ไม่ว่าจังหวัดไหนมีแต่เราเทศน์แล้ว ๆ หมดประเทศไทยนะ การเทศน์นี่พิลึกจริง ๆ บางจังหวัดสองครั้งสามครั้ง เช่นอย่างสุรินทร์ ๓ หน ศรีสะเกษ ๓ หน อุบล ๒ หน เชียงใหม่ ๒ หน เชียงราย ๒ หน นอกนั้นจังหวัดละหน ๆ ตลอดไปหมดทุกภาค เรียกว่าทุกจังหวัด เทศน์ทุกจังหวัดเลย จังหวัดซ้ำ ๆ ก็มีเยอะ พิลึกจริง ๆ นะเทศน์ หลวงตา ป.๓ เทศน์ทั่วประเทศไทยเหยียบหัวดอกเตอร์ไปแหลก หัวกุดหัวด้วนมาจากมหาสารคาม คงมาต่อหัวใหม่ท่า หัวอะไร หัวคิดปัญญาเข้าใจไหม
นี่เทศน์ออกสนามมาจริง ๆ ร่วม ๔ ปีแล้วนะ เริ่มมาตั้งแต่เดือนมกรา ไปถึงเมษา เราถึงตั้งโครงการนะ โครงการวันที่ ๑๒ เมษา ความจริงเราก้าวเดินมาก่อนแล้ว ประมาณเดือนมกรา ๔๑ นี่ก็จวนจะ ๔ ปีแล้ว เริ่มเทศน์เรื่อย ๆ เรียกว่าเอาจริงเอาจังมากทีเดียวทั่วไปหมดเลย เราก็เคยพูดกับลูกศิษย์ของเรา เราพูดตามหลักของธรรมของความจริงที่จะให้ได้ประโยชน์สม่ำเสมอกันไปก็คือว่า เทศน์คราวนี้ไปกว้างขวางมาก แต่เรื่องปัญหาไม่ค่อยมี ตรงนี้บอกเลย คือการถามปัญหา การตอบปัญหา อันนี้เป็นที่สะดุดใจ ๆ ระลึกไว้ไม่ลืม
เทศน์ก็เทศน์ไปกลาง ๆ เสมอไปหมด แต่ถ้าปัญหาแล้วซอกแซกซิกแซ็กตามความรู้ความเห็นของเจ้าของปัญหาที่ถามมา พอถามมาปั๊บ ถามมาแง่ไหน การตอบจะออกแง่นั้น ๆ ตามปัญหาที่เข้ามา นี่ที่ได้ประโยชน์สะดุดใจ ๆ ระลึกไว้ไม่ลืม เพราะเป็นปัญหาซอกแซก เป็นปัญหาพิเศษ ไม่เหมือนธรรม ธรรมไปกลาง ๆ การเทศนาว่าการนี้ไปกลาง ๆ แต่การตอบปัญหาต้องไปตามแง่ของปัญหา ยกตัวอย่างแง่ของปัญหา ใครคิดไว้เมื่อไรแง่ของปัญหา เช่นเขานิมนต์หลวงตาบัวสึกไป เพราะหลวงตาบัวรักชอบพรรคไทยรักไทย เขาก็มานิมนต์หลวงตาบัวสึกแล้วให้ไปอยู่กับพรรคไทยรักไทยเสีย
ทีนี้เวลาเราตอบฟังซิน่ะ ถ้าเวลาเราสึกออกไป ฟังแต่ว่าสึกออกไปจะทำอะไรก็ได้นี่ ถ้าเราสึกออกไปแล้วถ้าหากว่าพรรคไทยรักไทยไม่ให้เราอยู่ เราไปขออยู่กับเมียแกได้ไหม ก็อย่างนี้ละ ปัญหามันมาอย่างนี้ก็ไปอย่างนี้ ใครคิดไว้เมื่อไรใช่ไหมล่ะ นี่ละถึงว่าปัญหามาอย่างนี้มันก็ไปอย่างนี้ ใครคิดไว้เมื่อไรใช่ไหม ไล่ไปหาพรรคไทยรักไทย ถูกพรรคไทยรักไทยเนรเทศก็ขออยู่กับเมียแกได้ไหม ทำไงมันก็ชะเง้อซิ ใส่เข้าหมัดนี้ปั๊บ อย่างนั้นละปัญหา มันก็มาแง่ของมัน ๆ ปัญหามาแง่ไหนมันก็ออกแง่นั้น ๆ ไป นี่จึงว่าได้เป็นที่ระลึก นี่เรายกเป็นเอกเทศนะ พอฟังปัญหาอย่างนี้แล้วมันไม่ลืม
