สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
วันที่ 5 สิงหาคม 2521 เวลา 19:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

ความจริงแล้วธรรมชาติที่อิ่มนั้นเราจะนำมาพูดกันได้อย่างไร เพราะไม่มีรูปลักษณะพอที่จะนำมาพูดได้ แต่ก็ไม่มีใครสงสัยบรรดาผู้อิ่มแล้ว นี่ท่านผู้อิ่มโลกเสียทุกอย่างหรืออิ่มธรรมเสียทุกอย่าง ทำไมถึงว่า อิ่มโลกอิ่มธรรม คือไม่ติดทั้งโลกทั้งธรรมจึงเรียกว่าอิ่ม ผู้ที่อิ่มแล้วเช่นนั้นท่านก็เป็นนิพพานเต็มที่ท่านถึงอิ่ม นั่นละจิตเป็นนิพพานคือจิตที่อิ่มตัวเต็มที่แล้ว ไม่ว่าคำสรรเสริญคำนินทามีน้ำหนักเท่ากัน เพราะเป็นกิริยาของสมมุติทั้งหมด อันนั้นไม่รับ อันนั้นไม่ใช่สมมุติ ไม่ใช่วิสัยจะมารับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเทียบกันก็ได้เท่านั้นแหละ

อย่างที่ว่าอิ่มนี่ใครจะนำมาแจงได้ไหม ความอิ่มนั้นมีรูปลักษณะยังไง มีอาการยังไง แสดงไม่ได้แต่ก็ไม่มีใครสงสัย เพราะต่างคนต่างก็ได้รับประทานจนถึงความอิ่มด้วยกันมาเป็นประจำอยู่แล้ว นั่นละถ้าอิ่มเต็มที่แล้วก็รู้ตัวเอง จิตเมื่ออิ่มเต็มที่แล้วก็อย่างนั้น

เราพูดถึงเรื่องนิพพานสูญเราก็พูดอย่างนี้ แล้วก็แยกไปอีกว่าเวลานี้ความอิ่มของเราที่อิ่มอยู่ด้วยกัน เรารับประทานใหม่ ๆ แล้วสูญไหมล่ะ รู้อยู่ไหม มันสูญไปไหนไหมความอิ่มเวลานี้ ต่างคนต่างรับประทานด้วยกัน อิ่มแล้วก็มาคุยธรรมะกันนี้น่ะ ความอิ่มนั้นประจักษ์อยู่ไหมประจักษ์ แล้วนำมาแสดงออกได้ไหมว่าเป็นรูปลักษณะยังไง แสดงไม่ได้ แล้วสูญไหมล่ะ ไม่สูญ นั่นรู้อยู่จำเพาะในนี้ ก็อย่างนั้นซิ

นั่นถาม ๒ ข้อ ข้อหนึ่งว่าเคยสร้างบารมีมาก่อนอย่างนั้นอย่างนี้อะไรว่ากันไป นี่เราก็สรุปยอดเอาเลย ตั้งข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ให้เข้าใจในขณะนั้น แล้วก็พูดถึงเรื่องบุญเรื่องบาป โลกเดี๋ยวนี้มันไปลบล้างขวากลบล้างหนาม หนามมีตามหนทางก็ว่าไม่มี มันลบล้างนรกสวรรค์ ลบล้างบุญลบล้างบาปนั่นน่ะ

มันเป็นทำนองเดียวกันกับเขาเดินไปด้วยความประมาทตามสายทาง มีขวากมีหนามก็ไม่ระวัง มีหัวตอก็ไม่ระวัง มีหินอยู่นั้นก็ไม่ระวัง ความเข้าใจว่าไม่มีนั่นแหละ มันเหยียบขวากเหยียบหนามก็เหยียบในขณะที่เข้าใจว่าหนามไม่มีนั่นแหละ มันโดนสะดุดก็..ในขณะที่โดนสะดุดก็คือขณะที่เข้าใจว่าหัวตอไม่มีหรือหินไม่มีนั่นเองมันโดน เพราะความมีอยู่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำคัญว่าไม่มี ความสำคัญว่าไม่มีนี้ลบล้างสิ่งมีอยู่นั้นไม่ได้

เพราะฉะนั้นคนจึงต้องเหยียบขวากเหยียบหนามตกเหวตกบ่อกันโดนสะดุดกัน โดนนั้นโดนนี้กัน เข้าใจว่าไม่มีอะไรแล้วโดนเอา ๆ ผู้นั้นละผู้เจ็บผู้เข้าใจว่าไม่มี ผู้เข้าใจว่ามีผู้นั้นระวังไม่ค่อยเจ็บ เดินไปตามถนนหนทางก็ดูถนนหนทางให้ชัดเจน ขวากหนามก็ไม่เหยียบ หินก็ไม่โดน ตอไม้ก็ไม่โดน ผู้นั้นปลอดภัยเพราะผู้นั้นระวัง เพราะเข้าใจว่าสิ่งนั้นมีอยู่ อาจจะมีอยู่ในสถานที่ใดก็ได้ ความระวังไปตลอดสายนั้นคือความไม่ประมาท ผู้นั้นปลอดภัยกว่าคนที่ไปด้วยความประมาท เข้าใจว่าอะไรไม่มี นี่ก็เหมือนกันสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในโลก

ทีนี้บาปบุญก็มีอยู่ในโลกเหมือนกัน เคยมีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ บาปก็ดี บุญก็ดี นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี เป็นสิ่งที่มีอยู่ ส่วนความสำคัญเราจะว่ามีหรือไม่มีก็ตาม สิ่งนั้นมีอยู่แล้ว จะสำคัญว่าไม่มีก็สำคัญเฉย ๆ ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่มีอยู่แล้วได้ เช่นเดียวกับเราสำคัญว่าหนามไม่มีหัวตอไม่มีอย่างนี้ เป็นความสำคัญเฉย ๆ สิ่งนั้นมีอยู่ไม่ขึ้นอยู่กับการสำคัญหรือไม่สำคัญของใคร ลบล้างไม่ได้

ผู้ที่จะโดนบาปโดนนรกก็คือผู้ที่เข้าใจว่านรกไม่มีนั้นแล ว่าบาปไม่มีนั้นแลโดน ไม่มีผู้ใดจะไปโดนละ จะไปตกนรกก็ผู้ที่ว่านรกไม่มีนั่นแล จะโดนบาปเป็นความทุกข์ทรมานก็คือผู้เข้าใจว่าบาปไม่มีนั่นแล ผู้นั้นไม่ระวัง เหมือนกับคนเดินทางไม่ระวังว่าขวากว่าหนามมี ว่าหัวตอมี ว่าก้อนหินสิ่งที่จะโดนเท้าไม่มีนั่นละโดนเอา ๆ เหยียบเอา ๆ เป็นอย่างนั้นแล

