วัดนาแห้ว สถานที่นั่นเหมาะ ก็ทางนายทหารเขานั่นแหละที่มาติดต่อขอพระจากเราถึงวัด เราก็ว่าจะไปดู เพราะฉะนั้นพอได้โอกาสจึงไปดู ขึ้น ฮ.ไปเลยไปดูสถานที่ นายทหารเขาพาไปเลยเทียว ให้เลือกเอา แม้ที่สุดที่เขาปลูกข้าวปลูกอะไรอยู่นี้ ถ้าต้องการก็ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นบริเวณของทหารดูแล ตกลงเราก็เลยได้ที่ที่ปลูกที่สร้างอยู่เวลานี้ ที่เหมาะจริง ๆ ก็ตรงที่เขากำลังปลูกข้าวปลูกอะไรอยู่ ทางทหารเขาให้ความสะดวกทุกที่แถวนั้นนะ จะเอาตรงไหนเอาได้เลย ที่ปลูกสร้างพอเขาเสร็จก็ให้รื้อออกไป เขากำลังปลูกข้าวปลูกอะไร เพราะคนแถวจังหวัดเลยไม่ค่อยได้ทำนากัน เอาป่าเอารกเป็นที่ทำนา ทางทหารก็จะให้ที่นี่เลย พอเขาทำข้าวเสร็จก็ให้เขาออกไป เราก็สร้างวัด เราไม่ยอม บอกเอาที่ว่างเปล่าตรงนี้แหละ ก็เลยได้สร้างวัดนั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ทางโน้นวัดถ้ำผาปู่ก็ไปพักอยู่แถวนั้นเหมือนกัน นี่ก็ท่านสีธนส่งพระไป อันนี้ก็ดูว่าเขาขอเหมือนกันนะ ท่านสีธนก็เลยส่งไปให้แห่งหนึ่ง ที่เราส่งไปนี้ก็แห่งหนึ่ง เป็นที่เหมาะสมด้วยกัน ที่พระทางวัดถ้ำผาปู่ไปอยู่นั้นเราไม่ได้เข้าไปดู เราไปดูเฉพาะที่เรากำหนดให้เขาที่จะสร้างวัด ที่ตาหมูอยู่ทุกวันนี้ เรื่องทำความพากเพียรเราทำได้ทุกเวลาเลย เพราะเป็นสถานที่เหมาะสม ไม่มีใครมายุ่งกวนเลย ไม่ว่าจะเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาอยู่สถานที่ใด เหมาะสมหมด เพราะเราไปเที่ยวดูหมดแล้ว เห็นว่าเหมาะ จึงว่าเอาตรงนี้แหละ พวกชาวบ้านก็พวกทหารละมั้งไปจัดที่อยู่ที่พักให้เขา ไปบิณฑบาตกับพวกนี้แหละ ไม่กี่หลังคาเรือน ทหารจัดสรรให้เพราะแถวนั้นเป็นที่ของทหารทั้งนั้น
ทหารพวกนี้กับพระเข้ากันได้สนิท เพราะฉะนั้นจึงต้องมานิมนต์พระบ่อยให้ไปอยู่แถวนั้น ไม่มีพระเลยพอได้กราบได้ไหว้ รู้สึกว้าเหว่ ประชาชนก็ว้าเหว่ แม้แต่ฝ่ายทหารก็ยังว้าเหว่ว่างั้น เพราะฉะนั้นเขามาขอเราจึงได้เห็นใจ ที่เขามาพูดถึงเรื่องความว้าเหว่ทางด้านจิตใจ เป็นของสำคัญมากตรงนี้ เราจึงได้อนุโลม ไปอยู่จนกระทั่งเป็นวัดขึ้นมา ที่นั้นเปลี่ยวมาก อยู่ในป่าจริง ๆ แต่ทางดีตลอด เขาจัดให้ถึงที่ ๆ เลย พวกทหารเอาจริงเอาจังมาก รักศาสนามาก เราเห็นใจถึงได้แบ่งให้ เขามาบ่อยเวลานั้น ระยะนี้ดูเหมือนจะถูกย้ายกระมังหัวหน้าเขา ไม่เห็นมาหลายปีแล้ว
ที่สำหรับพระบำเพ็ญสมณธรรม ทางแถวจังหวัดเลยเหมาะสมที่สุด ต่อกับเขตทางฝั่งลาวทางด้านนั้นด้านนี้ ไปอยู่ที่ไหนได้หมดสะดวกสบาย ภาวนาเราพูดแล้วพูดเล่า ศาสนาพระพุทธเจ้าของเราสอนลงที่ใจ ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ ใจเป็นจุดมหาเหตุอยู่ตรงนั้น อยู่ที่ใจ ศาสนาพุทธเรานี้สอนตรงเป๋งลงตรงนั้นเลย ให้ฝึกฝนอบรมตรงนี้ ๆ ตัวนี้เป็นตัวบงการบงงานทางดีทางชั่ว อยู่กับตรงนี้ทั้งนั้น จึงสอนให้รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูกที่จิตใจ จะได้ขยายงานจากจิตใจนี้ออกไปด้วยการคัดเลือกด้วยดีแล้วจากใจ ใจจึงเป็นของสำคัญมาก
เดี๋ยวนี้ศาสนาเป็นวัตถุไปหมดแล้วแหละ ไม่ใช่เป็นศาสนธรรมอย่างแต่ก่อน กลายเป็นศาสนวัตถุ วัตถุนั้นแลคือศาสนาว่างั้นเลย อันนี้เป็นกิริยาที่ออกมาจากใจซึ่งมีพุทธศาสนาคุ้มครองอยู่แล้ว คัดเลือกออกมาด้วยดี ๆ แสดงออกมากิริยาอาการใด ความประพฤติหน้าที่การงานทุกอย่าง จะเรียบร้อยไปตามจิตที่สั่งงานด้วยดีมาจากการได้รับการอบรม สำคัญตรงนี้นะ
เพราะฉะนั้นเราไปวัดไปวา ยิ่งไปวัดกรรมฐานแล้วเห็นการสร้างหรูหรา เราอยากขี้ใส่เลยนะ พูดจริง ๆ คือมันขวางเอาจริง ๆ กับธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงสอน ว่าวัตถุก็รุกขมูลเสีย เป็นป่าไม้ภูเขาลำเนาไพร ตามถ้ำ เงื้อมผา เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวกไปเสีย อย่างนั้นนะ ไม่ได้เป็นวัตถุหรูหราฟู่ฟ่าอย่างนี้ ฟาดขึ้นชั้นหนึ่งเป็นสองชั้นขึ้นไปแล้ว ดีไม่ดีเขาอาจจะต่อเป็นสามชั้น เรื่องอาศัย-อาศัย แต่ไม่ถือเป็นสำคัญยิ่งกว่าทางจิตใจ ที่เป็นสถานที่ฝึกฝนอบรมให้ดี ดีเยี่ยมตรงนี้ เลวที่สุดตรงที่ใจนะ ไม่ได้อยู่วัตถุ อันนั้นสำเร็จออกมาจากความบงการของใจต่างหาก อาศัยไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเองไม่เห็นสำคัญอะไรยิ่งกว่าทางด้านจิตใจ เพราะฉะนั้นกรรมฐานผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ท่านไม่ยุ่งการก่อสร้าง
เราดูอย่างชัด ๆ ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เป็นแบบฉบับร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาตำรากางปุ๊บนี้ไม่มีผิดไปเลย เราถึงได้เทิดทูนท่านสุดหัวใจ เรียนเราก็เรียนไปแล้วนี่ ท่านทำอะไรก็รู้หมด ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากอรรถจากธรรม ไม่ให้เรี่ยราดสาดกระจายไปไหน เก็บหอมรอมริบตลอดไม่ว่าสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ท่านเก็บหอมรอมริบหมดเลยนะพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ สถานที่อยู่ของท่านก็ดูซิ คิดดูซิที่เราไปดูศาลา ไปเถ่ออยู่กลางคืน ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลา ท่านกั้นห้องอยู่ศาลาเล็ก ๆ นั่นนะ อยู่เลย ไม่ยุ่งนะ ศาลาท่านครัวไฟเรายังใหญ่กว่านะ ศาลาหลังนั้น นี่ครัวไฟเรานี่มันยังแข่งพ่อแม่ครูจารย์มั่นได้ ศาลานั้นยังเป็นที่อยู่ของท่านด้วยนะ
