คำว่าธรรมมีอยู่ บาปมีอยู่ บุญมีอยู่ นรกมีอยู่ สวรรค์มีอยู่ พรหมโลกมีอยู่ นิพพานมีอยู่ และสัตวโลกผู้อยู่ในแหล่งแห่งสถานที่หรือสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ทั้งมวล ไม่ใช่คนธรรมดารู้ ไม่ใช่คนธรรมดาที่มีกิเลสทั้งหลายเห็นกัน หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนธรรมดาหรือสัตว์ทั่วโลก ไม่มีใครจะอาจเอื้อมรู้เห็นได้ยินได้สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ได้เลย มีพระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ซึ่งเป็นผู้วิเศษ จิตสว่างกระจ่างแจ้ง เพราะความเหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหลายแล้ว จึงสามารถเห็นสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ได้ ถ้าพูดถึงนิพพานก็จิตของท่านเป็นนิพพานโดยสมบูรณ์แล้ว จึงได้นำมากล่าวมาแนะนำสั่งสอน
ธรรมทั้งมวลที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น และสิ่งทั้งปวง สถานที่ทั้งมวลดังกล่าวมานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น สัตว์ทั้งหลายไม่สามารถจะรู้จะเห็นจะเชื่อได้ในขั้นเริ่มแรก ต้องได้เริ่มชี้แจงไปตามภูมิตามฐานแห่งอุปนิสัยของสัตวโลกไปก่อน จนกว่าจะมีเครื่องมือพอสามารถที่จะทราบได้เป็นขั้นเป็นตอน เป็นแต่ละสิ่งละอย่างไปโดยลำดับได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่กล่าวมาทั้งมวลนี้จึงเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของโลกจะรู้จะเห็นจะเชื่อถือได้ เพราะไม่มีรายใดไปพบไปเจอไปรู้ไปเห็นมาพอจะนำสิ่งที่ตนรู้ตนเห็นนั้นมาพูดมาเล่าให้เพื่อนฝูงกันฟัง จะเป็นรายใดก็ตามในแหล่งแห่งโลกธาตุนี้ ไม่มีแม้แต่รายเดียว
มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นพระองค์แรกที่ทรงรู้ทรงเห็น ทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งนรกสวรรค์ เปรตผีต่าง ๆ ในภพน้อยภพใหญ่ซึ่งเป็นไปอยู่ตามวิบากของตน ๆ ตลอดถึงขั้นสูงขึ้นไปเทวบุตรเทวดาสวรรค์ชั้นพรหมโลก มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้ทรงรู้ทรงเห็นและเป็นผู้แนะนำสั่งสอนสัตวโลกเหล่านี้ ให้เข้าไปตามกำลังความสามารถของตน ด้วยเหตุนี้ธรรมะจึงเข้าสู่จิตใจของสัตวโลกได้ยาก เพราะไม่เคยรู้เคยเห็นจะให้เชื่อกันได้อย่างง่ายดายอย่างไรได้ สิ่งที่รู้ที่เห็นสิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์ หรือคลุกเคล้ากันอยู่ตลอดเวลาในภพชาติต่าง ๆ มาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็คือความมืดบอด และสิ่งที่อยู่ในวิสัยของตนจะพึงรู้พึงสัมผัสได้เท่านั้น
เช่น ตาก็จะสามารถมองเห็นได้ในรูปหรือสีแสงต่าง ๆ วิสัยของตาก็มีเพียงเท่านั้น หูก็เพียงฟังเสียง อย่างมากก็มีเครื่องมือช่วย ตาอย่างมากก็มีเครื่องมือช่วยไปเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เครื่องมือเหล่านั้นก็อยู่ในวิสัยของสมมุตินี้อีกเช่นเดียวกัน จมูก ลิ้น กาย มีแต่สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในวิสัยของตนไม่นอกเหนือไปจากนี้ได้ ใจแม้จะเป็นความรู้ เรียกว่าเป็นพื้นฐานแห่งตัวรู้อยู่แล้วก็ตาม แต่ใจดวงนี้ก็ถูกปิดบังหุ้มห่ออยู่กับสิ่งมืดมิดปิดตาทั้งหลายอีกด้วย จึงรู้แบบที่ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา คืออวิชชา รู้ก็รู้แบบฝ้า ๆ ฟาง ๆ ไม่รู้เต็มหูเต็มตาเต็มดวงตาจริง ๆ รู้แบบฝ้าแบบฟาง ไม่รู้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มอัตราแห่งความรู้ของตน ธรรมจึงเข้าสู่จิตใจของโลกได้ยากเพราะเหตุเหล่านี้แล
แล้วผู้ที่มาประกาศสั่งสอนโลกนั้นก็มีเพียงพระองค์เดียวในขั้นเริ่มแรก คือพระพุทธเจ้า คนทั้งโลกสัตว์ทั้งโลกเคยเชื่อสิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์กันมาแล้วมากมาย ต่างคนต่างสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งที่อยู่ในวิสัยของตนด้วยกัน เมื่อพูดสิ่งเหล่านี้มาสู่กันฟัง โลกทั้งหลายก็เชื่อกันได้ง่าย ๆ เพราะอยู่ในวิสัยของตนที่รู้ที่เห็นที่ควรจะเชื่อได้หรือเชื่อได้ ย่อมเชื่อได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่เหนือจากนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนไม่เคยรู้เคยเห็น แม้จะมีผู้มาชี้แจงบอกสอนอย่างชัดเจนหรือแจ่มแจ้งเพียงไรก็ตาม จิตใจก็ยังเปิดรับไม่ได้ เพราะสิ่งที่ปิดบังจิตใจให้เปิดรับความจริงคือธรรมทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ มันปิดสนิทอยู่ภายในใจไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเลย
จึงเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับสัตวโลกที่จะเปิดทางจากสิ่งปิดบังหุ้มห่อ หรือกีดขวางรัดรึงอยู่ภายในจิตใจนี้ ให้ออกได้ทีละเปลาะสองเปลาะ หรือทีละก้าวสองก้าว นี่เป็นความลำบากมาก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นประหนึ่งว่าอวัยวะเดียวกันกับทั้งร่างกายและจิตใจของสัตว์แต่ละราย ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นของปลอมไม่ใช่ของจริง คือใจแท้นั้นจริง แต่สิ่งที่เคลือบแฝงอยู่กับใจนั้นปลอม ตานี้เห็นได้จริง แต่สิ่งที่เคลือบแฝงให้จะพาหลงทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายในเมื่อสัมผัสสัมพันธ์นั้นมีอยู่อีกฉากหนึ่ง คืออยู่ฉากหลัง จึงมองเห็นอะไรย่อมเป็นไปด้วยความรักความชังความเกลียดความโกรธ ไม่ได้เป็นไปตามหลักความจริงในสิ่งที่ตนได้เห็นได้ยินได้ฟังนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย
นี่ละคำว่าธรรม ๆ จึงแม้จะมีอยู่ตลอดอนันตกาลก็ตาม และมีอยู่ในที่ทั่วไปก็ตาม สัตวโลกทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะปรับเครื่องรับธรรมทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งคือใจที่เป็นเครื่องปรับให้เข้าสู่ธรรมในขั้นต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ก็ไม่สามารถที่จะปรับได้ ธรรมจึงเป็นของลำบากสำหรับโลกที่จะสัมผัสสัมพันธ์ได้ ต่อเมื่อได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงรู้ทรงเห็นเต็มพระทัยไม่สงสัย ได้ทรงแสดงหลายครั้งหลายหน สิ่งที่รับทราบคือใจ และปรับปรุงตัวไปในขณะที่ได้ยินได้ฟังโดยสม่ำเสมอ สิ่งที่ปิดบังทั้งหลายก็ย่อมจะเบาบางออกไปจางออกไป
ถ้าเป็นเมฆหนา ๆ มืด ๆ ทึบ ๆ ก็จางออกไปกระจายออกไป ให้มองเห็นทิศเห็นทางได้โดยลำดับลำดา นี่ละการได้ยินได้ฟัง แม้จะเป็นกระแสแห่งธรรมก็ตามที่แสดงออกทั้งหมด จะจากพระพุทธเจ้าก็ตาม จากพระสาวกทั้งหลายก็ตาม เป็นอาการแห่งธรรมทั้งนั้นก็จริง แต่เมื่อได้ฟังอาการแห่งธรรม กระแสแห่งธรรมซึ่งเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ที่จะยังสัตว์ทั้งหลายให้เข้าสู่ความจริงได้ ย่อมจะเข้าสู่ความจริงได้เป็นลำดับลำดา เพราะการได้ยินได้ฟังอยู่โดยสม่ำเสมอ
หากเราจะพิจารณาธรรมดา คือเอาสิ่งต่ำช้าเลวทรามที่ฝังใจเป็นเจ้าอำนาจนี้ออกมาคิดมาปรุงกันก็ง่าย ธรรมมีอยู่ทั่วไปตามคัมภีร์ใบลานตามวัดตามวาครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนมีเต็มไปหมด นี่เราพูดสมัยที่มีศาสนาอย่างนี้ก็ง่าย แต่ว่าธรรมที่จะให้เป็นประโยชน์ให้สัมผัสสัมพันธ์กับใจของตนให้ตื่นเต้น ให้สะดุดใจ ให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ให้เกิดความกระหยิ่ม ให้เกิดความพอใจ ให้เกิดความสุขเป็นลำดับลำดานั้น เป็นสิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์ได้ยาก ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้ว ธรรมแท้ดังที่กล่าวมาเหล่านี้จะไม่สัมผัสสัมพันธ์เลย ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย จะเกิดเปล่า ๆ เหมือนต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้นมา และตายทิ้งเปล่า ๆ เหมือนต้นไม้ใบหญ้าตายนั่นแล คุณสมบัติที่จะเอาทำประโยชน์อะไรไม่ปรากฏ
ร่างกายของเราทั้งร่างนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น เกิดแล้วตายเล่า ตายแล้วเกิดเล่า ก็ไม่ผิดอะไรกับวัตถุต่าง ๆ ที่เกิดที่ตายกันเกลื่อนโลกอันนี้ ถ้าไม่เสาะแสวงหาสารธรรมให้เข้าสู่จิตซึ่งเป็นสาระสำคัญอันหนึ่ง คือปรับปรุงจิตของตนให้เข้าสู่ระดับอันควรจะสัมผัสสัมพันธ์ธรรมได้ คือธรรมแท้ได้ด้วยการปฏิบัติ แล้วเราจะไม่มีทางรู้เห็น ไม่มีความเป็นสาระแก่ตน และเป็นที่อบอุ่นภายในจิตใจของตนได้เลย
พวกเราทั้งหลายได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่เพียงแต่ได้นับถือศาสนา และยังได้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมด้วย เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชและเป็นนักปฏิบัติด้วย เรียกว่าก้าวเข้าสู่แดนที่จะควรสัมผัสสัมพันธ์ธรรมได้ตามขั้นตามภูมิของธรรม ตามกำลังความสามารถของตนอยู่แล้ว จึงควรกระตือรือร้นในการประพฤติปฏิบัติตน คำว่าธรรมเริ่มต้นตั้งแต่สมาธิธรรม นี่ละสิ่งที่จะสัมผัสสัมพันธ์ให้เห็นชัดเจนภายในใจ การให้ทาน การรักษาศีลนั้น ก็เป็นผลปรากฏในใจแต่ไม่เด่นชัดเหมือนสมาธิธรรม ปัญญาธรรม ตามขั้นของธรรมนั้น ๆ จนถึงขั้นวิมุตติธรรม ธรรมนี้เป็นธรรมแท้
ชื่อของสมาธิก็ไม่ใช่ธรรมแท้ ชื่อของปัญญาก็ไม่ใช่ธรรมแท้ ชื่อของวิมุตติหลุดพ้นหรือพระนิพพานก็ไม่ใช่ธรรมแท้ ธรรมแท้คือสิ่งที่สัมผัสกับใจของตนว่าใจสงบเป็นสมาธิ นั่นใจได้เริ่มสัมผัสสัมพันธ์ธรรมแล้ว สมาธิขั้นใดมีความสงบเย็นใจขนาดไหน ก็ทราบได้ชัดภายในใจ นี่คือธรรมแท้ แม้จะเป็นขั้นแห่งธรรมที่ยังต่ำยังหยาบอยู่ก็ตาม แต่ก็เป็นธรรมแท้ เช่นเดียวกับธนบัตรใบละสิบบาท ยี่สิบบาท ร้อยบาท ห้าร้อยบาท เป็นธนบัตรที่จริงไปตาม ๆ กัน มีคุณภาพตามลำดับลำดาของตนไปโดยลำดับ ธรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน คำว่าสมาธิธรรม เริ่มแรกตั้งแต่จิตได้รับความสงบเพราะการภาวนา การอบรมจิตใจ การรักษาจิตใจ บำรุงจิตใจด้วยสติ คลี่คลายสิ่งที่ปิดบังหุ้มห่อภายในจิตใจด้วยปัญญาอยู่โดยสม่ำเสมอ สมาธิก็เริ่มปรากฏขึ้น