ถ้าหากเป็นไปตามความสำคัญแล้ว คนตาบอดนี้มองไม่เห็นอะไรก็ไม่น่าจะมีอะไรมาโดนได้ เพราะไม่เห็นนี่ ถ้ามีทำไมข้าไม่เห็นล่ะ แล้วก็โดนไม้เข้า ตาบอดนั้นโดนเก่งกว่าเขา มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตาบอดนี่ มันขึ้นอยู่กับความมีอยู่ของมัน นี่พวกเรามันบอดจะว่ายังไง ตั้งแต่สิ่งที่มีอยู่มันยังโดน มีอยู่อย่างหยาบ ๆ เป็นวิสัยของตามองเห็นได้อย่างชัด ๆ ยังโดนได้เหยียบได้ สิ่งที่เป็นของละเอียดทำไมจะโดนไม่ได้ เรายังเชื่อเราอยู่เหรอ ตาบอดขนาดนี้ยังอวดว่าตัวเองเก่งอยู่เหรอ

พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนตาบอด โลกวิทู ฟังซิ รู้แจ้งเห็นจริงโลกทุกอย่าง โลกนอกโลกใน รู้ตลอดทั่วถึงโลกทิพย์ โลกธรรมดารู้หมด โลกทิพย์ก็คือสามารถที่จะมองเห็นด้วยพระจักษุญาณ ทิพพโสต ทิพพจักษุ พระองค์มีทิพย์นี่ สิ่งที่เป็นโลกทิพย์พระองค์ก็มีเครื่องรับทิพย์

ดูอย่างวิทยุซิ โทรทัศน์นี่ซิ แต่ก่อนใครเห็นมีเมื่อไร พูดกันเชื่อเมื่อไร เดี๋ยวนี้เกลื่อนและทำลายคนให้ฉิบหายวายปวงไปก็ยังพอใจเห็นไหมล่ะ นั่นละเขาสามารถ เขาทำกันอยู่ที่ไหนโลกไหนก็เอามาดูได้ อยู่ในบ้านของตัวเองยังดูได้เห็นได้ เราพิจารณาดูซิ นั่นละของมีอยู่นั่นแหละ เขาทำกันอยู่โน้นมันมีอยู่นั่น มันมีเครื่องรับกันมันก็ได้ อย่างโทรทัศน์เขาชกมวยเมืองไหนโน่นยังมาเปิดดูได้ นั่นดูซิแต่ก่อนมีได้เมื่อไร และปฏิเสธได้เหรอว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี แต่ไม่สามารถที่จะทำขึ้นให้ปรากฏชัดเจนได้อย่างทุกวันนี้ นั่นก็อย่างนั้นแหละ

พระพุทธเจ้ายิ่งฉลาดแหลมคมกว่าพวกนี้เป็นไหน ๆ โลกทิพย์ไม่ต้องไปหาเครื่องอะไรมาเป็นเครื่องประกอบ โลกทิพย์พระองค์ก็มีธรรมทิพย์นี่จะว่าไง ทิพพโสต หูทิพย์เสีย ทิพพจักษุญาณ แน่ะ ตาทิพย์เสียไม่ใช่ตาเนื้อ สิ่งที่ควรแก่ตาเนื้อพระองค์ก็เอาตาเนื้อดู สิ่งที่ควรจะหูเนื้อก็เอาหูเนื้อฟัง สิ่งที่ควรจะหูทิพย์ก็เอาหูทิพย์ฟัง สิ่งที่ควรจะตาทิพย์ก็เอาตาทิพย์ดู

เพราะมีอยู่ทุกแง่ทุกมุม มีอยู่หลายขั้นหลายตอน ทั้งหยาบทั้งละเอียดโลกอันนี้ คำว่าสัตว์เท่านั้น สัตว์อย่างใหญ่ ๆ โต ๆ อย่างสัตว์ในทะเลหรือช้างอย่างนี้ก็มี เล็กกว่านั้นลงมาก็มี จนกระทั่งเชื้อโรค นั่นละเอียดขนาดไหน ถ้าไม่มีกล้องขยายหรือกล้องส่องก็ไม่เห็น ลำพังตาเนื้อของเราไม่เห็น แล้วเมื่อไม่เห็นมันเป็นอันตรายต่อคนได้ไหม คนไม่เห็น เช่น โรคอหิวาต์เป็นต้นอย่างนี้ มันทำลายคนตายมาสักเท่าไรแล้ว นี่เพราะไม่มีเครื่องทันมันนั่นเอง ถ้ามีเครื่องรับพิสูจน์กันปั๊บก็รู้ โอ้โห โรคอหิวาต์ น้ำมีเชื้อโรค แน่ะ สิ่งที่เราไม่เห็นนั่นละเป็นภัยต่อเรา เราไม่เห็นแล้วว่าไม่มีมันผิด สิ่งที่มีมันมีอยู่จึงต้องระมัดระวัง

ดังพระพุทธเจ้าสอนว่าบาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มีอย่างนี้ ทุก ๆ พระองค์สอนอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีองค์ใดที่จะก้าวก่ายในการสอนโลก เพราะทรงรู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกันมาแล้ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดสอนแบบเดียวกันหมด สอนอรรถสอนธรรมไม่ได้ก้าวก่ายกันแม้นิดหนึ่งเลย เพราะทรงรู้ทรงเห็นธรรมชาติแห่งความจริงเหล่านั้นเหมือนกัน การสอนจึงสอนแบบเดียวกัน เราไม่รู้ไม่เห็นจึงเหมือนสิ่งนั้นไม่มี นี่ละมันต่างกันอย่างนี้ละคนเราให้ดูเอา

หากพระพุทธเจ้าเหมือนกับคนเราทั่ว ๆ ไปนี้ จะยอมจำนนพระองค์ว่าเป็น พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ได้ยังไง ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ให้เสียเวล่ำเวลาเหนื่อยเปล่า ๆ ทำไม ก็เพราะท่านวิเศษเลิศกว่าเรา เราไม่รู้ท่านรู้ เราไม่เห็นท่านสามารถเห็น สิ่งที่เราไม่รู้สิ่งที่เราไม่เห็นท่านสามารถทั้งนั้นจะว่าไง สิ่งที่เราทำไม่ได้ท่านทำได้ สิ่งที่เราละไม่ได้ท่านละได้ นั่นซิเป็นของอัศจรรย์กว่ากันก็เพราะเหตุนี้เอง สมรรถภาพคือความสามารถต่างกัน การสอนอรรถสอนธรรมก็ลุ่มลึกละเอียดลออสุขุมถึงจิตถึงใจ เพราะทรงรู้แล้วเห็นแล้วจึงนำมาสอน ไม่มีการสะทกสะท้าน สอนตามสิ่งที่ทรงรู้แล้วเห็นแล้ว ทั้งวิธีการดำเนิน วิธีละ วิธีถอน วิธีบำเพ็ญ ให้เกิดให้มีให้เจริญขึ้นโดยลำดับ ๆ เป็นแต่วิธีที่ทรงรู้ทรงเห็นทรงได้รับผลมาแล้วทั้งนั้น นำสิ่งเหล่านี้มาสอนโลกจึงหาทางผิดไปไม่ได้ เห็นแล้วทุกอย่างจึงนำมาสอนโลก