ศาลาหลังนั้น เราไปเราก็ไปยืนเถ่ออยู่ ก็ไปกลางคืน ไปยืนเถ่อดู เข้าไปทีแรกก็ไปเจอกุฏิหลังที่ว่าท่านเนตร ดีนะเมื่อวานนี้ท่านเนตรไป วันนี้ท่านมหาก็มา ถ้าไม่งั้นไม่ได้อยู่ โอ๋ย เหมือนกับว่าตับปอดนี้ขาดไปเลย ว่าไม่ได้อยู่นะ พอไปถึงไปเห็นศาลาหลังเล็ก ๆ เราก็ไปดู เอ๊ นี่ถ้าว่าเป็นศาลากรรมฐานก็รู้สึกจะเล็กไปสักหน่อย ถ้าเป็นกุฏิก็ใหญ่ไป กำลังยืนรำพึง ท่านเดินจงกรมมืด ๆ เราก็ไปมืด ๆ เราไม่เห็น ไปเห็นศาลาตาก็จ่อที่ศาลา สงสัยเป็นศาลาหรือเป็นกุฏิ เราดู พวกบาตรพวกกลดอะไรยังสะพายอยู่นั่นเราดูกลางคืน ไปยืนอยู่นั่น ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลาเงียบ ๆ มืด ๆ ท่านถามว่า ใครมานี่ ท่านว่างั้น ขึ้นตรงนี้เลย ใกล้ ๆ นี้ท่านยืนนิ่ง ๆ อยู่ เราเถ่อเราก็ไม่เห็นท่าน กลางคืน ใครมานี่ (กระผม) โอ๋ย แผดออกมาเลยนะ อันผม ๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีตรงที่มันไม่ล้าน แย้งซิแย้งตรงไหน มันมีผมตรงที่มันไม่ล้าน เจ็บหมดเลยเอามาพูด
พอท่านว่าอย่างนั้นเราก็เปลี่ยนปุ๊บปั๊บ (กระผม พระมหาบัว) นั่นละท่านทราบว่าเราเป็นมหาก็ตรงนั้นละ ตั้งแต่นั้นมาเราไม่เคยแสดงกิริยามหาให้ท่านเห็นตลอดท่านล่วงลับไปเลยนะ ถ้าพูดถึงทางด้านปริยัติท่านจะทดลองเราทุกแบบเลยพ่อแม่ครูจารย์มั่นนะ เพราะกิริยาของมหาไม่มี ก็มุ่งต่อธรรมล้วน ๆ แล้ว เรียนเราก็เรียนมาแล้วมากน้อยก็อยู่กับเรา ได้ผลประโยชน์มากน้อยก็อยู่กับเรา ส่วนภาคปฏิบัติเราตั้งใจมาศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ จิตใจเราก็พุ่ง ๆ ใส่ภาคปฏิบัติล่ะซิ (กระผมชื่อ พระมหาบัว) เอ้อ ขึ้นเลย มันต้องอย่างนั้นล่ะซี นี่ผม ๆ โอ๊ย ท่านแหย่เอาด้วยนะ เสียงลั่นไปเลย พระเดินจงกรมอยู่ตามนั้นต่างองค์ต่างเงียบนะเดินจงกรม เหมือนไม่มีพระเลย เราเข้าไปเหมือนวัดร้าง พอเสียงท่านลั่นขึ้น พระอยู่ตามที่ต่าง ๆ ต่างองค์ก็รุมมา
สำคัญที่ว่ากระผมชื่อพระมหาบัว พอว่างั้น เอ้อ ก็ต้องอย่างนั้นซี นี่ผม ๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกนะ มันไม่มีที่แย้งนะ อันนี้ที่มันฝังลึกนะ คือแทนที่มันจะเป็นผลลบ ท่านขนาบปั๊วะ ๆ โถ กลับเป็นผลบวกไปหมด ถึงใจ ๆ ที่ว่าผม ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็ยังมีผมตรงที่มันไม่ล้าน หมัดนี้ไม่มีที่แย้ง ทีนี้พอว่ากระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ต้องอย่างนั้นซี อันนี้ผม ๆ ท่านใส่เอาตรงนั้น มันอดหัวเราะไม่ได้ขบขันด้วย ตั้งแต่เด็กมันก็มีผมนั่นน่ะ พอว่าอย่างนั้นเราก็เลยออกจากที่ไป ท่านกำลังจะติดตะเกียง ตะเกียงดอกบัวเล็ก ๆ นั่นน่ะ ตะเกียงโป๊ะดอกบัว กำลังจุด พระก็ปุ๊บปั๊บขึ้นมาจุดให้ท่าน เท่านั้นละท่านใช้ เห็นไหมล่ะ ตะเกียงใช้อย่างนั้น
เฮ้อ ทำไมท่านพูดเอานักหนานะ คือมันสมเหตุเบื้องต้น ที่เข้ากันกับเหตุเบื้องต้นที่เราถามพระ ชื่อพระสีนวล เห็นไหมลืมเมื่อไร ถ้ามีเหตุแล้วไม่ลืมนะ พระสีนวลนี้มาจากบ้านนามนที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ ท่านย้ายจากนามนก็มาอยู่บ้านโคก มาสร้างใหม่ที่นี่ ที่เราไปนี่น่ะ บอกว่าท่านอยู่นามนมาจากท่านอาจารย์มั่น หือ ขึ้นเลยเราก็ดี เราก็เตรียมจะไปหาท่านอยู่แล้วแต่ยังไม่กำหนดวันเวลา ยังธรรมดาอยู่ แต่จะไป พอว่ามาจากท่านอาจารย์มั่นเท่านั้นแหละ เราก็หือ ๆ ขึ้นเลยจ้อเข้าเลย ไหนมาจากท่านอาจารย์ใหญ่มั่นเหรอ ครับใช่แล้ว ท่านอยู่ไหนเวลานี้ ท่านอยู่นามน ท่านกำลังเริ่มให้เขาสร้างวัดใหม่ ท่านจะมาอยู่ที่วัดใหม่บ้านโคก
เดี๋ยวถามหน่อยนะ ได้ทราบว่าท่านอาจารย์มั่นนี้ดุเก่งใช่ไหม โอ๋ย ไม่ต้องถามละเรื่องดุนี่น่ะ พอไล่ท่านไล่เลย ถ้าใครทำผิดพลาดท่านไล่เลยอย่าว่าแต่ดุ ทางนี้กึ๊กเข้าถึงใจเลย นั่นเห็นไหมล่ะ แทนที่จะเป็นผลลบไม่เป็นนะ องค์นี้ละอาจารย์เรา นึกในใจนะ นึกอย่างถึงใจเสียด้วย ครูบาอาจารย์ขนาดนี้ดุคนหาเหตุหาผลไม่ได้นี้เป็นไปไม่ได้ นี่อันหนึ่ง ชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่เราหัวเท่ากำปั้นนี่ ท่านมาอยู่ทางอำเภอบ้านผือเราเป็นเด็ก ชื่อเสียงท่านโด่งดังมาจากโน้นแล้ว จะไปดุด่าว่ากล่าวใครอย่างไม่มีเหตุมีผลนี้เป็นไปไม่ได้ เอา ยังไงต้องเราเป็นตัวสักขีพยานเลย ท่านจะดุให้ดุเรา ท่านจะขับไล่ให้ขับไล่เรา ขับไล่เพราะเหตุผลกลไกอะไร เราจะเป็นผู้รับเหตุผลนี้ทั้งนั้น พูดด้วยความถึงใจ ๆ นะ มีแต่ผลบวกไม่ใช่เป็นผลลบ นี้ละอาจารย์ของเรา ขึ้นเลยทันที