คำว่าสมาธิเริ่มปรากฏ ก็คือความสงบเย็นใจ ความมั่นคงของใจ ความมีหลักฐานของใจ เริ่มปรากฏขึ้นเป็นลำดับลำดาแล้ว การพิจารณาทางด้านปัญญา คลี่คลายสิ่งที่รัดรึงภายในจิตใจด้วยอำนาจแห่งอุปาทาน เพราะเป็นสาเหตุมาจากความลุ่มหลง ก็คลี่คลายลงไปตามหลักความจริงให้เห็นได้โดยลำดับลำดา อุปาทานซึ่งเป็นสิ่งที่หนักมากยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกทับใจอยู่ตลอดเวลานั้น ก็จะคลายตัวออกไปโดยลำดับลำดา เพราะความรู้ความเข้าใจด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นจากการพิจารณานั้นแล จะเป็นสิ่งที่คลี่คลายหรือแก้สิ่งที่มัดรัดรึงจิตใจเอาไว้ออกไปได้เป็นลำดับ
เมื่อปัญญาได้ปรากฏขึ้น ยังผลให้จิตได้รับความเบาบางมากน้อยเพียงไร เราก็ทราบได้ชัดว่านี่ธรรมแท้ที่เกิดขึ้นจากด้านปัญญา ได้ปรากฏขึ้นแล้วอย่างนี้ ๆ ปัญญามีหลายขั้น การพิจารณาในขั้นเริ่มแรกจะไม่สะดวก ฝืด ๆ เคือง ๆ ขัด ๆ ข้อง ๆ แต่พิจารณาหลายครั้งหลายหน ปัญญาก็ย่อมมีความราบรื่น มีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าฉลาดแหลมคมขึ้นไปเป็นลำดับลำดา ผลที่จิตได้รับจากปัญญาเป็นผู้แก้ผู้ถอดผู้ถอนผู้เบิกทางอันรกรุงรังด้วยกิเลสอุปาทานทั้งหลายออกได้โดยลำดับนั้น ก็ย่อมสว่างกระจ่างแจ้งขึ้น แสดงผลเห็นอย่างชัดเจนภายในใจ นี่ก็คือธรรม ธรรมได้ปรากฏขึ้นแล้วภายในใจ สมาธิธรรมปรากฏขึ้นแล้วที่ใจไม่ปรากฏที่ไหน
ในอวัยวะทั้งมวลนี้ไม่ใช่ภาชนะของธรรม มีจิตดวงเดียวเท่านั้นเป็นภาชนะของธรรม และเป็นภาชนะที่เหมาะสมอย่างยิ่งไม่มีอะไรเสมอเหมือนด้วย เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจโดยทางที่ถูกมีจิตตภาวนา เป็นต้น จนสติปัญญาซึ่งได้รับการอบรมมาอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ฝึกหัดค้นคว้าจนมีความคล่องแคล่วภายในตัวแล้ว สิ่งใดที่จะปิดบังหุ้มห่อภายในจิตใจมากน้อยเพียงไร เกี่ยวโยงมากับอะไร สติปัญญาจะสามารถค้นตลบทบทวนในสาเหตุที่เกี่ยวโยงนั้น อันเป็นทางให้จิตใจได้ยึดถือนั้นเข้าไปโดยลำดับ และตัดขาดไปได้เป็นวรรคเป็นตอน
คำว่าผลของปัญญานั้นก็คือจิตเป็นผู้รับ จะเกิดความสว่างไสวขึ้นภายในใจ สรุปความลงในข้อสุดท้ายแห่งยอดธรรม ก็คือสติปัญญานั้นแลเป็นเครื่องกำจัดฟาดฟันหั่นแหลกสิ่งรกรุงรังทั้งหลายภายในจิตใจอันเป็นส่วนละเอียด ให้แตกกระจายหายสูญไปหมดไม่มีเงื่อนต่อ ไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งใด คือไม่เกี่ยวโยงกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสกับเครื่องสัมผัสต่าง ๆ อันเป็นส่วนภายนอก และไม่เกี่ยวโยงไม่ผูกพันกับรูปคือกายของตน เวทนา สุข ทุกข์ เฉย ๆ สัญญา ความจำได้หมายรู้ สังขาร ความคิดความปรุง วิญญาณ ความรับทราบในเมื่อสิ่งต่าง ๆ เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะ ไม่มีความเกี่ยวโยง ไม่มีการประสาน ตัดขาดจากกันทั้งหมด ทั้งอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ตัดขาดทั้งอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตก็รู้เท่าตัวเอง นี่ขาดภายในจิตอีกด้วยไม่มีเงื่อนต่อไปเลย นั้นแลท่านเรียกว่าธรรมเลิศ
อยู่ที่ไหนก็ไม่มีคำว่ากาลสถานที่ที่จะไม่อยู่กับธรรมเลิศประเสริฐนี้ เพราะใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว นี้แลท่านว่าธรรมประเสริฐ จะปรากฏขึ้นที่ใจ และไม่ว่าธรรมขั้นใดจะปรากฏขึ้นที่ใจทั้งนั้น และธรรมที่กล่าวมาทั้งมวลนี้ก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นเป็นผู้ทรงค้นพบ รู้เห็นทุกแง่ทุกมุม เมื่อใจเป็นความรู้สึกประจำตนอยู่ ซึ่งเคยเกี่ยวข้องพัวพันกับสมมุติทั้งหลาย เนื่องจากใจที่เป็นสมมุติ เนื่องจากใจที่เป็นกิเลสเต็มตัว สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดจึงเป็นเรื่องของกิเลสไปทั้งมวล คือเป็นเรื่องผูกมัดรัดรึงตัวเอง
ไม่ว่าจะสัมผัสสัมพันธ์ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อารมณ์ภายในใจเกี่ยวกับเรื่องอดีตอนาคต แม้ปัจจุบันก็ติด ติดไปหมดพัวพันไปหมด จึงไม่สามารถที่จะรู้ธรรมของจริงทั้งหลายได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอำนาจปกคลุมหุ้มห่อไปเสียหมด ทั้งขณะได้เห็นได้ยินได้สัมผัสสัมพันธ์ทางกาย จนกระทั่งอารมณ์ที่คิดขึ้นภายในจิตใจก็เต็มไปด้วยสิ่งผูกพันรัดรึงอยู่ทั้งนั้น จิตจึงหาอิสระไม่ได้ เมื่อจิตเต็มไปด้วยสิ่งกดขี่บังคับสิ่งปกปิดกำบังแล้ว จะมองเห็นความจริงได้อย่างไร มันสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น คำว่าธรรมจะปรากฏขึ้นภายในใจได้อย่างไร ธรรมไม่ใช่ประเภทเหล่านี้ ประเภทเหล่านี้เป็นเรื่องของสมมุติ ประเภทเหล่านี้เป็นเรื่องที่ปิดจิตปิดใจต่างหาก ไม่ใช่ประเภทที่จะเปิดเผยจิตใจ ฉุดลากสิ่งเหล่านี้ออกให้ได้มองเห็นใจมองเห็นธรรมได้อย่างชัดเจน