ใครที่พูดด้วยความถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้านี้ไม่มี ในโลกนี้ว่างั้นเลย ถึงความเป็นอรหันต์ของสาวก ธรรมที่จะนำมาสอนโลกมีกว้างแคบหยาบละเอียดต่างกันกับพระพุทธเจ้าอยู่มาก เพราะอันหนึ่งเป็นพุทธวิสัยเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า อันหนึ่งสาวกวิสัยเป็นวิสัยของสาวก แต่ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน ในแง่ของสมมุติแห่งธรรมที่จะนำออกมาใช้สั่งสอนโลกนี้ ไม่มีใครจะเสมอพระพุทธเจ้า ทรงแสดงได้อย่างละเอียดกว้างขวาง

แม้แต่สาวกด้วยกันก็ยังต้องผิดกัน เช่น พระสารีบุตร มีความเฉลียวฉลาดมาก อุบายวิธีการสั่งสอนนี้แหลมคมมากรองพระพุทธเจ้าลงมา พระโมคคัลลาน์มีฤทธาศักดานุภาพ นี่ก็รองพระพุทธเจ้าลงมา ดีไปคนละด้านละทาง อย่างพระอนุรุทธะสามารถรู้เรื่องปรจิตวิชชา คือวาระจิตของคนอื่นคนใดก็ตาม แม้แต่เทวบุตรเทวดาพระอนุรุทธะก็ทราบได้ละเอียดลออ

เราจะเห็นได้ขณะที่พระองค์ทรงทำหน้าที่ปรินิพพาน เมื่อประทานพระโอวาทวาระสุดท้าย โอวาทวาระสุดท้ายนั้นเป็นภาษาไทยก็ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้เราเตือนเธอทั้งหลาย สังขารมีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปดับไปอยู่อย่างนี้เป็นประจำ จงพิจารณาสังขารอันนี้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ในพระโอวาทที่ทรงสอนในวาระสุดท้ายเราจะหมายถึงสังขารอะไร ขณะที่ฟังนั้นมีแต่พระสงฆ์สาวกทั้งนั้น อย่างน้อยก็เป็นพระที่มุ่งหน้ามุ่งตา ถึงจะเป็นกัลยาณปุถุชนก็เป็นผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างยิ่งแล้ว นอกจากนั้นก็เป็นพระโสดา สกิทา อนาคา พระอรหันต์กันแล้ว ญาติโยมไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในขณะนั้น พระองค์จะทรงแสดงสังขารประเภทนี้ หมายความลึกตื้นหยาบละเอียดขนาดไหน ถ้าไม่หมายถึงสังขารตัวอยู่ภายในจิตที่ปรุงแย็บ ๆ อยู่ตลอดเวลานี้

เราเชื่อแน่เหลือเกินว่าพระโอวาทวาระสุดท้ายจะต้องหยั่งถึงสังขารที่ละเอียดสุดเพื่อไปพระนิพพานในขณะนั้นเท่านั้น แต่จะตีความหมายไปว่าสังขาร ภูเขา ต้นไม้ มันเป็นของไม่เที่ยงนะสาวกทั้งหลาย ว่าไปโน้นก็ว่า แต่ว่า ๑% เท่านั้นแหละ ใน ๙๙ % จะหยั่งลงสังขารธรรม คือความปรุงของจิตนี้ ให้เหมาะสมกับปัจฉิมโอวาทโดยศาสดาผู้สำคัญจะปรินิพพานในขณะนั้น จะเอาธรรมหยาบ ๆ มาแสดงไปธรรมดาได้ยังไง เพราะเวลานั้นไม่ใช่เวลาธรรมดา เป็นวิสามัญธรรมดา ๆ เป็นวิสามัญ ๑) จะปรินิพพานอยู่แล้วในขณะนั้น ๒) พระสงฆ์ที่เฝ้าพระองค์อยู่เวลานั้นมีแต่ผู้เตรียมพร้อมแล้ว ตั้งแต่พระอรหันต์ลงมาจนกระทั่งถึงกัลยาณปุถุชน คือภิกษุเรื่อยลงมาเป็นลำดับ จำต้องรับสั่งถึงเรื่องสังขารภายในทีเดียว เราแน่ใจ ให้ดูนี่นา พอจากนั้นแล้วก็ปิดพระโอษฐ์ ทรงทำหน้าที่ปรินิพพาน

ในขณะที่ทำหน้าที่นั้นพระสงฆ์สาวกก็ห้อมล้อมอยู่ พระอนุรุทธะก็อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อทรงเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานอันเป็นรูปฌาน ๔ แล้วก็ก้าวเข้าสู่อรูปฌาน ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วก็ก้าวเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ทรงดับสัญญาและเวทนาขณะนั้นระงับเงียบ บรรดาพระสงฆ์ที่อยู่นั้นเกิดความสงสัย นี่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะเป็นผู้บอก แน่ะฟังซิ ยัง ๆ ไม่ปรินิพพาน กำลังประทับอยู่ที่สัญญาเวทยิตนิโรธ

พอพระจิตเสด็จเคลื่อนถอยออกมาจากสัญญาเวทยิตนิโรธก็บอกโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา คือลงมาอรูปฌาน ๔ แล้วลงมารูปฌาน ๔ จนกระทั่งถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา ทีนี้ก้าวเข้าไปอีก พระอนุรุทธะบอกโดยลำดับ ๆ นั่นฟังซิ นี่ละปรจิตวิชชา สามารถรู้พระจิตของพระพุทธเจ้า แม้บริสุทธิ์เพียงไรก็สามารถรู้ นั่นถ้าเป็นของสูญรู้ได้ยังไง จิตบริสุทธิ์แล้วสูญรู้ได้ยังไง ไม่สูญน่ะซิถึงรู้ได้ พระอนุรุทธะก็เป็นพระอรหันต์แล้วพระอนุรุทธะก็ไม่สูญ สามารถรู้พระจิตของพระพุทธเจ้าที่กำลังเสด็จก้าวเข้าสู่ฌานใด ปฐมฌานนี้เป็นสมมุติ ฌานแต่ละฌานเป็นสมมุติ เมื่อจิตวิมุตติ คือพระจิตของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นวิมุตติแล้วผ่านไปในฌานใด ผู้บริสุทธิ์ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นผ่านไปในฌานใด พระอนุรุทธะบอกโดยลำดับ กำลังเสด็จเข้าฌานนั้น ๆ เพราะมีสมมุติเป็นเครื่องพาดพิง พอพูดได้ว่าพระจิตที่บริสุทธิ์นั้นกำลังก้าวเข้าผ่านฌานนั้น ๆ

