หลักเกณฑ์ของวัฏจักร
วันที่ 17 สิงหาคม 2521 เวลา 18:30 น. ความยาว 27.25 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑

หลักเกณฑ์ของวัฏจักร

ศีลธรรมก็เป็นธรรมเหนือโลกด้วยแล้ว ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะไปเอื้อมเอาธรรมมาเหยียบย่ำทำลายด้วยความมืดบอดของเรานี้ได้เหรอ ไม่ถูกต้องเลย เพียงเท่านี้ก็สลดสังเวชเรา ฟังที่เขาพูดอยู่นั่นมีแต่ความสลดสังเวช โอ้โปรดไม่ได้สัตว์จำพวกนี้ เท่านั้นแหละ ข่ายธรรมของพระพุทธเจ้านี้ครอบไม่ได้แล้วหมด หมดวิสัย ถ้าเป็นโรคก็โรคประเภทไอซียู คอยแต่ลมหายใจจะหมดไปเท่านั้นเอง แต่ธรรมวินัยไม่สามารถที่จะรับรองไว้ได้เลย

พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นผิด ๆ สอนอย่างนั้นไม่ถูก เช่น นรกไม่มีสวรรค์ไม่มี บาปไม่มีบุญไม่มี เทวบุตรเทวดา เปรตผีอะไร ภูตผีต่าง ๆ นี้ไม่มี นี่คือลบล้างศาสนา ก็หมายถึงแสดงออกมาจากความโง่เง่าของตัวเอง มืดบอดของตัวเองนั้น แล้วคนตาดีใครจะไปเชื่อได้ล่ะ เชื่อคนตาบอดโกหก คนฉลาดจะไปเชื่อคนโง่ได้เหรอ คนฉลาดจะเชื่อคนโง่นี่หายากมากแทบจะไม่มี คนตาดีเชื่อคนตาบอดมีได้ที่ไหน คนหูดีเชื่อคนหูหนวกก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้

หลักธรรมของพระพุทธเจ้าออกมาจากความฉลาดแหลมคมของพระองค์แท้ ๆ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ผุดผ่องหาที่ตำหนิไม่ได้เลย รู้สิ่งใดก็รู้ด้วยพระญาณหรือพระปัญญาปรีชาสามารถจริง ๆ ไม่ใช่รู้แบบสุ่มแบบเดา เหมือนโลกที่มีกิเลสอันเป็นเครื่องสุ่มเดาเต็มอยู่ในหัวใจนี้ แสดงออกมาอะไรมีแต่เรื่องลูบ ๆ คลำ ๆ หาความแน่นอนไม่ได้ แล้วเราจะเอาอันนี้ไปเป็นแบบฉบับสอนโลก เป็นแบบฉบับสอนผู้ใดได้ สอนตัวเองก็ยังสอนไม่ได้แบบนี้ มีแต่ทำลายตัวเองโดยลำดับ ๆ นี่เป็นอย่างนี้

เพราะของแต่ละอย่าง ๆ มีเครื่องรับกันมันถึงจะรับได้ คิดดูซิอย่างแต่ก่อนวิทยุโทรทัศน์มีได้ยังไง ไม่เห็นมีแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ไปพิจารณาดูซินั่น มันเป็นมาได้จากของมีอยู่ ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ไม่มี ขอแต่ปรับปรุงให้ถูกกับสิ่งที่มีอยู่มันก็เห็นมันก็รู้ได้เท่านั้นเอง จะปิดได้เหรอสิ่งที่มีอยู่อย่างนั้น แต่ก่อนไม่มีเครื่องฟังก็ฟังไม่ได้ เช่นวิทยุนี่ เราไม่สามารถปรับปรุงเครื่องสร้างเครื่องขึ้นมาได้มันก็รับไม่ได้ โทรทัศน์ก็รับไม่ได้ เดี๋ยวนี้ทำที่ไหนมันรับได้หมด ดูซิพิจารณาซิเชื่อไหมล่ะ

อย่างปัจจุบันนี้ก็เห็นชัด ๆ อยู่แล้ว นี่ออกมาจากคนโง่หรือออกมาจากคนฉลาดเรื่องอย่างนี้ เพียงโลกเขาฉลาดเขาก็เห็น ทำให้แปลกจากเราผู้เป็นคนโง่อยู่อย่างนี้เห็นได้อย่างชัด ๆ แล้วเหตุใดพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้เหนือโลกอีกด้วยแล้ว และธรรมก็เป็นธรรมเหนือโลกด้วยแล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะไปเอื้อมเอาธรรมมาเหยียบย่ำทำลายด้วยความมืดบอดของเรานี้ได้เหรอ ไม่ถูกต้องเลย เพียงเท่านี้ก็สลดสังเวช..เรา