ธรรมจึงเป็นธรรม เมื่อนำมาปฏิบัติจึงจะปรากฏขึ้นภายในจิตใจ ดังพระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงเรื่องว่าบาปมีอยู่ ใครจะไม่ทราบก็ตาม บาปนี้เป็นของมีอยู่ดั้งเดิม บุญเป็นของมีอยู่ดั้งเดิม บาปก็คือความทุกข์ของสัตว์ บุญก็คือความสุขของสัตว์ของคนนั่นแล นรกเป็นสถานที่อยู่แห่งผู้มีวิบากกรรมอันชั่ว สวรรค์เป็นสถานที่อยู่แห่งผู้มีวิบากกรรมอันดี พรหมโลกก็เหมือนกัน เป็นชั้น ๆ ขึ้นไป เป็นที่อยู่ของผู้มีวิบากกรรมอันดี นิพพานเป็นที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้ใครจะเห็นใครจะรู้ได้เพราะไม่มีเครื่องมือ ใจไม่สว่างกระจ่างแจ้ง ใจไม่พ้นสิ่งปกปิดกำบังทั้งหลาย มองก็มองไปด้วยความมืดความบอดที่กิเลสปิดบังตาเอาไว้
บุญจะมีบาปจะมีอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ ก็หาได้เจอไม่หาได้พบไม่ ทั้ง ๆ ที่บุญบาปก็สัมผัสสัมพันธ์อยู่กับใจนั้นแลก็ไม่ทราบได้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้สามารถ ทราบตามหลักความจริง การตรัสรู้ธรรมตรัสรู้ตามหลักความจริง ไม่ใช่ตรัสรู้ด้วยความจอมปลอม สิ่งใดที่มีอยู่เป็นอยู่ทรงยอมรับตามความมีอยู่เป็นอยู่ของสิ่งเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้คำว่าบาปมีอยู่บุญมีอยู่ นรกมีอยู่สวรรค์มีอยู่ พรหมโลกมีอยู่ จึงทรงแสดงตามสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีศาสดาองค์ใดจะไปลบล้างสิ่งมีอยู่ทั้งหลายเหล่านี้ ให้สูญหายไปจากความมีอยู่ของตนได้ นอกจากจะแนะนำสั่งสอนสัตวโลกในสิ่งที่ควรละเห็นว่าเป็นภัย ในสิ่งที่จะควรบำเพ็ญเห็นว่าเป็นคุณ เพื่อสถานที่ที่พึงหวังจะได้เป็นสมบัติของตนเท่านั้น มีแต่การแนะนำสั่งสอนอย่างนี้เป็นแบบเดียวกัน ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่มาตรัสรู้ในแดนโลกธาตุนี้แต่ละพระองค์ ๆ พระโอวาทจึงไม่ขัดแย้งกันแต่กาลไหน ๆ มา
ยกตัวอย่างในพระโอวาทที่ย่อ ๆ ว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปหยาบช้าลามกทั้งปวงหนึ่ง กุสลสฺสูปสมฺปทา การยังกุศลคือความฉลาดให้ถึงพร้อมขึ้นที่ใจหนึ่ง สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์หนึ่ง เอตํ พุทฺธานสาสนํ นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงสอนไว้อย่างนี้ เพราะการตรัสรู้ธรรมนั้นตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่เห็นอยู่ ไม่ได้อุตริไปตรัสรู้ในสิ่งที่ไม่มีไม่เป็น ด้วยเหตุนี้การสั่งสอนจึงต้องสั่งสอนตามสิ่งที่มีที่เป็นนั่นแล
ทีนี้ย่นเข้ามา คือใกล้ก็มีไกลก็มี เหมือนอย่างที่เราเห็นสมมุติปรากฏอยู่ในโลก มีทั้งใกล้ทั้งไกลมีทั้งในทั้งนอก ย่นเข้ามาถึงเรื่องที่ว่าบาปมีอยู่ สำหรับผู้ปฏิบัติมีอยู่ที่ตรงไหนบาป อะไรเป็นสถานที่หรือเป็นที่บรรจุของบาป เป็นที่สร้างบาปคืออะไร ก็ใจเป็นสถานที่เป็นโรงงานสร้างบาปผลิตบาปขึ้นมา เพราะกิเลสเป็นผู้บังคับให้สร้างบาปขึ้นมา ท่านบอกว่ากิเลสเป็นสาเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วย่อมได้รับผลของกรรม ท่านจึงว่า กิเลส วิบาก ได้รับผลของกรรม วกเวียนกันไปมาอยู่เช่นนี้ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีต้นไม่มีปลายเหมือนมดแดงไต่ขอบด้งนั้นแล ไต่กลับไปวนไปเวียนมาอยู่ในขอบด้งขอบเดียว สำคัญว่าเป็นของใหม่ไปเรื่อย ๆ หาทางออกไม่ได้
ที่สร้างบาปก็คือใจ เมื่อสร้างบาปแล้วความทุกข์ก็เกิดขึ้นที่ใจ ที่สร้างบาปก็คือใจ ที่สร้างบุญก็คือใจ เมื่อสร้างบุญได้มากน้อยความสุขก็ปรากฏขึ้นที่ใจ จิตใจมีความละเอียดมากน้อยเพียงไร การเลื่อนชั้นภูมิของตนก็ย่อมเลื่อนไปตามลำดับลำดาแห่งคุณสมบัติของใจที่จะก้าวเข้าสู่ภูมินั้น ๆ เมื่อจะย้ายออกจากภพชาติที่เป็นอยู่นี้ ไปสู่ภพชาติหรือสถานที่อื่น เรียกว่า ปรโลก ก็ต้องก้าวออกไปด้วยกำลังแห่งบุญแห่งบาปที่บรรจุไว้ภายในจิตใจได้มากน้อยเพียงไร เมื่อกำลังทางชั่วมีมากก็ผลักดันให้ไปเกิดในสถานที่ต่ำช้าเลวทราม เช่น นรก ตลอดถึงโลกันตรนรก เป็นต้น
อะไรพาให้ไปที่นี่ ก็ผู้นี้แหละผู้ที่บรรจุความชั่วช้าลามกให้มีพลังเต็มที่ ผลักไสจิตใจให้ไปสู่แดนนรกที่ไม่พึงปรารถนานั้น ไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้ไปบังคับกดขี่ข่มเหงให้ไปสู่นรกขุมนั้น ๆ แต่เป็นเพราะความคึกความคะนองความอยาก อันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาทั้งมวล เป็นผู้พาให้สร้างบาปสร้างกรรม โดยไม่คำนึงถึงผลผิดผลถูกดีชั่วประการใด บทเวลาได้รับผล กิเลสมันไม่มารับ เราผู้ทำตามอำนาจของกิเลสนั้นแลเป็นผู้รับผล แล้วทีนี้จะลบล้างได้อย่างไร เมื่อเข้าถึงตัวผลแล้วลบล้างไม่ได้ สุขทุกข์มากน้อยเพียงไรจนถึงขั้นมหันตทุกข์ เราก็จำต้องยอมรับให้เต็มที่เต็มฐาน จะตายก็ไม่ตายเพราะจิตไม่เคยตาย หากทุกข์เต็มที่เต็มฐานเพราะอำนาจของกรรมมากน้อยที่พาให้ทุกข์อยู่นั้นแล จนกว่าจะผ่านพ้นนั้นไปได้