จากนั้นเขาก็ว่าเรานี้รักแต่คุณทักษิณ เขาเห็นเราเป่าหัวให้คุณทักษิณ เราก็ว่าอย่าว่ารักแต่คุณทักษิณเลย คนทั้งโลกตลอดนรกอเวจีถ้าเป่าได้ จะไปเป่าพวกสัตว์นรกให้ขึ้นจากนรกหมด มันได้รับความทุกข์ทรมานมันไปตกนรก แน่ะมันก็ไปอย่างนั้น ปัญหามาอย่างนี้มันก็ออกอย่างนี้ มันออกของมันตามจังหวะของปัญหา เพราะฉะนั้นจึงว่าการเทศนาว่าการคราวนี้มีส่วนบกพร่องคือเกี่ยวกับปัญหา ไม่มีคนถาม ก็มีที่เดียวที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาถามเรื่องเผาศพกิเลสว่าเผายังไง โอ๋ย คนไม่เคยภาวนาจะเผาศพกิเลสยังไง พวกนักภาวนาต่างหาก เช่น พระพุทธเจ้าเป็นนักภาวนา เผาศพกิเลส นี่ไปที่ไหนเห็นแต่กิเลสเผาคน เอาละที่นี่ ซัดเข้าไป ไปที่ไหนกิเลสเผาคนแหลกหมดเลย มีแต่กิเลสเผาคน ไม่เคยเห็นคนเผาศพกิเลสเลย จะมาถามหาอะไร ตัวเองผู้ถามก็ไม่เคยภาวนาเพื่อเผาศพกิเลส จะมาถามวิธีเผาศพกิเลสได้อย่างไร ก็ตอบไปอย่างนั้นเข้าใจไหมล่ะ มันก็ปั๊บเข้าไปอย่างนั้น
ไปที่ไหนเห็นแต่กิเลสเผาศพคน ไม่เห็นคนเผาศพกิเลส นี่เรียกว่าปัญหา มันมายังไงมันก็ออกอย่างนั้น มายังไงมันก็ออกอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ละมั้งเขาไม่อยากถาม ถ้าถามสวนปั๊บเลย ธรรมของพระพุทธเจ้า อะไรจะมากยิ่งกว่าสภาวธรรมทั่วแดนโลกธาตุ ธรรมก็เป็นเหมือนกับไฟแผดเผาไปตามสภาวธรรม สภาวธรรมอยู่ตรงไหนธรรมจะรู้ไปตามนั้น ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ เผาไปเรื่อย ๆ รู้ไปเรื่อย ๆ แย็บอะไรออกมามันก็รับกันปั๊บ ๆ ไปเรื่อย นี่เรียกว่าเปิดออกมาบ้างนิดหน่อยนะ หลักธรรมชาติเปิดไม่ได้ แล้วแต่เหตุการณ์มามันก็ออกรับกัน ๆ
ทีนี้เวลาถูกหมัดเด็ดเขาสวนมาเราก็ชักจะหงายเหมือนกัน เช่น เราพูดถึงว่าไปที่ไหน ๆ เห็นแต่กิเลสเผาศพคน ถ้าเขาย้อนถามอีก แล้ววัดหลวงตาบัวล่ะมีแต่พวกเผาศพกิเลส พวกกิเลสเผาศพคนมีบ้างไหม ไม่ทราบว่าเราจะตอบว่ายังไง อันนี้มันลำบาก เพราะลูกศิษย์เรามันเป็นตัวประกันเขาไว้แล้ว พวกนี้กิเลสเผาหมดเลย เราไม่ทราบจะตอบว่ายังไง ไปที่ไหนเห็นแต่ควันตลบเมฆ ๆ มันควันขึ้นจากหมอน เสื่อหมอนไม่มีเหลือพวกนี้ กิเลสมันเผาเอา นี่ถ้าเขาถามย้อนมานี้เราจะตอบยากอยู่นะ
เราจะต้องไปปรึกษาหารือลูกศิษย์ลูกหาดูเสียก่อนถึงจะตอบได้นะ นั่นคือหาทางออกแล้ว ความจริงก็คือเผาเหมือนกันกับเผาศพเขาแหละ กิเลสเผาศพลูกศิษย์หลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด ฟาดแต่หลวงตาบัวลงไปเข้าใจไหมล่ะ นี่ซิมันตอบยากนะ ถ้าเขาสวนมานี้หาทางตอบไม่ได้ ถามมาก็ถามที่จนตรอกด้วย ถามหาลูกศิษย์ของเราด้วย แล้วลูกศิษย์ของท่านถูกกิเลสเผาศพไหม อู๊ย ตอบยากนะ มันยากอย่างนี้ เผาศพกิเลส คือตปธรรมเครื่องแผดเผากิเลส ที่ว่าท่านเผาศพกิเลส คือเผาด้วยตปธรรม สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ทุกอย่างเป็นตปธรรมทั้งนั้น เครื่องแผดเผากิเลส หมายความว่าอย่างนั้น