ฟังที่เขาพูดอยู่นั่นมีแต่ความสลดสังเวช โอ้โปรดไม่ได้สัตว์จำพวกนี้ เท่านั้นแหละ ข่ายแห่งธรรมพระพุทธเจ้านี้ครอบไม่ได้แล้วหมด หมดวิสัย ถ้าเป็นโรคก็โรคประเภทไอซียู คอยแต่ลมหายใจจะหมดไปเท่านั้นเอง ไม่มีทางแก้ไขเยียวยาอย่างอื่นให้หายได้เลย ประเภทลบบุญลบบาป ลบนรก สวรรค์ นิพพาน ลบภูตผีอะไรที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนี้ ให้เป็นของสูญหายไปหมดไม่มีเหลือ ก็แสดงว่าคนนั้นหาสาระอะไรไม่ได้เลย หมดความหมายทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่ เหลือแต่ลมหายใจฝอด ๆ เท่านั้นเอง

มันไม่ยอมรับตามสิ่งตามขั้นตอนของสิ่งที่มีอยู่ ตามเพศตามภูมิ คิดดูช้างกับคนอะไรใหญ่กว่ากันโตกว่ากันซิ แล้วคนกับหนูอะไรโตกว่ากัน เราปฏิเสธมันได้ไหม หนูตัวเล็กคนตัวใหญ่ ช้างตัวใหญ่กว่าคน พวกยุงพวกหมัดพวกเห็บเหล่านี้ตัวเล็กกว่าคนเห็นไหม มันเป็นขั้นตอนของมันอยู่อย่างนั้น แล้วยิ่งพิสูจน์แล้วเชื้อโรค เช่น เชื้ออหิวาต์ เป็นต้น เราจะสามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อได้ไหม เราปฏิเสธว่าเชื้อโรคนี้ไม่มีได้ไหม ใครปฏิเสธว่าเชื้อโรคไม่มี ก็เอาน้ำที่เต็มไปด้วยโรคอหิวาต์นั้นมากินลองดูซิ มันตายนี่ นั่นเราพิจารณาซิ

และเชื้อโรคเหล่านี้มีอะไรจะเป็นวิสัยที่จะตรวจได้รู้ได้เห็นได้ ก็กล้องน่ะซิจะว่าไง ไม่ใช่ตาเนื้อเฉย ๆ นี่ ต้องใช้เครื่อง นี่พวกกายทิพย์ก็เหมือนกัน ก็ใช้ตาทิพย์น่ะซิ เสียงทิพย์ก็ใช้หูทิพย์น่ะซิ นั่นมีเครื่อง เรามีแต่หูหนังแล้วยังบอดยังหนวกด้วย ตาเนื้อนี่ก็ยังฝ้าฟางด้วย แล้วจะไปอวดดีกว่าพระพุทธเจ้าได้ไงพิจารณาซิ นี่ละมนุษย์เรา โง่เท่าไรยิ่งอวดฉลาดคนเรา คนฉลาดจริง ๆ ไม่อวด ดูซิตั้งแต่กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลงเผาหัวใจอยู่ ยังถือเป็นของดีได้ ทั้งที่นักปราชญ์ทั้งหลายท่านขยะแขยงเอาที่สุดทีเดียว เราก็ยังถือเป็นของดี มันต่างกันอย่างไรระหว่างพระอรหันต์ท่านกับพวกเรา

ความโลภเราถือเป็นของดี ได้โลภเท่าไรยิ่งดี โลภเอาคนอื่นของคนอื่นได้ยิ่งดี คดโกงรีดไถของคนอื่นด้วยอำนาจป่า ๆ เถื่อน ๆ ของตน แบบเปรตแบบผีแบบยักษ์ของตนเองได้ยิ่งดี ๆ ได้โกรธใครแล้วก็ยิ่งดี พิจารณาซิ หลงไปจนกระทั่งวันตายยิ่งดี มันเป็นอย่างนี้ มีแต่เรื่องยิ่งดี ๆ ถ้าเป็นของชั่วแล้วมันว่ายิ่งดีทั้งนั้น ถ้าเป็นของดีแล้วว่าเป็นของชั่ว มันกลับตาลปัตรกันนี่ นี่แหละคนดีคนชั่วผิดกันอย่างนี้ให้เราดูเอา ขี้หมาเข้าใจว่าหอมไปแล้ว ต่อไปจะเอาขี้หมามากิน ข้าวน้ำอาหารทั้งหลายที่เคยเป็นอาหารมนุษย์นี้จะไม่ยอมกิน ก็ปฏิเสธไปแล้วนี่จะว่าไง