เพราะคำว่าบาปก็เป็นของไม่เที่ยง บุญก็ยังเป็นของไม่เที่ยงเหมือนกัน ย่อมมีทางสิ้นสุดไปได้ มีหมดไปได้มีเบาบางไปได้เหมือนอย่างคนพ้นโทษ นอกจากก้าวเข้าสู่นิพพานเสียอย่างเดียวเท่านั้น อันนั้นคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง ทีนี้การสร้างบุญก็เทียบกันได้กับการสร้างบาป สร้างบุญนี้คือธรรมเป็นผู้บงการ ธรรมเป็นผู้ผลักดันให้สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ใช่กิเลสพาให้สร้าง เพราะฉะนั้นผลจึงต้องต่างกัน ถ้ากิเลสพาให้สร้างจะสร้างตั้งแต่สิ่งกิเลสต้องการ แต่เป็นสิ่งที่ขัดขวางธรรม เป็นสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรม แล้วก็ย้อนเข้ามาเป็นข้าศึกต่อตนทั้งนั้น นี่คือกิเลสพาให้สร้างกรรมเป็นอย่างนั้น
แต่ธรรมพาให้สร้างกรรมให้สร้างแต่คุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล เช่น การให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา กิริยาอะไรก็ตามที่แสดงออกจากการกระทำที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น ไม่มีการกระทบกระเทือนให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนอันเกี่ยวกับกิเลสแทรกแซงอย่างนั้น เรียกว่าธรรมพาให้สร้างบุญสร้างความดี ผลที่เกิดขึ้นจากการสร้างความดีเพราะธรรมนี้ก็ย่อมมีความสุข บุญคือความสุข อันเป็นผลเกิดขึ้นจากการสร้างความดี
และพูดมาทั้งมวลนี้ใครเป็นผู้สร้าง ก็คือใจเท่านั้นเป็นผู้บงการ เป็นโรงงานอันใหญ่โต เป็นผู้บัญชางาน ออกมาจากใจ เมื่อใจได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีแล้ว ย่อมจะระบายออกมาในทางที่ถูกที่ดี ผลก็สะท้อนย้อนกลับเข้าไปเป็นความพึงใจของจิตเสียเอง เพราะเราเป็นผู้ทำ ผลย่อมเกิดขึ้นกับเรา เมื่อมีภูมิอรรถภูมิธรรมควรจะก้าวเข้าสู่ขั้นภูมิสูงมากน้อยเพียงไร พลังแห่งธรรม พลังแห่งบุญแห่งกุศล ที่เกิดขึ้นจากธรรมเป็นผู้พาให้สร้างนั้นแล จะเป็นผู้ส่งเสริมให้ไปเกิดในภพนั้น ๆ คือภพอื่นภพหน้าชั้นอื่นชั้นหน้า เช่น สวรรค์ พรหมโลก ดังท่านกล่าวไว้ สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น นิพพาน เหล่านี้เป็นสถานที่อยู่ของผู้มีบุญ เพราะการสร้างบุญสร้างกุศล
บุญไม่อยู่ที่ไหน บาปไม่อยู่ที่ไหน บุญก็ดี บาปก็ดี ไม่อยู่กับดินน้ำลมไฟ ฟ้าอากาศที่ไหน ๆ ทั้งมวล ไม่มีที่สถิตอยู่ของบุญ ไม่มีที่ปรากฏอยู่ของบาปและบุญเหมือนใจ ใจจึงเป็นภาชนะรับได้ทั้งบาปและบุญ แม้ตนจะไม่ทราบว่าบาปมีบุญมีก็ตาม บุญและบาปนี้แลจะเป็นพลังผลักดันอันสำคัญ ให้สัตวโลกได้หมุนตัวเข้าไปสู่กำเนิดเกิดเป็นภพชาติต่าง ๆ จนกระทั่งถึงตกนรกหมกไหม้ จะนอกเหนือไปจากกิเลสอันเป็นผู้บงการให้ทำกรรมชั่วนี้ไม่ได้เลย แล้วผู้ที่ไปในสถานที่ดีคติที่เหมาะสมหรือที่พึงหวัง ก็ไม่นอกเหนือจากบุญเป็นพลัง ที่ได้สร้างความดีมาแล้วนั้นเลย
สัตวโลกท่องเที่ยวอยู่ตามที่กล่าวเหล่านี้ ที่ว่าอบายภูมิ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ท่านกล่าวไว้ สัตว์เดรัจฉานเราก็เห็นด้วยตาเนื้อของเราว่ามีหรือไม่มี เราสงสัยที่ไหน เมื่อสิ่งรับสัมผัสสัมพันธ์กันมีอยู่ ก็ย่อมเชื่อตามสิ่งที่มีอยู่เพราะการสัมผัสสัมพันธ์ทางตาทางหูของเรา นี่เรียกว่าสัตว์เดรัจฉาน ส่วนเปรตเราไม่สามารถ เพราะภูมิของเราไม่มี ความรู้ของเราไม่มี ญาณหยั่งทราบคือเป็นเครื่องมืออันละเอียดลออทางด้านธรรมะของเราไม่มี นรกเราก็ไม่สามารถที่จะมองเห็น ทั้ง ๆ ที่มีอยู่ พวกเปรตพวกผีมีอยู่ นรกมีอยู่ สัตว์เดรัจฉานมีอยู่ แต่เราจะสามารถทราบในบางสิ่งบางอย่าง
แม้แต่สัตว์เราก็ทราบได้แต่สัตว์ที่มีอวัยวะหยาบเท่านั้น ส่วนละเอียดสุดวิสัยที่จะมองเห็นด้วยตาเนื้อแล้วเราก็ไม่สามารถ นอกจากมีเครื่องช่วย เช่น กล้องส่องดูเชื้อโรค พอเห็นได้ แต่สิ่งที่สุดวิสัยของเราที่จะเห็นได้ ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้นั้น มีมากมายก่ายกอง นี่ละเราจะเห็นได้ชัดว่า พุทธวิสัยคือวิสัยความสามารถของพระพุทธเจ้า กับสามัญวิสัยคือความสามารถอาจรู้ของสัตวโลกทั้งหลายนั้นต่างกันอย่างไร สิ่งที่มีอยู่ท่านเห็นเราไม่เห็นมีเยอะ ท่านรู้เราไม่รู้มีมากมาย ทั้งส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดท่านรู้ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราไม่ได้ทุกสิ่ง ถ้าพูดถึงร้อยสิ่งเราจะเห็นเพียงสิ่งเดียวสองสิ่ง ท่านร้อยทั้งร้อยท่านเห็น
นี่ละศาสดาองค์เอกทรงสั่งสอนสัตวโลกตามหลักความจริงที่มีอยู่ ไม่ทรงลบล้าง ว่าบาปมีก็บอกว่ามี แล้วสอนวิธีให้ละบาป หากมีอยู่แล้วในตัวของสัตวโลกก็ต้องสอนให้ละ อย่าพากันกำเริบเสิบสานยินดีในการสร้างบาป จะเป็นบาปแล้วจะหาบกองทุกข์ทั้งมวลไว้ที่ตัวของเรานั่นแล ไม่มีที่ใดเป็นที่บรรจุบาปไว้ ไม่มีตู้ไม่มีหีบ ไม่มีห้วยหนองคลองบึงจะบรรจุบาปของแต่ละบุคคลคนหนึ่ง ๆ สร้างเอาไว้ แต่สถานที่อยู่ของบาปทั้งหลายคือใจ ใจของผู้สร้างนั้นแลไม่ใช่ใจของผู้อื่นผู้ใด