ถ้าหากไม่มีสมมุตินี้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย พระจิตนั้นแม้จะมีอยู่เพียงไรก็ตามพูดไม่ได้ ทีนี้พอออกจากจตุตถฌานแล้วไม่เสด็จเข้าสู่รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ก็ไม่เสด็จเข้า รูปฌาน ๔ ก็ผ่านมาแล้ว นั่นละที่นี่ปรินิพพานในท่ามกลางแห่งสมมุติทั้งสอง คืออรูปฌานก็เป็นสมมุติ รูปฌานก็เป็นสมมุติ เสด็จออกท่ามกลาง พอถึงตรงนั้นแล้วพระอนุรุทธะก็สุดวิสัย ว่าทีนี้ปรินิพพานแล้ว นั่น คือไปพาดพิงกับอะไรอีกไม่มี มีเฉพาะพระสรีระในขณะนั้นให้ได้เห็นชัดเจน นั่นละพิจารณาดูซิ นี่พระอนุรุทธะท่านสามารถอย่างนั้น

พระสงฆ์เหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรจิตวิชชาเหมือนพระอนุรุทธะ และจึงสมนามว่าพระอนุรุทธะเป็นเอตทัคคะทางปรจิตวิชชา สามารถรู้วาระจิตของใคร ๆ ได้ทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่เทวดาที่มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าขณะที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว จะนำพระสรีระศพออกทางทิศใดนี้ก็ต้องพระอนุรุทธะเป็นผู้บอก เทวดาทั้งหลายไม่ต้องการให้ไปทางทิศนั้น ๆ ต้องการจะไปทางทิศนั้น

รู้จนกระทั่งถึงความประสงค์ของเทวดาฟังซิ แล้วเอาไปทางทิศอื่นก็ไม่ได้จริง ๆ ต้องไปทางทิศที่เทวดาทั้งหลายต้องการ ตามที่พระอนุรุทธะบอกไว้ แล้วไปทางนั้นไปได้ แต่เวลาจะถวายพระเพลิงพระองค์ก็ยังถวายไม่ได้ เทพทั้งหลายยังไม่ยินยอมให้ถวายพระเพลิง เพราะพระมหากัสสปะกำลังเดินทางมา จะมากราบพระสรีระศพของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นแล้วจึงจะทำได้ แน่ะ ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นก็ไม่ทราบพระกัสสปะอยู่ที่ไหน มันสุดวิสัยไหมสำหรับพวกเรา

แต่สำหรับพระอนุรุทธะไม่สุดวิสัย เหมือนบอกคนตาบอด เพราะอย่างหนึ่งเขาจะว่าพระอนุรุทธะนั้นเป็นบ้าอยู่คนเดียว พูดอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราว เทวดาที่ไหน พระกัสสปะที่ไหน ไม่เห็นนี่ แล้วไม่นานพระกัสสปะก็มา พาบริษัทบริวารมากราบพระสรีระศพของพระองค์ จากนั้นมาเอ้าที่นี่พระราชทานถวายเพลิงท่านได้ไม่มีอะไรขัดข้อง ถวายพระเพลิงก็พรึบเลย ตอนแรกถวายไม่ได้ ถวายเพลิงไม่ได้ ถวายก็ไม่ไหม้ นั่นฟังซิ แล้วเป็นความจริงทุกอย่าง

เพราะอันนี้เป็นวัตถุ อันนั้นเป็นใจที่ทำนายที่ทายออกมา ๆ ทายออกมาก็เป็นตามนั้นจริง ๆ เช่น ไม่ให้ออกทางทิศนั้นทิศนี้ ให้ออกทางทิศเหนืออย่างนี้ เทวดาทั้งหลายมีความต้องการอยากให้พระสรีระศพของพระองค์ออกทางด้านทิศเหนือนี้ ออกไปทางทิศอื่นก็ไม่ได้ นั่น ฝืนไปไม่ได้ต้องออกทางทิศนั้น เราไม่เห็นตัวแต่ว่าพระสรีระศพไปไม่ได้ ทำให้หนักให้อะไรไปไม่ได้ ไม่เคลื่อนย้ายไปเฉย ๆ นี่จะว่ายังไง

นั่นละพลังฤทธาศักดานุภาพของพวกเทวดาทั้งหลายมีอยู่นั้น พลังเรามองไม่เห็น คิดดูเราปาไม้ไปนี้ พลังอันหนึ่งที่หนุนไม้ให้ตกไปโน้นไปนี้เรามองไม่เห็น เห็นแต่ไม้เท่านั้นแหละ หรือธนูยิงไปจากแล่งนี้ หรือยิงปืนออกไปจากกระบอก ปากกระบอกปืนนี่มันพุ่งไปไหน พลังเรามองไม่เห็นแต่มันไปได้ยังไง ไม่มีพลังมันไปได้ยังไง นั่นอย่างนั้นซิ อันนั้นละมันลึกลับ

อะไรจะลึกลับหรือละเอียดยิ่งกว่าศาสนา สิ่งเหล่านี้ไม่นอกเหนือวงคำสอนพระพุทธเจ้า ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแสดงออกให้เห็นชัดเจน พระสาวกแต่ละองค์ ๆ มีความสามารถต่างกัน จึงได้รับเอตทัคคะจากพระองค์ที่ทรงตั้งให้ องค์นั้นเป็นเอตทัคคะในทางนั้น เช่น พระปุณณมันตานีบุตร เป็นเอตทัคคะในทางธรรมกถึกเอก ไม่มีใครเสมอฟังซิ พระสารีบุตร ทรงทางปัญญา เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา พระโมคคัลลาน์เก่งทางฤทธาศักดานุภาพ

พระปุณณมันตานีบุตรอย่างที่ท่านอาจารย์มั่นท่านพูดเข้าทีนะว่า ท่านเทศน์เน้นหนักลงในสัลเลขธรรม ๑๐ ประการว่าอย่างนั้น พระปุณณมันตานีบุตรเทศน์สอนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย สัลเลขธรรม แปลว่าธรรมเครื่องขัดเกลากิเลสมี ๑๐ ประการ

