ทุกข์ทางใจนี้ต้องมีสาเหตุ ทุกสิ่งทุกอย่างบรรดาที่ทุกข์เกิดขึ้นมากน้อยมีสาเหตุคือสมุทัยเป็นสำคัญ กิเลสนั่นแหละเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ นี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจเรื่องของทุกข์ ทำไมจึงดูทุกข์ไม่เห็นทุกข์ ทุกข์ทางใจเกิดมาจากไหน เฉพาะอย่างยิ่งทุกข์ทางใจมีสาเหตุมา ร่างกายสะดวกสบายดีอยู่ แต่ว่าจิตวุ่นวายส่ายแส่ มีความทุกข์ความลำบากเหมือนกับไฟเผาอยู่ตลอดเวลา เพราะกิเลสมันก่อไฟเผาก็เป็นตัวทุกข์ขึ้นมา แล้วเราจะเอาอะไรดับไฟนี้ พิจารณาค้นดูให้ดีซิ
ท่านสอนอย่างชัดเจนพระพุทธเจ้าสอน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า นี่คือธาตุ ๔ เอ้า ถ้าจะแยกเป็นอสุภะอสุภังก็พิจารณาซิ มีแต่หนังบาง ๆ เท่านั้นหุ้มห่ออยู่รอบตัวนี้ ตจปริยนฺโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ แล้วก็บาง ๆ เท่าใบลานนี้ก็ได้ไอ้สิ่งหลอกตาโลกนี่ นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยปุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนอง นี่เป็นความจริง พิจารณาหยั่งให้ถึงความจริงประจักษ์ในใจ ทำไมมันจะถอนไม่ได้อุปาทาน
เรื่องความรักกายก็เพราะความเห็นสำคัญว่ากายนี่เป็นเราเป็นของเรา เป็นของสวยของงามนั่นเอง เมื่อพิจารณาลงให้ถึงความจริงของมันแล้วหาความงามก็ไม่ปรากฏ หาความเที่ยงแท้ถาวรก็ไม่ปรากฏ หาเป็นตนเป็นตัวที่ไหนก็ไม่ปรากฏ แยกออกไป ๆ ก็เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟไปเสียหมด เราหาตื่นเงาที่ไหน ตื่นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ปัญญาหยั่งลงไปพิจารณาลงไปให้ชัดเจนซิ สติบังคับลงไป ว่ากายก็เห็นชัดเจนอยู่นั้นแล้ว กายในกายนอก กายนอกก็ดูโน้นก็ได้ ดูใครก็ได้มันเหมือนกันนี่แหละ กายในกาย กายในกายส่วนใดส่วนหนึ่งของอวัยวะทั้งหมด
เวทนาในเวทนานอกนี่ สำหรับการปฏิบัติเราจะถือเอาที่เขาเกิดความทุกข์ความลำบากร้องไห้พิไรอะไรเหล่านี้มาเป็นคติสอนใจเราก็ได้ แต่มันเผิน ๆ มันนอกไป เวทนานอกเวทนาในสำหรับการปฏิบัติในความรู้สึกของผมนี้ มันมามั่นใจเอาตรงเวทนานอกได้แก่ทุกขเวทนาทางกาย เวทนาในได้แก่ทุกขเวทนาทางใจ ไม่ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าเฉย ๆ มันมีอยู่ที่กายกับใจนี้เท่านั้น พิจารณาลงนี้ซิ จิตมันคิดมันปรุงเรื่องราวอะไรพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม เอาแต่เพียงเรื่องร่างกายนี้มันก็เข้าไปถึงกันหมดนั่นแหละ เพราะมันเกี่ยวโยงกันนี่นะ ไม่ใช่พิจารณาอันนี้แล้วจึงจะพิจารณาอันนั้น ๆ
เหมือนทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่เกี่ยวโยงกัน พอกำหนดเรื่องของสมุทัยเท่านั้นแหละ เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมันก็รู้แล้วว่าทุกข์เกิดขึ้น ตั้งต้นแล้วนี่ เป็นเครื่องสะดุดใจเราแล้วนี่ ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด นั่น แล้วก็ค้นหาสาเหตุของทุกข์ มันจะพ้นจากสมุทัยได้ยังไง การค้นหานั้นไม่เรียกว่ามรรคจะเรียกว่าอะไร นั่นมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่นั่น เรื่องสติเรื่องปัญญาไม่เรียกว่ามรรคจะเรียกว่าอะไร
เมื่อพิจารณารู้เท่าตามความจริงของมันแล้ว ทุกข์ดับไปเป็นลำดับ ๆ นั่นก็เรียกว่านิโรธ เกี่ยวโยงกันอย่างนั้นเอง สติปัฏฐาน ๔ กับอริยสัจ ๔ พิจารณาอย่างไหนก็เหมือนกัน ถ้าจะพิจารณากายเป็นอารมณ์ จับจุดใดจุดหนึ่งเป็นอารมณ์ กำหนดให้มันชัดซิ ตั้งสติอยู่ตรงนั้น ให้มีแต่ความรู้กับอวัยวะส่วนนั้นติดแนบสนิท เอ้ามันจะเป็นยังไง มันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง พิจารณาให้กระจาย ๆ ออกไป
การพิจารณาที่มาได้ความชัดเจนสำหรับผมเอง มาอยู่ที่หนองผือนะ ตั้งแต่ก่อน ๆ โน้นก็ไม่ชัด แต่เรื่องสมาธินี้เป็นได้แน่แล้ว เรื่องความเห็นกายชัดเจนจนถึงได้ปลงจิตปลงใจว่าแน่แล้วที่นี่นะ มาเป็นอยู่ที่หนองผือที่เห็นจริง ๆ น่ะ มันซาบซ่านไปหมด เกิดความสลดสังเวชภายในใจของเจ้าของ โห กายนี่เห็นเมื่อไร ไม่ได้เห็นเพิ่งมาเห็นวันนี้เหรอ ๆ เห็นกายในกาย กายในกายแล้วยังกายทั่วกายไปอีก ทีแรกก็กายในกายส่วนใดส่วนหนึ่งไปก่อน ทีนี้กระจายไปหมด พังลงไปทลายลงไป เปื่อยเน่าลงไป เป็นหลักธรรมชาติของมันเอง
นี่เวลามันเห็นชัด ๆ แล้ว จนกระทั่งมันลงไปหมด ดินก็ลงไปดิน น้ำก็ซืบลงไปในดินก็มี เป็นไอขึ้นอากาศก็มีในขณะที่พิจารณา ทีนี้เมื่อน้ำซืบออกไปหมดแล้ว ซึมออกไปหมดแล้วก็เหลือแต่หนังกับกระดูก มันก็กลายเป็นดินให้เห็นชัด ๆ ลม ไฟมันก็ไปของมัน จิตมันก็ลงได้อย่างเต็มที่ ไม่ทราบว่าลงสักกี่ชั่วโมงนะ ถอนขึ้นมาแล้วยังว่างไปหมดเลย ทั้ง ๆ ที่จิตถอนออกมาแล้วกำหนดดูมันว่างไปเสียหมด เหมือนไม่มีต้นไม้ภูเขา แม้แต่กุฏิที่เรานั่งอยู่นั้นก็เหมือนไม่มีกุฏิเลย ร่างกายก็เหมือนไม่มี ถอนออกมาแล้วมันยังเป็น นี่แหละอำนาจของความพิจารณาเห็นกายอย่างชัดเจน แล้วลงได้อย่างสนิทเต็มที่เต็มฐานของมัน แม้จิตถอนขึ้นมาแล้วมันก็ยังว่างอยู่ตลอดเวลา หลายวัน นั่นอำนาจของจิต
เลยไปกราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านก็จ่อเข้าทันทีเลย อธิบายเพิ่มเติมเข้าเลย ท่านว่าต้องอย่างนั้น นี่ผมเคยเป็นอยู่ที่ถ้ำใหญ่สาริกา ท่านยกมาเลยนะ เป็นเหมือนท่านมหานี่แหละ นี่มีผู้มาพูดแบบเดียวกันเท่านี้แหละ ท่านว่าเลยเทียว ท่านยกขึ้นเลย ผมเป็นอยู่ที่ถ้ำสาริกา เป็นถึงขนาดนี้แหละ คือมันราบไปหมดเลย นอกจากราบไปหมดแล้วยังว่างไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่จิตซึ่งเป็นของอัศจรรย์ล้วน ๆ ไม่ทราบอยู่สูงอยู่ต่ำ ไม่ได้ไปสนใจกำหนดกฎเกณฑ์มัน มันอัศจรรย์อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ตรงนั้น นี่แบบเดียวกันกับท่านมหาพูด เราเล่าเป็นลำดับ ๆ เล่าถวายท่านในความเป็นของเรา
มันเป็นหนเดียวนะเป็นแบบนั้น ไม่ใช่มันจะเป็นตลอดมานะ คราวหลังเราก็พิจารณาจะให้เป็นแบบนั้นอีกมันไม่ยอมเป็น ทั้ง ๆ ที่เห็นกายเหมือนกัน เวลาพิจารณาแล้วมันมีรูปลักษณะต่าง ๆ ทางกายเห็นผิดกันไปโดยลำดับ ๆ เราจึงไปกราบเรียนท่านเล่าถวายท่านอีก ท่านบอกมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นหนเดียวเท่านั้นแหละ ผมก็เป็นหนเดียวตั้งแต่โน้นไม่เป็นอีกเลย ทีนี้มันจะเป็นลักษณะไหนก็ให้เป็นไปตามลักษณะในหลักธรรมชาติของมันเอง อย่าไปปรุงไปแต่งมัน นั่นละเป็นความจริงล้วน ๆ ท่านก็สอนย้ำออกมา เราก็เป็นที่แน่ใจ เราก็ไม่เคยเป็นอีกอย่างนั้นนะ เห็นหนเดียวเท่านั้นเห็นกาย เห็นกายอย่างแปลกประหลาดอัศจรรย์