การสร้างบุญก็เหมือนกัน ไม่มีที่เก็บไม่มีที่รักษา ไม่มีตู้ไม่มีหีบ ไม่มีห้วยหนองคลองบึงที่จะเก็บเอาบุญไปเทลงไว้ เป็นภาชนะสำหรับรับเก็บไว้ มีใจดวงเดียวเท่านั้นเป็นที่เก็บที่รักษา และเป็นที่จะสนับสนุนตนให้มีความสุขความสบาย ตามอำนาจแห่งบุญที่มีมากน้อย ท่านสอนลงที่นี่ตามหลักความจริงไม่สอนที่ไหน นรกเราจะเห็นไม่เห็น เจอไม่เจอก็ตาม ในแดนมนุษย์ที่เราไม่เห็นเวลานี้ แต่จะลบล้างสิ่งที่มีอยู่ตามหลักธรรมที่กล่าวไว้นั้นลบล้างไม่ได้ สัตวโลกจะต้องไปตามแถวแนวแห่งวิบากกรรมของตน เข้าสู่จุดนั้น ๆ จนได้ไม่สงสัย
เพราะไม่เคยได้ยินว่า นรกแต่ละหลุม ๆ นั้นได้ว่างจากสัตว์นรก ไม่มีใครไปตกเพราะสัตวโลกไม่ต้องการ สัตวโลกไม่อยากทรมาน นรกแต่ละขุม ๆ หรือแต่ละหลุม ๆ นั้นจึงว่างเปล่าจากสัตว์นรกที่จะไปตกไม่เคยมี เต็มแน่นแออัดอยู่ในแดนนรกมีจำนวนไม่น้อย เป็นแต่เพียงเราไม่ทราบแล้วก็ทำให้จิตใจด้านหาญสู้ต่อบาปต่อกรรมทั้งหลาย ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ขยะแขยงในธรรมทั้งหลายที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์ดังกล่าว อันจะนำตนให้ไปสู่ความสุขความเจริญ นับแต่สวรรค์ขึ้นไปถึงนิพพาน ก็มีเท่านั้น
เหตุใดจิตใจจึงรักชอบในความชั่ว ไม่พอใจในความดี ก็เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่ชั่วช้าลามกอยู่แล้ว มันจะไปต้องการของดีมาจากไหนพอมาเป็นเครื่องประดับใจของพวกเราที่เป็นคลังกิเลส เรื่องของกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ต่ำช้าลามก ต้องสร้างแต่ความต่ำช้าลามกอยู่ตลอดเวลา ใครไม่มีธรรม ใครไม่มีเครื่องห้าม ใครไม่มีเบรกห้ามล้อตัวเอง ผู้นั้นจะจมไปด้วยอำนาจแห่งกิเลสจนได้ไม่ต้องสงสัย แต่ผู้มีธรรมเป็นเครื่องห้ามล้อเป็นเบรก และมีคันเร่งที่จะฉุดลากตนเองออกจากสิ่งชั่วช้าลามกนั้นแล้ว ผู้นั้นมีหวังที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางอันเป็นที่พึงใจของตนได้ นี่หลักธรรมท่านสอนไว้เช่นนี้ สอนใคร ถ้าไม่สอนพวกหูหนวกตาบอดอย่างพวกเรานี้
ตาเนื้อมันจะเห็นแต่สิ่งที่อยู่ในวิสัยของมัน แต่สิ่งที่กล่าวเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็น ใจก็บอด เราจะว่าเราฉลาดได้อย่างไรเมื่อจิตใจก็เป็นอย่างนี้ มันบอดอยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่ได้มีหูแจ้งตาสว่างภายในจิตใจบ้างเลย จึงต้องได้ยอมเชื่อพระพุทธเจ้าว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ยอมกราบไหว้ ยอมเคารพนับถือ ยอมฝากเป็นฝากตายกับท่าน แล้วนำพระโอวาทของท่านมาฉุดลากมาประดับประดาตนเอง หรือประคับประคองตนเองให้เป็นมนุษย์ที่สมภูมิแห่งความเป็นมนุษย์ มีอรรถมีธรรม มีความดีงามประจำใจ จิตใจก็ได้รับความเย็นฉ่ำสบาย เพราะอำนาจแห่งธรรมเป็นเครื่องพยุงรักษา เนื่องจากการปฏิบัติของเราด้วยความพออกพอใจ เชื่ออรรถเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ธรรมที่สว่างจ้าภายในพระทัยของพระพุทธเจ้า และธรรมที่มีอยู่ทั่วไป จะเป็นมหามงคลแก่เราผู้ระลึกถึงท่าน สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็เหมือนกัน ท่านเป็นผู้วิเศษทั้งนั้น ธรรมชาติทั้งสามนี้คือธรรมชาติที่วิเศษ
และธรรมนี้เคยโปรดสัตวโลกมาพร้อมกับเกิดมีโลกขึ้นมานี้ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พวกเราซึ่งเป็นนักปฏิบัติให้พึงดูเรื่องจิตใจที่พร้อมแล้วที่จะเข้าสู่กองฟืนกองไฟ อยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไฟราคะไฟตัณหา ไฟความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเผาผลาญอยู่ภายในจิตใจ ให้แก้ด้วยศรัทธา ความเชื่อความเลื่อมใส วิริยะความพากเพียร สติความระมัดระวังรักษาตน สมาธิคือความสงบเย็นใจด้วยอำนาจแห่งความพากเพียร ปัญญาความสอดส่องมองทะลุเหตุผลดีชั่ว เป็นโทษเป็นคุณประการใดบ้าง ให้เลือกเฟ้นด้วยดีอยู่โดยสม่ำเสมอ นี่ชื่อว่ากำจัดภัย ที่มีอยู่แล้วก็จะลดน้อยลงไป ที่ยังไม่เกิดก็จะไม่เกิด จะไม่ลุกลามภายในจิตใจของเราให้ร้อนมากไป สุดท้ายไฟเหล่านี้ก็จะดับด้วยอำนาจแห่งธรรม ตปธรรมเป็นเครื่องแผดเผาไฟราคะตัณหา ให้เบาบางและหมดไปจากใจนี้
ไม่มีน้ำใดที่จะดับไฟกิเลสประเภทต่าง ๆ ได้นอกจากน้ำอรรถน้ำธรรม เป็นของสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ให้ดู ผู้ที่จะเหมานรกก็คือใจดวงนี้ จะเหมากองทุกข์ทั้งมวลก็คือใจดวงนี้เพราะสร้างอยู่เสมอเผลอไม่ได้ เนื่องจากกิเลสไม่มีคำว่าเผลอ แต่ฝ่ายธรรมเราเผลอเสมอ เผลอเมื่อไรกิเลสต้องต่อยเอา ๆ เพราะกิเลสมันราบรื่นคล่องแคล่วภายในตัวของมันพอแล้ว เนื่องจากเป็นเจ้ามหาอำนาจปกครองจิตใจของสัตวโลกมาเป็นประจำวัฏจักรนี้ จึงไม่มีอะไรที่จะมีอำนาจเหนือกิเลส และไม่มีอะไรที่จะคล่องตัวยิ่งกว่ากิเลสออกทำงานบนหัวใจสัตว์ มีธรรมเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องกำจัดปัดเป่า และรู้เพลงของกิเลสประเภทต่าง ๆ ได้โดยลำดับ และได้โดยตลอดทั่วถึง จนกระทั่งถึงปราบให้ราบออกจากจิตใจได้ มีธรรมเท่านั้น