เมื่อจิตใจมันต่ำหนักเข้า ๆ จะเป็นอย่างนั้น อะไรเป็นของชั่วมันเสกสรรขึ้นมาเป็นของดี อะไรเป็นของดีมันเหยียบย่ำทำลายว่าเป็นของชั่ว ทีนี้ก็เหลือแต่ขี้หมาเท่านั้นให้มันกิน..มนุษย์เราที่มันฉลาด มนุษย์ฉลาดแบบลบล้างความจริงต้องกินขี้หมาทั้งที่โลกเขาไม่กิน มันชอบอย่างนั้นจะว่าไงกรรมของมัน นี่การสอนเพื่อความฉลาด ให้ฉลาดแบบมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์

กิเลสเป็นของมีอยู่เห็นชัด ๆ อยู่นี้ โลภมีอยู่ โกรธมีอยู่ หลงมีอยู่ เป็นคู่เคียงกันกับบาปกับบุญ ธรรมมีอยู่นั่นจะว่าไง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นฝ่ายชั่ว ธรรมเป็นฝ่ายดี เป็นเครื่องแก้กิเลส มีเป็นคู่ ๆ กันอยู่อย่างนี้ปฏิเสธไปได้ที่ไหน มันมีอยู่กับตัวทุกคน ถ้าเราไม่มี ใครเคยโลภไหม สงสัยได้ยังไง ใครเคยโกรธไหม สงสัยได้ยังไง มันมีอยู่ทุกคน ใครหลงไหมเคยหลงไหมสงสัยได้ยังไง แล้วธรรมแก้ความโลภความโกรธความหลงนี้เป็นอย่างหนึ่ง เรายังไม่เข้าใจ เพราะเรายังไม่ทราบว่าธรรมเป็นอย่างไร นอกจากผู้เหนือเราเท่านั้นจึงจะสามารถนำธรรมนั้นมาแก้สิ่งลามกสกปรกทั้งหลายนี้ได้ และประกาศสอนให้โลกทั้งหลายได้ทราบทุกวันนี้ ที่เรียกว่าศาสนธรรม ก็หมายถึงน้ำที่สะอาดสำหรับชะล้างสิ่งที่สกปรกอยู่ภายในหัวใจของสัตว์นั้นแล

แล้วมีไหมล่ะสิ่งเหล่านี้ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เราปฏิเสธได้ไหม ถ้าใครปฏิเสธอันนี้ไม่ได้ ปฏิเสธบาปบุญได้ยังไง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของบาปของบุญทั้งนั้น กรรมก็ว่ากรรม หมายถึงการกระทำ คิดปรุงทางจิตใจ ดี ชั่ว กลาง ๆ เรียกว่ากรรมทั้งนั้น ผลเกิดขึ้นจากความคิดความปรุงเกิดอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะปฏิเสธวิบากคือดี ชั่ว สุข ทุกข์ ที่เกิดขึ้นจากความคิดปรุงดีชั่วนั้นได้ยังไง แน่ะมันเห็นชัด ๆ อยู่อย่างนี้ อยู่ในตัวของเรานี่ เราจะลบก็ลบตัวของเราน่ะซิ ทำลายบาปบุญ ทำลายศาสนธรรมก็ทำลายตัวของตัวน่ะซิทำลายที่ไหน เราจะเอาความวิเศษวิโสมาจากไหนในการทำลายศาสนธรรมหรือทำลายความจริง ซึ่งเป็นการทำลายตนนั่น

นี่พยายามสอนทุกแง่ทุกมุม อยากให้หมู่เพื่อนมีความเฉลียวฉลาด ละเอียดมากนะกิเลส โอ้โหใช่เล่นหรือ สติปัญญาเป็นของสำคัญมากอย่าเห็นว่าเป็นของเล่นนะ ผมสอนอยู่ทุกเวล่ำเวลาไม่เคยปราศจากเรื่องของสติปัญญา มีความเพียรเป็นเครื่องหนุน เอาตายก็ตายเถอะตายในวงความพากเพียร ไม่มีใครกุสลาเรา ความฉลาดของเรากุสลาเราเองแล้ว กุสลา แปลว่าความฉลาด เราอย่าไปหวังเรื่องตายแล้วจะให้มีใครมา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เป่าหูกันไปอย่างนั้นแหละ เอาความจริงดับมันลงไปนี่ ความโง่อยู่ตรงไหน ผลิตความฉลาดขึ้นมา เอาความฉลาดมาแก้ความโง่ แก้ความโง่ได้เป็นลำดับ ๆ นั้นแหละชื่อว่าเราท่อง กุสลาได้โดยลำดับ แก้ความโง่หมดจากหัวใจแล้วนั่นแหละ มหากุสลาจอมฉลาดอยู่ที่นั่น

