันไปกระดาษ เอาสีอะไรไปแต้ม สีก็มีอยู่เต็มโลกนี้แล้ว สีเอาไปแต้มกระดาษลงไปเท่านั้น เกิดไปหลงว่าเงินเท่านั้นบาทเท่านี้บาท เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน มีแต่กองกระดาษทั้งนั้น อาศัยไปชั่วกาลชั่วเวลาตามสมมุตินิยมของโลกเท่านั้น จะให้เป็นคุณค่าอะไรยิ่งกว่านั้นไปเป็นไม่ได้ กระดาษ
ส่วนธรรมนี้มีคุณค่าขนาดไหนคิดดูซิ สามารถที่จะฉุดลากจิตใจให้พ้นจากทุกข์ไปได้โดยสิ้นเชิง ถึงความวิเศษวิโสของผู้ปฏิบัติ ถึงความวิเศษวิโสแห่งธรรม ถึงขั้นวิเศษวิโสแห่งจิต เป็นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัยธรรม นั่นแหละคุณภาพของธรรมกับคุณภาพของกระดาษต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าให้มาแย็บขึ้นได้ในเรื่องสิ่งเหล่านี้ จะมาทำลายธรรมภายในใจ ถึงจะเป็นเงิน เป็นเงินเหรียญจริง ๆ มันก็แร่ธาตุอันใดอันหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับแร่ธาตุทั้งหลาย เสกสรรกันนี่เงินนี่ทองคำ ก็ว่ากันไปเสกกันไปอย่างนั้น พระอาทิตย์ก็ยังมีแสง พระจันทร์ก็ยังมีแสง ดาวก็ยังมีแสง แร่ธาตุต่าง ๆ ก็มีบ้างเป็นธรรมดาของมันจะไปหลงมันทำไม ไปตื่นมันทำไม ถ้าเราไม่เป็นบ้าไม่ตื่น
นี่ละเรียนให้ถึงความจริงแล้วมันไม่มีอะไร มีแต่ใจดวงเดียวเท่านี้เป็นบ้า มันดิ้น พอชำระอันนี้แล้ว มันรู้เรื่องความคึกความคะนองของตน ด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรแล้ว มันจะเห็นความจริงไปโดยลำดับ ๆ แล้วปล่อยได้ทั้งนั้น อะไรจะวิเศษวิโสขนาดไหนก็เถอะว่างั้นเลย ในโลกนี้ก็คือกองสมมุติเราดี ๆ นี่แหละ หรือกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เราดี ๆ ซึ่งเป็นทางจะเหยียบผ่านไปเพื่อสันติธรรมถ้าผู้ฉลาด แน่ะ ถ้าผู้โง่ก็สิ่งเหล่านี้แหละที่มันจะมาพอกพูนบนหัวใจ หรือจะมาเป็นเชื้อไฟเผาเราให้ฉิบหายเป็นผุยผงไป ก็เพราะสิ่งเหล่านี้แหละ มันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเรา
เพราะฉะนั้นเราอย่าโง่ พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนโง่ สอนเราให้ฉลาด เราอย่าไปหลงกลมายาของโลก เราไม่ปฏิเสธ ธาตุขันธ์ของเราก็เป็นโลก ก็อาศัยกันไปตามความจำเป็น นี่ถูกต้องตามธรรม อย่าให้มันเลยความจำเป็นนี้จนกระทั่งเป็นความทะเยอทะยานอยาก ลืมอรรถลืมธรรมไปเสีย เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นของดีไปเสีย นั่นละคือการทำลายตัวเอง
เทศน์เพียงแค่นี้ละ