เมื่อธรรมได้ปราบกิเลสให้ราบออกจากใจแล้ว ไม่ต้องบอกให้กราบพระพุทธเจ้าก็เป็นเอง ไม่ต้องบอกให้กราบพระธรรมก็เป็นเอง ไม่ต้องบอกให้กราบพระสงฆ์ก็เป็นเอง เป็นอยู่ภายในจิตใจ ประทับใจ ซึ้งใจทุกอย่าง บาปมีไหม นรกมีไหม สวรรค์มีไหม พรหมโลกมีไหม นิพพานมีไหม ประจักษ์หัวใจของผู้รู้ผู้เห็นนั้นหาที่สงสัยไม่ได้ กราบพระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง นี่ละความรู้จริงเห็นจริงของบุคคลเพียงผู้เดียว ก็สามารถเป็นหลักใจของโลกได้สำหรับโลกที่มีความสนใจใฝ่ธรรม เป็นหลักใจของโลกได้โดยไม่ต้องสงสัย ผิดกันกับโลกทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันเป็นจำนวนไม่ทราบกี่ล้าน ๆ ล้าน ๆ หาสรณะหาที่ยึดหาที่เกาะ หาที่พึ่งพาซึ่งกันและกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมีแต่กองฟืนกองไฟ มีแต่ความลุ่มความหลงมืดมิดปิดตา เป็นคนตาบอดด้วยกัน สัตว์ตาบอดด้วยกัน หาความสว่างกระจ่างแจ้งพอที่จะจูงกันออกสู่แดนแห่งความสวัสดีปลอดภัยไม่มีเลย
หากพระพุทธเจ้าไม่ได้มาตรัสรู้แล้ว โลกอันนี้ก็ไม่ผิดอะไรกันกับโลกันตรนรก จะหมุนกันไปเช่นเดียวกันกับปลาที่ถูกโยนลงในหม้อน้ำร้อนนั่นแล ไม่มีทางออก นี่เรานับว่ามีวาสนาที่ได้เกิดมาในท่ามกลางแห่งศาสนธรรม ได้ยินได้ฟังพระโอวาทอันเป็นบันไดฉุดลากพวกเราทั้งหลายได้ขึ้นจากหล่มลึก ออกจากที่มืดได้ด้วยศีลด้วยธรรม ออกจากกองทุกข์ได้ด้วยความดี ด้วยพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าภัทรกัป เรากำลังเจริญ คำว่า ภัทร หมายถึงความเจริญ ให้เจริญด้วยศีลด้วยธรรม เจริญด้วยความอุตส่าห์พยายามในความดีทั้งหลาย แล้วใจจะเป็นผู้เจริญ ทรงอรรถทรงธรรม ทรงความสุขความสบาย ความรื่นเริงบันเทิงภายในจิตใจ ซึ่งเป็นความรื่นเริงบันเทิงและความสุขแปลกจากกิเลสเอามาหลอกเป็นไหน ๆ หลักใหญ่อยู่ที่ตรงนี้
ทำอย่างไรธรรมจึงจะปรากฏในใจ เพราะธรรมที่สอนไว้ทั้งหมดนี้ เป็นทางเบิกกว้างเพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่ทางตีบตันปิดบังทางที่จะเข้าสู่ความเห็นอรรถเห็นธรรม เป็นทางที่เบิกกว้างไว้ทั้งนั้น นอกจากกิเลสฝ่ายเดียวที่ปิดกั้นไว้ไม่ให้เราเสาะไม่ให้เราแสวง ไม่ให้เห็นอรรถเห็นธรรม ไม่ให้เห็นความจริง ให้เห็นแต่สิ่งจอมปลอมทั้งนั้น เพราะกิเลสเป็นของปลอมเต็มตัว มันจะผลิตสิ่งที่จริงมาให้เราได้ยึดได้ถือได้เป็นสิริมงคล ได้รับความสุขความเจริญได้อย่างไร เพราะมันปลอมทั้งตัว ปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ มีพันมีหมื่นมีแสนมีล้านเปอร์เซ็นต์ มันปลอมถึงพันถึงหมื่นถึงแสนถึงล้านเปอร์เซ็นต์
ไม่ว่าปู่ย่าตายายของกิเลส ไม่ว่าลูกว่าเต้าหลานเหลนของกิเลส มันจึงปลอมด้วยกันทั้งนั้น และหลอกโลกให้หลงให้เชื่อความจอมปลอม ไม่มีวันจะเจอของจริง ถ้าไม่เอื้อมมือเข้าเกาะธรรมเสียเมื่อไรแล้วจะไม่เจอของจริงตลอดไป จะตายกองกันอยู่ในความจอมปลอม และเต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมาน อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ดังที่เป็นมานี้ตลอดไป หาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้เลย สิ่งที่จะทำให้สิ้นสุดยุติได้ก็คือธรรม ธรรมมีประมาณ ธรรมมีขอบเขตเพราะธรรมเป็นของจริง สอนโลกสอนด้วยความจริง อันใดจริงธรรมสอนอย่างนั้น ไม่เคยหลอกเคยลวงต้มตุ๋นเหมือนกิเลส
กิเลสมันหลอกมันลวงต้มตุ๋น สัตวโลกได้รับความทุกข์ความทรมาน หรือที่คนเราได้รับความล่มจมจนเสียเนื้อเสียตัวฉิบหายวายปวง ไม่ใช่เพราะธรรมพาให้ฉิบหายพาให้เสียตัว เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล แต่ใคร ๆ ก็ไม่ได้สนใจในสาเหตุของมันที่จะทำให้เราล่มจมเพราะอะไร จึงว่ามันกล่อมได้อย่างสนิทใจ เพลงปลอม ๆ กล่อมสัตวโลกได้สนิทใจ แต่ธรรมของจริงนี้กล่อมยาก เพราะกิเลสมันมีอำนาจมากกว่าในหัวใจของสัตวโลก นอกจากธรรมมีอำนาจมากขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งปราบกิเลสทั้งหลายให้ราบไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว เอาเถอะ เพลงกิเลสมันจะหลอกวิธีใดก็ตาม มันอยู่ในหัวใจใด แสดงออกมาเป็นอากัปกิริยาใด ธรรมจะทราบทันที ๆ เพราะธรรมได้ปราบมันเรียบวุธไปหมดแล้วจากหัวใจของตน กิเลสจะหลอกยังไงจึงทราบหมด ๆ
นี่ละมีธรรมเท่านั้นที่จะเหนือกิเลส ที่จะปราบกิเลสให้อยู่ได้ ไม่มีอะไรที่จะปราบ จะนำกิเลสไปปราบกิเลส ก็เท่ากับให้มันเป็นมิตรเป็นสหาย และเพิ่มกำลังเสริมกำลังกันขึ้น นั้นเป็นคนหนึ่ง นี้เป็นสองคน บวกกันเข้าก็เป็นสามเข้าไปแล้ว กำลังของกิเลสเป็นสาม ถ้าเราจะเอาเรื่องของกิเลสไปเสริมกิเลส เพื่อความดิบความดีความสุขความเจริญ มันก็คือเพื่อฟืนเพื่อไฟเพื่อกำลังของกิเลสตัณหา มันจะรุนแรงขึ้นภายในตัวของเรา กลายเป็นไฟทั้งกองเผาหัวใจเราจนหาที่ปลงที่วางไม่ได้นั้นแล
เราเป็นนักธรรมะจึงควรทดสอบแยกแยะชั่งตวง ระหว่างกิเลสกับธรรมต่างกันอย่างไร ทั้งเหตุทั้งผล ทั้งการสัมผัสสัมพันธ์สิ่งดีชั่วต่าง ๆ กิเลสจะหลอกไปโดยลำดับลำดา ดีก็หลอกว่าไม่ดี สิ่งที่จริงหลอกว่าปลอม สิ่งที่ปลอมมันหลอกว่าจริงทั้งนั้น นี่คือเรื่องของกิเลส กิเลสไม่เคยอยู่ตามปรกติสุข ไม่เคยอยู่ด้วยความเป็นธรรมเหมือนธรรม จะอยู่ด้วยความปลิ้นปล้อนหลอกลวง แสดงออกด้วยความปลิ้นปล้อนหลอกลวง ความต้มความตุ๋น เอาฟืนเอาไฟเผาสัตวโลกอยู่ตลอดเวลา กิเลสมีอยู่ที่ไหนมากน้อยโลกจะหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ จะมีแต่ความร้อนและความระส่ำระสาย