ไปตื่นอะไรตื่นโลกตื่นสงสาร ขนบธรรมเนียมอะไร ๆ ว่ากันไปโดยไม่หาความจริง ทำเป็นพิธีกันไปอย่างนั้น ตายที่ไหนแห่กันไป กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ไม่สนใจ กุสลา ธมฺมา ความฉลาดที่จะแก้ตัวเอง เราจึงได้พูดตรง ๆ ว่า เมื่อเราตายอย่านิมนต์พระมากุสลาให้ท่านลำบากนะ เราบอกตรง ๆ เลยนะ เราพูดมาหลายครั้งหลายหนแล้ว เราพูดด้วยความจริง ด้วยความอาจหาญ ไม่ได้พูดด้วยความท้าทายผู้หนึ่งผู้ใดทั้งนั้น ซึ่งแต่ก่อนเราก็ไม่เคยพูดอย่างนี้ เวลาเราพยายามสร้าง กุสลา ธมฺมา ขึ้นภายในจิตใจคือความฉลาด สร้างสติสร้างปัญญา ศรัทธา ความเพียรขึ้นมาแก้ตัวไหนมันโง่

กิเลสทุกตัวมันเป็นเรื่องให้เราโง่ทั้งนั้น แต่ตัวกิเลสมันฉลาด เพราะฉะนั้นจึงแก้เรื่องให้เราโง่นี้ออกไป ๆ เราก็เป็นผู้ฉลาดขึ้นมาด้วยกุสลาของเราจะว่าไง แก้ให้มันจนหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจนี้แล้ว กุสลาไม่กุสลาไม่มีปัญหาอะไร มีปัญหาอะไร อันนั้นเป็นเรื่องสมมุติอันหนึ่งต่างหาก ขอให้ตัวจิตบริสุทธิ์เถอะอยู่ไหนอยู่ได้ ตายไหนตายได้หมดเลย เป็นห่วงเป็นใยอะไร เรื่องความเป็นความตายเป็นของธรรมดา ๆ เรานี้ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกเลย

ขอให้เรียนให้ถึงความจริง ความตายไม่เห็นมีความหมายอะไร มันตั้งขึ้นมาตามเรื่องสมมุติของความเกิด อยากเกิดแต่ไม่อยากตายเป็นไปได้เหรอ อยากเกิดกับอยากตายก็เป็นอันเดียวกัน ออกมาจากเงื่อนอันเดียวกัน ความเกิดเป็นสาเหตุให้ตาย แน่ะ ถ้าเราไม่อยากตาย ก็พยายามแก้ไขอย่าให้มันเกิดออกมาซิ เมื่อต้นมีอยู่แล้วจะไปดับมันได้ยังไง มันก็ต้องตาย ต้นเหตุมันคือเกิด ตายเป็นคู่เคียงกัน ซึ่งเป็นผลออกมาจากวิบากเหล่านี้ที่เกิดมาแล้ว แล้วแก้หัวใจที่เป็นตัวพืชสำคัญ ตัวเชื้อสำคัญ มันจะก่อภพก่อกำเนิดต่อไปอีก อัตภาพนี้ยังไงก็เท่านั้นแหละแก้ไม่ได้ แก้ไม่ให้มันตายไม่ได้มันเกิดมาแล้วนี่ เป็นวิบากเห็นชัดเจน คือผลของวัฏฏะ ผลของกิเลสมันสร้างวัฏวนให้สัตวโลก สร้างกองทุกข์พร้อมในร่างกายของสัตว์นี้

ส่วนไหนที่หาความสุขได้นี้มีไหม ไม่เห็นมี ว่ามีความสุข ๆ มันสุขที่ตรงไหนเกี่ยวกับร่างกาย ผมพิจารณาดูแล้วไม่เห็นมี นอกจากอยู่ธรรมดา ๆ กลับเกิดความทุกข์ขึ้นมา อยู่ธรรมดาแล้วก็หิวนั้นหิวนี้ เจ็บนั้นปวดนี้ เวลาไม่เจ็บไม่ปวด ปกติก็ว่ามันสุข มันไม่ได้สุขมันอยู่เฉย ๆ ธรรมดานี้ จิตต่างหากเป็นผู้สุขเป็นผู้ทุกข์ ถ้าจิตอยู่ไม่เป็นสุขจิตก็เป็นทุกข์ คิดซุกซนนั้น ๆ นี้ ๆ เรื่อย เพราะอำนาจของกิเลสมันฉุดมันลากไป ให้คิดให้ปรุง ให้เกาะให้เกี่ยวให้ยึดให้ถือ ให้จับนั้นจับโน้นจับนี้ ไฟอะไรไม่ว่าละซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสแล้วต้องเป็นอย่างนั้น ลากแต่สัตว์จมลงไปโดยลำดับ ถ้าไม่มีธรรมฉุดลากขึ้นมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงสร้างธรรมขึ้นให้เต็มจิตใจ