๑) อัปปิจฉตา ให้เป็นผู้มักน้อย อย่าพะรุงพะรังหอบหิ้วโน้นนี้ หาบหามนั้นพะรุงพะรัง ให้เป็นผู้มักน้อย จะมีมากเพียงไรให้เป็นผู้มักน้อย เอาแต่พอสิ่งที่เป็นของจำเป็นเท่านั้น ใช้สอยอาบดื่มอะไรก็แล้วแต่

รองลงมาก็ สันโดษ ความยินดีตามมีตามเกิด

อสังสัคคณิกา อย่าคลุกคลีซึ่งกันและกันไม่เป็นเวล่ำเวลา

วิเวกกตา เป็นผู้ชอบสถานที่วิเวกสงัด อันไม่เป็นที่พลุกพล่านวุ่นวายกับสิ่งก่อกวนทั้งหลาย

วิริยารัมภา ให้เป็นผู้หนักในความเพียร ประกอบความพากเพียร ในอิริยาบถทั้งสี่ให้เป็นไปด้วยความเพียร แน่ะ เป็นลำดับ ๆ

ศีล รักษาให้ดี ศีลเป็นสมบัติอันล้นค่าสำหรับพระ ไม่มีสมบัติอะไรของพระที่จะสง่าผ่าเผยยิ่งกว่าความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผู้อาจหาญด้วย

สมาธิ ทำจิตใจให้แน่นหนามั่นคงอย่าให้วอกแวกคลอนแคลน ให้เป็นเหมือนหินทั้งแท่ง เพราะความมั่นคงของจิตที่เป็นสมาธิ

ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญให้ละเอียดลออตลอดทั่วถึง กิเลสมีหลายประเภททั้งส่วนหยาบ ๆ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ทั้งภายนอกภายในคอยจะคละเคล้ากันอยู่เสมอ ให้ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาด้วยดี เพราะอำนาจแห่งวิริยารัมภา คือประกอบความเพียรด้วยสติปัญญาอยู่เสมอ

วิมุตติ เมื่อสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เต็มที่ไม่หยุดไม่ถอยแล้ว ความหลุดพ้นก็ปรากฏขึ้นมาที่จิตดวงนั้นเอง

วิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อได้หลุดพ้นแล้ว ญาณความรู้แจ้งชัดว่าหลุดพ้นแล้วก็ย่อมเกิดขึ้นมาในขณะเดียวกัน

นี่คือสัลเลขธรรมที่พระปุณณมันตานีบุตรซึ่งเป็นธรรมกถึกเอกท่านเทศน์ ท่านมักจะเน้นหนักลงในธรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นธรรมเหมาะสมมากสำหรับพระเรา นี่ละวิธีการดำเนินงานของพระท่านดำเนินอย่างนี้

ให้เป็นผู้มักน้อย นั่นฟังซิ อย่างลดลงมาอีกก็สันโดษ อย่าให้เลยความสันโดษไป ให้ยินดีเฉพาะสิ่งที่มีอยู่เท่านั้น สิ่งใดไม่มีอย่าแสดงความโลภโลเลผิดวิสัยของพระ แน่ะ

อสังสัคคณิกา อย่าคลุกคลีตีโมงซึ่งกันและกันโดยหาเวล่ำเวลาไม่ได้ นอกจากธรรมสากัจฉา กาเลน ธมฺมสากจฺฉา ที่จะสนทนาธรรมะเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นข้อปลดเปลื้องกิเลสหรือเป็นคติซึ่งกันและกันตามเวล่ำเวลา

วิเวกกตา ที่ไหนสงัดให้มุ่งให้แสวง ท่านว่าฟังซิ

วิริยารัมภา คือความประกอบความพากเพียรในทุกอิริยาบถ อย่าให้สติได้ปราศจากจิต จิตเป็นตัวคะนอง จิตเป็นตัวดื้อด้าน จิตเป็นตัวดีดโลดเต้นเผ่นกระโดดอยู่ตลอดเวลา นั้นแหละตัวเหตุที่สร้างกองทุกข์ทั้งหลายก็คือตัวนั้น เพราะฉะนั้นจึงใช้สติปัญญาขุดค้นลงตรงนั้น และให้กำหนดดูให้รู้ว่ามันคิดไปเรื่องอะไร ส่วนมากคิดตั้งแต่เรื่องที่จะผูกมัดตัวเอง ก่อฟืนก่อไฟให้มาเผาลนตนเองด้วยความคิดความปรุงต่าง ๆ นี้คือว่าโรงงานมันสร้างวัฏจักรสร้างที่ตรงนั้น จิตนี้แลคือวัฏจักร มันสร้างเครื่องวัฏจักรหมุนตัวเองก็อยู่ในจิตนั่นแหละ จึงต้องใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาด้วยดี ธรรมสามสี่ห้าข้อนี้เป็นธรรมสำคัญมาก

พระสงฆ์ในครั้งพุทธกาลท่านเดินอย่างนี้ พูดกันก็พูดในสัลเลขธรรม ไม่ได้พูดถึงเรื่องการบ้านการเมือง การรบราฆ่าฟัน การได้การเสีย การซื้อถูกขายแพง งานราชการนั้นงานราชการนี้ งานราชการชั้นนั้นชั้นนี้ เอาเรื่องโลกเรื่องสงสารมาพูดไม่มี อันนั้นเป็นเรื่องของโลก มอบให้โลกเขา เรื่องของธรรมเป็นเรื่องของเรา อย่างไรกิเลสจะหลุดลอยไปฟาดลงไปตรงนั้น

นี่ละเป็นงานของสมณะแท้ดังที่เคยพูดแล้ว เบื้องต้นก็ยกให้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตั้งแต่ขณะบวชอุปัชฌายะมอบงานนี้ให้ แล้วก็บอกสถานที่ที่จะประกอบให้เป็นสำนักงานของเรา ที่เหมาะสมคือที่เช่นไร วิเวกกตา นั่นเองไม่ไปไหน อสังสัคคณิกา ไม่ต้องวุ่นวี่วุ่นวายกับใคร เป็นห่วงเป็นใยกับใคร

วิริยารัมภา ประกอบความพากเพียร พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดอาการ ๓๒ ภายในภายนอก เอามาเทียบเคียงกันให้ได้สัดได้ส่วน โดยความเป็นของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรือโดยความเป็นอสุภะอสุภังป่าช้าผีดิบ พิจารณาลงให้มันชัดเจน ความจริงมีอยู่กับตัวของเราทุกคน ทำไมจะไม่เห็นเรื่องอรรถเรื่องธรรม