นี่ก็อยู่แต่วันพรุ่งนี้เท่านั้น เวลาก็มีน้อยเข้าโดยลำดับลำดา วันมะรืนฉันเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ไม่มีเวลาด้วยนะ วันที่ ๒๕ ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะได้พูดบ้างเล็กน้อยก่อนที่จะไปเมืองกาญจน์ กลับมาก็ค่ำแล้วไม่มีเวลา พอเช้าวันหลังก็เข้าทำเนียบเลย เวลานี้รู้สึกว่าจนตรอกเหลือเกินเราเองก็ดี มาระลึกได้ตอนจวนแจเข้ามาแล้ว หมุนติ้วมันก็ไม่ทัน ก็สี่ห้าหกวันนี่ที่ระลึกเรื่องดอลลาร์ได้ เรื่อยมาตั้งแต่นั้น บัดนี้ก็ได้เยอะแล้วนะ ดอลลาร์รู้สึกว่าพอกพูนขึ้นโดยลำดับลำดาเวลานี้
บัญชีที่อุดรเราก็ได้ ๘ หมื่นแล้ว วันนี้ยังจะมาอีกเพิ่มเข้าอีก เขาเอาไปเข้าบัญชีแล้วเอารายการมาให้ดู บวกกับทางกรุงเทพอีก ๒ หมื่นก็เป็นแสนพอดี ไปคราวนี้เราจะต้องได้แสนกว่า แล้วไปเอาจาก ๑๐ ล้านนั่นอีก ๒๒๐,๐๐๐ บวกเข้าไปอีก คิดว่าจะได้ ๓๕๐,๐๐๐ จะเรียกว่าเป็นอย่างน้อยก็ไม่น่าผิด เพราะยังอีกหลายวัน ที่แน่นอนก็ ๓ แสนแล้ว ๑๐ ล้านนั่นก็ ๒๒๐,๐๐๐ ที่เราบวกเมื่อวานนี้ ๘ หมื่น กับทางนู้นอีก ๒ หมื่น ก็เป็น ๑ แสน แล้วมันก็มาเรื่อย ๆ อย่างนี้ เข้าเรื่อย นี่ได้สั่งเสียเขาหมดแล้ว ดอลลาร์มีเท่าไรเอาที่เป็นหัวหมื่น ๆ ไปหมด เราบอกไว้รวม ๆ เลย เศษพันมีเท่าไรเอาไว้ในบัญชีเพื่อเป็นนกต่อต่อไป นี่อันหนึ่ง แล้วทีนี้เวลาได้มามากน้อยเพียงไร ต้องเอาหัวหมื่นเป็นที่ตั้ง ได้เป็นหมื่น ๆ แล้วหักเข้าทางหมื่น เอาไปหมดเลย เหลือเท่าไรพัน ๆ ก็เอาไว้ในบัญชี
ทองคำเราก็เพิ่ม ดอลลาร์เราก็เพิ่ม พี่น้องทั้งหลายอย่าอ่อนนะ หัวหน้าไม่พาอ่อนอย่าอ่อน ให้แข็งแกร่งทีเดียว เวลานี้เป็นเวลาที่เราทุกคน ๆ จะตั้งหน้าตั้งตาพยุงชาติไทยของเรา ซึ่งเอนเอียงลงไปค่อนข้างจะล่มจมลงไปแล้วนะ พยายามฟื้นขึ้นมาให้ได้ เพราะเป็นสมบัติของคนไทยเราใครจะไม่เสียดาย พลาดจากกรรมสิทธิ์ไปมากน้อยต้องเสียดายมาก เพราะฉะนั้นจึงคว้ามาด้วยการขวนขวายหาใหม่ เอาให้ได้นะ อู๊ย จะทำยังไงเราสลดสังเวชเหมือนกันนะ การช่วยโลกคราวนี้ได้เห็นโลกชัดเจนมากทีเดียว เราพูดจริง ๆ คือเอาธรรมออกจับทุกอย่าง
เราไม่มีคำว่าโลกเข้าแฝงแม้เม็ดหินเม็ดทราย จะตำหนิก็ตาม จะชมก็ตาม จะตำหนิโดยธรรมล้วน ๆ ชมโดยธรรมล้วน ๆ ทั้งนั้น จึงได้เห็นความชัดเจนของความหน้าด้านแห่งกิเลสตัณหา มันหน้าด้านจริง ๆ โถ ไม่รู้จักบุญจักบาป ไม่รู้จักผิดจักถูก มีแต่จะเอาท่าเดียว ๆ บืนได้บืนเอา หน้าด้านชนดะไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ เราจึงสลดสังเวชนะ ช่วยชาติคราวนี้สะเทือนใจเหมือนกัน เราพูดจริง ๆ สะเทือนใจมากกับพวกหน้าด้าน โอ๋ย มันกล้าหาญมากทีเดียว พวกนี้ไม่กลัวเรื่องนรกอเวจี
พระพุทธเจ้าทั้งหลายกลัวทั้งนั้น ทุก ๆ พระองค์กลัวนรกทั้งหมด จึงตำหนิติเตียนบอกโทษของนรก เป็นขั้น ๆ ตอน ๆ แห่งโทษของมันในนรกหลุมนั้น ๆ คือหลุมนี้เป็นอันดับหนึ่ง พูดถึงเรื่องกองทุกข์ทรมานที่แสนสาหัส ไม่มีใครเกิน ท่านก็บอกเอาไว้โทษของมัน คือทำอะไรถึงไปลงนรกหลุมนี้ ท่านก็บอกไว้ด้วย ต่อจากนั้นท่านก็รองลำดับมาอีก เช่น นรกหลุมที่ว่ามหันตทุกข์นี้สุดยอด ว่าจะเป็นความสุข ชั่วขณะฟ้าแลบไม่มีเลย ท่านเรียกว่าอนันตริยกรรม แปลว่า กรรมที่หนักหาระหว่างนิดหนึ่งไม่ได้เลย แปลตามศัพท์ อนันตริยกรรม คือกรรมที่หนักมากจนกระทั่งหาระหว่างชั่วฟ้าแลบไม่ได้เลย คือกรรมประเภทนี้ กรรมประเภทนี้มีอยู่ ๕ อย่าง
๑) ฆ่าบิดา
๒) ฆ่ามารดา
๓) ฆ่าพระอรหันต์
๔) ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตาม
๕) ยุยงให้สงฆ์ที่มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกันด้วยหลักธรรมหลักวินัย ให้แตกแยกจากกัน
กรรม ๕ ประการนี้ ท่านกำชับเอาไว้ตอนสุดท้ายด้วยว่า ในกรรม ๕ ประการนี้จะเป็นกรรมใดก็ตาม เมื่อพอมีสติระลึกได้อยู่อย่าทำเป็นอันขาด ฟังซิน่ะ เมื่อพอมีสติระลึกได้อยู่อย่าทำเป็นอันขาด ท่านยังตบท้ายลงไปเพื่อความระลึกรู้ของเราอีกทีหนึ่ง มันจะหลวมตัวไป เพราะกรรมมันหนักเข้าใจไหมล่ะ ท่านยังตีเข้าไว้อีก ถ้ายังพอมีสติอยู่บ้างอย่าทำเป็นอันขาดในกรรม ๕ อย่างนี้แม้อย่างใดก็ตาม มีน้ำหนักเสมอกันหมดเลย
นี่ละพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตำหนิแบบเดียวกันหมด ยอมรับแบบเดียวกันหมดว่ามีโทษขนาดไหน แล้วเป็นลำดับลำดามาของกรรม จากนั้นก็ผู้มีบุญมีคุณ ตลอดถึงสัตว์มีบุญมีคุณ ลำดับมาเรื่อย ๆ นะ ท่านลำดับตามกรรมดีกรรมชั่วของคน คนที่มีกรรมดีต่อท่านเหล่านี้ก็อีกเหมือนกันนะ เป็นกรรมที่ดีอย่างมากทีเดียว ถ้าชั่วก็ชั่วอย่างสุดยอด ดีก็ดีสุดยอดไปเลย เป็นลำดับลำดา ฝ่ายทางดีก็เหมือนกัน ท่านเทียบไว้เรียบร้อยหมด
พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านกลัวทุกพระองค์ ไม่เคยปรากฏว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดมาทำตัวเป็นสัตว์หน้าด้านคนหน้าด้าน เหมือนพวกเราทั้งหลายที่อยู่ในเมืองไทยเรานี้ เราเอาแต่เมืองไทยเราก่อนเราสอนเมืองไทยเรา ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่แสดงตัวเป็นพระพุทธเจ้าหน้าด้านมาทำหน้าที่แทนประชาชนหน้าด้านในเมืองไทยเรา เราไม่เคยเห็น องค์ไหนยอมรับเหมือนกันหมด แล้วประชาชนคนไหนมันจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าไป จะไปลบล้างพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เทียบประหนึ่งว่าเท่าเม็ดหินเม็ดทราย มากไหม แล้วเป็นเสียงเดียวกันหมด ยอมรับเหมือนกันหมด ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วพระพุทธเจ้ายอมรับเหมือนกันหมดเลย แล้วพวกเราใครจะเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ามีเหรอ จึงจะมาหน้าด้านหาญต่ออรรถต่อธรรม ก็คือกล้าหาญต่อการทำลายตัวเองให้ฉิบหายป่นปี้นั่นเอง ให้พากันระมัดระวังนะ
คำสอนพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอที่สุดแล้วไม่มีสอง ท่านยันไว้เลยก็มี ดังพระเจ้าสุปปพุทธะที่พูดท้าทายพระพุทธเจ้ามาโดยลำดับ พระเจ้าสุปปพุทธะก็คือพระเจ้าตานั่นเอง พูดท้าทายพระพุทธเจ้ามาตลอด ๆ พระองค์ก็เลยแย็บออกไปบ้าง เออ พระเจ้าตาของเรานี้ก็พิลึกกึกกือเหลือเกิน นี่ก็จะไม่พ้นกรรมหนัก อีก ๗ วันพระเจ้าตาของเราก็จะถูกแผ่นดินสูบที่เชิงบันไดพระตำหนักหรือหอปราสาทนั้นแหละ ทางนี้ก็ไปทูลพระเจ้าสุปปพุทธะว่า พระเจ้าหลาน คือไม่ได้พูดว่าลูกเขย พระเจ้าตาก็คือพ่อเฒ่า พ่อตานั่นแหละ พ่อของพระนางพิมพา พระพุทธเจ้าของเราก็พระเจ้าหลาน ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์ เป็นญาติกัน เลยติดปากมาเป็นพระเจ้าตา พระเจ้าหลานมาเรื่อย
ไหนพระเจ้าหลานว่าอย่างนั้นเหรอ เอ๊อ ตามธรรมดาพระเจ้าหลานพูดอะไรไม่เคลื่อนคลาดนะ พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น เอ้า ถ้าพระเจ้าหลานว่าเราจะถูกแผ่นดินสูบในวันคำรบ ๗ ก่อนหน้านั้นเราจะขึ้นไปอยู่ปราสาทชั้น ๗ แผ่นดินที่ไหนจะโดดขึ้นไปสูบเราได้วะ ก่อนหน้านั้นก็ขึ้นไปอยู่ปราสาทชั้น ๗ พอจวนถึงวัน เช่นอย่างวันพรุ่งนี้จะถูกแผ่นดินสูบ ม้ามงคลมันคึกมันคะนอง ท้องพระโรงนี้ฟังเสียงเหมือนฟ้าดินถล่มเลย มันหากดลบันดาลอย่างนั้นนะกรรม ทางนั้นก็เลยว่ามันเป็นยังไง ม้าตัวนี้ธรรมดาก็ไม่เห็นมีอะไร คือม้าตัวนี้รักพระเจ้าสุปปพุทธะมาก เคารพมาก พอได้ยินเสียงมันจะสยบลงไปทันทีเลย วันนั้นเสียงแผดตั้งแต่ดึกจนกระทั่งตอนเช้ายิ่งหนักเข้า ๆ พอถึงเวลาเสียงมันก็ลั่นพิลึกกึกกือ มันเป็นยังไงม้าเรานี่ เลยโผล่พระศอออกมาหน้าต่าง ผึงลงเลย นั่นเห็นไหมถึงเวลาแล้ว ตกลงเชิงบันไดอย่างว่าแล้วหายเงียบไปเลย
เป็นอย่างนั้นละพระพุทธเจ้ารับสั่งผิดที่ตรงไหน ดูเอาตอนใกล้ ๆ ที่เราเห็นประจักษ์กันนี่นะ เช่น ปลงพระชนมายุสังขาร คือกล่าวพระวาจาว่า จากนี้ไปอีก ๓ เดือนเราจะตาย คือตั้งแต่เดือน ๓ เพ็ญ เรียกว่า มาฆบูชา นั่นละลั่นพระวาจาปลงพระชนมายุว่า อีก ๓ เดือน คือ เดือน ๖ เพ็ญท่านจะตาย ภาษาเราว่างั้น เสียงสะท้านหวั่นไหวไปหมดทั่วดินแดน เทวดาอินทร์พรหมสะเทือนไปหมดเลย พระอานนท์ก็สะเทือนสะท้านหวั่นไหวเหมือนกัน จึงเข้าไปทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลานาน ๆ อานนท์ จะหวังอะไรกับเราอีก ทุกสิ่งทุกอย่างเราสอนไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ถ้าพูดธรรมดาก็เรียกว่า เรายังเหลือแต่ร่างกระดูก คือธรรมนี้มอบไว้หมดแล้ว ซึ่งเป็นสาระสำคัญแก่สัตวโลก
จากนั้นก็ปลอบพระอานนท์ อานนท์ พระธรรมวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว ศาสดาก็คือธรรม ท่านสอนไว้หมดแล้ว นี่ยังเหลือแต่พระสรีระคือร่างกายของท่าน ท่านจึงบอกว่า จะมาหวังอะไรกับเราอีกอานนท์ คือธรรมทั้งหมดที่เป็นศาสดาแทน ท่านสอนไว้หมดเรียบร้อยแล้ว นั้นแลคือทางเดินเพื่อมรรคผลนิพพานต่อสัตวโลกผู้ดำเนินตาม จากนั้นท่านก็ปลอบโยน อานนท์ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมวินัยที่เราสอนไว้แทนศาสดานี้นั้น พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะ อานนท์ บอกอย่างนี้เลย นี่ทรงปลอบใจ จากนั้นพอวันเดือน ๖ เพ็ญ เห็นไหมล่ะ วันเดือน ๓ เพ็ญ ปลงพระวาจาแล้ว พอเดือน ๖ เพ็ญ เสด็จออกเลย ภาษาเราเรียกว่าไปตายตามคำสัตย์คำจริงที่ทรงทราบไว้เรียบร้อยแล้ว
พอไปถึงนั้นวันเดือน ๖ เพ็ญ กลางคืนเมื่อพวกมัลลกษัตริย์เข้ามาทูลถามถึงเรื่องการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า ก็บอกว่าเราตถาคตจะมาตายที่นี่ ที่สวนมัลลกษัตริย์ จะมาตายที่นี่ บอกตรง ๆ เลย ที่จะมาตายที่นั่นท่านก็ทรงพิจารณาเหตุผลไว้อีก ๒ ทาง
ทางหนึ่งคือเมืองกุสินารานี้เป็นเมืองเล็กเมืองดอน ไม่มีทิฐิมานะ ศาสตราวุธมากมายพอจะต่อต้านรบราฆ่าฟันกันให้เป็นความเสียหายมากมาย ซึ่งไม่สมภูมิกับศาสดาสอนโลก เพื่อความร่มเย็นเลย พระองค์เห็นเหตุการณ์นี้เมื่อไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย เขาจะไม่มีทิฐิมานะ เวลาทางนู้นมาขออัฐิคือพระบรมธาตุของท่าน เขาจะแจกแบ่งให้ทั่วถึงกันหมด สงครามจะไม่เกิด เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย นี่เป็นข้อหนึ่ง
ข้อที่สองก็พราหมณ์แก่ซึ่งเป็นศากยะเหมือนกัน ถือทิฐิมานะว่าเป็นคนแก่ อันนั้นเป็นหลานเป็นเหลนของเรา จะถามธรรมะอะไรก็ถือทิฐิมานะ แต่วาระนี้เป็นวาระสำคัญเพราะทราบชัดเจนแล้วว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาปรินิพพานที่นี่ในคืนวันนี้ เราก็มีโอกาสเพียงเท่านี้ จะถือทิฐิมานะอยู่ก็ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร แล้ววันนี้เป็นกาลสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ไปเวลานี้จะไม่มีเวลา จะเสียผลไปเปล่า ๆ จึงตัดสินใจมา นี่พระองค์ก็ทรงทราบไว้แล้ว ทรงทราบไว้ตอนที่ถูกพระอานนท์ห้าม เวลาพราหมณ์แก่สุภัททะจะเข้ามาทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้า ถูกพระอานนท์ห้ามไว้ ว่าพระองค์ทรงเพียบมากแล้วเวลานี้
พระองค์ทรงทราบให้เรียกเข้ามาทันที บอก เรามาที่นี่เพื่อพราหมณ์คนนี้แหละคนหนึ่ง นั่นเห็นไหมล่ะ กุสินารา ๑ พราหมณ์ ๑ มาก็มาถามพระพุทธเจ้า ศาสนาซึ่งมีจำนวนมากมาย ท่านไม่รับสั่งไปมาก เวลาเรามีน้อย ตรัสย่นลงไปว่าศาสนาใดมีอริยสัจ ๔ มีมรรค ๘ ศาสนานั้นแลเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล คือบอกว่าไม่ให้ถามเรามาก เวลาเรามีน้อย ศาสนามีมากต่อมาก ศาสนานั้นก็ว่าดี ศาสนานี้ดี พระองค์ไม่เอามาแข่งขันกัน บอกตรง ๆ เลยว่า ศาสนาใดมีอริยสัจ ๔ มีมรรค ๘ ศาสนานั้นแลเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล ตั้งแต่สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ จนกระทั่งถึงที่ ๔ อยู่ในศาสนานี้ทั้งนั้น สมณะที่ ๑ คือพระโสดา สมณะที่ ๒ คือพระสกิทาคา สมณะที่ ๓ คือพระอนาคา สมณะที่ ๔ คือพระอรหันต์ อยู่ในศาสนานี้ทั้งนั้น
เอา อานนท์บวชให้เสีย บวชเดี๋ยวนี้ และให้ไปบำเพ็ญสมณธรรมอย่ามายุ่งกับความตายของเรา ยิ่งกว่าการบำเพ็ญเพียรให้สิ้นกิเลสในคืนวันนี้ พร้อมกับการปรินิพพานของเรา เรียกว่าเป็นปัจฉิมสาวกองค์สุดท้าย ให้พระอานนท์บวช แล้วก็ไล่ออกไปทำความพากเพียร ไม่ให้มายุ่งกับการตายของเรา ให้พิจารณาอริยสัจ ๔ ซึ่งมีการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในนี้หมดเหมือนกัน ให้พิจารณาการตายของตัวเอง สุดท้ายพอพระพุทธเจ้าจวนจะปรินิพพาน ทางนั้นก็ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมา เป็นยังไงแน่ไหม พระพุทธเจ้าปรินิพพานในวันนี้แน่ไหม วันเดือน ๖ เพ็ญน่ะ
นี่จึงว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองคือพระวาจาของพระพุทธเจ้า ออกมาจากพระญาณหยั่งทราบนี้เป็น เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง ถ้าลงได้หยั่งทราบอะไรแล้ว อะไรมาลบล้างไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า พระองค์ทรงเล็งญาณดู ใครจะสำเร็จไม่สำเร็จ ถ้าจะสำเร็จก็ตรัสบอก นี่จะสำเร็จในกาลข้างหน้าทรงทำนายไว้แล้วนะ กาลข้างหน้านี้ ประมาณพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่านั้น ๆ โพธิสัตว์โพธิญาณนี้จะเต็มภูมิในศาสดาองค์นั้น แล้วจะได้ตรัสรู้เป็นศาสดาชื่อว่าอย่างนั้น ๆ อย่างนี้แล้วจะมาลบหรือจะมาปลีกแวะเป็นอย่างอื่น ทำความปรารถนาอย่างอื่นไปไม่ได้เลย ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายไว้อย่างนี้แล้ว ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน
เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำความปรารถนาจึงมีอยู่ ๒ แง่ แง่ใดที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม ได้ทรงทำนายแล้วผู้นี้จะพลิกไปไม่ได้ เช่นอย่างปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เห็นว่าจะไปไม่ไหวแล้วพลิกไปเป็นสาวกภูมิเสีย ไปเป็นสาวกเสียนี้ก็เป็นไปได้ ถ้าลงพระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้วว่ากาลนั้นเวลานั้น พระพุทธเจ้าองค์นั้นมาอุบัติแล้วผู้นี้จะได้ตรัสรู้เป็นศาสดาชื่อว่านั้นแล้ว ยังไงก็ลบไม่สูญ นี่เรียกว่า เอกนามกึ ตรัสแล้วหนึ่งไม่มีสอง พระวาจาที่รับสั่งออกมาอะไรก็ตาม ถ้าลงได้รับสั่งมาแล้วจากพระญาณหยั่งทราบทุกอย่าง จึงไม่มีสอง ๆ จึงเรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณหยั่งทราบพระพุทธเจ้า ๑ พระวาจาที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งอะไรออกมาแล้ว ๑ ธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แก่สัตวโลกทั้งหลายแล้วนี้ ๑ เรียกว่า สวากขาตธรรมทั้งนั้น ตรัสไว้ชอบทั้งหมด นี้เป็น เอกนามกึ ทั้งนั้น
แล้วใครจะไปลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วเป็น เอกนามกึ ตรัสไว้ชอบแล้ว ว่านรกไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี สวรรค์ พรหมโลก นิพพานไม่มี ใครจะไปลบ พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็ลบไม่ได้ เหตุใดเราจึงมีอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารมากมาจากไหน นอกจากบาปใหญ่เท่านั้นมันจะพันหัวมันลงนรก ให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลงเสียนะ นี่ละเรื่องธรรมของศาสนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เลิศเสมอกันหมด เรื่องความสัตย์ความจริงนี้ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย ให้พากันเคารพนะ
เราอย่าให้กิเลสมาลูบหัว ลูบจมูกนะ เราจะจมไปกับมัน เวลานี้สัตวโลกขึ้นพ้นทุกข์ไปไม่ได้ ก็เพราะกิเลสกล่อมหัวใจให้หลงทิศหลงแดนไปตามมัน บาปไม่ดีมันก็บอกว่าดี บุญดีมันก็บอกไม่ดี วันนี้ฉันยุ่งไปวัดไม่ได้ นี่แสดงว่าบุญไม่ดี ฉันยุ่งไปวัดไม่ได้ แล้วบาปมันชั่วช้า โอ๋ย วันนี้เขากำลังจะเล่นลิเกละครอยู่นั้น ขอไปเสียก่อนเถอะ นั่นเห็นไหม มันดีไปทางนั้นนะพวกเรา พวกลิเกละครมันเก่งมาก เอาละเทศน์เท่านี้วันนี้
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๒ บาท ๒๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๒,๘๖๓ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้ทั้งหมดทั้งที่เข้าคลังหลวงแล้วและยังไม่เข้าเป็นทองคำ ๔,๓๒๓ กิโล เท่ากับ ๔ ตัน กับ ๓๒๓ กิโล ที่เราได้แล้วเวลานี้ ให้พร..
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com