พิจารณาอะไรให้จริงซิ ดูอะไรให้ดูจริง ด้วยสติด้วยปัญญาจดจ่อกับนั้นจริง ๆ เอ้า กำหนดร่างกายส่วนไหน ท่านว่ามันเป็นอสุภะอย่างนี้เป็นต้นนะ อสุภะอยู่ที่ตรงไหน มันอยู่หมดทั้งตัว แต่เราไม่ดู สติมันเลื่อนลอย จิตใจมันเลื่อนลอย สติขาด ๆ จม ๆ ไป ปัญญาก็ไม่มี..นอนจม ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนปัญญา ได้ยินแต่ชื่อ แล้วจะมารู้เห็นของจริงคือคำว่าปฏิกูลได้ยังไง ถ้าไม่รู้เห็นด้วยปัญญา รู้เห็นด้วยสติ มีใจเป็นผู้ทำงานแล้วไม่มีทางรู้

จำเฉย ๆ จำจบพระไตรปิฎก เราไม่ได้ประมาท จบพระไตรปิฎกก็ได้แต่ความจำ ความจริงไม่ปรากฏในใจถ้าไม่ออกทางภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นปริยัติจึงต้องมีปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วผลของการปฏิบัติก็คือปฏิเวธ ปริยัติคือการศึกษา เช่นเราเรียนจากอุปัชฌายะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั่นคือภาคปริยัติ...เรียนแล้ว จากนั้นเราก็ดูหนังสือที่นั่นที่นี่เรียนไปให้รู้วิธีการดำเนิน นี่เรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติท่านสอนไว้ยังไงเอามาดำเนิน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่จำได้นั้นท่านจำให้ทำอะไร จำให้มาพิจารณา

นี่งานดูพิจารณา เกสาเป็นยังไง โลมาเป็นยังไง อะไรถนัดใจไม่ว่าแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เนื้อ หนัง กระดูก ตับไตไส้พุงที่ไหนดูไปเถอะเป็นกรรมฐานทั้งนั้นแหละ ดูให้ชัดแจ้งตามความเป็นจริงแล้วมันจะยึดได้ยังไงจิตนี่ เมื่อรู้แจ้งตามเป็นจริงแล้วมันปล่อยเอง อุปาทานมันจะฝังลึกยิ่งกว่าอะไรก็ฝังเถอะ ถอนขึ้นมาเอง ไม่มีอะไรที่จะลึกยิ่งกว่าปัญญา ปัญญาตามขุดค้นขึ้นมาได้หมด

ถ้าจะทำลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำสักแต่ว่าทำ วันหนึ่งคืนหนึ่งทำอะไรไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ไม่มีความจงใจตั้งอกตั้งใจมันแก้ไม่ได้นะแก้กิเลสน่ะ เอาตายก็ตาย ตายด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมนี่ ทุกข์ลำบากลำบนมาโลกก็เคยทุกข์มาแล้วด้วยกัน อยู่ที่ไหนมีแต่ป่าช้าเต็มบ้านเต็มเมือง แม้อยู่ในเมืองก็มีป่าช้าจะว่าไง เมรุนั่นเราไม่เห็นหรือเมรุ

ในโรงพยาบาลก็ป่าช้า เราอย่าว่าแต่โรงพยาบาลเป็นเครื่องรักษาคนให้หายโรคโดยถ่ายเดียว คนตายในโรงพยาบาลมีมากยิ่งกว่าที่อื่น ๆ จะว่าไง เมื่อมันทนไม่ไหวรักษาไม่ได้ก็ตาย ตายแล้วถึงยกออกมาจากโรงพยาบาล เราไม่ดูเฉย ๆ เตียงหนึ่ง ๆ นั้นคนตายสักกี่สิบกี่ร้อยคน ถ้าเราพิจารณาตามความจริง โรงพยาบาลก็คือป่าช้านั่นเอง เมื่อทนไม่ไหวแก้ไม่ไหวแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ออกมา เอ้า คนนี้เข้าไปอยู่ เอ้า คนนี้หายออกมา เอ้าคนนี้เข้าไปอยู่เอ้าตายไป มันผลัดมันเปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้จะว่าไง นั่นแหละคือป่าช้าดูเอา ออกจากนั้นก็มาเผาตามเมรุตามป่าช้า ตามในป่า ที่ไหนก็แล้วแต่เถอะมีป่าช้าอยู่ทั้งนั้นแหละ ดูให้เห็นชัดเจนซิ นี่แหละความจริงของมันเป็นอย่างนี้

ไปที่ไหนดูที่ไหน ถ้าดูเพื่อความจริง มีความจริงอยู่เต็มโลกเต็มสงสาร เฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลยิ่งโดยตรง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ประจักษ์ใจ เดินเข้าไปนี่ โอ๊ย เตียงเป็นแถว มีแต่คนจนตรอกจนมุมคนจะล้มจะตาย ร้องครางอือ ๆ อา ๆ ไม่ได้สติสตังก็มี เดินผ่านไปนั้นน่าสลดสังเวชจะว่าไง นั่นแหละมันดียังไงพิจารณาดูซิ ออกจากนั้นทนไม่ไหวก็ตาย แน่ะป่าช้าอยู่นั่น เผากันฝังกันไป ที่นี่ใจมันไม่ตายซิ ร่างกายมันสุดวิสัยมันก็จมของมันลงไป แตกสลายลงไป แต่ใจไม่สลายซิ มันก็ต่อก่อกำเนิดเกิดอีก

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา,สงฺขารปจฺจยา วิฺาณํ วิฺาณปจฺจยา นามรูปํ,นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา,ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ,อุปาทานปจฺจยา ภโว,ภวปจฺจยา ชาติ, นั่นเห็นไหมออกส่วนหยาบแล้วที่นี่ ขยายออกมา ๆ ถึงกันแล้ว ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ. เหล่านี้เป็นเรื่องมาจากสมุทัยทั้งนั้น นี่เวลาแปลแล้วนะ คือสืบต่อแขนงออกมาจากอวิชชาเป็นต้นเหตุเรื่อยมาจนกระทั่งถึง ชาติปิทุกฺขา ชราปิทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ,โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาปิ ทุกฺขา แล้วก็ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส,สมุทโย โหติ.นั่น เกวละ นี่ก็คือว่าเราทั้งปวงนี้สืบเนื่องมาจากอวิชชาจนกระทั่งถึงสุดท้ายนี้ เป็นเรื่องของสมุทัยสืบเนื่องมาจากอวิชชาทั้งนั้น นั่น

นี่สาเหตุที่จะทำให้สัตวโลกเกิด อยู่ในหัวใจของคนทุกคน แต่เราไม่ดู มีแต่ไปลูบไปคลำข้างนอกว่าตายแล้วสูญ ๆ อันนี้มันไม่ได้สูญอันพาให้เกิดนี่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ถ้า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้มันสูญ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ,สงฺขารนิโรธา แล้วก็ วิฺาณนิโรโธ เรื่อยไปจนกระทั่งถึง ชาติปิทุกฺขา ชราปิทุกฺขา มรณมฺปิทุกฺขํ,โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาปิทุกฺขา ออกจากนั้นก็ เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส,นิโรโธ โหติ ทั้งหมดนี้พออวิชชาตัวเดียวเท่านั้นดับไปตายไปเป็นนิโรธ คือดับทุกข์โดยประการทั้งปวง นั่น อวิชฺชาปจฺจยา ท่านว่าอย่างนั้น นี่แหละหลักเกณฑ์ของสัตวโลก เป็นไปตามหลักเกณฑ์นี้ ไม่เหนือจากนี้ไปได้เลย

เราปฏิบัติมาก็เป็นอย่างนั้น เราหาที่ค้านไม่ได้เราพูดอย่างอาจหาญ อวิชฺชาปจฺจยา ตัวอวิชชานี่เป็นตัวสำคัญมาก เวลาปฏิบัติไปตีตะล่อมเข้าไป ๆ ตัดกิ่งก้านรากฝอยรากอะไรเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรากแก้วก็คือตัวอวิชชา ถอนพรวดขึ้นมาเสียเท่านั้นที่นี่ต้นไม้ต้นนี้ตายไม่มีเหลือ มันจะเหลือกิ่งเหลือก้านอยู่สักขนาดไหน มันจมไปด้วยกันหมด ถ้าลงได้ถอนรากแก้วขึ้นมาแล้วหาทางเจริญงอกงามไปอีกไม่ได้เลย นี่ข้อเทียบเคียง

อวิชชาก็เหมือนกัน เมื่อ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา หมดไปเรื่อย ๆ พออวิชชาดับอันนั้นก็ดับ ๆ ดับ ๆ เรื่อยไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย อวิชชาตัวเดียวเป็นเหตุ นี่ละหลักเกณฑ์ของวัฏจักร ถ้าหากว่าใครจะลบล้างวัฏจักรคือความตายแล้วเกิดไม่ให้เกิดต่อไปอีก เพื่อจะไม่ให้ตายต่อไปอีกแล้ว ให้ลบล้างตัวเหตุนี้ให้ได้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ซึ่งมีอยู่ในหัวใจ

ถ้าลบล้างนี้ไม่ได้ จะปฏิเสธสักเท่าไรก็ตามว่าตายแล้วสูญไม่มีทางฝืนได้ ก็คือผู้นั้นแลผู้ที่จะเป็นนักเกิดนักแบกหามกองทุกข์ ที่โลกทั้งหลายเขาไม่แบกหนักยิ่งกว่าผู้นั้น ผู้นั้นจะหนักยิ่งกว่าใครทั้งหมด ผู้ที่สำคัญว่าตายแล้วสูญ เพราะไม่ได้คิดหน้าอ่านหลังอะไรว่าภพหน้าชาติหน้ามี อยากทำอะไรก็ทำ ทำตามใจชอบ ความตามใจชอบก็คือเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องของธรรม มันจะเอาความดิบความดีได้ยังไง มันก็ทำแต่ความชั่วช้าลามก ผลคือความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย ใครจะเป็นผู้แบกผู้หามถ้าไม่ใช่ผู้ทำใครจะแบก นั่นละผู้นั้นแหละจึงว่าจะแบกหนักที่สุด