คำว่าปฏิกูลมันดูได้เหรอ ในตัวของเรานี้มีแต่หนังบาง ๆ หุ้มไว้เท่านั้นเป็นเครื่องหลอกพรางตาไว้ แล้วเข้าไปข้างในมีอะไร หยั่งลงไปตามความจริงทำไมจะไม่รู้ไม่เห็น พระพุทธเจ้าสอนอย่างเปิดอย่างเผย สอนของมีอยู่เต็มในร่างกายของเราทุกคน ทำไมจึงไม่รู้ไม่เห็น ผิวหนังบาง ๆ เท่านั้นละมันหลอกไว้ ถ้าไม่มีหนังแล้วดูกันไม่ได้ไม่ว่าหญิงว่าชาย มีแต่แมลงวันตอมหึ่ง ๆ ไปหมดแหละ พอดูได้ก็เพราะผิวหนัง หนังบาง ๆ ผิวบาง ๆ พอเลยเข้าไปนั้นก็เยิ้มไปด้วยบุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนอง แล้วเข้าไปเท่าใดก็ยิ่งเต็มไปด้วยของปฏิกูลทั้งนั้น ป่าช้าผีดิบก็คือเรา พิจารณาให้มันเห็นชัดซิ ข้างนอกก็เหมือนกันไม่ว่าหญิงว่าชายมันเหมือนกันนี้ ถ้าคำว่า โลกวิทู ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงนี้ชัด ดูที่ไหนมันชัดหมดเพราะมันเหมือนกัน นี่ละงานของพระ ถ้าจะไปดูอสุภะอสุภังก็ให้มันชัดเจนถึงความจริงเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ชนิดใดก็ตามในไตรลักษณ์ ถนัดในทางใดพิจารณาให้เห็นประจักษ์

เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมเองนี้ ทุกฺขํ มันประจักษ์ วาระสุดท้ายก็ อนตฺตา มันเลิกกันไปหมดเลย พิจารณา ทุกฺขํ นี้คือเวลาทุกข์มันบีบคั้นซิ เราได้เห็นทุกข์ชัดเจนในตอนนั้น เฉพาะอย่างยิ่งเวลานั่งหามรุ่งหามค่ำน่ะซิ ไม่ให้มันลุกนี่ ฟาดมันไปสติปัญญามีเท่าไรขุดค้นกันลงไป คนเราเมื่อจะตายจริง ๆ แล้วมันไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอก มันต้องหาอุบายวิธีช่วยตัวเองจนได้ สติปัญญาจะเกิดในขณะนั้น ขณะที่เจ้าของพยายามช่วยตัวเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ขึ้นแล้วในระยะนั้น ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ท่านว่าทุกข์เป็นของจริง เราก็ถือว่าเป็นข้าศึกต่อเรา เราไม่ต้องการ เราไม่อยากพบอยากเห็น แต่ไม่อยากพบอยากเห็นเท่าไรก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดขึ้นภายในร่างกายเพราะมันมีอยู่ที่นี่

เมื่อได้ใช้สติปัญญาพิจารณาลงไป แยกแยะกันเรื่องสกลกายกับทุกขเวทนากับใจ ๓ อย่างเป็นสำคัญ ดูอาการใดของร่างกายมันก็มีอยู่ตามสภาพของมัน ไม่เห็นมันแสดงว่าเป็นทุกข์อย่างไร มันไม่ทราบความหมายของทุกข์ด้วยซ้ำร่างกายก็ดี แม้ความทุกข์จะเต็มอยู่ในร่างกายทุกส่วน แต่ร่างกายก็หาได้ทราบความหมายแห่งความเป็นทุกข์ของมันไม่ เวทนาคือความทุกข์ก็ไม่ทราบความหมายของตนเอง สุดท้ายก็คือใจไปสำคัญมั่นหมาย ย้อนหน้าย้อนหลังพิจารณา ยิ่งทุกข์เกิดขึ้นมากเท่าไรสติปัญญาจะต้องหมุนติ้ว ๆ นอนตัวไม่ได้นะ

นั่นละตอนมันจะเกิดปัญญาเฉลียวฉลาดทันเหตุการณ์แล้วเอาตัวรอดได้ เราพิจารณาเข้าไปดูร่างกาย เอ้าอันไหนเป็นทุกข์ ถ้าดูแล้วร่างกายนี้มีมาตั้งแต่วันเกิด ทุกข์อันนี้เดี๋ยวนี้มันพึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เช่น เจ็บปวดตามข้อตามกระดูกตามแข้งตามขาในขณะที่นั่งนาน มันพึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ หากว่าแข้งว่าขาว่าหนังว่าเนื้อเป็นตัวทุกข์ ทำไมเวลาทุกข์ดับไปแล้วสิ่งเหล่านี้จึงยังเหลืออยู่ มันเป็นอันเดียวกันได้ยังไง ถ้าเป็นอันเดียวกันต้องดับด้วยกัน ทุกข์เกิดขึ้นอันนี้จึงปรากฏขึ้นมา ทุกข์ดับไปอันนี้ต้องดับไปด้วย แต่นี้ทุกข์ดับไปมันก็มีอยู่อย่างนี้ ทุกข์เกิดขึ้นมันก็มีอยู่อย่างนี้ แล้วใจล่ะ ใจเป็นทุกข์เหรอ ถ้าใจเป็นทุกข์ ทุกข์ดับไปใจทำไมไม่ดับ

ไล่กันเข้าไป ๆ ไล่พอเข้าใจ ใจมันยิ่งจ่อนะ สติยิ่งจ่อ ปัญญายิ่งทะลุเข้าไปแทงเข้าไป ๆ นั่นละหมุนติ้ว ๆ ถ้าเป็นนักมวยเขาเรียกเข้าวงใน เผลอไม่ได้...ตาย เข้าวงใน อันนี้มันเข้าวงในแล้วสติปัญญาต้องหมุนติ้ว ๆ ต่อไม่ต่อมันก็เข้าใจซึ้งลงไป ๆ พอซึ้งลงไปแล้วกายก็สักแต่ว่ากาย จริงอยู่นี้ตั้งแต่นี้เมื่อไร กายเองก็ไม่ทราบว่าตนเป็นทุกข์ ทุกข์เองก็ไม่ทราบว่าตนเป็นตัวทุกข์ ต่างอันต่างไม่ทราบความหมายของกัน