นี่ละจึงไปโดนเอานี้มันก็เข้ากันได้กับอันนั้นที่เปรี้ยง ๆ โอ๊ย ทำไมถึงถูกต้องเอานักหนา มันก็ยิ่งเป็นผลบวกเข้าตะพึดตะพือนะ พูดตรงไหนหาที่ค้านไม่ได้ ว่าผม ๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน แย้งซิน่ะ แย้งได้ที่ไหน พอแก้ปั๊บ กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็อย่างนั้นซี นี่ผม ๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม ว่าอีกแหละ โอ๋ย ทำไมถึงถูกเอานักหนา มันยิ่งเป็นผลบวกเรื่อย ๆ นะสมเจตนาที่มาจริง ๆ อย่างนี้ซิ นั่นละเรื่องราวมัน เรื่องกลัวนี่กลัวมากนะ กลัวพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาก แต่เหตุผลบังคับไว้ จะไปไหนเราไม่ไป ลงได้มาพบครูบาอาจารย์ขนาดนี้แล้ว หาที่ต้องติไม่ได้เลย เราหาของดีหาครูหาอาจารย์ที่ดิบที่ดี พูดนี้หาที่ต้องติไม่ได้แล้ว เป็นคติเต็มทุกสัดทุกส่วน นี่ละบังคับ มันกลัวท่านมันอยากหนี อันหนึ่งหนีไม่ได้ บอกเลย บีบกันเลยเทียวนะ นั่นละถึงได้อยู่กับท่านมาเรื่อย เรื่องราวเป็นอย่างนั้นเบื้องต้นเวลาไปถึงแล้ว
ทีนี้ท่านก็พูดธรรมดานะ ทั้งที่เปรี้ยง ๆ อยู่นั่น จากนั้นเป็นธรรมดาไม่มีอะไร ธรรมดาสุภาพเรียบร้อยทุกอย่าง คำพูดคำจานิ่มนวล ไม่เสียงดังเหมือนปราบหมาไม่รู้เรื่อง หมาตัวหนึ่งมันเพ่นพ่านเข้าไปกลางคืน ถูกขนาบเอาเสีย พอหมาหมอบแล้วท่านก็เลยเงียบเสียเรายังไม่ลืม กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น แหม ถึงพริกถึงขิงถึงเหตุถึงผลจริง ๆ อยู่ไปนานเท่าไร ๆ ท่านดุตรงไหน ๆ จับเอามาพิจารณาหมด ดุตรงไหนนั้นแลคือเนื้อธรรม ๆ ยิ่งเด็ดเท่าไรมีแต่เนื้อธรรมล้วน ๆ ออกมา จนกระทั่งถึงที่ว่า ไหนที่ว่าดุ ดุอยู่ที่ตรงไหน มันย้อนหานะ มันไม่มีนะ ผู้มาหาอรรถหาธรรมจะเจอแต่อรรถแต่ธรรมวันยังค่ำจากท่าน นั่นมันลงไปตรงนั้นนะ คำดุด่าว่ากล่าวที่เขาร่ำลือกันนานา มันคือพวกหูอันนั้น นี่เราหาเหตุหาผลหาคำที่ว่าดุเพื่อความเสียหายไม่มีเลย มีแต่ดุตรงไหนเด็ดตรงไหนมีแต่ธรรมล้วน ๆ ล้วน ๆ ออกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ยิ่งแผดเปรี้ยง ๆ ด้วยแล้ว โอ๋ย มีแต่ธรรมทั้งนั้นไม่มีอย่างอื่นเข้ามาแฝงเลย มันก็ถึงใจ ๆ
ครั้นต่อจากนั้นมาแล้ว พออยู่ได้รู้เรื่องของท่าน และประกอบจิตของเราเข้าไปเรื่อย ๆ ทางนี้มันก็คืบขึ้นเรื่อย กับธรรมท่านมันก็รับกันได้สนิท ๆ ทีนี้เวลาท่านพูดธรรมดานี้มันไม่ถึงใจ ให้ท่านเปรี้ยงมันถึงถึงใจ คือจะได้ฟังธรรมะสำคัญจะออกเวลานั้นละ ถ้าธรรมดานี้ถึงจะพูดเรื่องนิพพาน ก็เหมือนขาดน้ำปลาอยู่ข้าง ๆ ไม่มีน้ำปลาว่างั้นเถอะ ต้องเอาน้ำปลามาตั้งไว้ข้าง ๆ ถ้าเปรี้ยงออกมาแล้วนั่นละถึงพริกถึงขิง เพราะฉะนั้นเวลามีการประชุมนี้ เรานี้ละตัวสำคัญมันเป็นยังไงก็ไม่รู้ หากเรานี้แหละ ประชุมกันอยู่มาก ๆ ครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่กว่าเราก็มี เวลาครูบาอาจารย์ไปเยี่ยมท่านอย่างนี้ก็มี มักจะมีแต่เราคอยสอดแง่นั้นสอดแง่นี้ คือหาอุบายไขก๊อก น้ำเต็มก๊อกอยู่ถ้าให้ท่านเปิดเองท่านก็เปิดธรรมดา ๆ เราทะลึ่งเข้าไปเปิด ท่านตีข้อมือเราปั๊วะ อย่ายุ่ง ใส่เปรี้ยงเลย
เรามันมีคะนองหากมีสอดตรงนั้นสอดตรงนี้ มีผิด ๆ พลาด ๆ บ้างอะไรบ้างพอให้รำคาญถ้าภาษาโลกนะ พอให้รำคาญท่าน สักเดี๋ยวก็ไม่ใช่ ขึ้นเลยเทียว เอาละที่นี่พอว่าไม่ใช่ก็ขึ้นเปรี้ยง ๆ นี่ได้การ หมายถึงว่าไขก๊อกได้การแล้ว ทีนี้ก็เปรี้ยง ๆ เอา ฟังที่นี่นะ ถ้าลงท่านได้คึกคักขึ้นแล้วนั่นละธรรมออกแล้ว เปรี้ยง ๆ มีแต่ยอดธรรม ๆ ฟังแล้วเพลินลืมตัวไปเลย เหมือนไม่มีร่างกายเวลาท่านเปรี้ยง ๆ เข้าสู่ใจ ใจรับปุ๊บ ๆ มีใจกับธรรมอยู่เท่านั้น ร่างกายหายไปเลย มีแต่ความรู้กับธรรมสัมผัสสัมพันธ์กัน ลืมเหน็ดลืมเหนื่อย ท่านจะเทศน์กี่ชั่วโมงไม่สนใจเลย
นี่ละธรรมะประเภทออกที่ว่าไม่ใช่ นั่นละคือมันขวางท่าน พอท่านเปรี้ยงปร้างออกมา ใช่แล้วไขก๊อกได้ที่แล้ว มันหากเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ธรรมดานะ ก็เราเคยฟังมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าวันนี้เป็นวันจะประชุมเทศน์ มันก็เคยฟังมามากแล้ว มันไม่ถึงใจดังที่เราไปไขก๊อกเอง ให้ท่านไขให้ท่านก็ไขให้พอประมาณ ๆ ถ้าเราทะลึ่งเข้าไปไขก๊อก ท่านตีข้อมือปั๊วะใส่เปรี้ยง อย่ายุ่ง ขึ้นเลย เรามันมือคะนองมันหากไขตรงนั้นไขตรงนี้อยู่งั้นจนกระทั่งได้ความ อย่างนั้นได้ฟังถึงใจทุกครั้งเลย เวลาประชุมก็ตามท่านเทศน์เด็ดเทศน์เดี่ยวไปเรื่อย ๆ ไม่ซอกแซกเหมือนท่านมากระเทือนปัญหาเรา ที่มีซอกแซกถามนั้นถามนี้ พูดไปพูดมาไปผิดพลาดอะไรก็แล้วแต่ ผิดพลาดไม่ผิดพลาดก็คือเราไขก๊อกนั่นเองเข้าใจไหม ผิดก็ตามไม่ผิดก็ตามเราจะไขก๊อกเอาน้ำให้ได้ สักเดี๋ยวก็ว่าไม่ใช่ นั่นละที่ว่าอย่ายุ่ง แล้วก็เปรี้ยง โอ๋ย เต็มที่เลย
ฟังเทศน์มานี้ สาธุ ไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใดทั่วประเทศไทย เราเป็นนักล่าอาจารย์ ทางด้านปริยัติก็นักล่าองค์หนึ่ง ทางด้านปฏิบัติก็เหมือนกันเป็นนักล่าอาจารย์ องค์ไหนมีชื่อเสียงโด่งดังเข้าเลย เข้าไปดูทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ออกมาด้วยความเรียบร้อยไม่ให้มีกระทบกระเทือนนะ ไปพิจารณาคัดเลือกดูท่านปฏิบัติยังไง ๆ ก็เรียนมาแล้วมันเห็นหมดนี่ว่าไงทางด้านปริยัติ หลักวินัยสำคัญมากนะ ก็เรียนมาแล้วนี่ ธรรมวินัย ธรรมในสูตรไหน ๆ ก็เรียนมาแล้ว พระวินัยก็เรียกว่าเราค้นคว้าทางวินัยนี้แหลกเลย มันจะไปสงสัยตรงไหน เวลาท่านแสดงออกมาแง่ไหนมันก็จับได้หมดล่ะซี
ครั้นเวลาไปหาองค์นั้นมีอะไร องค์นี้มีอะไร มีอะไรคือขัดกับพระวินัยข้อใด ธรรมข้อใด มันหากมีของมัน เราหาอุบายหนีไปเสีย ไปเรียบ ๆ ธรรมดา ไปทุ่มเอาเลย กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ทุ่มเลย เพราะไปทีแรกท่านก็ทุ่มให้เลย ไอ้เราก็ไปเซ่อ ๆ แบบหนึ่ง ก็เรียกว่าไปไขก๊อกแบบหนึ่ง ไปทีแรกก็เริ่มไปไขก๊อกแล้ว ผม ๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มี คือไปไขก๊อกให้ท่าน เรียกว่าเริ่มต้นไปก็ไขก๊อกแล้ว ท่านก็เปรี้ยง ๆ จากนั้นมาไขเรื่อยเลยนะ มันหากมีเรื่องที่จะไขก๊อกท่านน่ะ ไม่มีใครบอกมันหากมีของมัน อยู่เงียบ ๆ เรานั่นละค่อยพูดค่อยแทรกไปอันนั้นอันนี้ ท่านก็ฟัง เราก็พูดไป มันหากมีที่ไขก๊อก สักเดี๋ยวก็ไปโดนก๊อกใหญ่ใส่เปรี้ยงเลย หน้าผากแตก แตกช่างหัวมันขอให้ได้กินน้ำก็พอ หน้าผากแตกไม่สำคัญขอให้ได้กินน้ำในก๊อกก็พอ ท่านก็ซัดเอา โอ๊ย ถึงใจนะ
เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์หลุย เราเดินจงกรมอยู่ในป่า กลางคืนท่านไป ท่านก็รักแบบหนึ่งเมตตาแบบหนึ่งกับท่านอาจารย์หลุยนะ คือเมตตาแต่ละอย่าง ๆ ไม่เหมือนกัน กิริยาท่านแสดงออกต่อลูกศิษย์ลูกหาไม่เหมือนกัน องค์หนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง ๆ สำหรับกับเรานี้เป็นทุกแบบ เพราะเรามันพระขี้ดื้อ ท่านเลยเป็นทุกแบบ ออกมาใช้ทุกแบบเลยกับเรา เวลาใครไปหาท่าน ท่านก็ใช้กิริยาอย่างนั้นเราดู ทีนี้ท่านอาจารย์หลุยถ้าขึ้นไปหาท่านโดยลำพัง มาอะไรหลุย ท่านเอาแล้วนะ อย่ามายุ่งนะ ไป ไล่ ทางนั้นก็กราบปุ๊บปั๊บเปิดเลย กลัวท่าน มาอะไรหลุยว่างั้นนะ อย่ามายุ่ง ไป ไล่ ทางนี้ก็หมอบเปิดเลย หลายครั้งหลายหนไม่ได้ฟังเทศน์ โมโหล่ะซี
เราเดินจงกรมอยู่ในป่าลึก ๆ ก็อย่างที่เคยพูด คือเราไม่เคยมีไฟละ เรื่องไฟไม่มีกับเรา เดินอยู่ไหนก็อย่างนั้น ฟังเสียงกุ๊บกั๊บ ๆ กลางคืน แต่เราไม่คิดอย่างอื่นเราคิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น เสียงกุบกับ เอ๊ ใครมา หรือพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่สบายหรือไงนา มันคิดไปอย่างนั้นนะ เพราะธรรมดาจะมีพระมาเกี่ยวข้องกับเราจนได้ เราจึงต้องได้คิด เสียงกุ๊บกั๊บ ๆ มากลางคืนมืด ๆ ท่านก็งมมืด ๆ มาอย่างนั้นแหละเข้ามา คือท่านถามพระว่าเราเดินจงกรมอยู่ที่ไหน ว่าอยู่ตรงนั้น ๆ พระไปบอกปากทางเข้าแล้วก็เลยเข้าไป เสียงกุ๊บกั๊บ ๆ ใกล้เข้ามา ๆ เราก็เลยถาม ใครมานี่ เรานึกว่าพระจะมาหาเราเรื่องราวอะไร ใครมานี่ (ผมเอง) เดินเข้าไปหาเราเลย
พอเสียงเราขึ้น ใครมาที่นี่ (ผมเอง) พอไปคว้าถูกแขนเราจับจูงเลยทีเดียวกลางคืนนะ มันขบขันดี นี่คือความสนิทกัน นิสัยท่านอาจารย์หลุยท่านเป็นอย่างนั้น คว้าได้แขนเราก็จูง จะจูงไปไหน (ก็ไปฟังเทศน์ล่ะซี) อ้าว เมื่อคืนนี้ผมก็ไป ครูจารย์ทำไมไม่เห็นไป (ก็นั่นซี ผมไม่ได้ไปเมื่อคืนนี้ผมถึงมาหาท่านมหา) แล้วไปแต่ท่านอาจารย์ไม่ได้เหรอ (โอ๋ย ไม่ได้ ท่านเขก ไล่) พูดไม่ปล่อยมือนะจูงเรื่อยเลย จนกระทั่งออกมาถึงลานวัดท่านถึงปล่อยมือก็เดินตามหลังกันไป นี่คือท่านเมตตาคนละแบบ (ถ้าท่านมหาไปแล้วได้ฟังแหละ) ไม่ได้ฟังยังไง ไปก็มีแต่ไปไขก๊อก ไขผิดไขถูกไขนั้นไขนี้ ก็ถูกไม้ตีหน้าผากเอาล่ะซี ตีก็ตาม หน้าผากแตกช่าง เรากินน้ำอิ่มจากก๊อกนี้เราพอใจ
พอจูงแขนเราก็ไปด้วยกัน ก็ไปหาท่านจริง ๆ คืนนั้นเราจะไม่ไป คือเราไม่ได้ไปทุกคืน เว้นคืนหนึ่งบ้าง อย่างมากก็ไม่เลยสองคืน จะต้องไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ไปท่านมักจะถามถึง ท่านมหาไปไหน แน่ะอย่างนั้นแหละ ท่านมักเป็นอย่างนั้น กับเราก็เป็นอีกแบบหนึ่ง กับท่านอาจารย์หลุย มาอะไรหลุย ไล่เลย แต่เราไม่เคยมีอย่างนั้น ถึงท่านจะใช้แบบไหนก็ไม่เคยใช้ มาอะไร หนี ไม่เคยมี เพราะท่านเห็นตัวสำคัญมันมา พูดถึงเรื่องนี้เรามักจะมีแปลกหมู่แปลกเพื่อนนะ พอขึ้นไปแล้วก็ตั้งใจจะพาท่านอาจารย์หลุยฟังเทศน์ ยังไงก๊อกนี้ต้องแตกว่างั้นเถอะน่ะ มันจะออกจนได้แหละ
พอขึ้นไปกราบธรรมดาแล้วก็พูดนั้นพูดนี้ สอดนั้นสอดนี้ สักเดี๋ยวท่านก็ใส่เปรี้ยง ๆ โอ๊ย ฟังอย่างจุใจ พอได้เวลาลงมาด้วยกันนะ มีพระสององค์สามองค์เท่านั้นคอยนวดเส้นถวายท่าน เราก็รู้แล้วองค์ไหนเคยนวดเส้นกับท่าน ท่านได้รับผาสุกสบายก็รู้ เพราะฉะนั้นเราถึงบอกใครที่ไปนวดเส้นให้ท่านรำคาญอย่าไปยุ่งนะ เราเป็นคนสั่งเสียไว้หมด ให้เฉพาะองค์ที่นวดเส้นถูกกับธาตุกับขันธ์และนวดเส้นเป็นเท่านั้นเป็นผู้นวดให้ท่าน คนอื่นไปยุ่มย่ามไม่ได้ ทีนี้พอเสร็จแล้วเราก็ลงมา พอลงมาจากบันได (เห็นไหมล่ะ) เห็นอะไร (ก็ท่านมหาไป ท่านเทศน์เต็มเหนี่ยว ฟังอย่างจุใจวันนี้ ท่านมหาไม่ไปท่านไม่ได้เทศน์ ไปมีแต่ขนาบลง เห็นไหมล่ะ) เห็น (อย่างนั้นละผมถึงต้องไปเอาท่านมหามา) ท่านจูงแขนลากมาเลย ไม่ได้พูดพล่ามทำเพลงนะ