คราวต่อมามันก็ลง ลงแต่มันไม่ได้ว่างไปหมดอย่างนั้น มันลงเฉพาะจิต มันว่างอยู่เฉพาะจิต ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งใด นั่นมันว่างเฉพาะจิตแล้วยังไม่แล้ว ยังว่างไปหมดเอาจริง ๆ มันโล่งไปหมด โลกธาตุเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ว่างเปล่าไปหมด มันก็เข้ากับลักษณะ สุญฺโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อน โมฆราช เธอจงพิจารณาให้เห็นว่าโลกทั้งหลายนี้เป็นของว่างเปล่า ท่านว่าอย่างนั้นมันก็เลยเข้าในลักษณะนั้น
นี่หมู่เพื่อนมาอยู่นี้ก็นานแล้ว การภาวนาเป็นอย่างไรไม่ได้เรื่องได้ราว มันน่าจะได้เรื่องได้ราว เราทำงานหน้าที่เดียวนี้เท่านั้น หน้าที่ที่จะพิจารณาภาวนา เอ้า ทำให้สงบก็ฟาดให้เต็มที่เต็มฐานมันก็สงบได้ ถ้าจะใช้ทางปัญญาพิจารณาแยกแยะในธาตุในขันธ์ก็ให้ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้น ให้มีความรู้อยู่กับสิ่งนั้น ๆ เท่านั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องอะไร เหมือนกับโลกไม่มี มีแต่สิ่งที่เราพิจารณานี้เท่านั้น นั่นจิตมันถึงจริง มันต้องปักลงอย่างนั้น ทำอะไรให้ปักลงไป ๆ จิต
ถ้ามันเกิดความอ่อนแอก็ปลุกจิต หาอุบายปลอบ ปลอบนี้มีน้อยสำหรับผมนะ ปลุกนั้นมาก มีแต่ปลุกจิตให้เกิดความกล้าหาญชาญชัยมากกว่า ขู่เข็ญเจ้าของเก่ง การปลอบโยนนี้ โอ๊ย จะมีอย่างมากไม่เกิน ๕ % ที่จะปลอบ ๆ จนระลึกไม่ได้ว่างั้นเถอะนะ แต่เรื่องขู่นี้เอา เอาจริง ๆ แล้วทีนี้มันเคยได้ผลด้วยการขู่ ขู่นั่นไม่ใช่ว่าขู่จิตนะ ขู่กิเลสประเภทกล่อม ในขณะเดียวกันก็ขู่กิเลส ถ้าว่าเราขู่จิตนี่มันก็คือขู่กิเลสนี่ เพราะเหตุใดถึงว่าอย่างนั้น ก็เวลาเอาหนัก ๆ สู้มันหนัก ๆ แล้วกิเลสมันกระจายออกไปก็รู้นี่ มันได้ผล เวลาไหนที่เราเอาเต็มที่เต็มฐาน เข้าฟาดกันเลย นั่นมันได้อย่างคุ้มค่านี่นะ
ยกตัวอย่างเช่นนั่งตลอดรุ่งอย่างนี้ ไม่มีคืนไหนที่ไม่ได้ของอัศจรรย์ขึ้นมาชม ได้ชมของอัศจรรย์ ได้ครองของอัศจรรย์ คืนหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง แต่การพิจารณาเราจะหาเอาอุบายอย่างที่เราเคยพิจารณามาใช้นั้น มันเป็นสัญญาอดีต เข้าหลักปัจจุบันหลักปฏิบัติไม่ได้ ต้องเป็นอุบายของสติปัญญาคิดค้นขึ้นในปัจจุบัน เป็นขึ้นในปัจจุบัน แก้ในปัจจุบัน ๆ ถ้าสิ่งไหนตรงกับของเก่าก็ให้เป็นปัจจุบันของอันนั้นเกิดขึ้นมาเองแล้วไปเหมือนของเก่าก็ไม่เป็นไร
ถ้าเราจะต้องพิจารณาอย่างนั้นเราจะต้องพิจารณาอย่างนี้ เอานั้นเข้ามาคาดเข้ามาหมายไม่ได้ เหมือนกับว่าคิดใหม่ พูดง่าย ๆ ว่าคิดใหม่ ได้ใหม่ ได้ปัจจุบันแก้กันทันควัน นี่แล้วที่จะหาญกับความตายเพราะนั่งตลอดรุ่งนี่แหละ เพราะเราสู้กันอย่างเอาตายสู้ คำว่าถอยไม่มี นอกจากตายหนึ่ง สว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมาหนึ่งเท่านั้น เพราะมีเกณฑ์กำหนดกันอย่างนั้น ตั้งสัจจะลงถึงสว่างเป็นวันใหม่ถึงจะลุกหนึ่ง สองตาย ปล่อยหมดสุดวิสัย สามหากว่าสลบล้มลงไปเมื่อได้สติแล้วจะลุกขึ้นนั่งทันที
ข้อแม้ไม่มี มีข้อแม้เฉพาะครูบาอาจารย์มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นภายในวัด พระเณรองค์ใดก็ตามนับแต่ครูบาอาจารย์ลงมา นั้นยอมให้ออกจากที่ได้ สำหรับเรื่องของตัวเองแล้วไม่มีข้อแม้ให้เลย ถ้ามีข้อแม้ให้มันจะมีทางออก เช่นเว้นแต่ปวดอุจจาระปัสสาวะอย่างนี้ เวลาทุกข์มาก ๆ มันจะหาอุบายปวดปัสสาวะ หาอุบายปวดอุจจาระอยู่นั่นแหละ เลยไม่ได้เรื่อง เอ้า ถ้ามันจะออกเวลานั้นก็ให้มันทะลักออกเลย ตั้งแต่ขี้ใส่ตักแม่ขี้ใส่มือแม่ทำไมขี้ได้ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ ทำไมโตขึ้นมาขนาดนี้แล้วล้างไม่ได้เหรอ ขี้ของตัวเองแล้วล้างตัวเองล้างไม่ได้เหรอ เอาอย่างนั้นแหละ ตัดลงไปเลย
เมื่อไม่มีทางออก มีแต่หนามจุกเข้าไป ๆ ดันเข้าไปนี่มันก็ไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เมื่อจนตรอกสติปัญญามันก็ขึ้นซิ ทุกข์มันก็มากนี่เหมือนกับไฟทีเดียว ร่างกายทั้งร่างนี้เหมือนกับไฟ เป็นไฟไปหมด สติปัญญาเมื่อเวลาจนตรอกนั้นมันจะอยู่เฉย ๆ ได้เหรอ เพราะจะออกมาก็ออกไม่ได้นี่สัจจะความสัตย์หมุนติ้วเลย ความสัตย์นี้เหนือชีวิตนี่น่ะ ถ้าหากว่าเราจะทำลายความสัตย์นี้ให้เราตายดีกว่า อย่าให้เหลือเป็นมนุษย์อยู่ในโลกหนักศาสนาเลย เป็นโมฆภิกษุใช้ไม่ได้ นั่นมันมีข้อบังคับอย่างนั้น
หมุนติ้ว ๆ เลย เมื่อมันจนตรอก ทุกขเวทนามันเกิดมาก ค้นซิอะไรเป็นทุกข์ นี่ซิตัวสำคัญมันเป็นทุกข์ที่ตรงไหน มันหากมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทุกข์มากกว่าเพื่อน จับจุดนั้นเข้าไป แยกแยะดูทุกข์นี้หรือเป็นเรา ทุกข์นี้หรือเป็นกาย ถ้าหากว่าทุกข์นี้เป็นกาย เวลาทุกข์ดับไปกายทำไมไม่ดับไปด้วย หรือว่าหนังนี้เป็นทุกข์ เนื้อหรือเป็นทุกข์ เอ็นหรือกระดูกหรือเป็นทุกข์ ถ้าหากสิ่งนี้เป็นทุกข์จริง ๆ เมื่อทุกข์ดับไปทำไมสิ่งนี้ไม่ดับไปด้วย ถ้าเป็นอันเดียวกันมันต้องดับไปด้วยกัน หรือจิตนี่หรือเป็นทุกข์ ถ้าจิตเป็นทุกข์ สิ่งเหล่านี้ดับไปแล้วทำไมจิตจึงยังเหลืออยู่ ตั้งแต่ยังไม่นั่งภาวนานี้ทุกข์ก็ยังไม่เกิด สิ่งนี้ทำไมมันยังมีถ้าหากว่าเป็นอันเดียวกัน มันแยกมันแยะหมุนติ้ว ๆ อยู่ในนั้น
ทุกข์มากเท่าไรจิตยิ่งขยับเข้า ๆ ถอนไม่ได้นะเวลานั้น ถ้าอยากจะให้ทุกข์หายเท่าไร นั่นละคือตัวสมุทัยเพิ่มทุกข์ขึ้นอีกมากเหมือนกับเท่าตัว หายไม่หายไม่ต้องว่ากันให้เห็นความจริงของทุกข์ เอ้า ขอให้ทราบความจริงนี้เท่านั้นเป็นที่พอใจ ค้นกันเข้าไป ๆ พอทราบชัดว่ากายหรืออาการต่าง ๆ แต่ละอาการ ๆ มันจริงของมันแต่ละอย่าง ๆ ตามธรรมชาติของมัน มันไม่ได้ว่ามันเป็นทุกข์ แม้แต่ทุกขเวทนาที่แสดงตัวอยู่อย่างเด่นชัดนั้น มันก็ไม่มีความหมายในตัวของมัน เหมือนกับไฟผู้ไปสัมผัสต่างหากว่าร้อน อย่างเราไปสัมผัสไฟว่าร้อน ตัวไฟเองก็ไม่ทราบความหมายของตัวเองว่าร้อนหรือหนาวหรือเย็นอะไรไม่มี มันไม่มีความหมายนะไฟ คือไม่มีความหมายในตัวของมันเอง
ทุกข์ที่เป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ของเราก็เหมือนกันอย่างนั้น เมื่อเข้าใจชัดเจนแล้วมันก็ถอน ทุกข์ถอนออกปัจจุบัน ว่าจิตเป็นทุกข์จิตก็ไม่เป็นทุกข์ จิตก็รู้อยู่อย่างชัด ๆ ทุกข์อันนี้ก็ปรากฏอยู่นั้น แยกแยะแยกทางกายแยกเวทนา แยกจิต ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต เทียบเคียงกัน อันไหนเหมือนกัน อันไหนเป็นอันเดียวกันหรือไม่เป็นอันเดียวกัน แยกไปแยกมาอย่างนี้ก็รู้ได้ชัดนี่ไม่ใช่อันเดียวกัน กายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนาเท่านั้น จิตก็คือจิตเท่านั้น ต่างอันต่างจริง
ทีนี้เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน ถึงทุกข์จะไม่ดับลงไปก็ตามก็สักแต่ว่าทุกข์ ไม่เห็นกำเริบพอที่จะมาทำลายจิตใจของเราให้หวั่นไหวได้ ที่นี่ก็เหมือนกับว่ามีเกราะ ใส่เสื้อเกราะแล้วจิต มีเกราะหุ้มแล้ว ทุกขเวทนาจะเกิดมากน้อยก็ยิ้มได้อย่างสบาย ๆ เพราะเห็นเป็นจริงเท่านั้น สักแต่ว่าเป็นเวทนาเท่านั้นนี่ประการหนึ่ง ประการที่สองนี้ทุกขเวทนาดับด้วย สำหรับเราปฏิบัติเป็นอย่างนั้น นอกจากทุกขเวทนาดับแล้ว ร่างกายทุกส่วนเหมือนกับหายไปพร้อมเลย ไม่มีความรู้สึกในส่วนใจ ใจไม่มีความรู้สึก เหมือนว่าหายไปหมดทั้งกาย หายไปหมดทั้งเวทนา เหลือแต่ความรู้ที่อัศจรรย์ล้วน ๆ นี่อันหนึ่ง มันเป็นอยู่ ๒ อย่างเราพิจารณา
เมื่อได้หยั่งถึงขนาดนั้นแล้วทำไมจะไม่เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ทำไมจะไม่ดูดดื่ม ทำไมจะไม่อาจหาญจิตใจ เพราะสิ่งที่ให้อาจหาญเป็นสักขีพยานอยู่แล้ว คือจิตดวงอัศจรรย์ที่ปรากฏอยู่เวลานั้น เมื่อได้แยกแยะกันออกหมดแล้ว ยังเหลือแต่จิตจะแสดงความอัศจรรย์ให้เห็น นั่นแหละที่นี่เมื่อได้ขึ้นเวทีได้ต่อสู้กันดูแล้วมันก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปในระยะต่อไป หากมีอุบายของสติปัญญา วันหนึ่งขึ้นแง่หนึ่ง ๆ ขณะหนึ่งขึ้นแง่หนึ่ง จึงเรียกว่าสติปัญญา เจ้าของต้องคิดต้องค้นขึ้นมาเอง สติปัญญาเกิดในจิตอันเดียวกันจึงเรียกว่ามรรค สังขารนั่นแหละความคิดความปรุงขึ้นมา แต่สังขารนี้เป็นสังขารฝ่ายแก้ สังขารอันหนึ่งเป็นสังขารฝ่ายผูกฝ่ายมัดฝ่ายสั่งสมกิเลส เรียกว่าสังขารที่เป็นตัวสมุทัย เราแยกมาเป็นสังขารฝ่ายมรรคเป็นสติปัญญาแก้กันได้
เมื่อได้หนหนึ่งแล้วเป็นสักขีพยานแล้วคราวหลังไม่กลัว เป็นไหนเป็นกันไม่กลัว ถ้าลงได้นั่งปุ๊บวันนี้ต้องอย่างนั้น ๆ เลย ต้องสว่างมีท่าเดียวเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น เราได้พิจารณาดูแล้วเรื่องทุกขเวทนานี้ ได้เห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นความจริง เรากลัวอะไร ถ้าพิจารณาเรื่องธาตุขันธ์ว่ามันตายหรือ อะไรตาย ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เคยตายจากโลกไหม ก้อนร่างกายของเรานี้ก็คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อสลายลงไปแล้วดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ใจก็ยิ่งรู้อยู่อย่างเด่น ๆ นี้แล้วจะตายไปได้อย่างไร คำว่าตายมันโกหกกัน นั่นมันรู้ชัด นี่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง เอ้า ทุกขเวทนาถึงเวลาจะตายนั้นจะมีหนาแน่นไปขนาดไหน ก็คือทุกขเวทนาที่เราได้เห็นชัด ๆ เราได้พิจารณาอยู่เวลานี้ และรู้จริงเห็นจริงกันอยู่ขณะนี้แล ไม่มีเวทนาหน้าไหนไปหลอกเราเวลาตาย ฉะนั้นจึงหาความกลัวเวทนาไม่ได้
ทราบชัดตามความเป็นจริงของเวทนาแล้ว จะเป็นถึงขีดตายก็ตายไปเถอะไม่หลง แล้วก็เป็นจริง ๆ ด้วยนะ ในขณะนั้นเป็นอย่างนั้นแล้ว เวลามันจะเอาจริงเอาจัง เช่นวาระจะตายที่อยู่หนองผือ ที่ว่าถ่ายถึง ๒๕ ครั้ง อาเจียน ๒ ครั้งนั่นน่ะ มันจะไปจริง ๆ ๙๙ % ไม่เห็นมันเผลอนี่ ไม่เห็นมันกลัวตายเลย หือ จะไปเดียวนี้เชียวเหรอ เอ้าไปก็ไป แน่ะมันสนุกพิจารณากันสบายเลย
ตอนมันจะไปจริง ๆ ความรับผิดชอบในส่วนร่างกายนี้มันหดมาพร้อม ๆ กัน ข้างล่างก็หดขึ้นมาอยู่กลางหัวใจนี่ ข้างบนก็หดลงไป ข้างซ้ายข้างขวาหดเข้ามาพร้อมกันเลย จากนั้นแล้วร่างกายก็หมดความหมาย คือร่างกายเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนไปแล้ว หูนี้เลยหนวก ไม่ใช่หนวกไม่ใช่บอดเสียแล้วเลยนั้นไปแล้ว เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ทุกขเวทนาก็ดับหมด นี่จึงได้เชื่ออย่างแน่ใจว่าคนเราเวลาจะตาย ถ้ามีสติทราบเรื่องของตัวเองอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ขณะจะตายนั้นเวทนาต้องดับหมด อันนี้มันดับ ขณะที่เวทนาดับหมด
ทั้ง ๆ ที่ทุกขเวทนาอย่างสาหัส พอถึงขั้นจะไปจริง ๆ แล้ว ความรับผิดชอบในความรู้สึกนี้มันหดตัวเข้ามา วูบเดียวเท่านั้นพร้อมกันหมดเลย เข้าไปอยู่ตรงกลางนี้ ตรงกลางนี้ก็สักแต่ว่ารู้นะ จะว่าเป็นจุดเป็นต่อมแห่งผู้รู้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี พูดได้แต่ว่าสักแต่ว่ารู้เท่านั้น แล้วทุกขเวทนาดับ อะไรดับ ร่างกายดับหมดจากความรู้สึกของกายเองและความรู้สึกของทางประสาท จิตก็เป็นจิต ทุกขเวทนาก็ดับพร้อมกันเลย นั่นตอนนั้นตอน ๙๙ %
นี่วิตก จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอ้าไปก็ไป กำหนดจิตขยับเข้าอีกเหมือนกับจะช่วยให้มันไป มันก็เลยเป็นพลังอันหนึ่ง ด้วยอำนาจพลังของจิตที่กำหนดจะไปนี้ เลยเป็นพลังทำให้จิตมันซ่านออกไปอีก ให้รับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หือ ไม่ไปหรือ ไม่ไปอยู่ซิ แน่ะเป็นอย่างนั้น ไม่ลืมนะความรู้สึกของเจ้าของเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คิดอย่างนั้นด้วยเวลาจะไป จะไปจริง ๆ เหรอ เอ้าไปก็ไปซิ กำหนดปั๊บเพื่อจะช่วยให้มันไปเสีย คือไปอย่างหายห่วงพูดง่าย ๆ ไม่ได้สงสัยอะไรนี่ ระยะนั้นเราก็ไม่ได้สงสัยอะไรแล้ว
ย้อนมาจำพรรษาหนองผือหลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านมรณภาพไปแล้วในเดือน ๓ พอเดือน ๘ เราก็กลับมาจะมาจำพรรษาอยู่ที่นั่น หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างแล้วพูดตามความจริง เวลานั้นมันจะมาประกาศความจริงให้เราเห็นอยู่ซิ ตอนจะตายนี่ก็ไม่เห็นมันกลัวอะไร มันตามมันรู้กันทุกระยะ ๆ จนกระทั่งถึงว่าหมดทุกขเวทนาที่เป็นอย่างสาหัสขนาดถึงขั้นจะตาย มันก็รู้ของมันอยู่ตลอดเวลาไม่พลั้งไม่เผลอ จนทุกขเวทนาในร่างกายนี้ที่เป็นสาหัสดับจนหมด เพราะความรับผิดชอบของจิตมันหดตัวเข้ามาวูบเดียวเท่านั้น ทุกขเวทนาก็เป็นอันว่าดับไปพร้อมกันกับความรับชอบทางด้านร่างกาย
เอ้าจะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เอ้าไปก็ไป ยังเหลือแต่ความรู้เท่านั้น กำหนดปั๊บเข้าจุดความรู้นั้น ไม่ถึงนาทีนะมันซ่านออกไปอีก พอซ่านออกไปหูก็ได้ยิน ตาฝ้าฟางก็เหมือนกับมองเห็น ความรู้สึกทางส่วนร่างกายก็รู้ ทีนี้ทุกขเวทนาก็เริ่มขึ้นก็สาหัสเหมือนอย่างที่เคยเป็น สาหัสมันก็สาหัสในส่วนร่างกายต่างหาก ไม่ได้สาหัสในจิต ไม่ได้เข้าถึงจิต จิตเป็นปกติอยู่อย่างนั้นธรรมดา ๆ
เพราะฉะนั้นเวลาออกมาจากประตูส้วม เปิดประตูส้วมออกมา พระที่คอยอยู่ข้างนอกมองเห็นเราตกตะลึงซิ คือกระบอกตานี้มันดำหมดแล้วเหมือนคนตาย โห ทำไมท่านอาจารย์เป็นอย่างนั้น เราก็ยิ้มนิดหนึ่งแล้วพูด ผมเกือบตายในถานเมื่อสักครู่นี้ เราพูดแล้วก็ยิ้ม ๆ เพราะเราไม่มีอะไรเสียใจดีใจนี่ เป็นปกติจิต พระเลยตื่นขึ้นอีกเป็นบ้าขึ้นอีก โอ๊ย ท่านอาจารย์ทำไมเป็นอย่างนั้น เรารู้ทันที นี่พระเข้าใจว่าเราเผลอ แต่นั้นมาเราเลยไม่ใช้กิริยานั้นอีก ไม่พูดอะไรเลยมีแต่บอกใบ้ บอกให้ไปเอาเสื่อมาปูที่ตรงข้างนอกนี้ แล้วเอาหมอนมาวางเราจะนอนที่นี่ เราบอกใบ้พระก็รู้นี่ เราไล่พระหนีหมดเลย เรานอนอยู่คนเดียวนอนภาวนา
นี่ก็ทำให้รู้เรื่องของหมู่เพื่อน นี่เวลาเราตายนี้เราเชื่อหมู่เพื่อนไม่ได้ถ้าเป็นอย่างนี้ นั่นมันเอาละนะ มองเห็นเราตอนแรกก็ตกใจ ก็ว่าเราจะตายนี่เป็นประการหนึ่ง ประการที่สองที่เรายิ้มเราพูดออกไป พูดมีแต่ปากมุบมิบ ๆ ไม่มีเสียงเหมือนกับลิงพูด พร้อมทั้งยิ้ม ตื่นกันตรงนั้นอีกซิ โห ทำไมท่านอาจารย์เป็นอย่างนี้ นั่นครั้งที่สองนี่เราสะดุดทันที อย่างนี้พระเข้าใจว่าเราเผลอนะนี่นะ ก็เราไม่ได้เผลอ มันเผลอไปไหน มีอยู่กับธรรมชาตินั้นแล้วโดยปกติของมันเผลอไปไหน มันจะเผลอไปไหนว่างั้น มันพูดอาจหาญขนาดนั้น เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วนี่จะเผลอไปไหน ๆ ว่างั้นเลย เราทราบงั้นเราก็หยุดเสียเปลี่ยนวิธีใหม่ พอพระเอาเสื่อเอาอะไรมาปูแล้วไล่หนีหมดไม่ให้มายุ่งเลย
พอเสร็จแล้วถึงมาถามพระ ถามประโยคแรกเรื่องที่ว่าเอะอะโวยวายขึ้นนั้น พระก็ตอบถูก ตกใจเห็นท่านอาจารย์จะตายมองดูหน้าตาอย่างนั้น แล้วเอะอะที่สองล่ะว่างั้น ที่สองมีอยู่ ๒ ระยะ ระยะหนึ่งนั้นคนจะตายมันสังหรณ์ทำให้ยิ้มว่างั้น ระยะที่สองเข้าใจว่าท่านอาจารย์เผลอ นี่แหละผมต้องการตรงนี้เราบอกอย่างนั้น ผมต้องการตรงนี้ ผมแน่ใจตรงนี้ว่าพวกท่านว่าผมเผลอ เพราะฉะนั้นการเป็นการตายของผมจึงไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งกับผม เพราะไม่รู้เรื่องกันนี่นะ
ความจริงของเราเราไม่มีอะไร เราตายที่ไหนเราตายสบายหมด เราพูดอย่างอาจหาญนะนี่ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อยากจะยุ่งกับใครเวลาเราตาย เราตายอย่างสนุกเราคนเดียว ให้เต็มเพลงของเราที่ได้ปฏิบัติมามากน้อยในวาระสุดท้าย เรื่องของขันธ์ ทุกขเวทนามันจะมีอะไร มันก็แสดงตามเรื่องของมันลิกแลก ๆ ตามเรื่องของมัน เหมือนอย่างเราจ่อไฟเข้าไปที่ไม้ไผ่แห้งนี่ เสียงแตกโป้งป้าง ๆ เป็นเหมือนมันมีวิญญาณใช่ไหมล่ะ ไม้ไผ่เหล่านั้นเหมือนมีวิญญาณ ไฟก็เหมือนมีวิญญาณ แสดงเปลวขึ้นวูบจะจรดฟ้าโน่น เหมือนมีตนมีตัว เหมือนมีดวงวิญญาณอยู่ในนั้นไม้ก็ดี เสียงแตกโป้งป้าง ๆ ความจริงไม้มันรู้ความหมายของมันไหม มันแตกมันรู้ความหมายของมันไหม ไฟที่ลุกโพลง ๆ นั้นมันมีความหมายของมันไหม มันไม่มีความหมายด้วยกันทั้งนั้น
นี่เรื่องของขันธ์ก็เหมือนกัน มันจะเป็นลักษณะไหน เพราะอำนาจแห่งทุกขเวทนาที่เป็นเหมือนกับว่าไฟไหม้ไม้ไผ่แห้งไม้ไผ่สดก็ตาม นี่ทุกขเวทนามันไหม้มันแสดงต่อกัน มัดรัดรึงกันตามเรื่องของขันธ์แสดงในขณะนั้น กายก็แสดงตามอาการของมัน ทุกขเวทนาก็ไม่ทราบความหมายของตน และไม่ทราบความหมายของกาย กายก็ไม่ทราบความหมายของกายเอง และก็ไม่ทราบความหมายของเวทนา แต่มันแสดงเหมือนกับไฟไหม้ไม้แห้งนั่นแหละ
ผู้ที่ทราบความหมายก็คือจิต ก็รู้กันอยู่อย่างนั้นแล้ว จะเผลอไปไหน จะไปหลงไปที่ไหนกัน เมื่อสิ่งเหล่านี้หมดกำลังของมันแล้วก็ยุติ เหมือนกับไฟกับไม้ที่หมดกำลัง เชื้อไฟก็หมดแล้ว ไฟก็ยุบลง ๆ ก็ดับก็เท่านั้น นี่ก็เหมือนกันทุกขเวทนาก็ดับเมื่อมันหมดกำลังแล้ว ร่างกายก็ยุติทุกสิ่งทุกอย่างไม่ไหวไม่ติง ทุกขเวทนาก็ดับ ความรับทราบนั้นออกแล้ว นั่นจิต ท่านเรียกว่าตาย