เช่นเดียวกับไฟไหม้เชื้อ เชื้อก็ไม่ทราบความหมายของไฟ ไฟก็ไม่ทราบความหมายของตนและไม่ทราบความหมายของเชื้อ แต่ก็ลุกลามกันไปตามธรรมชาติของมัน นี่ร่างกายกับทุกขเวทนาก็ต่างอันต่างไม่ทราบความหมาย ผู้ที่ทราบความหมายและผู้ที่ยึดถือสำคัญมั่นหมายจนหลงงมงายก็คือจิต จึงย้อนเข้ามาหาจิตพิจารณาอีกมันก็แยกกันได้ ๆ เข้าใจชัดเจน พอทราบว่ากายเป็นของจริงเต็มส่วน เวทนาเป็นของจริงเต็มส่วน ใจก็กลายมาเป็นของจริงเต็มส่วน ต่างอันต่างจริงเต็มสัดเต็มส่วนแล้วไม่กระทบกัน ถึงทุกขเวทนาจะมีอยู่มากน้อยก็ไม่สามารถซึมซาบถึงจิตนี้เป็นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งนอกจากทราบกันอย่างชัดเจนนี้แล้ว ทุกขเวทนายังดับลงไปในขณะนั้น หายเงียบไปเลย

ดีไม่ดีร่างกายนี้หายไปด้วยกันอีกในความรู้สึก เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ เป็นอากาศธาตุเวิ้งว้างไปหมด กายทั้งกายไม่ปรากฏเลยในความรู้สึก และไม่ทราบว่าจิตนั้นอยู่สูงอยู่ต่ำ เพราะไม่คาดไม่หมาย ทราบได้แต่ว่ารู้และอัศจรรย์เท่านั้น นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาในเวลาจนตรอกจนมุม และสร้างสติปัญญาจนเอาตัวรอดขึ้นมาได้ ปรากฏจิตเด่นดวงโดยลำพังตัวเอง ไม่มีสิ่งใดเข้าไปเกี่ยวเกาะได้เลยในขณะนั้น นี่เป็นแล้วไม่ได้มาพูดอวดเฉย ๆ ได้ทำมาแล้วอย่างนี้ด้วย และได้รู้ได้เห็นได้เป็นอย่างนี้มาแล้วด้วย จึงสามารถพูดได้เต็มปากโดยไม่สะทกสะท้าน นี่ละคือสร้างความกล้าหาญให้ตน พอจิตได้เด่นชัดขึ้นด้วยอำนาจของสติปัญญาแล้วไม่กลัวเรื่องตาย

เอ้า ถึงเวลาตายมันจะเอาเวทนาหน้าไหน ทุกขเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ ก็ขณะนี้ทุกขเวทนามีมากน้อยเพียงไร เราก็ทราบกันชัดเจนแล้วด้วยปัญญาของเรา ถึงวาระสุดท้ายคือวาระจะตาย มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเรา ก็เวทนาหน้าเก่านี้แหละ กายก็เป็นของเก่า ทุกขเวทนาก็เป็นของเก่า จิตก็คือผู้เก่า สติปัญญาก็คือผู้นี้เองจะนอกเหนือเหล่านี้ได้ยังไง ค้นลงไปจนเห็นชัดเจนจนกระทั่งถึงว่าตาย ตายอะไรมันตาย พิจารณาลงไปจริง ๆ มันไม่มีอะไรตาย นี้ตามหลักความจริงที่ได้พิจารณารู้เห็นโดยลำพังของตัวเอง

ถ้าสมมุติว่าร่างกายนี้มันสลายลงไป ส่วนธาตุดินก็ซึมซาบลงไปเป็นดิน น้ำก็ซึมซาบไปเป็นน้ำ ดินก็ไปเป็นดินตามเดิม ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ใจเหรอมันจะตายก็ไม่เห็นตาย ว่าจะตายเท่าไรยิ่งเด่น หือ มันตายได้ยังไงใจ มันยิ่งรู้ยิ่งเด่น มันตายได้ยังไง แล้วอะไรตาย ไม่มีอะไรตาย นี่มันโกหกกันนี่นา เวลามันรู้ชัด ๆ แล้ว โห โกหกกันเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ใครก็ไม่มีเจตนาจะโกหกกันแหละ แต่ในขณะที่พิจารณาธรรมมันหากเป็นอย่างนั้น เป็นความรู้สึกขึ้นมานั้น หือ โกหกกัน กลัวตายเสียจน... หาความตายมันก็ไม่มี เมื่อพิจารณาเข้าถึงความจริงแล้วไม่มีอะไรตาย ต่างอันต่างจริงเท่านั้น เกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา

จิตก็สงบเงียบเลย ไม่มีอะไรมาเกาะมาเกี่ยว ทุกขเวทนาก็หายหน้าไปหมด แม้ที่สุดร่างกายนี้ก็หายไปในความรู้สึก เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ เหมือนกับเป็นอากาศธาตุ ว่างเปล่าหมดในขณะนั้น ไม่ได้สำคัญว่าอยู่สูงอยู่ต่ำอยู่ในที่เช่นไร เอาแต่ความที่รู้อยู่เด่น ๆ นั้นน่ะ อยู่ที่รู้ที่เด่น ๆ นั้นน่ะสูงต่ำไม่สำคัญ เป็นขึ้นเองรู้ขึ้นเองอยู่เอง เมื่อหมดกำลังนั้นแล้วขยับตัวออกมา คือจิตนี้เคลื่อนไหวตัวเอง และก็แย็บออกมาเป็นสังขารความปรุง และก็มาทราบเรื่องร่างกาย นี่ถอยออกมาแล้ว อ๋อ ร่างกาย

ตอนจิตถอนขึ้นมาทีแรกเวทนาก็ยังไม่มี หายเงียบเวทนาก็ดี พอนานไปสักหน่อยเวทนาก็เริ่มอีก เริ่มอีกก็ฟาดกันอีก พิจารณาอีก เอาอีกลงได้อีก แต่อุบายพิจารณาทุกขเวทนานี้เราจะเอาอุบายเก่าที่เคยพิจารณาแล้วนั้นไปพิจารณาไม่ได้นะ มันเป็นอดีตไปแล้วและเป็นสัญญาอารมณ์ ต้องเป็นอุบายที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ในวงปัจจุบัน หากจะตรงของเก่าก็ให้มันตรงนะ ถ้าไม่ตรงของเก่าก็ให้เป็นเรื่องของปัจจุบันจิตที่คิดขึ้นได้โดยลำพังตัวเอง จะตรงของเก่าก็ตาม นั้นเป็นปัจจุบันของตัวเองก็แก้กันได้