ใครมานี่ (ผมเอง) พอว่าคว้าแขนเลยจูงมาเลย จะเอาไปไหน (ไปฟังเทศน์ล่ะซิ) จูงตลอดไม่มีปล่อย อย่างนั้นละพระท่านสนิทกัน อย่างเรากับท่านอาจารย์หลุย จับแขนจูงมาเลย จะเอาไปไหน (ไปฟังเทศน์ล่ะซิ) แล้วไม่ปล่อยมือนะ จูงเรื่อย ขบขันดี นี่ละเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลาอยู่ไปนาน ๆ ท่านไม่ดุเหมือนกับว่ามันปวดหัว ต้องหากินยาทันใจ ถ้าท่านเปรี้ยงออกมาแล้ว นั่นละยาทันใจมาแล้ว คือเปรี้ยงออกมานี้ธรรมะขึ้นพร้อม ๆ กันเลย จึงว่าถ้าพูดถึงเรื่องลูกศิษย์ลูกหาที่ไปอยู่กับท่านไม่มีใครดื้อยิ่งกว่าเรา เพราะฉะนั้นเราถึงได้ถามว่า บรรดาครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่มาหาท่าน มีองค์ไหนที่ซอกแซกซิกแซ็กให้ท่านได้ดุได้ด่าบ่อย เป็นเจ้าปัญหาเหมือนอย่างเรามีไหม ไม่มีว่างั้น ก็มีแต่ท่านอาจารย์องค์เดียว
เราถึงว่าไม่มีก็ตาม มันก็มีอยู่ในเรานี้แล้ว มีนิสัยอันนี้เข้าใจไหม อย่างนั้นมันหาเหตุหาผล จะหาเอาหลักเอาเกณฑ์เอาอรรถเอาธรรมใช่ไหม จึงต้องหาอุบายซอกแซก ไขก๊อกนั้นแล้วไขก๊อกนี้ ไขผิดไขพลาด ไขไปไขมาท่านรำคาญท่านก็ตีข้อมือเอา อย่ายุ่ง ท่านไขให้มันไม่สมใจ เราไปหาไขเองมันก็ผิด ๆ พลาด ๆ พอให้ท่านรำคาญ ท่านก็เปรี้ยงออกมา ทีนี้ก็พุ่งเลยน้ำ เป็นอย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ละเลิศเลอ พี่น้องทั้งหลายดูเสีย ศาสนาพระพุทธเจ้าของเรานี่ คำว่า อกาลิโก คือธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา เป็นมัชฌิมา ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางแห่งมรรคผลนิพพานตลอดเวลา กับผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งอกตั้งใจจริง ไม่เป็นอื่นว่างั้นเลย ธรรมนี้เป็นธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยมรรคด้วยผล จากการแนะนำสั่งสอนของท่านด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีอะไรผิดเพี้ยน
ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่มีอะไร มีแต่กิเลสลากเข็นออกนอกลู่นอกทางคือธรรม ไปสู่ทางนรกอเวจีของมัน เป็นอย่างนั้นละศาสนาทุกวันนี้ จึงมีแต่เรื่องกิเลสเต็มบ้านเต็มเมือง พูดที่ไหน ๆ มันก็อดพูดไม่ได้มันเจออยู่ตลอดเวลา พอปั๊บนี้มันเห็นแล้ว รู้แล้วเห็นแล้ว มีแต่เรื่องกิเลสล้อมหน้าล้อมหลัง ธรรมที่จะยิบ ๆ แย็บ ๆ ออกมาเป็นการต้านทานกิเลสให้เราได้เห็นบ้างว่ามีท่าต่อสู้นี้ไม่มี มีแต่หมอบราบ ๆ ขี้แตกเยี่ยวราดไปเลย เข้าใจไหม คือเวลามันจูงแรง ๆ มันลากแรง ๆ ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวแตกราดไป แล้วมันก็ลากไปกับมัน เสียงร้องแหง็ก ๆ ไปเรื่อย ทางนี้ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวราดไปตามทาง คือถูกกิเลสมันลากไป พวกเรานี่พวกร้องแหง็ก ๆ ไม่ทราบแหง็ก ๆ เจ็บหรือไม่เจ็บ หรือว่าอันนี้มันลากน้อยไปก็ไม่ทราบนะ ไอ้แหง็ก ๆ นะ ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวไม่มีในท้องแหละ กิเลสลากไปออกหมดเลย มองไปที่ไหนมีแต่อย่างนั้นจะไม่ให้ว่ายังไง
ดูมันจ้าอยู่ตลอดจะให้ว่าไง มันไม่มีกิริยาของอรรถของธรรม ถ้าว่าเดินจงกรมก็เดินไป กิริยาท่าทางเหมือนคนเดินจงกรม ครั้นดูจริง ๆ คนกำลังจะสลบ ถูกกิเลสยำเอา ๆ อยู่ตลอด เดินจงกรมมันก็ยำไปตามทาง เดินมาก็ยำ ครั้นยำไปยำมา นี่สมควรแล้ว สมควรแล้วอะไร เขี่ยขึ้นหมอนเข้าใจไหม คือยำเสียจนเป็นลาบแล้ว นี่สมควรแล้ว เขี่ยลงหมอนปั๊บเลย เสร็จ มันเป็นเสียอย่างนั้นนะพวกเรานี่ ไปที่ไหนเห็นแต่กิเลสเขี่ยลงหมอน ๆ โฮ้ เราพูดจริง ๆ ด้วยความสลดสังเวชนะ คือเราฟัดกันมาตั้งแต่ต้น ก.ไก่ ก.กา ถึงน้ำตาร่วง สด ๆ ร้อน ๆ อยู่ในหัวใจไม่ได้ลืมนะ จึงได้ฟัดกันเต็มเหนี่ยว ๆ จนกระทั่งถึงระยะที่พอต่อสู้กันได้ ทีนี้ก็ซัดกันใหญ่ พอต่อสู้กันได้พอเหนือมันเป็นลำดับลำดา ทีนี้ก็ขยำใหญ่เลย แล้วก็เรื่อย ๆ มาเลย
จนกระทั่งถึงขนาดที่ว่าอัตโนมัติของความเพียร ได้รั้งเอาไว้ ๆ ถึงขั้นธรรมที่ควรรั้งมีอำนาจมากแล้ว ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาต้านทานได้เลย แต่ก่อนแย็บออกไม่ได้มันตีแหลกเลย ๆ สติตั้งพับล้มผล็อย ๆ ไม่มีที่จะยับยั้งตั้งตัวได้สักนิดหนึ่งเลย พอตั้งพับล้มพร้อม อำนาจของกิเลสกระแสของกิเลสมันรุนแรง ตีปั๊วะเดียวหมด ๆ ทีนี้เวลาต่อสู้กันไม่ถอยก็ค่อยขยับตัวได้บ้าง ๆ กิเลสมันก็มีอ่อนกำลังเหมือนกัน เมื่อธรรมมีกำลังกิเลสต้องอ่อน ซัดกันไปซัดกันมาก็ค่อยตั้งรากตั้งฐานได้ รากเบื้องต้นคือสมาธิ จิตสงบเย็น อยู่ไหนสบายหมดไม่มีอะไรกวนใจ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เหมือนไม่มี มีแต่ความสงบเย็นอยู่ภายในใจ นี่เราตั้งหลักได้ขั้นนี้แล้ว
ต่อจากนั้นเพื่อให้เหมาะสมทีเดียวเลย ไม่ต้องติดอยู่ในสมาธิ เพลินในสมาธิคือความสงบจนเกินไป ก้าวออกทางด้านปัญญา ปัญญากับสมาธิเข้ากันได้ทุกขั้นทุกภูมิ สมาธิขั้นนี้นำปัญญาขั้นนี้ออกใช้ คำว่าสมาธิ คือจิตอิ่มอารมณ์ ธรรมดาของจิตจะไม่มีคำว่าอิ่มอารมณ์ มันจะซอกแซกซิกแซ็กอยากรู้อยากเห็น อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนพับจนกระทั่งหลับ นี่คือกิเลสทำงานทั้งนั้น ๆ ทีนี้พอจิตของเราตีตะล่อมความฟุ้งซ่านรำคาญให้สงบเข้ามาด้วยบทธรรมบทใดก็ตาม มีสติสตังยับยั้งเอาไว้ บังคับกัน ครั้นนานเข้า ๆ อำนาจของธรรมคือคำบริกรรมของเรานี่ บริกรรมนั้นก็เป็นสังขาร แต่เป็นสังขารฝ่ายธรรม เป็นน้ำดับไฟ สังขารหนึ่งเป็นฝ่ายสมุทัย คือกิเลสลากไปถูไปหาเชื้อไฟมาเผาตัวเอง
คำว่าสังขาร สังขารที่เป็นฝ่ายกิเลสก็มี สังขารเป็นฝ่ายมรรคก็มี เราเอาสังขารฝ่ายมรรคนี้มาบริกรรม บริกรรมหนักเข้าไปเท่าไรจิตก็ยิ่งค่อยสงบตัว ๆ เข้าไป ทีนี้อารมณ์ที่มันยุ่งข้างนอกมันก็ค่อยอ่อนตัวเข้ามาจนเข้าสู่ความสงบได้ พอเข้าสู่ความสงบเย็นใจมันก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านของตัวเองในขณะเดียวกัน ต่อไปก็มีแก่ใจ ขยับความสงบให้มากเข้า ๆ มันก็ตั้งรากฐานได้ จิตใจไม่หิวโหยในอารมณ์ ไม่อยากคิดนั้นคิดนี้ สุดท้ายแห่งสมาธิที่เต็มที่ของมันแล้ว ความคิดความปรุงที่มันอยากคิดแต่ก่อนกลับเป็นเรื่องรำคาญ ไม่อยากคิดกับอะไรเลย อยู่กับธรรมชาติอันเดียว รู้แน่ว นั่นละจิตเป็นสมาธิเต็มที่ มีแต่ความรู้อันเดียว ท่านเรียกว่า เอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิต ก็อันนี้แหละ อยู่อันเดียวเท่านั้นไม่มีอะไรกวนแล้วแสนสบาย อยู่ไหนสบายหมด
ทีนี้เมื่อมันสบายแล้วมันก็ไม่อยากออกทำงานทางด้านปัญญา มันก็ติดสมาธิ ผู้ที่มีสมาธิแล้วถ้าไม่มีครูอาจารย์แนะติดแน่ ๆ ไม่สงสัย เราติดมาแล้ว ๕ ปีได้พูดให้ฟังไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เข้าไปนั้นแล้วไม่มีอะไรกวนเลยไม่อยากออกล่ะซิ ออกมาเหมือนว่ากระทบเรื่องนั้นเรื่องนี้มันไม่สบาย ปั๊บเข้านั้นหายเงียบเลย จนได้ลากออกทางด้านปัญญา ออกทางด้านปัญญา ผลของปัญญายังไม่เกิดมันไม่รู้มันก็ขี้เกียจ สู้อยู่ในสมาธิอารมณ์อันเดียวไม่ได้ ไม่ต้องทำอะไร แน่ะ มันก็เข้ามาอยู่นี้เสียเลยไม่ได้งาน เรื่องสมาธิก็ได้แค่นั้น ผลงานที่เกิดจากสมาธิไม่มี มีแต่ความสงบพักใจชั่วระยะ ๆ เท่านั้น ผลที่จะแก้กิเลสจากสมาธินี้ไม่มี เพราะฉะนั้นจึงต้องออกทางด้านปัญญา
ปัญญาพิจารณาเรื่องแยกธาตุแยกขันธ์ ติดเขาติดเราจะติดอะไร ภูเขาภูเราก็คือในตัวของเรา ภูเขาก็คือตัวของคนนั้นคนนี้ ภูเราคือตัวของเรา ถือเขาถือเรา แยกอันนี้ออก เขาอยู่ที่ไหน เราอยู่ที่ไหน แยกออกเป็นสัดเป็นส่วน ตั้งแต่ขน ผม เล็บ ฟัน หนังเนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปไปตับไตไส้พุง แยกออกมาอันไหนเป็นเราเป็นของเรา ดูเข้าไปมันก็เห็นประจักษ์ ๆ ด้วยปัญญาๆ มันก็ถอนตัวออกมาๆ ทีนี้กระจ่างแจ้งขึ้นเรื่อย ขยับเรื่อยๆ ทีนี้มันก็ตำหนิสมาธิ หายอาลัยกับสมาธิแล้วที่นี่ เห็นคุณค่าของปัญญาก็เพลินทางด้านปัญญา สุดท้ายก็มาตำหนิสมาธิว่านอนตายเฉยๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร การแก้กิเลสนี้แก้ด้วยปัญญาต่างหาก ไม่ได้แก้ด้วยสมาธิ นั่นมันกลับตาลปัตรแล้ว มันก็พุ่งของมัน
ถ้าปัญญาออกแล้วเห็นทางที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ถ้ามีแต่สมาธิไม่เห็นทาง เห็นแต่ความสงบเย็นอยู่เท่านั้น หลงสมาธิ ทั้งวันทั้งคืนอยู่นั้นสบาย ไม่เห็นมีจุดหมายปลายทางอะไร แต่พอออกทางด้านปัญญาจุดหมายปลายทางจะมี ละเอียดลออกว่านี้ ละเอียดลออเข้าไป พิจารณาละเอียดลออเข้าไปมากเท่าไร ทีนี้อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในภูเขาภูเรามันจะค่อยถอนตัวเข้ามาๆ นี่ปัญญาทางบุกเบิก ปัญญาจึงเรียกว่าเป็นเครื่องแก้กิเลสนะ สมาธิมันเหมือนหินทับหญ้าเท่านั้นแหละ พอสงบเป็นกาลเวลาเท่านั้น ถ้าเรานอนใจก็ติด ติดจนกระทั่งวันตาย แต่ไม่ได้ถอดกิเลสถอนกิเลสออกแม้ตัวเดียว พอออกทางด้านปัญญามันจะเป็นของมันเองนะ ค่อยกระจ่างออกไปๆ พิจารณาตรงไหนนี้มันเหมือนไฟได้เชื้อ มันเผาไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยเห็นไปเรื่อย ปล่อยไปเรื่อย ปัญญาเป็นอย่างนั้นนะ นี่เรียกว่าปัญญา
พากันพิจารณานะนักปฏิบัติ จะมาเพลินตั้งแต่สมาธิอย่างเดียวไม่ได้นะ นี่เราก็เคยพูดแล้ว พ่อแม่ครูจารย์ขนาบเอาเสียจน โถ เถียงกันจนแหลกเลยนะ เราติดสมาธิท่านลากออกจากสมาธิ เถียงท่านไม่อยากออก ซัดกัน สุดท้ายก็หน้าผากแตกสู้ท่านไม่ได้ กลับลงไป ไปแก้ไขใหม่ ไปพิจารณาตามที่ท่านสอนนั้นแหละ เราไม่อยากออก ท่านลากออก ทีนี้ภูมิของเรากับภูมิของท่านเป็นยังไง มาเทียบกันแล้ว ภูมิของท่านเป็นภูมิอาจารย์ ภูมิของเรามันภูมิหมาตัวหนึ่งเท่านั้น คอยแต่จะต่อสู้ท่านกัดท่านเห่าท่านนะ ต่อสู้กัน เอาท่านมาเป็นเกณฑ์ นี่มันถึงได้ออกทางด้านปัญญา เวลามันออก มันออกจริงๆ นะไม่ใช่ธรรมดา ออกไม่หยุดไม่ถอย กลางคืนกลางวันไม่ได้หลับได้นอนเลย มันไม่พานอน คือมันเห็นภัยต่อสิ่งทั้งหลาย ความยึดมั่นถือมั่นเหล่านี้เวลาปัญญากระจายออกไปแล้วมันเห็นภัยสิ่งเหล่านี้ มันก็ก้าวเรื่อยๆ
ทีนี้ก็ลืมหลับลืมนอน กลางคืนทั้งคืนนอนไม่หลับเลย เวลานอนจิตมันก็ทำงานแก้กิเลส นั่งก็ทำงานแก้กิเลส อิริยาบถไหนมีแต่ทำงานแก้กิเลส มันจะเอาเวลาไหนมาหลับ สุดท้ายก็แจ้ง เอา วันนี้แจ้งแล้ว นอนไม่หลับทำยังไง แล้วตอนเช้ามันเอาอีก มันก็ทำงานของมันตลอดเวลา กลางวี่กลางวันจะพักหน่อยมันไม่ยอมพัก อย่างนี้มันก็ไม่พ้นพ่อแม่ครูจารย์มั่น แน่ะเห็นไหมล่ะ เวลามันเอาเสียจริง ๆ จนไม่ได้หลับได้นอนคนจะตาย สติปัญญาทำงานไม่ถอย เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ พุ่งๆ นิพพานนี้เริ่มแล้วนะ เริ่มเข้าไปใกล้เข้าไป มองเห็นนิพพานแล้ว ต่อไปก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ จับผิดจับถูก นั้นยิ่งหมุนใหญ่นะนั่น
เมื่อมันจะตายจริงๆ แล้ว ซอกแซกๆ ขึ้นไปหาท่าน นี่ที่ว่าพ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไงว่าซิ ก็มันไม่ได้หลับได้นอนทั้งวันทั้งคืน นั่นล่ะมันจะตาย มันเป็นบ้า บ้าสังขาร ท่านว่าบ้าสังขาร มันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั้นละบ้าหลงสังขารๆ ขนาบอีก คราวนี้หมอบนะ ไม่สู้ มันจะถูกของท่านนั่นแหละ แต่ความเพลินที่มันจะพุ่งมันไม่ถอยนะ แต่ท่านรั้งเอาไว้ สำหรับพ่อแม่ครูจารย์พูดกับเรา ท่านจะไม่แจงออกมาให้ละเอียดนะ เอาอันใหญ่ๆ ให้เราไปแก้มัดนี้เอง มัดนี้ไว้เป็นส่วนรวมของอรรถของธรรมเหตุผลทั้งหลายจะอยู่นี้ ท่านมัดเอาไว้ตรงกลาง ให้เราไปคลี่คลายแก้เอาเอง เช่นว่ามันหลงสังขารเท่านั้นพอ เวลาเราไปพิจารณา คำว่าหลงสังขาร
ถ้าหากว่าท่านจะพูดว่า อันนี้มันเพลินเกินตัว แล้วสมุทัยแทรกเข้าได้ จึงเรียกว่าหลงสังขาร สังขารใช้ทั้งสมุทัย ใช้ทั้งทางฝ่ายมรรค ฝ่ายมรรคถ้าใช้ไม่รู้จักประมาณมันก็เชื่อมโยงไปถึงสมุทัยได้ อย่างท่านว่าหลงสังขาร แต่ท่านไม่บอกอย่างนั้น ท่านบอกว่านั่นละมันหลงสังขาร ทางนี้ก็เถียงเลย ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ขนาบ หมอบเลย โน่นเวลามันผ่านไปมันถึงรู้ อะไรก็ตามท่านจะเอาทั้งมัดทั้งดุ้นโยนให้เราเลย ให้เราไปคลี่คลายเอง แปลกอยู่นะพ่อแม่ครูจารย์มั่นกับเราท่านไม่เคยแจงออกมาเลย เอาทั้งมัดๆ โยนตูมให้เลย มันไปคลี่คลายเองเข้าใจเองๆ เรื่องนอนตายเหมือนหมูก็เหมือนกัน อยู่ในสมาธิ แล้วเวลาออกทางด้านปัญญาหมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน ท่านก็บอกว่าหลงสังขาร เวลามันผ่านไปๆ มันก็รู้ อ๋อ การก้าวเดินไม่รู้จักประมาณเป็นฝ่ายสมุทัย สังขารแทรกเข้าแล้ว คือเวลาเราผ่านไปรู้จักประมาณ ถึงมาทราบอันนี้ แต่ท่านไม่บอกล่ะซิ เรียกว่าให้ไปแก้เอา ให้มันไปแก้มัดนี้เอา
นี่ละพี่น้องทั้งหลายให้พิจารณาภาวนานะ อยู่ที่ใจนะ ใจถ้ากิเลสยังรุมล้อมมัดกันอยู่อย่างนี้ มันจะไม่เห็นธรรมเป็นของอัศจรรย์จนกระทั่งวันตาย จะเป็นอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ จะไม่เห็นอะไรอัศจรรย์ยิ่งกว่ากิเลสความโลภความโกรธราคะตัณหา พาดีดพาดิ้น ดิ้นไปตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตายไม่มีอิ่มพอ ดิ้นไปอีกภพหน้าภพหลัง ดิ้นไปแบบนี้เอง กิเลสไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ต้องเอาปัญญาเข้าแก้ เอาธรรมเข้าแก้ เวลาธรรมแก้กันไปๆ แล้ว พอถึงขั้นของธรรมแล้วฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่ต้องถามหาพระนิพพานที่ว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆ นั้น ไม่เอื้อมแล้ว เห็นไหมล่ะ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาบอกแหละ มันยอมรับหมดเลย
จิตนี้มันค่อยจะสว่างขึ้นเรื่อยนะ คือเวลานี้สว่างไม่ได้เนื่องจากกิเลสครอบมันอยู่ตลอดเวลา พอเราขัดด้วยการภาวนานี้ มันจะขัดไปๆ ก็เริ่มเข้าสู่ความสงบจะเริ่มเย็นใจ ความสงบนี้จะเริ่มตั้งตัวเป็นฐานแห่งความรู้เด่นขึ้นมาๆ เด่นขึ้นมาแล้วสว่างออกไปเรื่อย เด่นขึ้นมาแล้วแน่นหนามั่นคงด้วย สว่างออกเรื่อยจากจิตใจ เพราะการชำระของเรา ให้พากันจำเอานะ พิจารณาไปเรื่อยๆ แล้วมันจะค่อยสว่างขึ้นๆ ต่อไปก็เหมือนอย่างที่เคยพูดให้ฟังแล้ว อยู่ที่ไหนมองอะไรมันไม่เห็นเลย เห็นแต่จิตอันนี้สว่างจ้าครอบไปหมดๆ แม้ที่สุดร่างกายเรานี้ก็กลายเป็นแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงที่สว่างอยู่นั้นคือใจ แก้วครอบนี้คือร่างกายของเรามันทะลุออกหมดเลย มองดูภูเขาทั้งลูกทะลุ มองอะไรทะลุหมด
นี่อำนาจของจิต เวลามันได้ดูแล้ว ตาเห็นพอเป็นรูปเป็นร่างนี่นะ แต่ใจนี้ทะลุออก ใจเป็นส่วนใหญ่ทะลุ ดินทั้งแผ่นทะลุไปหมด ไม่มีอะไรมากีดมาขวางได้เลย ทะลุๆๆ ท่านจึงว่า
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกนี้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าตนว่าตัวนี้ออกเสีย จะข้ามพ้นพญามัจจุราชไปได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ ท่านสอนพระโมฆราช ให้ดูโลกเป็นของว่างเปล่า นั่นละพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าทรงไว้แล้วธรรมะประเภทนี้ มาสอนพระโมฆราช
ทีนี้เวลาจิตมันเป็นอย่างนี้ เราไม่ได้วัดรอยนะ มันเป็นของใครมันก็พูดได้ทุกคนแหละคนเรานะ เมื่อมันเป็นขึ้นมาแล้วมันเป็นจริงๆ ทดลองดูตาเจ้าของกับสิ่งทั้งหลายนี้ กับใจนี้ที่มันมีกำลังมากกว่ากันนะ ตาเรามองเห็นนี้ แต่ใจนี้มันพุ่งทะลุไปหมด เป็นหลักธรรมชาติของมันที่มีกำลังแล้วมันไม่ได้รอ ต้นเสาต้นนี้พุ่งผ่าน ว่างไปหมดๆ เลย ท่านจึงว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ คือมันว่างมันสูญเปล่าว่างเปล่าไปหมด ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าตนว่าตัวออกเสียยิ่งว่างใหญ่เลย อะไรจะอัศจรรย์ยิ่งกว่าจิต เลวที่สุดก็คือจิต อัศจรรย์ที่สุดก็คือจิต คนที่เลวที่สุดก็คือกิเลสพาให้จิตใจเลว คนที่เลิศที่สุดก็คือธรรม พาให้ชำระกิเลสเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็เหลือแต่จิตดวงเลิศเลอ จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างนั้น พากันจำเอานะ
เราสงสารนะไม่รู้จะทำยังไง สอนก็สอนเต็มเขตเต็มแดน ให้เห็นจิตเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ รูปร่างของเรากับสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ผิดกันนะ เราดูศาลาดูต้นเสานี้เป็นยังไง ร่างกายของเรามันก็เหมือนนั้น มันไม่มีความรู้สึกอะไร จิตต่างหากเป็นผู้ให้ความรู้สึก รู้สึกไปตามแผนกว่าอันนี้ใช้งานนั้นๆ ตาใช้งานดู หูใช้งานฟัง นี่คือเครื่องมือของจิต ถ้าหากว่าตาบอดเสีย เครื่องมือเสีย จิตที่รู้อย่างนี้ก็ไม่เห็น เครื่องมือเสีย ตาบอด หูหนวกหูฟังก็ไม่ได้ยินเสีย เพราะหูหนวก จิตไม่ได้หนวก แต่เครื่องมือของจิตเสีย เรียกว่าจิตอาศัยเครื่องมือคือขันธ์อยู่ อันนั้นดีอันนี้ชั่วเป็นธรรมดา แต่จิตที่เป็นตัวของตัวแล้วไม่มีอะไรเสียเลย อันนี้ไม่ต้องอาศัยอะไร คือจิตเป็นธรรมชาติของตัวล้วนๆ แล้วไม่มีอะไรเสีย เพราะไม่อาศัยเครื่องมือเหล่านี้ ว่าว่างก็ว่างไปหมดเลย มันทะลุเหยียบแหลกไปเลย ว่าอันนั้นมีอันนี้มีนี้ จิตมันทะลุไปแล้วเหยียบแหลกไปแล้ว
จิตเวลาถึงขั้นอัศจรรย์ มันเป็นจริงๆ นี่ก็ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ยืนรำพึงอยู่ตอนเช้าเราไม่ลืม วัดดอยธรรมเจดีย์ลืมเมื่อไร จิตมันส่งแสงสว่าง มันสว่างอะไรนักหนา ยืนรำพึง โถ จิตเรานี้ทำไมจึงสว่างเอานักหนา อยู่บนภูเขาทั้งหินผาหน้าไม้ขนาดไหนมองดูมันไม่ได้มีเลย มันพุ่งทะลุไปหมด โถ ทำไมจิตถึงได้สว่างไสวเอาขนาดนี้นา ๆ อัศจรรย์ตัวเองเห็นไหมล่ะ นี่ก็เป็นขั้นหนึ่งของจิต เมื่ออยู่ในขั้นนี้ก็ต้องติดขั้นนี้ ความสว่างไสวนี้เป็นเหตุให้จิตที่กำลังลุ่มหลงอยู่แล้วติดได้ หลงได้ไม่สงสัย เวลาผ่านไปแล้วมันถึงรู้ ถ้าไม่ผ่านก็ต้องถืออันนี้อัศจรรย์ตลอดไป ทีนี้เวลาผ่านจากนี้ไป พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปมันก็รู้ทันที ความสว่างอันนี้เป็นความสว่างอันสุดยอดของอวิชชา
กษัตริย์วัฏจักรคืออวิชชา นี่ละตัวสว่างให้จิตหลง หลงก็หลงอันนี้ หลงอวิชชา หลงวาระสุดท้ายหลงจุดนี้ พอวิชชาเต็มเหนี่ยวรู้ขึ้นมาลบอันนี้ผึงเดียวขาดสะบั้นลงไป ทีนี้ความสว่างอันเป็นหลักธรรมชาติแห่งความเลิศเลอของธรรมของใจนั้น ไม่ต้องบอก แล้วกลับมาพลิกตาลปัตร ความสว่างเหล่านี้เป็นเหมือนกองขี้ควาย นั่นเห็นไหม ความสว่างเหล่านั้นเป็นขนาดไหน ถึงมาตำหนิความสว่างที่เคยว่าอัศจรรย์แต่ก่อนมาเป็นกองขี้ควายได้ ถ้าไม่เหนือกันจะมาตำหนิกันได้ยังไงใช่ไหม นั่นละความสว่างแท้ของจิตที่บริสุทธิ์ อันนั้นไม่มีอะไรเข้าครอบ อันนี้เป็นโล่หลอกลวงของอวิชชา ที่ว่าสว่างๆ มองไปที่ไหนๆ ทะลุๆ โอ๋ย ทำไหมจิตใจของเราถึงสว่างๆ มันก็สว่างอยู่ที่ใจติดอยู่ที่ใจ เห็นใจอัศจรรย์แล้วก็ติดใจ ติดใจถือใจมันก็มีอยู่แค่นี้
พอธรรมะตีออกคำว่าใจว่าเราว่าเขา อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ ถือว่าเป็นเราเป็นเขา สลัดทิ้งหมดแล้วจ้า คราวนี้สว่างอันนี้เลยกลายเป็นกองขี้ควายไป สว่างอันนั้นเหนือขนาดไหนฟังซิที่นี่ เราเคยคิดเคยคาดไว้เมื่อไรว่าความสว่างเหล่านี้จะถูกตำหนิลงอย่างนี้ แล้วความสว่างนั้นจะเป็นของอัศจรรย์ให้เราเห็นอย่างนี้ เราไม่ได้เคยคิด เมื่อดำเนินไปถึงขั้นความจริงเป็นขั้นๆ มันก็รู้เองเห็นเอง นี่ละจิตเป็นของอัศจรรย์อย่างนั้น ศาสนาเป็นของจริงของแท้ ไม่ใช่ของหลอกลวงโลกนี่นะ ขอให้พากันตั้งใจปฏิบัติดีๆ
เวลานี้มีแต่กิเลสหลอกลวงโลกไปที่ไหนๆ อู๊ย สลดสังเวชนะ ถ้าพูดออกมาแล้วเขาจะว่าเป็นบ้ากันทั้งโลก ไม่พูดเสียดีกว่า ก็เราไม่ได้เป็นบ้านี่ พูดไม่พูดจะเป็นไรไป อยากพูดก็พูด พูดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง เราไม่ได้พูดเพื่อความเสียหาย ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนเราในการพูด เวลาพูดจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังมากน้อยก็พูดไปเสีย ถ้าไม่สมควรดึงก็ไม่ออก พากันจำเอานะ ธรรมพระพุทธเจ้าคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดไป ขอให้เปิดจอกเปิดแหน คือกิเลสมันหุ้มห่อจิตใจนั้นออกๆ เถอะ เราจะเห็นความอัศจรรย์ ไม่ต้องไปหาที่ไหนล่ะน่ะ แล้วไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้าด้วย สาวกทั้งหลายท่านไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าแหละ เต็มภูมิแล้วพอ ๆ เอาละพอ