เราเป็นนักปฏิบัติให้พิจารณาตรงนี้ อย่าลืมตรงนี้ ใครจะว่าอะไรก็ตามอย่าหลงบ้ากับเรื่องบ้าของคนของโลกที่มีกิเลสหนาแน่นอยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส พระพุทธเจ้าทรงรู้เรื่อง อวิชฺชาปจฺจยา โดยที่พระพุทธเจ้าทรงเคยเป็น อวิชฺชาปจฺจยา มาแล้ว อวิชฺชาปจฺจยา เคยครอบพระทัยพระองค์มาเป็นเวลานานจนสามารถชำระได้หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว จึงสามารถประกาศธรรมสอนโลกได้อย่างไม่สะทกสะท้าน นี่ละหลักประกันไม่ให้เกิดอีกคือ อวิชฺชาปจฺจยา

ในเวลาที่เราปฏิบัติยังไม่เข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจนี้มันก็ซ่านไปหมดนั่นแหละ ความรู้มันเหมือนมีทั้งตัว ไม่ทราบจะยึดอะไรเป็นความรู้ อะไรเป็นใจ อะไรเป็นกาย มันก็หอบเอาหมดแบกเอาหมดทั้งกายนี้ ว่าเป็นตัวว่าเป็นผู้รู้ว่าเป็นใจ เวลาปฏิบัติเข้าไป ๆ ความสงบใจจากจิตตภาวนาก็ค่อยตะล่อมตัวเข้าไป ๆ จิตมีส่วนสงบ จิตมีความสงบ จิตมีความสงบเด่นดวง นั่นฟังซิ เป็นขั้น ๆ ไป เมื่อเด่นดวงลงไปแล้วก็ทราบได้ชัดพอสมควรตามขั้นของสมาธิ เพียงขั้นนี้ก็ทราบได้ว่าจิตเป็นอันหนึ่งกายเป็นอันหนึ่งแล้ว ทราบแล้วโดยไม่ต้องไปถามใครแล้ว ทราบจากหลักภาวนาที่เป็นหลักรับรองแล้วนั้นเอง

ต่อจากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ออกให้เห็นตามความจริงของมัน ๑.อนิจฺจํ ๒.ทุกฺขํ ๓.อนตฺตา แต่ละชิ้นละอันของร่างกายนี้มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ครบรอบ ครบ ๆ สมบูรณ์ ๆ ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการพิจารณาจะหนักในทาง อนิจฺจํ ก็ตาม ทุกฺขํ ก็ตาม อนตฺตา ก็ตาม มันเป็นไปพร้อมกันในไตรลักษณ์ทั้งสามโดยสมบูรณ์ เราถนัดยังไงพิจารณาลงไปให้หยั่งทราบความจริงถึงใจนั้นเถอะ กิเลสมันจะจมลึกขนาดไหนถอนออกมาได้หมด นี่ขั้นปัญญา ตัดขาดจากสิ่งเกี่ยวโยงกับอะไร เกี่ยวข้องกับอะไรด้วยปัญญา ทราบชัด ๆ ตัดเข้าไปขาดเข้าไป ๆ รู้เข้าไปเรื่อย ๆ ที่นี่

สมาธิเป็นแต่เพียงว่าตะล่อมจิตเข้ามาสู่ส่วนรวม หรือตะล่อมกิเลสเข้ามาสู่จุดรวม แล้วปัญญาเป็นผู้แยกแยะ เป็นผู้คลี่คลาย เป็นผู้ฟาดฟันหั่นแหลกกันลงไป ตามประเภทของกิเลสและประเภทของปัญญา มันมีหลายประเภทนี่ กิเลสขั้นหยาบปัญญาก็มีขั้นหยาบ ขนาบกันไป ๆ เอ้า ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ละเอียดสุด ปัญญาก็ละเอียดสุดตาม ๆ กันไปมันก็ทันกันไป คำว่ากิเลสละเอียดสุดนั้นก็คืออวิชชานั่นเอง ปัญญาที่ละเอียดสุดก็คือมหาสติมหาปัญญา ทันกัน แล้วถอนออกหมดไม่มีสิ่งใดเหลือภายในใจเลย