ไม่ว่าแต่สังคมมนุษย์เรา ไม่ว่าแต่ตัวของเราครอบครัวของเรา ถ้าผู้ใดมีความสนใจใฝ่ต่ำ ครอบครัวนั้นจะหาความร่มเย็นเป็นสุขไม่ได้ แม้แต่สามีภรรยาก็ต้องแตกจากกัน เพราะกิเลสไม่เคยสร้างความพอดี ไม่เคยสร้างเมืองพอให้แก่ใจของสัตวโลก มีหนึ่งแล้วอยากมีสอง มีสองแล้วก็อยากมีสาม ความโลภ-คำว่าโลภไม่มีใครเกินกิเลส คำว่าหลงก็ไม่มีใครเกินกิเลส คำว่ารักก็ดี ชังก็ดี ไม่มีอะไรเกินกิเลส จึงหาความพอดีไม่ได้ ถ้าลงกิเลสได้เข้าแทรกตรงไหน ยิ่งเสริมกิเลสด้วยแล้วแหลกไปเลยไม่ต้องสงสัย
มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องห้ามล้อเป็นเบรก ให้พอเหมาะพอดี ถึงจะละไม่ได้ก็ให้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา เหมือนอย่างโรคชนิดต่าง ๆ ที่ไม่อาจจะรักษาให้หายได้ ยาพอประทังยังมีก็ยังดี นี่ก็เหมือนกันเมื่อเรายังไม่มีความสามารถที่จะปราบมันให้หมดจากใจได้ เราก็ให้มีธรรมความพอดี ความมีประมาณเข้าไปรักษา เข้าไปประดับตนเองไปบังคับตนเอง เช่น คู่สามีภรรยามีกันเพียงสองคนเท่านั้นก็สบาย ไม่ต้องไปหาหญิงหาชายที่ไหน เพื่อเป็นความบำรุงบำเรอให้มีความสุขความสบายมากขึ้น มีเมียมีผัวมากมายเท่าไร มีลูกเต้าหลานเหลนมากเท่าไร ยิ่งจะเป็นความสุขความสบาย นั้นแหละคือเรื่องของกิเลสมันหลอกคนทั้งครอบครัวให้จมไปเลย
ไม่เคยได้ยินใครได้มาออกปากประกาศตนเองว่ามีความสุข เพราะความเลยประมาณ เพราะความโลภไม่มีเมืองพอ เพราะความรักไม่มีเมืองพอ มีธรรมเท่านั้นทำให้โลกได้รับความสงบร่มเย็น พูดอะไรก็ฟังกันรู้เรื่องถ้าต่างคนต่างมีธรรม ใครผิดยอมรับกันไม่ได้ดันทุรังกัน ความดันทุรังก็คือกิเลสไม่ยอมใครง่าย ๆ คำว่ากิเลสไม่ยอมใคร ถ้าธรรมแล้วยอม เมื่อจริงแล้วยอมรับกัน ถูกต้องแล้วยอมรับกันโดยทางเหตุผล โลกอยู่ด้วยกันได้
สังคมใดก็ตามถ้าให้กิเลสออกหน้าออกตา ความโลภ ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความเห็นแก่ตัวเข้าไปเป็นเจ้าหน้าเจ้าตาอยู่นั้นแล้ว สังคมนั้นก็คือสังคมล้มเหลว สังคมของเด็กยังดีกว่า เพราะสังคมของเด็กไม่ก่อความเสียหายได้เหมือนสังคมแห่งคลังกิเลส นี่เราก็เห็นกันได้อย่างชัด ๆ ระหว่างกิเลสกับธรรม ถ้าหากจะสนใจพิจารณาไม่ลำเอียง เอากิเลสเป็น สรณํ คจฺฉามิ เสียโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
ทีนี้ย่นเข้ามาถึงหัวใจของเราซึ่งเป็นนักปฏิบัติ ดูมันซิวันหนึ่งเป็นยังไง มันแสดงความรักขึ้นมา รักอะไร ความรักก็กระเพื่อม ความรักเป็นสิ่งยุแหย่ก่อกวน ความชังก็เป็นสิ่งยุแหย่ก่อกวน ความโกรธก็เป็นสิ่งยุแหย่ก่อกวนทั้งนั้น ความโลภเป็นสิ่งยุแหย่ก่อกวน คำว่าผู้ที่ถูกยุแหย่ก่อกวนนั้นมีความสุขที่ไหน ไม่มีสิ่งยุแหย่ก่อกวนต่างหากจึงเป็นความสุขสบาย นี่ก็พยายามดูใจเจ้าของ มีอะไรยุแหย่อยู่เสมอเวลานี้ มันเกิดขึ้นที่ใจนั้นแหละ อย่าเข้าใจว่ามาจากทางโน้นทางนี้ ตัวการสำคัญอยู่ที่ใจ ฝังอยู่ที่ใจ แสดงออกมาที่ใจ แต่มันไม่ให้มองเห็นตัวของมัน
ถ้าเป็นหอกเป็นแหลมเป็นหลาว ก็เห็นแต่หอกแต่แหลมแต่หลาว ไม่เห็นตัวของมันผู้ทิ่มผู้แทง ปืนมันก็ให้เห็นแต่ลูกกระสุนที่ฝังในแล้วนั้น ไม่เห็นตัวของมันผู้ยิง จึงว่ามันฉลาด มันจะได้ปกครองหัวใจของสัตวโลกเรื่องของกิเลส เราต้องการนักหรืออยากให้กิเลสปกครองหัวใจของเรา เคยปกครองมาเท่าไร เวลานี้อะไรปกครองถ้าไม่ใช่กิเลสปกครอง ธรรมทั้งหลายได้ปกครองเมื่อไร มีนิด ๆ หน่อย ๆ ก็คอยแต่จะล้มไป ๆ ถูกกิเลสทำลายธรรมภายในใจ สมาธิธรรม สมถธรรมก็ถูกมันทำลาย ตั้งไม่ได้ถูกมันทำลาย ปัญญาธรรมก็ตั้งไม่ได้ถูกมันทำลาย ให้มีแต่ความขี้เกียจขี้คร้าน ความโง่เง่าเต่าตุ่น หาความคิดความอ่านไตร่ตรองอะไรไม่ได้ จะเป็นเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลส แล้วความฉลาดแหลมคมจะเอามาจากไหน ความผ่องใสตลอดถึงความบริสุทธิ์ของใจจะได้มาจากไหน ได้มาจากกิเลสเป็นไปได้เหรอ
กิเลสมันตัวมืดดำ ตัวสกปรกรกรุงรังที่สุด แล้วทำไมจะทำใจของเราให้สะอาดได้ ถ้าไม่ใช่ธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติที่สะอาดเยี่ยมเหนือแดนโลกธาตุนี้ จึงต้องอาศัยธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องประคับประคองใจของเรา ให้ได้ชมซิที่ท่านว่าไว้นั่น ไม่ใช่โมฆศาสดา ไม่ใช่ศาสดาองค์ด้นเดา เป็นศาสดาองค์เอกไม่มีอะไรเสมอเหมือนแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ พูดจริงทุกสิ่งทุกอย่าง รู้จริงเห็นจริงสอนจริง ผู้ปฏิบัติจริงตามนั้นจะไม่ไปไหน จะต้องเจอความจริง สถานที่จริง สิ่งที่จริง จริงอยู่ที่ใจนี่แหละ ถ้าใจเป็นต้นเหตุตัวจริงแล้วจะเจอผลที่จริงเต็มหัวใจไม่ต้องสงสัย เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร รู้สึกเหนื่อยแล้ว