ความจริงก็คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันหมดกำลังที่จะเป็นเครื่องมือของจิตได้ พูดง่าย ๆ ใช้ไม่ได้แล้ว จิตก็ถอยตัวออก หากว่าจิตยังมีกิเลสจะไปก่อกำเนิดเกิดใหม่อีก ตามภพชาติหรือตามภูมิของจิต ถ้าจิตสิ้นแล้วจากกิเลสก็หมดห่วง ภารา หเว ปฺจกฺขนฺธา หมดห่วงกันเสียทีว่างั้นเลย นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ไม่ต้องมายุ่งกันอีกเหมือนอย่างที่เคยยุ่งมาแล้วนี้ นี่แหละการปฏิบัติเห็นประจักษ์อยู่อย่างนี้จะว่ายังไง
ศาสนาไม่ใช่ตุ๊กตาเป็นเครื่องเล่นของเด็ก หลอกว่านี่ทำบุญทำทานแล้วจะได้ไปสวรรค์ไปนิพพาน ในขณะนี้ไฟจะไหม้ใจอยู่เหมือนฟืนเหมือนไฟก็ตาม แต่ไปโน้นยังจะได้สวรรค์อยู่นี่นะ เหมือนตุ๊กตาหลอกเด็ก พิจารณาลงไปพังลงไปดูซิ จะเห็นความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นที่ใจ ใจเป็นผู้รับทราบธรรมทั้งหลาย ใจเป็นภาชนะเหมาะสมที่สุดกับธรรม ใจเป็นผู้ที่จะรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องดีเรื่องชั่ว เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมจะไม่รู้ความบริสุทธิ์ เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์แล้ว บริสุทธิ์เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มาเจือปนนั้นออกหมดแล้ว เรื่องสมมุติโดยประการทั้งปวงสิ้นไปโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเพราะภาคปฏิบัติ
นั่นละที่นี่หมดเรื่องงานของพระเรา นับตั้งแต่พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย กลายเป็นมหาสติมหาปัญญาอย่างเข้มข้น ฟาดฟันหั่นแหลกกิเลสทุกประเภทให้สิ้นสูญไปจากใจแล้ว นั้นแหละท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ หมดแล้วการงานในศาสนา พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว ก็หมายถึงว่าการงานของเราที่ทำนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ผลของงานคือความบริสุทธิ์ได้ปรากฏขึ้นแล้วอย่างชัดเจน ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปไม่ได้ยุ่งกับอะไรอีกแล้ว เรื่องกิเลสตัณหาตัดสะพานกัน เรื่องสมมุติทั้งปวงตัดสะพานกันกับจิตบริสุทธิ์ดวงนี้ ก็เท่านั้น
นี่ผลแห่งการปฏิบัติเห็นประจักษ์อยู่อย่างนี้ เราจะไปคอยเอาที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ไหน สมุทัยอยู่ที่ไหน สิ่งที่ปกปิดกำบังจิตใจไม่ให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนตามสภาพของจิตแท้นั้นอยู่ที่ไหน แล้วมรรคคือข้อปฏิบัติมีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เป็นต้น อยู่ที่ไหนถ้าไม่อยู่กับเรา เราไม่ผลิตไม่ฟื้นขึ้นมาจะให้ใครฟื้นให้เรา เมื่อฟื้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มีกำลังแล้วก็สามารถที่จะปราบสิ่งที่เป็นข้าศึกนั้นได้จริง กระจายออกไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงหมดไปโดยสิ้นเชิง เรียกว่า นิโรธ ๆ ดับทุกข์ดับอย่างสนิท ผู้ที่รู้ว่าทุกข์ดับสนิทคืออะไรที่นี่ นั่นละคือผู้บริสุทธิ์ กิริยาทั้ง ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นอาการเท่านั้น ผู้รู้อาการทั้งหลายเหล่านี้คือใคร นั้นละคือผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ นั้นไม่ใช่สัจธรรม
เอาละเอาแค่นี้