นั้นละที่นี่ทราบชัดไม่ต้องไปถามใคร สาธุ พูดไม่ใช่โอ้ไม่ใช่อวดไม่ประมาท แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้านี้เราก็ไม่ทูลถามท่าน จะทูลถามท่านยังไงความจริงมันเป็นอย่างนี้เหมือนกัน ท่านก็สอนอย่างนี้แล้วความจริงก็เป็นอย่างนี้แล้วจะไปทูลถามท่านหาอะไร ก็เหมือนกับการรับประทาน เมื่อต่างคนต่างรับประทาน ครูก็รับประทาน นักเรียนก็รับประทาน เอ้า เราพูดถึงครูกับนักเรียนรับประทานร่วมวงกัน แล้วเราจะไปถามครูได้ยังไงการรับประทาน ความอิ่มมันเต็มที่เหมือนกันแล้วไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ไม่ต้องถามกันแล้ว นี่เรื่องความจริงมันเหมือนกันอย่างนี้จึงไม่ต้องไปถามกัน เพราะมันเหมือนกันอยู่แล้ว

นี่ก็เอาให้มันจริงมันจัง ผู้ปฏิบัติอย่าท้อถอย เราอย่าเห็นอะไรยิ่งใหญ่กว่าธรรมที่เราจะพึงได้รับผล ในขณะเดียวกันซึ่งเป็นต้นเหตุ เราอย่าเห็นอะไรยิ่งใหญ่กว่ากองทุกข์ที่ครอบหัวใจเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะครอบเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ครอบหัวใจเราเป็นของสำคัญ ให้แก้ลงที่ดวงใจนี้ เอาให้จริงจัง สติตั้งปัญญาหมุนตัวไป เวลาพิจารณา-พิจารณาให้มันจริงมันจัง อย่าทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนเหลาะแหละ เอาให้มันจริงจัง เมื่อเห็นอะไรรู้อะไรให้มันถึงใจทุกอย่าง ๆ ถอดไปถอนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ เพราะอำนาจของความเพียรนี้สำคัญมาก มีสติปัญญาเป็นเครื่องมือ สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นจะรู้ที่ใจนั้นแหละ ไม่มีอะไรที่จะเยี่ยมยิ่งกว่าใจ ไม่มีอะไรที่จะแหลมคมยิ่งกว่าสติปัญญาที่สามารถจะรู้ได้

เมื่อรู้ถึงเหตุถึงผล เต็มเหตุเต็มผลทุกสิ่งทุกอย่างแล้วใจก็สมบูรณ์ เมื่อใจสมบูรณ์แล้วก็หมดความบกพร่องต้องการอะไรๆ ในโลกทั้งสามนี้ไม่มีอะไรต้องการ อยู่อย่างอิสระเสรี แม้จะอยู่ในขันธ์ ธาตุขันธ์จะมีความทุกข์ความลำบากทรมานด้วยโรคภัยไข้เจ็บประการใดก็ตาม ก็รับทราบกันไปเท่านั้น ไม่มีความดีใจเสียใจ ไม่มีความไปยึดไปถือไปกังวลวุ่นวายอะไรกับมัน เพราะก็ทราบแล้วว่าร่างกายของเราทั้งร่างนี้มีดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง ใจอาศัยดินน้ำลมไฟนี้อยู่ เหตุใดจึงไปยึดเอาดินน้ำลมไฟมาเป็นตัวล่ะ มันเห็นชัดต้องชัดอย่างนั้นซิ

อันนี้ธาตุดิน อันนี้ธาตุน้ำ อันนี้ธาตุลม อันนี้ธาตุไฟ อันนี้เป็นอากาศธาตุ นี้เป็นมโนธาตุ แน่ะ รู้กันอย่างชัด ๆ แล้วก็จะไปยึดไปถือกับอะไร กังวลกับอะไร ไม่งั้นก็จะเรียกว่ารู้ชัดได้ยังไง เมื่อยังกังวลกับสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่เรียกว่ารู้แจ้งแทงตลอด ถึงวาระมันจะไปก็ไปซิ เรียนจบหมดแล้วนี่ เรียนธรรมะก็เรียนเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจะเรียนเรื่องอะไร รู้เกิดแก่เจ็บตายก็คือรู้ธรรม เมื่อรู้เต็มภูมิแล้วก็หมดปัญหาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่อยู่ปกติ ทั้งที่เจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งที่จะตาย รู้เท่าทันทุกอย่างรอบตัว

ป่าช้าไม่มีในจิตที่นี่ มีก็แต่ป่าช้าของกาย ตายแล้วก็ไปเถอะไม่เห็นผิดแปลกอะไร ธาตุดินน้ำลมไฟ เดินไปก็เหยียบดินเหยียบน้ำเหยียบลมเหยียบไฟไปอยู่แล้ว ในตัวของเราก็ดินน้ำลมไฟ ถ้าอันนี้เป็นของอัศจรรย์ ดินน้ำลมไฟทั้งหลายก็อัศจรรย์หมดละซิ มันก็เท่า ๆ กันนั่นเอง พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงเสมอกันอย่างนั้นซิ

พูดเร่ง ๆ เข้าเลยรู้สึกเหนื่อย เอาละพอแค่นี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก