อำเภอกุมภวาปีนี้น่าสงสารชาวนานะ ที่บริเวณหนองหานท่วมหมด นั่นละที่ข้าวดีที่สุด แถวบริเวณหนองหานปีนี้ท่วมหมดเลย มองไปขาวเป็นฟ้าไปหมด มีแต่น้ำทั้งนั้น ดูเมื่อวานนี้น่าสงสาร เรียกว่าหมดหวังแล้วว่างั้นเถอะ น้ำนี่ถ้าลงได้ท่วมแล้วไม่ได้ลดง่าย ๆ จนไม่เห็นซากข้าวโน่นแหละ เปื่อยไปเลย ๆ บริเวณกว้างมากที่เป็นนาดีที่สุด ในอำเภอกุมภวาปีนี้บริเวณนั้นข้าวเป็นที่หนึ่ง ๆ ปีนี้หมดเลย โฮ้ น่าสงสาร คือน้ำนี้ถ้าลงได้ท่วมแล้วก็แช่อยู่นั้นเลย ไม่เหมือนน้ำอย่างทางเรานี้ไหลมาท่วมตอนเช้า ตอนบ่ายตอนเย็นมันก็ลด ไหลมาผ่านไปเลย
อันโน้นน้ำออกจากวัดธรรมลี ภูผาแดง ลงนี้หมด จากนั้นก็ผ่านไปลำปาว ลงกาฬสินธุ์ กว่าจะผ่านไปได้เรียกว่าหมด ข้าวนั่นหมดหวังแล้ว ผ่านไปเมื่อวาน โหย น่าสงสาร บริเวณหนองหานกว้างมาก เป็นบริเวณอู่ข้าวอู่น้ำอยู่ในนั้นหมดเลย ปีนี้อู่ข้าวหมดยังเหลือแต่อู่น้ำ ท่วมหมด น่าสงสารนะ แถวอำเภอกุมภวาบริเวณหนองหานหมดจริง ๆ ไม่มีเหลือ เขียนใบจมไปเลย แล้วไปทางมหาสารคาม ร้อยเอ็ด นี่สายแม่น้ำลำชี แม่น้ำนี้ออกมาจากจังหวัดชัยภูมิ ไหลผ่านไปตรงไหน ๆ ท่วมไปหมดเลย ไม่กี่วันมานี้เราก็ได้ไปร้อยเอ็ด เลยร้อยเอ็ดไป ไปกิจธุระจำเป็น อันนี้ก็ได้ปลงธรรมสังเวชเหมือนกัน มันเป็นทาง ๆ ตามสายน้ำแหละ แม่น้ำลำชีไปตรงไหน ต่ำตรงไหนก็ท่วมตรงนั้น ๆ อันนี้ก็เหมือนกัน
พวกที่เสียหายเพราะน้ำท่วมนี้มีเยอะนะ ปีนี้น้ำท่วม เสียหายเพราะน้ำท่วมมีเยอะ การทำนานี้เรียกว่าเป็นความลำบากมากนะ พวกเราทั้งหลายไม่เคยทำไร่ทำนา เราจึงไม่ค่อยจะทราบเรื่องชาวนาเขา ความจริงชาวนานี้เป็นพื้นฐาน เรียกว่ารับความทุกข์ของคนทั้งประเทศ ออกจากชาวนา ข้าวกินกันทั่วประเทศ ชาวนาเวลาทำไร่ทำนาวิ่งตามฤดูกาล พอฝนเริ่มลงพวกชาวนาเขาจะรีบลงตามฤดูกาล ถ้ามีล่ามีสายไปอย่างนี้เสีย ๆ เขาจึงต้องวิ่งตาม ครั้นทำแล้วแทนที่จะได้ผลดังที่ว่ากลับน้ำท่วมหมด ในที่ลุ่ม ๆ เรานี้ก็เรียกว่าจมไปเลย
ถ้าเขาขึ้นราคาข้าวนี้เราเห็นด้วยเลย เพราะชาวนานี่ลำบากลำบนมากทีเดียว ราคาข้าวไม่ควรจะลดลง หากจำเป็นเสียจริง ๆ พอถูไถไปได้ ควรจะยกผลประโยชน์ให้ชาวนาสูงกว่าอย่างอื่น เพราะพวกนี้อายุชีวิตลมหายใจอยู่กับไร่กับนา ทำแทบเป็นแทบตาย ดังที่ว่าน้ำท่วมนี้ โอ๊ย เราสลดสังเวชนะ เรียกว่าหมดตัวเลย มองเห็นน้ำท่วมอยู่ในนาก็เรียกว่าหมดตัวเลย คือหมดหวังที่น้ำจะลดลงข้าวจะได้ขึ้น ไม่มีเลย เพราะมันจะแช่อยู่อาทิตย์สองอาทิตย์ ข้าวถ้าน้ำท่วมเลยอาทิตย์ไปแล้วหมด อันนี้ไม่เพียงอาทิตย์นะ บอกว่าจมไปเลย ข้าวที่กำลังเป็นหนุ่มเป็นสาว อายุของมันต่างกัน พวกกำลังสดใสเป็นหนุ่มเป็นสาวนี้จะเน่ามากที่สุด ดีไม่ดีสู้ข้าวเขาปักดำใหม่ ๆ ไม่ได้ ชาวนาเป็นพวกที่ลำบากมาก
เมื่อวานไปเทศน์ที่กิ่งอำเภอสามชัย คนมากอยู่นะ ผู้ว่าก็มา อำเภอต่าง ๆ แถวนั้นมาหมด คนจึงมากมายเมื่อวานนี้ แต่การเทศน์ไม่ค่อยจะสะดวกนัก กำลังเทศน์บางทีได้ดุคนก็มี ไม่ได้ดุคน ดุเสียงไมค์อะไร กำลังเทศน์ส่งเสียงวิ้วแว้วขึ้นมาแล้ว มันไม่ใช่หนหนึ่งหนเดียว ไฟคงไม่ดี พอเทศน์ไป ๆ เสียงวิ้วแว้ว ๆ ขึ้นมาอีก อ้าว ไฟนี่มันเป็นยังไง เทศน์ไปไม่ได้ ถ้ามีอะไรมาผ่านไม่ได้นะเทศน์นี่ ไม่ได้เหมือนเทศน์ปริยัติบอกแล้ว เราเรียนมาเข้าใจได้ ไม่สงสัยทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ ด้านปฏิบัตินี้เกิดขึ้นมาอย่างที่เราไม่คาดไม่ฝันกันจากภาคปฏิบัติ แต่ปริยัตินี้เกิดขึ้นมาด้วยความจำของเรา เรียนไปมากไปน้อยจำไปได้โดยลำดับลำดาไปเรื่อย ๆ อยู่ในความคาดความหมายเราจะเรียนให้ได้อย่างนั้นให้ได้อย่างนี้ อันนี้เป็นไปตามความคาดความหมายได้ แต่ภาคปฏิบัตินี้ไม่ได้นะ ผิดกันมากทีเดียว
นี่เราพูด ถึงวาระที่จะพูดบ้างนะ คือเข้าไปในที่ประชุมกัน พูดไป ๆ ถึงเรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ล่ะซิ มันก็มาโดนนี้เข้า พูดถึงเรื่องความจำ ความจริงไม่เคยรู้กัน มีแต่ความจำว่าไป ๆ ทางนี้ก็ฟังไป สักเดี๋ยวก็มาสะเทือนปุ๊บเข้า ออกทันทีคึกคักทันทีนะ พระทั้งหลายท่านรู้ว่าดีไม่ดีมันกัดก่อนเห่า อย่างหนึ่งเห่าแล้วกัดพร้อม อย่างหนึ่งกัดแล้วค่อยมาเห่าถ้าอยากเห่า ไม่อยากเห่าก็เฉยเลย ท่านก็รู้ล่ะซีนิสัยอย่างนี้เอาจริงเอาจัง ทีนี้ก็ไปโดนกับความจริงเข้าด้วย เรื่องปริยัติความจำอะไรต่ออะไรไป
ขึ้นทันที ความจำกับความจริงไม่ได้เหมือนกันนะ ขึ้นแล้วนะ ปุ๊บ ๆ อธิบายถึงเรื่องความจำ จำได้เป็นแถวเป็นแนวว่าไปตาม ใครเรียนเหมือนกันมันก็รู้ แม้เล่มเดียวกันถ้าอ่านไม่จบมันก็ไม่รู้เรื่องของเล่มนั้นจบ เรื่องนั้นจบ อ่านไปที่ไหนก็เป็นทางผ่าน ๆ ไปเท่านั้นเอง ไม่ได้กว้างขวางนะ เราว่าอย่างนี้เลย แต่ภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น มันเหมือนไฟได้เชื้อ คือเชื้อไฟมีอยู่ยังไง ๆ ไฟนี้คือธรรม จะลุกลามไปหมดเลย ไม่ว่าเชื้อหยาบ ละเอียด มันจะเผาไหม้ไปเรื่อย ๆ คือมันตามรู้ตามเห็นไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น โดยไม่มีใครบอกมันก็รู้เองเห็นเองขึ้นมา คือมันจริงขึ้นมา ๆ หายสงสัย ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เหมือนความจำ ความจำเรียนไปเท่าไรสงสัยไปเท่านั้น เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนอะไรสงสัยไปหมด เราเรียนมาแล้ว เรียนจนกระทั่งถึงนิพพาน ยังแบกนิพพานไปขวางหน้าหลวงปู่มั่น ท่านก็ซัดเอาหลงทิศไป นั่นเห็นไหมล่ะ
นี่ละความจำ มรรคผลนิพพานจะมีหรือไม่น้า ฟังซิน่ะ มันขวางแล้วนะ กำลังของเราที่จะพุ่งก็ไปไม่สะดวกแหละ จะมีหรือไม่น้า เท่านั้นแหละมันขวางแล้ว พอไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านใส่ปั๊วะเข้าเลยตีแหลกเลย หลุดไม้หลุดมือ ถ้าธรรมดาดีไม่ดีเจ้าของจะเผ่นเลย ไปเที่ยวยืมขาพระในวัดมาช่วยให้มันหลายขา วิ่งหนีตายเข้าใจไหม สู้ท่านไม่ได้ท่านใส่เปรี้ยง ๆ เราไม่ลืมนะ เหมือนเรดาร์ท่านจับไว้แล้ว นี่ละเรื่องความจำเป็นอย่างนั้น พอความจริงผางเข้าไป พ่อแม่ครูจารย์มั่นผางเข้าไปตกหมดเลย ทีนี้ความสงสัยในเรื่องมรรคผลนิพพานหมดทั้ง ๆ ที่มีกิเลสอยู่ เรื่องความสงสัยมรรคผลนิพพานมีหรือไม่นี้หายหมดเลย นั่นเห็นไหม ทีนี้กำลังใจมันก็พุ่ง ก็ท่านรู้เห็นแล้วทุกอย่างท่านถึงมาพูด เวลาที่ควรพูดท่านก็พูดอย่างนั้น ถ้าเวลาไม่ควรพูดท่านก็เหมือนไม่มีหูมีตา หูหนวกตาบอดไปกับโลกเขา
เพราะธรรมไม่เหมือนโลก ไม่เหมือนกิเลส กิเลสมีมากน้อยเพียงไรมันจะเป็นการกดการถ่วงรบกวนให้อยากพูดอยากอะไร ๆ มีอยาก ๆ ธรรมไม่มี ยิ่งละเอียดเข้าไปเท่าไรยิ่งไม่มี ต่างกันอย่างนี้นะธรรมความจริง ไม่ใช่ธรรมความจำ นี่ก็ได้พูดถึงพระผู้ใหญ่ท่านนั่งประชุมกันเต็ม เวลาขึ้นคนเดียวนี้ผึงทันทีอย่างไม่สะทกสะท้านเลย มันมากระเทือนแล้วนี่ เอาซิ ตอบมาซิเอาทันทีเลย ถ้าลงได้เตรียมพร้อมแล้วมา ขาดสะบั้นไปเลย เป็นอย่างนั้นละธรรม พี่น้องทั้งหลายฟัง กิริยาท่าทางที่เราช่วยโลกนี้ไม่ได้มีกิเลสเข้าแฝงแม้เม็ดหินเม็ดทรายนะกิริยาท่าทางทุกอย่าง นั้นคือพลังของธรรมล้วน ๆ ออกพุ่งเลย อะไรมาผ่านไม่ได้ขาดสะบั้นไปเลย นี่อำนาจของธรรม ไม่อย่างนั้นปกครองโลกได้ยังไง ธรรมต้องมีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ให้มันบรรจุในใจเสียอย่างเดียว ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว อะไรจะอำนาจมากยิ่งกว่าใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ผางทันทีไม่มีอะไรขัดขวางได้เลย ขาดสะบั้นไปเลย ถ้าลงธรรมได้ออกเต็มเหนี่ยวแล้ว เต็มเหนี่ยวเลยเทียว ขาดสะบั้นไปทันที ๆ นี่ที่ว่าธรรมของจริง
เราพูดวันนั้นไม่พูดมาก เพราะต่างองค์ต่างนิ่งหมดเลย เราพูดองค์เดียวคึกคักขึ้นเลย ใส่ปั๊วะ ๆ เลย ความจริงกับความจำไม่ได้เหมือนกันนะ ความจำเราเรียนไปเท่าไรก็จำได้เป็นแถวเป็นแนวเป็นทางไป แม้เล่มเดียวถ้าเราอ่านไม่จบไม่รู้ตอนไหนมันก็มีอยู่นั้นแหละ ไม่เห็นเพราะเราไม่ได้อ่าน แต่ภาคความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ความจริงทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุเหมือนกับเชื้อไฟ ยกข้อเปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ เหมือนกับเชื้อไฟ ธรรมะนี้คือไฟ ธรรมนี้คือไฟ ตามรู้ตามเห็นไปหมด หยาบละเอียดขนาดไหนมันก็เหมือนไฟได้เชื้อ เผาไหม้ไปเรื่อย ๆ เป็นธรรมชาติ เชื้อกับไฟไม่มีเจตนาต่อกันมันก็เผาไหม้กันไปได้อย่างนี้ เรื่องธรรมนี้ยิ่งมีจิตเป็นตัวการสอดส่องเข้าไปแล้วมันยิ่งเรื่อย ๆ เพราะมันมีเจ้าของ หนุนเข้าไปปั๊บมันก็ไสเข้าไปเรื่อย ๆ
เหมือนกับเราไสไฟใส่จุดนั้น ไสไฟใส่จุดนี้ ไสเข้าจุดไหนมันก็เผาไหม้ไป ๆ ถ้าปล่อยธรรมดามันก็ไหม้ของมันไปธรรมดา มีเจ้าของไสเข้าไปปั๊บมันก็ยิ่งลุกลามไปเรื่อย อันนี้เรื่องธรรมกับใจก็เหมือนกัน ธรรมชาติอันนี้มันก็จะออกรู้ของมัน พอเจ้าของคือความรู้อันนี้เป็นเจ้าของบงการปั๊บตรงไหน มันก็พุ่ง ๆ เหมือนกับเราจ่อไฟที่จุดนั้นจุดนี้ก็ไหม้ไปเรื่อย รวดเร็วไปเรื่อย จึงว่าความจริงกับความจำไม่ได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เอาธรรมมาสอนโลก เอาจากความจริงล้วน ๆ นะ ท่านไม่ได้เอาความจำมาพูด เพียงเล็กน้อยเครื่องประกอบกันไปเท่านั้น หลักใหญ่เป็นความจริงที่ท่านรู้ทั้งนั้น ๆ ไปเลย ท่านจึงไม่มีสงสัยในการสอนโลก เพราะท่านเห็นทุกอย่างท่านเอามาสอน จะผิดไปไหน ใครจะมาลบล้างเท่าไรก็ไม่มีความหมาย ไปลบล้างความจริง ลบล้างเท่าไรก็จริงอยู่อย่างนั้น
อย่างกระโถนนี่ มีหรือไม่มีมองมาเห็น ใครจะบอกว่าไม่มีเท่าไรก็ตาม มันก็มีตามความจริงของมันไปลบล้างได้ยังไง ผู้เห็นก็เห็นอย่างนี้แล้วจะไปลบล้างได้ยังไง ยอมรับแล้วนี่ นี่ท่านว่าสภาวธรรมทั่วไปในแดนโลกธาตุเท่ากับเชื้อไฟ ธรรมนี้เป็นเหมือนกับไฟ จะรู้ไป ๆ เรื่อย ๆ รู้ไปตรงไหนหายสงสัย ๆ ไปพร้อม ไม่มีอะไรเศษเหลือถ้าลงได้รู้ไป รู้ไปหมด เหมือนไฟได้เชื้อเผาไหม้ไปหมดเลย เชื้อหยาบเผาอย่างหยาบ เชื้อละเอียดเผาอย่างละเอียด จนกระทั่งหมดเชื้อ ไฟก็ดับเอง อันนี้สภาวธรรมทั้งหลายเมื่อรู้แล้วก็ต่างอันต่างจริงไป เรียกว่าดับเอง ต่างอันต่างจริง ธรรมชาตินั้นก็จริง ผู้รู้ก็รู้แล้ว ตัวก็เป็นความจริงของตัวเองเสียไม่ก้าวก่ายกันไม่ยุ่งกัน
ภาคปฏิบัติไม่ได้เหมือนภาคปริยัติ ผิดกันมากจริง ๆ แต่ภาคปฏิบัตินี้ต้องปฏิบัติแล้วให้รู้อย่างพระพุทธเจ้าสอนนั้นจริง ๆ แล้วหายสงสัยไม่ได้เลย สักแต่ปฏิบัติสะเทินน้ำสะเทินบกงู ๆ ปลา ๆ นี้มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรแหละ เพียงชื่อว่าปฏิบัตินะ ต้องปฏิบัติจริง ๆ ตามแถวแนวที่พระพุทธเจ้าสอนจริง จะรู้อย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะสิ่งที่มาสอนมีอยู่หมดแล้ว รู้หมดแล้ว นำมาสอนตามนั้น ผู้ปฏิบัติตามก็เดินตามแถวแนว เหมือนกับแบบแปลนแผนผัง ท่านสอนไว้ยังไงนั้นคือแบบแปลนของธรรม ดำเนินตามนั้นก็รู้เห็นตามนั้น ๆ เรื่อยไปเลย
ฟังซิว่าอย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านยกมือขึ้นสาธุเลย เราไม่ได้ลืมนะอยู่วัดหนองผือนี่ ถึงขั้นธรรมะที่เด็ดขาดของท่านผาง ๆ ออกมานี้ พอพูดแล้วท่านยกมือขึ้น เราดูอยู่นี่ สาธุ ว่างี้เลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ถามท่านหาอะไร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร เท่านั้นละ แต่เรามันก็อย่างว่าแต่ก่อนนะ ฟังท่านแต่จำนะ เรื่องจำนี่จำมันยังไม่มีความจริง จำไว้ก่อน ท่านยกมือสาธุขึ้นเลย อาจหาญไหมฟังซิ
เวลาปฏิบัติไป ๆ มันเจอเข้าไป นี่มันก็แบบสาธุ พี่น้องทั้งหลายเคยเห็นแล้วไม่ใช่หรือสาธุ หลวงตาบัวก็สาธุแล้วนี่จะว่าไง ก็มันจริงอย่างนั้นจะให้ว่าไงอีก ไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้าหนา มันหากเป็นธรรมชาติของมัน เป็นความจริงเต็มหัวใจแล้วมันทนไม่ได้ ถ้าจะว่าแบบโลกเขาทนไม่ได้ นี้พลังของธรรมทนไม่ได้เหมือนกัน ผึงเลยขาดสะบั้นไปเลย เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ธรรมของจริงเป็นอย่างนั้น
ขอพี่น้องทั้งหลายได้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าอยากเป็นคนดิบคนดี ให้อุตส่าห์พยายามฝ่าฝืนความชั่วนะ ความชั่วนี้จะกล่อมตลอดเวลา ไม่มีอะไรแหลมคมเกินกิเลสแหละ เรื่องกิเลสในแดนโลกธาตุนี้แหลมคมสุดยอดของมันเลย ถ้าไม่มีธรรมเข้ามาจับมันครอบโลกธาตุไปอีกกี่กัปกี่กัลป์ เกิดตายแบกหามกองทุกข์นี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย จำให้ดีคำนี้ก็ดี จะไม่มีคำว่าต้นว่าปลาย ใครเกิดมาเมื่อไรแล้วจะไปสิ้นสุดเมื่อไรไม่มี ถ้าไม่มีธรรมเข้าสกัดลัดกั้นกันไม่มีทางนะ ถ้ามีธรรมเข้าไปนั่นละสกัดลัดกั้น สร้างคุณงามความดีนี้เครื่องสกัดลัดกั้นวัฏวนซึ่งเป็นไปด้วยกองทุกข์หนาแน่นตลอดไปนี้ ให้ย่นเข้ามา ๆ ความสุขความเจริญที่เราได้ในการบำเพ็ญของเราก็ไปเกิดในสถานที่ดี ๆ แม้จะอยู่ในวัฏวนเหมือนโลกทั้งหลาย ความทุกข์ก็ไม่เหมือนโลกนะคนมีบุญ มันต่างกันนะ
ทีนี้ความดีของเราสร้างหนาแน่นเข้า ๆ นอกจากได้รับความสุขในภพนั้น ๆ ที่ยังไม่พ้นนะ ก็มีความสุขมากขึ้นไปโดยลำดับแล้วยังไม่แล้วนะ วัฏวนคือการเกิดตายของเจ้าของที่ยืดยาวหาต้นหาปลายไม่ได้นั้นก็ค่อยหดย่นเข้ามา ๆ ทางนี้ความดีของเราก็หนุนเข้า สถานที่เกิดของเราก็ดีขึ้น ๆ เกิดอยู่ในวัฏวนนั่นแหละ แต่ความทุกข์ไม่เหมือนผู้ที่สร้างบาปสร้างกรรม ต่างกันตรงนี้ จนกระทั่งเต็มที่แล้วเรื่องกองทุกข์ทั้งมวลนี้กิเลสสร้างขึ้นมาอยู่ในหัวใจ กิเลสขาดสะบั้นลงไป ทุกข์ขาดสะบั้นลงไปพร้อมกันเลยไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้ภพชาติก็ขึ้นอุทานทันที
ดังที่พระพุทธเจ้าประทานพระโอวาท หรือท้าทายเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พอเทศน์จบลงไปเรียบร้อยแล้วก็ว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคต คือจะเกิดเพียงชาติที่แบกหามอยู่นี้เท่านั้น จะไม่เกิดต่อไปอีก นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้เราจะไม่มาเกิดแบกหามกองทุกข์นี้อีกต่อไปแล้ว นี่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า
พระอัญญาโกณฑัญญะก็รู้ธรรมในเวลานั้น กระแสของธรรมเข้าถึงแล้ว กระแสพระนิพพาน โสตะ แปลว่า กระแส เรียกว่า โสดาบัน แปลว่าบรรลุถึงกระแสของธรรมที่จะไม่เกิดไม่ตาย อย่างช้าไม่เลย ๗ ชาติ ผู้นี้ตีตราไว้แล้ว พวกสำเร็จพระโสดานี้อย่างอ่อนมาเกิดมาตายอยู่ในมนุษย์นี้ ๗ ชาติ แต่ไม่ตกนรก ท่านบอกไว้ชัดเจนมาก จะขึ้นสวรรค์ลงมาแดนมนุษย์ ๆ อย่างมากไม่เลย ๗ ชาติ อย่างกลาง ๓ ชาติ อย่างอุกฤษฏ์ก็ชาติเดียว
๑)มาเกิดในชาติเป็นมนุษย์แล้ว ตายแล้วไปสวรรค์ พอกลับมาเกิดอีกบรรลุถึงพระนิพพาน ตีความหมายได้สองนัย
๒) เมื่อบรรลุพระโสดาแล้ว บำเพ็ญเพียรในเวลานั้นบรรลุธรรมในชาตินั้นเลย ยกตัวอย่างเช่น พระอานนท์เป็นต้น เวลาพระพุทธเจ้าปรินิพพานพระอานนท์ก็สำเร็จพระโสดา ยังไม่ขึ้นถึงอรหันต์ พระองค์ก็ทรงทำนายไว้แล้ว ที่พระอานนท์ไปทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า เสียใจร้องห่มร้องไห้ว่าพระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุแล้ว นั่นคำขาดเห็นไหม บอกว่าจากนี้ไปอีก ๓ เดือนเราจะตาย เดือน ๓ เพ็ญทรงปลงพระชนมายุ ลั่นพระวาจาว่าจากนี้ไปอีก ๓ เดือน เราจะตาย พอเดือน ๖ เพ็ญ ก็เสด็จไปเมืองกุสินาราไปนิพพานที่นั่นวันนั้น ผิดไหมล่ะ
นี่ก็ทรงทำนายพระอานนท์ว่า อานนท์ วันสังคายนานั่นแหละ นั่นเห็นไหมล่ะท่านก็ยังไม่ตาย สังคายนายังไม่มีท่านทรงทำนายไว้แล้ว วันทำสังคายนานั่นแหละวันที่เธอจะสิ้นภพสิ้นชาติ เป็นอรหัตบุคคลขึ้นมาในวันนั้น หลังจากเราตถาคตตายไปแล้ว ๓ เดือน แน่ะ บอกชัดเจน พอพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ๓ เดือนท่านก็ประชุมสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัย พระอานนท์ก็เลยเอาสัญญาอารมณ์นั้นดีใจปีติยินดีว่า เราจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น ๆ พอถึงวันนั้นเข้ามาพระอานนท์ก็ทำความเพียรฟาดเสียจนตลอดรุ่ง คือจะให้สำเร็จดังที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้
ทีนี้เวลาจะสำเร็จจิตไม่ได้อยู่ในปัจจุบันที่จะแก้กิเลส เอาแต่ตามความคาดหมายที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้แล้วว่า วันจะทำสังคายนานี้เป็นวันที่พระอานนท์จะสำเร็จอรหันต์ พระอานนท์ก็เอาอันนี้มาเป็นสัญญาอารมณ์อยู่ ว่าเราจะสำเร็จอรหันต์ในวันนี้ ๆ เลยลืมทำงานเสีย งานแก้กิเลส มีแต่จะสำเร็จ ๆ จนกระทั่งจะสว่างแล้ว อ้าว ยังไงกัน สว่างแล้ววันนี้ท่านก็จะทำสังคายนา เราก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพอแล้วจะทำไง ว่าจะสำเร็จพระอรหันต์ก็ไม่สำเร็จ ทีนี้หดย่นเข้ามาละนะ จิตที่ไขว่คว้าหาสัญญาอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้นั้น คว้าอยู่ตลอด ทีนี้จิตนั้นเกิดทอดอาลัยถอยเข้ามาแล้ว ความหวังนั้นหวังนี้ซึ่งเรียกว่าตะครุบเงาก็ปล่อยเข้ามา ๆ นี่ก็จวนสว่างแล้วเราเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที พักสักหน่อย นั่นละที่นี่จิตทอดอาลัยเข้ามาแล้ว
คือจิตมันส่ายแส่ตามความหวังที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้นั้น ไม่เข้ามาจุดปัจจุบันซึ่งเป็นจุดบรรลุนะ ทีนี้พอถึงเวลาแล้วเหนื่อยมากแล้ว ความหวังทั้งหลายก็เลยลดตัวลง หดเข้ามา ไม่เอาละความหมายว่างั้นถ้าภาษาเรานะ นี่จวนสว่างแล้วเราจะพักสักหน่อย จิตมันก็หดจากความหวังทั้งหลายที่เป็นลม ๆ แล้ง ๆ เข้ามา ๆ พอมานั่งปั๊บทอดกายลงไปจะหลับนอนเท่านั้น นั่นท่านจึงว่าพระอานนท์บรรลุธรรมในอิริยาบถ ๔ คือ นั่งก็ไม่เชิง จะนอนก็ไม่เชิง จะอะไรก็ไม่เชิง พอเอนลงไปศีรษะยังไม่ถึงหมอนบรรลุธรรมปึ๋งเลย เรียกว่า พระอานนท์บรรลุธรรมในอิริยาบถ ๔ จะยืนก็ไม่ใช่ จะนั่งก็ไม่เชิง จะนอนก็ไม่ใช่ เอนลงไปยังไม่ถึงหมอนสำเร็จปึ๋งขึ้นมา พอสำเร็จปึ๋งขึ้นมาก็รู้ทันที
นี่พระพุทธเจ้าทำนายไว้ผิดไปไหนเห็นไหมล่ะ ก็บอกวันนั้น แต่พระอานนท์ไปงมเงาเฉย ๆ หวังเอาความสำเร็จจากความสำคัญของตนที่ทรงทำนายไว้แล้ว ก็ไม่สำเร็จล่ะซี พอถอนจากความสำคัญมั่นหมายนั้นเข้ามาสู่วงปัจจุบัน ทอดอาลัยละที่นี่ ทีนี้จิตก็เข้าวงปัจจุบัน พอเข้าปัจจุบันปั๊บบรรลุปึ๋งเลย เพราะบรรลุธรรมต้องบรรลุในปัจจุบันนะ คิดนั้นคิดนี้อยู่ไม่ได้ไม่บรรลุ พอว่าอย่างนั้นรู้ทันที ไม่ได้คุย อย่างนั้นละ จิตนี้เวลาจะผ่านพ้นของมันไปโดยสิ้นเชิงนี้จะไม่มีงานอะไรเลย จะจดจ่อกับสิ่งใดก็ไม่ใช่ เรียกว่ากลางสุดยอดเลย อุเปกขาสุดยอด มุ่งอะไรอยู่นี่จิตยังทำงาน ต่อเมื่อจิตได้รวมมาเป็นปัจจุบัน คือไม่ยุ่งกับอะไรเลยนี้เป็นปัจจุบัน ควรแล้วแก่การบรรลุธรรม พระอานนท์ก็บรรลุผึงขึ้นเลย นั่นคำทำนายของพระพุทธเจ้าเป็นยังไง ผิดไหมล่ะ ท่านก็เลยสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา
แล้วท่านแสดงฤทธิ์ให้บรรดาพระสงฆ์เห็นเสียด้วยเวลาที่จะเข้าประชุม คือพระ ๕๐๐ องค์ จัดพระไว้ ๔๙๙ องค์ องค์ที่ห้าร้อยไว้สำหรับพระอานนท์ จัดอาสน์สงฆ์ไว้เรียบร้อย พระอานนท์จะมาที่นี่และจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ในวันนี้ พระสงฆ์ทั้งหลายก็ทราบจากพระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้แล้ว พอถึงวันเวลาแล้วอาสน์สงฆ์ที่จัดไว้สำหรับพระอานนท์ พระอานนท์ก็ผุดขึ้นที่นั่นเลยทันที พระสงฆ์ทั้งหลายทราบทั่วกันหมดเลยว่านี่สำเร็จแล้วไม่ต้องไปถามละ อาสน์สงฆ์อยู่ที่นั่น มาได้ยังไงพระอานนท์ ผึงเดียวเลย
นั่นเราจะคาดได้ยังไง คาดเรื่องธรรมพระพุทธเจ้า อย่าไปคาดนะ เป็นไปไม่ได้อย่างนั้น ๆ ไอ้พวกหูหนวกตาบอดแต่มันเห่าเก่ง มันไม่กัดนะมันเห่าเฉย ๆ เห่าแว้ก ๆ แล้วก็วิ่งเหมือนไอ้หยอง ตะกี้นี้เห่าแว้ก ๆ เขาจับขังแล้ว พวกนี้มันพวกเห่าแว้ก ๆ มันไม่ได้สำเร็จ ธรรมนี้คาดไม่ได้นะ ไม่มีอะไรจะไปคาดได้ ธรรมเหนือทุกอย่าง ฟังแต่ว่าเหนือทุกอย่าง สิ่งที่คาดที่หมายอยู่ในวงของสมมุติทั้งหมด ธรรมชาตินั้นเหนือแล้วคาดไม่ได้ ผางเดียวเท่านั้น
นี่เราพูดถึงเรื่องไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า เราก็เคยพูดออกมาแล้วถามหาอะไร ขึ้นทันทีนี่ก็ดี ดีไม่ดียกมือขึ้นฟาดปากใครมาค้าน สำเร็จได้ยังไง สำเร็จได้อย่างนี้ปั๊วะเลย พ่อแม่มึงตั้งแต่โคตรมึงไม่เคยสำเร็จ มึงมาถามกูหาอะไร ตีเสร็จแล้วมือเจ็บก็ทนเอา เขาปากแตกเราเพียงเจ็บมือไม่เป็นไร เราทนเอา โคตรพ่อโคตรแม่มึงไม่เคยสำเร็จมาถามกูหาอะไร ไปอย่างนั้นเสีย คือตีแล้วเจ็บมือก็ทนเอา เขาปากแตก นั่นละความถนัดชัดเจนของใจ ความหมายหมายอย่างนั้นนะ เราไม่ได้หมายหยาบแหยบ ๆ นะพี่น้องทั้งหลายอย่ามาคิดเรื่องหยาบ ๆ นะ คือน้ำหนัก ความถนัดชัดเจนของจิตที่แม่นยำแม่นขนาดนั้น ผางทันทีเลย นี่เรียกว่าน้ำหนักของธรรม ใครจะคาดไม่ได้นะ ให้มันเป็นขึ้นในเจ้าของเอง เจ้าของก็ไม่คาด มันพอดีทุกอย่างคาดหาอะไร จะไปคาดหาอะไรก็มันพอดีทุกอย่าง
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดนี้แหละ คงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่กับทุกหัวใจ เราอย่าให้กิเลสมาตบตาว่า มรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัย มันหลอกทั้งนั้นแหละ เปิดออกซิธรรมพระพุทธเจ้า สวากขาตธรรมเป็นเครื่องมือที่เปิดกิเลส ซึ่งเป็นจอกเป็นแหนปกคลุมหุ้มห่อน้ำในสระบึงใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำนั้นออก เมื่อเปิดจอกแหนออกมากน้อยเพียงไร ไม่ต้องถามหาน้ำ มีอยู่แล้วนั่น เป็นแต่เพียงจอกแหนปกคลุมไว้เท่านั้น เปิดจอกเปิดแหนมันก็เห็นทันที เมื่อเห็นแล้วก็เป็นสักขีพยาน อ๋อ นี่น้ำมีอยู่ มันก็เปิดใหญ่ ๆ เปิดออกหมดจ้า มีตั้งแต่น้ำเต็มสระ จอกแหนหมดไปแล้วมีแต่ใจกับนิพพานเต็มดวงเลย
จอกแหนคือกิเลสประเภทต่าง ๆ สิ้นสุดลงไปหมดแล้ว ทีนี้ทุกข์หามาจากไหน ก็กิเลสต่างหากเป็นผู้สร้างกองทุกข์ กิเลสมีมากน้อยจะเป็นเสี้ยนเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจตลอดเวลา พออันนี้สิ้นซากลงไปแล้ว ทุกข์ไม่มี พระอรหันต์จึงไม่มีทุกข์ตั้งแต่วันตรัสรู้ธรรมปึ๋งขึ้นมา ไอ้เรื่องทุกข์เจ็บไข้ปวดหัวนี้มีธรรมดา เพราะอันนี้เป็นสมมุติ แต่ยังไงก็ไม่เข้าถึงใจท่าน เป็นหลักธรรมชาติ เจ็บนั้นปวดนี้ก็รู้ว่าเจ็บนั้นปวดนี้ตามสภาพของขันธ์ แต่ใจที่จะมามีความบอบช้ำกับมันไม่มีตั้งแต่ขณะที่ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมา ท่านจึงเรียกว่าบรมสุข คือใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วนั่นแลเป็นบรมสุข
ให้พากันตั้งอกตั้งใจ อย่าลืมเนื้อลืมตัว เวลานี้พวกเราชาวพุทธกำลังเป็นพวกเปรตพวกผีลบล้างศาสนา ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วทุกพระองค์ เป็นความถูกต้องแม่นยำทั้งนั้น ให้ไม่ให้มีเหลือในหัวใจมนุษย์ชาวพุทธของเรานะ มันจะลบล้างไปหมด บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก นิพพานไม่มี อะไรที่มี ก็มีแต่ไฟเผาหัวอกมัน ความโลภก็เผา ความโกรธก็เผา ราคะตัณหาซึ่งเป็นไฟทั้งนั้นเผาตลอดเวลาเอาความสุขมาจากไหน เราไปหาปฏิเสธอะไร ตัวไฟเผาหัวใจเราอยู่ทำไมไม่ดู พระพุทธเจ้าท่านดูไฟเหล่านี้ ดับไฟเหล่านี้แล้วจึงนำน้ำดับไฟมาสอนโลก พวกเรามันไม่ได้ดับไม่ได้สนใจ มีแต่จะเอาไฟมาเผาตัวเอง แล้วก็ลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นี่มันเป็นยังไง
เวลานี้พุทธศาสนาของเรามันจะหมดแล้วนะ พี่น้องทั้งหลายยังเหลือตั้งแต่ซากเฉย ๆ หนังห่อกระดูกอยู่นี้ เอาผ้าปิดไว้มาดูเป็นน่าดูน่าชม คนนี้เขาแต่งตัวโก้นะ พอมองไปเห็นคนนี้เขาแต่งตัวโก้นะ ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวสวยงามมาก ผู้ชายน่ารักนะ ผู้ชายคนนี้แต่งตัวสวยหรือรูปหล่อ ไปที่ไหนผู้หญิงตอมนะ มันจะไปแต่แถวนั้นเข้าใจไหม แถวที่จะจมลงนรก แถวที่จะเปิดสิ่งเหล่านี้ที่เป็นฟืนเป็นไฟออกพุ่งถึงสวรรค์นิพพาน มันไม่ค่อยไป ไปเที่ยวลบหมด เข้าใจหรือยังพวกนี้น่ะ เราสลดสังเวชจริง ๆ นะ
สอนโลกนี้สอนจิตใจไม่ได้สอนอย่างอื่น วัตถุเหล่านี้เราก็เคยพูดแล้ว เป็นการช่วยเมืองอันดับที่สอง ถ้าจิตดีแล้วสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ทั่ว ๆ ถึงกันไปหมด ถ้าใจเราเสีย อะไรเป็นไฟทั้งนั้นเผาเราได้นะ เพราะฉะนั้นจึงต้องปรับปรุงจิตใจให้รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก ปรับปรุงแก้ไขตัวเองไปเรื่อย ๆ เมื่อจิตใจได้รับการอบรมมาแล้ว จะปรับปรุงตัวในทางที่ดี สมบัติเงินทองข้าวของจะเป็นของดีไปตาม ๆ กัน เพราะดีอยู่ที่ใจ ไฟก็อยู่ที่ใจ จึงต้องให้อบรมทางด้านจิตใจ การสอนโลกเราถืออันดับหนึ่งได้แก่จิตใจ สอนเรื่องศีลเรื่องธรรมเข้าสู่ใจ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่มีและเกี่ยวข้องกับตนให้เป็นของดียิ่งขึ้น และเป็นผลประโยชน์ทั่วถึงกัน พากันเข้าใจนะ ไม่งั้นไม่ได้นะ เอาละเทศน์เพียงเท่านี้
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒ ทองคำได้ ๔ กิโล ๒๓ บาท ๒๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๕๙๖ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโลนั้น เวลานี้ได้มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๕๐๐ กิโล ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑,๕๐๐ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโล ทองคำที่ได้หลังจากมอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ได้ ๔๔ กิโล ๕๘ บาท ๘๐ สตางค์
ทองคำต่อยอดจากเงินโครงการช่วยชาติฯ ๘๐๖ ล้านนั้นได้ซื้อทองคำไปแล้ว ๗๐๐ ล้านบาท ได้ทองคำ ๑,๗๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๔๑ แท่ง มอบเข้าคลังไว้แล้ว ๒๕๐ กิโล เท่ากับ ๒๐ แท่ง ที่เหลือยังไม่ได้มอบ ๑,๕๑๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๒๑ แท่ง รวมทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๗๕๐ กิโล รวมยอดทองคำทั้งหมดทั้งมอบและไม่มอบได้ทองคำ ๔,๓๐๗ กิโล เท่ากับ ๔ ตันกับ ๓๐๗ กิโล กรุณาทราบตามนี้ เมื่อวานนี้ผ้าป่าที่กิ่งอำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ ทองคำได้ ๓ กิโล ๙๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๒,๒๗๑ ดอลล์ เงินสดได้ ๑,๒๑๖,๕๓๒ บาท
พวกลูกหลานสอนทุกคนแล้วนะ ให้พากันจำเอาลูกหลานทุกคน พวกลูกหลานมาศึกษามารับการอบรมธรรมะจากหลวงตา ให้ไปปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี เป็นเด็กดีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติหน้าที่การงานของตน อย่าเห็นแก่ความเตร็ดเตร่เร่ร่อน เรื่องสุกก่อนห่ามขายก่อนซื้อเละเทะทั้งนั้นใช้ไม่ได้นะ ถึงเวลาขายมันเป็นเอง ถึงกาลเวลาที่ควรซื้อควรขายหากรู้กันเอง ในระหว่างลูกค้ากับพ่อค้ารู้กันเอง การเสนอสนองรู้กันเอง โลกเขามีมาอย่างนั้น มนุษย์เราสูงกว่าสัตว์ต้องมีขนบประเพณีมีดีมีชั่วมีสูงมีต่ำ มีศักดิ์ศรีดีงามเพื่อรักษาสิ่งเหล่านี้ให้มีไว้ ต้องเป็นผู้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี อย่าสุ่มสี่สุ่มห้านะ เรื่องกิเลสตัณหาไม่ไว้หน้าใคร กลัวแต่ธรรม ผู้ใดมีการอบรมด้วยธรรมแล้วคนนั้นจะเป็นคนดี ฝืนความชั่วเหยียบความชั่วไป เป็นคนดีเหนือความชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าปล่อยให้ความชั่วความอยากความทะเยอทะยานเหยียบหัว แหลก ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย ตั้งแต่ชาตินี้ถึงชาติหน้า มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้นนะ พากันจำเอานะลูกหลาน
วันนี้เรื่องทองคำอะไรก็ไม่พูดอีกแล้วนะ เพราะพูดมาทุกวัน ๆ แล้ว ให้พี่น้องทั้งหลายตั้งอกตั้งใจนะ ทองคำสำคัญมาก เวลานี้หลวงตาจะริบรวมเข้าสู่ทองคำ ๆ ดอลลาร์ เพื่อเป็นความแข็งในชาติไทยของเรา เวลานี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเราเท่าไร (๔๔ บาท ๒๐ สตางค์ครับ) นั่นมันยังแข็งอยู่นะ อันนี้ยืนมานานเป็นปี อยู่ในย่าน ๔๐ แต่ก่อนนี้เหยียบหัว ๆ จนกระทั่งถึง ๕๖ บาทต่อดอลล์ ไม่ใช่เล่น เดี๋ยวนี้ค่อยลดลงมา ๓๘ ไม่กี่วันขึ้น ๓๙ แล้วก็ ๔๐ ทีนี้อยู่ใน ๔๐ เรื่อยเลย ขึ้นถึง ๔๔-๔๕ เพียงเท่านี้ อยู่ในย่านนี้ไม่ขึ้นมากนัก พอฟัดพอเหวี่ยงกัน เพราะฉะนั้นเราจึงหาเครื่องยันเอาไว้ ทองคำดอลลาร์นี้ยันอันนี้ให้แข็งตัวเรื่อย
เราแน่ใจกับพี่น้องชาวไทยเรา ว่ายังไงของเรานี้จะค่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทองคำ ทั้งดอลลาร์ทั้งเงินสดจะหมุนเข้าหาทองคำ เราเชื่อแน่กับพี่น้องชาวไทยเรา คราวนี้เป็นคราวที่เราทั้งหลายจะลงใจได้แล้วนะ ให้ฟังเสียงหัวหน้า หัวหน้าว่าลงใจ เอ้าให้ลง ถ้ายังไม่ลงใจยังไงก็ไม่ลง นี่ไม่เหมือนใครนะ ถ้าลงใจลง นี่เราลงใจ เราโล่งใจแล้วเวลานี้ สำคัญที่สุดคือว่าเราได้ผู้นำที่ดี ไม่ยกยอคนดีจะยกยอไหน ไปหายกยอนักโทษในเรือนจำเหรอ ให้เอานักโทษในเรือนจำมาปกครองบ้านเมือง กินบ้านกินเมืองเหรอ คนดีเต็มประเทศไทยเราไม่มีน้ำยาบ้างเหรอ นี่อยากถามอันนี้นะเดี๋ยวนี้ คนดีต้องยกยอว่าดี คนชั่วบอกว่าชั่ว จึงเรียกว่าธรรม อันนี้เราก็โล่งใจเราบอกแล้ว ทีนี้เตือนพี่น้องทั้งหลายให้ฟังเสียงธรรมนะ เราโล่งใจเวลานี้ เพราะฉะนั้นถึงว่าเอา ๆ อย่าถอยนะ