นี่การพิจารณาเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เราไปเด่นเรื่อง ทุกฺขํ ในการพิจารณาร่างกาย ทีนี้วาระสุดท้ายของความสามารถของเรานี้ไปลงใน อนตฺตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เรียบกันตรงนั้น อะไร ๆ รูปก็ตาม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกี่ยวข้องอยู่ภายในร่างกายมันเป็น อนตฺตา ทั้งนั้น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เลย ธมฺมา อนตฺตา สุดท้าย ธมฺมา อนตฺตา ไม่มีอะไรเหลือ

คำว่าจิตมีความผ่องใส ปล่อยร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้หมดนี้ มันก็มีก้อนสมมุติของมันอยู่ในนั้นเราก็ไม่รู้ ความใสแจ๋วใสสะอาดสง่าผ่าเผยองอาจกล้าหาญ นี่ก็เป็น อนตฺตา เหตุที่จะเป็น อนตฺตา ก็ทราบได้ชัดด้วยการปฏิบัติ ในขณะที่มันจะเป็นขึ้นมา เอ๊ะ จิตดวงเดียวนี้ทำไมจึงเป็นได้หลายอย่างนักนา มันรำพึงนะ เดี๋ยวว่าใสเดี๋ยวว่าเศร้า เดี๋ยวว่าผ่องใสเดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์ ทำไมจิตดวงเดียวจึงเป็นได้หลายอย่างนักนา นั่นมันรำพึง รำพึงจิตจ่ออยู่นั้น

คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าเศร้าหมองก็ดี คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี ธรรมทั้งสองเงื่อนนี้เป็น อนตฺตา นะ นั่นแสดงขึ้นเป็น อนตฺตา พอว่า อนตฺตา มันก็ทราบทันที ซึ้งถึงจิตมันก็ปล่อยพลัวะเดียวไม่มีอะไรเหลือเลย พอถึงขั้นสุดท้ายมันเอา อนตฺตา มาสรุป เอา อนตฺตา มาม้วนชาดก พอถึง ธมฺมา อนตฺตา แล้วนี่ครอบไปหมดเลย สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ท่านว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น ถึงขั้นนี้แล้วควรจะพูดถึงเรื่องธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น เมื่อถึงขั้นควรจะปล่อยแล้วให้ปล่อยให้หมด

เช่นอย่างขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วไม่ควรจะกอดบันไดอยู่ ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น จะบอกให้ปล่อยบันไดไม่ได้ คนเราจะปล่อยอะไร ๆ เป็น อนตฺตา ไปหมดทั้ง ๆ ที่ยังหาชีวิตไม่ได้เป็นไปไม่ได้ อตฺตา ต้องเป็นคู่เคียงกันไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย เช่นเดียวกับขึ้นบันได พอถึงขั้นสุดท้ายแล้วมันปล่อยของมันเอง ก็เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าเหยียบบนบ้านแล้ว ถ้าเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บันไดมันก็ปล่อยบันไดปุ๊บน่ะซิ นั่นควรปล่อยบันไดแล้วถึงขั้นนี้แล้วปล่อย นี่ สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น ก็หมายถึงว่า ถึงขั้นนี้แล้วจะยึดอะไรไว้ล่ะ ยึดไว้ทำไม ก็ปล่อย สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ปล่อยหมดเลย นี่สรุปเราตรงนี้มารวมยอด ธรรม อนตฺตา มาลงตรงนี้ มารวมยอดเอาตรงนี้

อิ่มโลกอิ่มธรรมที่นี่ โลกก็ไม่ติด อิ่มแล้วพอแล้ว ไม่อยากไม่หิวกับอันใดทั้งหมดขึ้นชื่อว่าสมมุติ ธรรมก็เหมือนกัน ไม่ว่าธรรมดีธรรมละเอียดขนาดไหน สุขทุกข์ละเอียดขนาดไหนซึ่งอยู่ในขั้นสมมุติ อิ่มพอตัวแล้วปล่อย แม้แต่จิตที่บริสุทธิ์ก็ไม่ยึด ถ้ายึดอยู่ไม่เรียกว่าบริสุทธิ์ ยังอาศัยธรรมอยู่ก็ยังเรียกว่ายังยึดธรรมอยู่ ยังเรียกว่ายังไม่บริสุทธิ์ ลง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ขึ้นชื่อว่าสมมุติขั้นใด บุญก็ดีบาปก็ดี ปุญญปาปปหิน ละทั้งหมดเพราะเป็นสมมุติด้วยกัน ถึงขั้นนี้แล้วเป็นขั้นที่ปล่อย ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียแล้ว นั่นละที่ว่าอิ่มตัว อิ่มธรรมก็เรียก อิ่มโลกก็เรียก ไม่ยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งหลาย นี่ผลของการปฏิบัติ

เราจะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนถ้าไม่หาในข้อปฏิบัติในความพากเพียรของเรา เราอย่าไปเชื่อผู้หนึ่งผู้ใดนอกจากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นธรรมตายตัวอย่างยิ่งแล้ว ออกมาจากสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ปฏิบัติเถอะ นิยยานิกธรรม จะนำออกโดยลำดับ ๆ ด้วยอำนาจแห่งความเพียร สติ ปัญญาของเราที่ไม่ถอยหลัง

อันใดจะมีคุณค่ายิ่งกว่าธรรม อันใดเล่าจะมีคุณค่ายิ่งกว่าความหลุดพ้นจากทุกข์ ให้เราคิดเอา เอาโลกมาเทียบ โลกมีถึง ๓ โลกธาตุ โลกไหนดี โลกไหนจะดียิ่งกว่าความหลุดพ้นจากทุกข์ของใจล่ะ นี่ตรงนี้ละ เมื่อเห็นความหลุดพ้นจากทุกข์ของใจว่าเป็นของประเสริฐแล้ว ความเพียรก็เร่งเอง และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดจะมีอำนาจวาสนามากั้นกางมรรคผลนิพพานสำหรับผู้ปฏิบัติด้วยดีอยู่แล้วไม่ให้ได้รับผล เป็นไปไม่ได้ไม่มี ไม่มีผู้ใดจะมากั้นกางมรรคผลนิพพาน ไม่มีกาลไม่มีสถานที่ใดจะมีอำนาจมากั้นกางมรรคผลนิพพานไม่ให้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ได้บรรลุตามขั้นภูมิของตน มีทุกข์กับสมุทัยเท่านั้นเป็นเครื่องปิดบังมรรคผลนิพพาน จึงต้องพิจารณาเรื่องทุกข์ให้เป็นของจริงเต็มส่วนด้วยมรรคสัจอย่างเต็มภูมิ มรรคผลนิพพานจะเปิดขึ้นเองจากจุดนี้โดยไม่ต้องสงสัย

เอาละพอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก