สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๔ วานนี้ ทองคำได้ ๑๐ บาท ๕๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๐๗๖ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงที่พูดตายตัวไว้แล้วนั้น ๔ พันกิโล มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๕๕๐ กิโล ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑,๔๕๐ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโล ทองคำที่ได้หลังจากมอบเข้าคลังหลวงแล้วได้ ๓๔ กิโล ๑๔ บาท ๕๗ สตางค์ ทองคำต่อยอดจากเงินโครงการช่วยชาติ ๘๐๐ ล้านบาทนั้นได้ซื้อทองคำได้ ๒,๐๑๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๑๖๑ แท่ง มอบเข้าคลังหลวงไว้แล้ว รวมยอดทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ได้ ๔,๕๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๓๖๕ แท่ง รวมยอดทองคำทั้งหมดได้ ๔,๕๙๖ กิโลครึ่ง กรุณาทราบตามนี้
แล้วพากันก้าวเดินไปเรื่อยนะพี่น้องชาติไทยเราทุกคน ๆ ทั่วประเทศไทย ให้ถือเป็นความจำเป็นเสมอหน้ากันหมด เราเป็นชาติไทยเต็มตัว ๆ การช่วยชาติไทยของเราก็ต้องช่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ มากน้อยตามกำลังของตนเองทุกคน ๆ อย่าเห็นว่าเป็นของคนนั้นคนนี้ ไม่ใช่ของใคร ของเราทุกคน เมืองไทยเป็นเมืองของเราทุกคน ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ตามหลักธรรมชาติก็เป็นอย่างนั้น ตามหลักกฎหมายบ้านเมืองก็เป็นอย่างนี้ การปกครองการอยู่ร่วมกันจึงต้องมีความรักกันสามัคคีกัน รักชาติเป็นหลักใหญ่แล้วก็รักกัน มีความสามัคคีมีความเสียสละ มีจิตใจกว้างขวางต่อกัน ชาติไทยเราจะแน่นหนามั่นคง ถ้าเอาพุทธศาสนาแทรกเข้าไป ๆ แล้วจะแน่นหนามั่นคงขึ้นทุกด้านทุกทาง
ของที่แตกกระจัดกระจายไม่น่าดู จับมารวมกันปุ๊บ น่าดูด้วยแน่นหนามั่นคงด้วย คือความรวมตัว ความรักชาติ ความรักกัน ความให้อภัยต่อกัน ความมีเมตตาต่อกัน มีจิตใจอันกว้างขวางต่อเพื่อนมนุษย์ทั่วไป นี่หลักใหญ่ของพุทธศาสนา ไม่มีคำว่าแตกว่าแยก ว่าพรรคนั้นพวกนี้ภาคนั้นอย่างนั้นไม่มี มีเข้ามามากน้อยนั่นละคือการทำลายชาติส่วนใหญ่ให้แหว่งไป ๆ อย่านำมาใช้ ร่างกายของเราเวลาสามัคคีกันอยู่เราผาสุกเย็นใจใช่ไหม เพียงร่างกายของเราที่รับผิดชอบเฉพาะตัวเท่านั้น เรามีความสมบูรณ์ในธาตุขันธ์ของเราก็เรียกว่าเราสบาย ถ้าธาตุขันธ์ส่วนใดส่วนหนึ่งวิกลวิการเจ็บท้องปวดหัวเป็นต้น นี้เรียกว่าวิการแล้วไม่สบาย วันนี้ไม่สบาย ปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง เจ็บแข้งเจ็บขาอะไรบ้าง เรียกว่ามันไม่สามัคคี
เห็นไหมเพียงเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้นก็แตกสามัคคีกันแล้ว นี้ไหนคนทั้งชาติจะให้แตกสามัคคีกันด้วยเห็นแก่พรรคนั้นพวกนี้ ภาคนั้นภาคนี้ ใช้ไม่ได้เลยนะ อย่าเอามาใช้ในพุทธศาสนาในเมืองไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ มีความกลมกลืนกัน สามัคคี รักกัน ฉุดเมืองไทยของเราเลย นี่พุทธศาสนา ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ ความแตกความแยกนี้ คือพวกนั้นพวกนี้ พรรคนั้นพรรคนี้ แล้วก็ภาคนั้นภาคนี้ นั้นคือแตก ใครว่าเป็นพวกนี้ก็ต้องยกพวกของตัวขึ้นเหยียบพวกอื่น พรรคของตัวก็ยกพรรคของตัวขึ้นเหยียบพรรคอื่น ภาคของตัวก็ยกภาคของตัวขึ้นเหยียบภาคอื่น นั่นคือการทำลายเข้าใจไหม เราแยกให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ ถ้าว่าของตัวแล้วต้องยกขึ้นแล้วเหยียบคนอื่นไปพร้อมกัน
ให้เสมอกันหมด เขากับเราถ้าพูดถึงเรื่องหลักธรรมชาติแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าโดยแท้แล้วมีเต็มส่วนทุกคน ๆ ไม่มีใครแบ่งหนักแบ่งเบากันได้ เสมอกันหมดตามกรรมของตน ๆ จะดีชั่ว โง่ฉลาด มั่งมีศรีสุข ทุกข์จนข้นแค้นอะไร ก็เป็นกรรมของแต่ละคน ๆ เต็มตัวด้วยกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน คำว่ากรรมนี้ก็เป็นระยะ ๆ เป็นกาลเป็นเวลา เช่นอย่างเขามาเป็นสัตว์นี้ เวลาเขาตายแล้วเขาไปสวรรค์ คนที่ทำชั่วลงนรกได้นะ นั่นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน คือเสวยกรรมตามวาระของตน ชาตินี้เกิดเป็นอะไรก็เกิดเสียก่อนเสวยทุกข์ไปตามกรรมนี้ หมดวาระนี้แล้วก็เปลี่ยนไปตามกรรม ๆ เรื่อย ๆ ไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนไม่ให้ประมาทกัน นี่คือความสามัคคี แล้วก็แน่นหนามั่นคง ถ้าลงได้อะไรรวมตัวแล้วมีความแน่นหนามั่นคง
เห็นไหมศาลาหลังนี้ไม้มากี่ดงกี่ป่า มีไม้ประเภทใดบ้าง รวมกันกี่สิ่งกี่อย่าง รวมเป็นความสามัคคีกันแล้ว ยกขึ้นเป็นตึกเป็นบ้านเป็นเรือนเป็นศาลานี้ เห็นไหมเราอยู่ได้สบาย นี่ละความสามัคคีของทัพสัมภาระต่าง ๆ ความสามัคคีของเราก็แน่นหนามั่นคงในร่างกายของเรา เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องความสามัคคีนี้ดีทั้งนั้น สามัคคีในทางดี อย่าสามัคคีในทางผิด สามัคคีในทางผิดนี้แตก แตกกระจัดกระจายเลย เป็นกลุ่มเป็นก้อนยกพวกรบราฆ่าฟันกัน เป็นพวกโจรพวกผู้ร้ายพวกทำลายชาติของตน
นี่ได้อ่านให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้วให้ตื่นเนื้อตื่นตัวทุกคน เวลานี้เรากำลังกู้ชาติเรา แตกฉานซ่านเซ็นกระจัดกระจายไปเลย จนจะลงทะเลหลวงแล้ว ต่างคนต่างรื้อเข้ามา ๆ กวาดเข้ามาต้อนเข้ามาสู่ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้วก็ยกขึ้นได้เลย ด้วยความสามัคคีของเราทุกคน ๆ หลวงตาก็ได้พูดให้ฟังทุกแง่ทุกมุมแล้วเรื่องความอุตส่าห์พยายามสำหรับชาติบ้านเมืองนี้ เราสุดหัวใจเราแล้วเราก็บอก บอกว่าสองหนในชาติของเรานี้บอกตรง ๆ เลย ในเพศเป็นนักบวชฆ่ากิเลสก็เอาตายเข้าว่าเลยเทียว เด็ดยิ่งกว่านี้ อันนี้มันยกแกงหม้อใหญ่ ถึงเด็ดก็เด็ดแกงหม้อใหญ่ มันอืดอาด ๆ ใช่ไหม ยกตัวเองนี้ผึง ๆ เลยเทียว ป่าช้าไม่ให้มี ระหว่างกิเลสกับธรรม ใครดีให้อยู่ ใครไม่ดีให้พังเท่านั้น ไม่พังก็ตาย เพราะฉะนั้นมันถึงเด็ดซิความเพียร
เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วไม่ได้มาอวดนะ เรื่องความเพียรใครไม่เชื่อก็ตาม ก็เราทำเองเราไม่เชื่อเราจะเชื่อใคร เพราะเราเป็นคนทำเอง ตั้งแต่ก้าวขึ้นสู่เวที เพราะมุ่งอรหัตภูมิให้เป็นพระอรหันต์เท่านั้น หลังจากได้ฟังโอวาทของพ่อแม่ครูจารย์อย่างถึงใจแล้ว ทีแรกก็แบกมหาเปรียญไปหาท่าน นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มหาเปรียญ แบกไปหาท่านด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ นั่นเห็นไหมล่ะ เรียนมากเรียนน้อยเราไม่ได้ประมาทนะ เพียงความจำเฉย ๆ เอาความแน่นอนไม่ได้ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน หาความจริงไม่ได้นะ นี่เป็นเพียงแบบแปลนแผนผังเฉย ๆ เราไม่ได้สร้างเป็นบ้านเป็นเรือนมันก็ไม่ประจักษ์แก่ตาของเรา
บ้านนี้ออกมาจากแปลนนี้แน่แล้ว ศาลาหลังนี้ออกมาจากแปลนเรียบร้อยแล้ว มีแต่แปลนไม่ได้ปลูกสร้างก็ไม่เป็นศาลาขึ้นมา มีแต่การศึกษาเล่าเรียนไม่มีภาคปฏิบัติคือการปลูกการสร้างก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ก็มีแต่ภาคเรียนความจำมา ก็แบกแต่แปลนไปหาท่านด้วยความสงสัย ไม่ทราบจะสร้างบ้านสร้างเรือนยังไง มีแต่แปลน แปลนก็เป็นกระดาษ มองดูแล้วมีแต่กระดาษไม่ทราบจะสร้างยังไง ท่านจึงแจงแปลนนั้นออก ให้ทำอย่างนั้น ๆ หายสงสัย ๆ จนกระทั่งหายสงสัยเต็มเหนี่ยวเลย ทั้ง ๆ ที่มีกิเลสอยู่ แต่การสงสัยเรื่องบาปบุญคุณโทษทั้งหลายมรรคผลนิพพาน หายสงสัยหมดหลังจากฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้ว
เพราะฉะนั้นเราถึงเทิดทูนสุดหัวใจเลยพ่อแม่ครูจารย์มั่น กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมกราบไหว้ท่านทั้งนั้น ท่านต้อนรับเทวดาท่านพูดถึง โอ้โหย ท่านว่าอย่างนั้นนะ มนุษย์เรามันจะไปมากอะไร เทวดามาแต่ละครั้ง ๆ เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ฟังซิน่ะ มาฟังเทศน์ท่าน นั่นเห็นไหมเป็นอาจารย์ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นั่นละกระเทือนโลกธาตุพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านพูดถึงเรื่องเทศน์ให้เทวดาฟัง อู๋ย น้ำตาร่วงแหละเรา นั่นเห็นไหม เพราะท่านรู้เองเห็นเอง เป็นผู้สอนเทวบุตรเทวดาเองในญาณหยั่งทราบของท่านสมควรแก่เทวดาทุกขั้นทุกภูมิ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมามาฟังเทศน์ บางทีมาพร้อมกันนี้แหม ท่านว่าอย่างนั้น
สวรรค์มีไหมฟังซิพวกเรา นั่นละท่านอาจารย์มั่นนี่ท่านเป็นนักโกหกโลกเหรอ ฟังให้ดีนะ หลวงปู่มั่นเป็นนักโกหกโลกเหรอ เทศน์สอนเราข้อใดไม่มีข้อแย้งท่าน ท่านเทศน์สอนเทวบุตรเทวดาจะเอาธรรมประเภทไหน ก็ธรรมประเภทเทวบุตรเทวดาจะรับได้ ๆ มาเทศน์เราก็เอาประเภทที่เรารับได้ ยอมรับท่าน ๆ ท่านเทศน์เทวบุตรเทวดาก็แบบเดียวกัน แล้วท่านอาจารย์มั่นนี่เหรอ หลวงปู่มั่นนี่เหรอเป็นผู้โกหกโลก เอาไปพิจารณาซิ ในสมัยปัจจุบันเราไม่เชื่อท่านอาจารย์มั่นเราจะไปเชื่อใคร เราอยู่ติดสอยห้อยตามท่านมา พูด สาธุ ไม่ได้โอ้อวดนะเพราะอยู่กับท่าน ๘ ปี ตั้งแต่เริ่มไปอยู่ทีแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไปเป็นเวลา ๘ ปี หาที่ค้านไม่ได้เลยพูดตรงไหน ๆ พูดที่สิ่งมีอยู่ของเราตรงเป๋ง ๆ ยอมรับ ๆ พูดที่เราไม่รู้ไม่เห็นเราไปปฏิเสธท่านได้ยังไง
นี่ชื่อกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เก่งไหมหลวงปู่มั่น เวลาท่านเทศน์สอนเทวดาท่านพูดถึงว่า มนุษย์มาฟังเทศน์ โอ๋ย นิดเดียว ท่านว่างั้นนะ พวกเทวดามาฟังนี้มืดไปหมดเลย บางทีสวรรค์กี่ชั้นมาหมด จนกระทั่งตลอดถึงพรหมโลกก็มา แต่สำหรับกายทิพย์ไม่ได้แน่นหนาเหมือนอย่างศาลาของเรา ศาลาของเราคนมาขนาดนี้ก็แน่นขนาดนี้ ถ้าคนมามากกว่านี้ก็ล้นศาลา ดีไม่ดีไม่มีที่อยู่ พวกเทวดาอินทร์พรหมมากขนาดไหนก็เป็นกายทิพย์ เมื่อเป็นกายทิพย์แล้วก็ไม่อัดไม่แอกัน เทศน์ให้ฟังได้หมด เทศน์จบลงแล้วไม่มีเทวดาตนใดที่จะคัดค้านต้านทานธรรมของท่าน
อยู่ในป่าในเขาท่านว่างอะไร ไม่ได้มีเวลาว่างนะ ท่านยกตัวอย่างเช่นอยู่เชียงใหม่ อยู่เชียงใหม่เทศน์สอนเทวดามากที่สุด แทบจะไม่เว้นแต่ละคืน ที่ท่านพูดว่า ๖ ทุ่มนั้นท่านพูดไว้เป็นกลาง ๆ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตั้งแต่ ๖ ทุ่มไปแล้วแก้ปัญหาและเทศนาว่าการอบรมเทวดา พุทธกิจของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ คือ เทศน์สอนประชาชนตอนบ่าย ๔ โมง ๕ โมงนับแต่พระมหากษัตริย์ลงมาเป็นประการแรก พอมืดเข้ามาแล้วสอนพระ พอ ๖ ทุ่มสอนเทวดา
พอ ๘ ทุ่ม ๙ ทุ่มไปแล้วพิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลก ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ เล็งญาณดูสัตวโลกใครจะต้องตาข่าย ตาข่ายเหมือนแหนี่ ได้แก่พระญาณหยั่งทราบของพระองค์เป็นตาข่าย เล็งญาณดู สัตว์ประเภทไหนที่ควรแก่มรรคผลนิพพานที่จะหลุดพ้นไปอย่างรวดเร็ว มีมากมีน้อยเพียงไรหยั่งทราบไปหมด ๆ จนกระทั่งถึงปทปรมะ หมดคุณค่าหมดราคาทั้ง ๆ ที่มีลมหายใจฝอด ๆ รอแต่ลมหายใจ ขาดแล้วก็ตูมลงนรกอเวจีเลย ตั้งแต่ประเภทนี้ขึ้นไปถึงประเภทที่รอจะพ้นอยู่แล้ว นั่นเรียกว่า ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก นี้เป็นงานที่สี่
งานที่ห้า ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตวโลก พระองค์ไปที่ไหนพอมองเห็นเป็นมหามงคลแล้ว ยิ่งได้ยินได้ฟังอรรถธรรมที่ท่านรับสั่งคำใด ประโยคเดียวเท่านั้นก็เป็นมหามงคล ๆ นั่นละพระพุทธเจ้าเอียงไปทางไหนเป็นประโยชน์แก่โลกอย่างมหาศาล ๆ นี่เป็นพุทธกิจคืองานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ ที่หนึ่งเทศน์สอนประชาชน ที่สองเทศน์สอนพระ ที่สามเทศน์สอนเทวดา ท่านว่ากลาง ๆ ไว้ ๖ ทุ่ม ท่านว่าอย่างนั้น แต่ท่านอยู่เชียงใหม่เงียบ ๆ ๔ ทุ่มมาแล้วเทวดา ท่านว่างั้นนะ เพราะอยู่ที่สงัด นี้พูดถึงเรื่องงานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการ ใครลบที่ไหนได้ ว่าเทวดาไม่มี ถ้าเทวดาไม่มีมนุษย์ก็ไม่มี พระพุทธเจ้าสอนมนุษย์แล้วก็สอนเทวดา นั่นเห็นไหมล่ะ จากนั้นก็เล็งญาณดูสัตวโลก นี่งานพระพุทธเจ้า ทรงหยั่งทราบทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นงานประจำพระองค์
แล้วพวกหูหนวกตาบอดมืดหนาสาโหดทุกวันนี้ มันก็ลบล้างว่าเทวดาไม่มีเวลานี้ มันยังไม่ตายมันก็ลบไปแล้ว เวลาตายมันจะไปลบนรกอีกว่าไม่มีก็ไม่รู้นะ ทั้ง ๆ ที่มันจมอยู่ในนรก มันก็จะไปลบนรกว่าไม่มีอีก มันด้านขนาดนั้นนะ มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นนะว่าเทวดาไม่มี ก็ในพุทธกิจ ๕ แสดงไว้เสมอกันหมด สอนมนุษย์ สอนเทวดา เทวดาไม่มีมนุษย์ก็ไม่มี แล้วลบล้างได้ไหมมนุษย์ สอนประชาชนแล้วก็สอนพระ แล้วก็สอนเทวดา ๓ พักแล้ว ๔ เล็งญาณดูสัตวโลก ๕ เสด็จออกบิณฑบาต เรียกว่าพุทธกิจ ๕ แปลว่างานของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ๕ ประการ นี้ใครจะไปลบล้างได้ล่ะ พระพุทธเจ้าทรงทำเสียเองตลอดมาจนกระทั่งปรินิพพาน แล้วลบล้างไปได้ที่ไหน พอลบล้างข้อใด พวกหูหนวกตาบอดมืดหนาสาโหดมันก็ลบล้างได้จัง ๆ อย่างนี้ มันหน้าด้านนะ อู๋ย น่าทุเรศจริง ๆ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปไม่กี่ปีมันก็มาลบล้างแล้ว
หลวงปู่มั่นท่านบอกไว้ว่า ประมาณ ๖ ทุ่มนั้น ท่านพูดเป็นกลาง ๆ เอาไว้ ถ้าเป็นที่พิเศษแล้วอย่างท่านอยู่เชียงใหม่ในป่าในเขาเงียบ ๆ ประมาณ ๔ ทุ่มมาแล้วพวกเทพ ไม่ถึง ๕-๖ ทุ่มมาแล้ว ๆ ทยอยกันมาเรื่อย ๆ ที่ท่านว่า ๖ ทุ่มท่านว่าไว้กลาง ๆ ท่านว่าอย่างนั้น ก่อนก็ได้หลังก็ได้ หรือท่ามกลางนั้นก็ได้ ท่านว่าอย่างนั้น แต่สำหรับท่านอยู่เชียงใหม่แล้ว ส่วนมากพวกนี้จะเริ่มมาตั้งแต่ ๔ ทุ่มไปแล้ว หลั่งไหลมาแล้ว นั่นใครจะไปค้านท่านล่ะ สอนเทวดานี้สอนในองค์ภาวนา ท่านนั่งภาวนาต้อนรับภายในจิตล้วน ๆ ไม่ได้สอนด้วยปากเหมือนสอนมนุษย์เรานี่นะสอนเทพทั้งหลาย เป็นเรื่องของหลวงปู่มั่น ร่ำลือมาขนาดไหน
ท่านพึ่งจะมาร่ำลือหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว เราได้เขียนประวัติของท่านออกกระจาย ถึงได้รู้เรื่องราวของท่าน ไม่งั้นก็เงียบไปเลย เราก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร นี่ก็ยังได้รับประโยชน์จากท่าน แม้จะล่วงไปแล้วก็ได้ประวัติของท่านมาเป็นคติเครื่องเตือนใจของตน ๆ แล้วก็ซาบซึ้งภายในใจเป็นบุญเป็นกุศลตามท่านไป ถ้าไม่มีเรื่องของท่านออกมาเลยก็ไม่ได้ผลประโยชน์ส่วนนี้ นี่เราก็อุตส่าห์พยายามเขียนประวัติของหลวงปู่มั่น เขียนด้วยความตั้งใจจริง ๆ
คิดดูซิพิมพ์ดีดเราเคยเกี่ยวข้องเมื่อไร ไม่เคยสนใจนะ บทเวลาจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่นเราเรียนพิมพ์ดีดหนา ให้เขาเอาพิมพ์ดีดมาให้กุฏินี้ เราก็เรียนพิมพ์ดีด แบบเรียนก็มีเป็นสมุด เราดูนั้นแล้วก็เรียนตามนั้นพิมพ์ตามนั้น พิมพ์ดีดได้ประมาณ ๔๐ คำต่อนาที เริ่มพิมพ์เราตั้งนาฬิกาไว้แล้วพิมพ์ปั๊บ ๆ ดูมัน ๔๑-๔๒-๔๓ บ้าง ๔๐ บ้าง ส่วน ๓๙ มีน้อย เราก็เลยเอาประมาณ ๔๐ คำต่อนาที จากนั้นก็พิมพ์ประวัติหลวงปู่มั่น พอพิมพ์ประวัติหลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พิมพ์ปฏิปทาพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น สองเล่มเท่านี้นะ เรียนพิมพ์ดีดมาแทบเป็นแทบตาย ตั้งหน้าจะมาพิมพ์หนังสือหลวงปู่มั่น พอจบสองเล่มนี้แล้วทิ้งเลย พิมพ์ดีดไม่ทราบไปไหนจนกระทั่งป่านนี้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้เลยพิมพ์ดีดพิมพ์ยังไง ไม่รู้นะ ทิ้งเลย
เราพิมพ์ดีดนั้นเราตรวจทานเสร็จเลย ทีแรกเรียบเรียงเสียก่อน แล้วเอาคำเรียบเรียงมาพิมพ์เป็นฉบับขึ้นเรียบร้อย ตรวจทานให้หมด ไม่ให้ใครมาตรวจปรู๊ฟอีกแหละ เราเป็นคนตรวจเองเสร็จเรียบร้อย ยกเข้าแท่นพิมพ์เลย ห้ามไม่ให้แก้ให้ไข เราบอกอย่างนั้น เราตรวจเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ทิ้งพิมพ์ดีด นี่ละความตั้งใจของเรา ตั้งหน้าตั้งตาเรียนพิมพ์ดีดมาพิมพ์ประวัติของท่านเท่านั้น พอประวัติของท่านเสร็จกับปฏิปทา เรียกว่าสองเล่มเท่านั้น จากนั้นทิ้งเลยจนกระทั่งป่านนี้ เลยไม่รู้นะเดี๋ยวนี้ว่าพิมพ์ดีดเป็นยังไง คือพิมพ์ไม่เป็นเลย เหมือนกับคนไม่เคยเรียนพิมพ์ดีด จำไม่ได้ขนาดนั้น นี่ความตั้งใจ
เวลาพิมพ์ดีดสำคัญมากนะ ดูทุกกิทุกกี พินิจพิจารณาละเอียดลออทุกช่องทุกมุม หายสงสัยแล้วถึงเอาออกพิมพ์ ทีนี้ใครจะมาตำหนิติเตียนหรือมาเพิ่มเข้าอีกก็ไม่ได้ ใครจะมาตัดออกอีกก็ไม่ได้ เรียกว่าเต็มภูมิของเราแล้วในการพิมพ์ประวัติหลวงปู่มั่น จึงได้ออกมาอ่านกันอยู่ทุกวัน ๆ นี้ ประวัติท่านเราเป็นคนแต่งเองพิมพ์ดีดเองเรียบร้อยทุกอย่าง ที่พี่น้องทั้งหลายได้อ่านทุกวันนี้นะ ที่เราเขียนมานี้ก็มีประวัติหลวงปู่มั่นเล่มเดียว ส่วนหลวงปู่ขาวนั้นพิมพ์ย่อ ๆ เอา ประวัติหลวงปู่ขาวก็ท่านเพ็งเอามาโยนให้ บอกไม่เอาเท่าไรท่านไม่ยอม ว่าไม่มีใครสามารถ เราก็จึงพิมพ์ย่อ ๆ ให้หลวงปู่ขาวนะ ส่วนหลวงปู่มั่นเอาเต็มเหนี่ยวเลย ด้วยความเคารพเทิดทูนสุดขีด
เพราะฉะนั้นเวลาแต่งประวัติของท่านจึงไม่ให้เคลื่อนคลาดไปเลย เท่าที่เราได้เห็นได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์มา เป็นแต่เพียงว่าเราขออภัยไว้ ถ้าหากว่าผิดพลาดคลาดเคลื่อนอะไรก็ขออภัย เพราะเราไม่ได้ติดตามท่านทุกระยะ เราไปจดจารึกจากครูบาอาจารย์องค์นั้น ๆ ที่อยู่กับท่านในสมัยนั้น ๆ แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็มีความหลงลืมไปเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงอาจจะผิดพลาดได้ เราว่างั้น จึงขออภัยไว้ ตั้งแต่วันเราไปถึงท่านไปอยู่กับท่านทีแรกจนกระทั่งวันท่านนิพพาน เอาละทีนี้ไม่ถามใครว่างั้นเลย ถามใครทำไมก็เราเห็นแล้วใช่ไหม เขียนได้อย่างสบายเต็มเหนี่ยวเลย นอกนั้นก็ขออภัยไว้ อันนี้ไม่ขออภัย
จะว่าอวดตัวก็ไม่อวด เพราะเราแต่งด้วยความแน่ใจ ได้เห็นได้ยินด้วยตาของเราเอง เราแน่ใจ เขียนเลยเชียว ส่วนจากครูบาอาจารย์ทั้งหลายมานั้น เราก็ต้องทั้งไปจดเอา ทั้งไปอัดเทปเอามาลอก ๆ แล้วมาเรียง ทีนี้ท่านเหล่านั้นท่านก็แก่ลงไปเป็นลำดับลำดา สัญญาความจำท่านอาจเคลื่อนคลาดได้ จึงไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เรื่องเจตนาสุดยอด เรียกว่าแน่ใจ สุดเจตนาของเราเพื่อจะให้ถูกต้องแม่นยำ แต่ผิดพลาดไปด้วยครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็แก่ไป ๆ ท่านอาจจะหลงลืมไปก็ได้ เวลาเรามาจดจารึกก็อาจจะผิดพลาดไป เราจึงขออภัยไว้ด้วย
นี่ละประวัติหลวงปู่มั่น เราเขียนเต็มกำลังนะ เรียกว่าทุกกิทุกกีไม่เคลื่อนคลาดไปเลย ด้วยความเทิดทูนท่าน จึงได้อ่านอยู่ทุกวันนี้ มีเท่านั้นละนะที่เขียนประวัติท่าน ดูไม่ได้เขียนอะไรอีกนะ หลวงปู่มั่นเป็นอันดับหนึ่ง สุดยอดความพยายามของเรา หลวงปู่ขาวนี้เรียกว่ารีบรัด เวลาจวนเข้ามาแล้ว ทีแรกเอามาให้เรา เราปัดเอาคืนไป ไปไม่ถึงไหนก็วิ่งกลับมาอีก ว่าไม่มีใครแล้ว เพราะฉะนั้นจึงรีบเขียน ไม่ค่อยได้พิจารณามาก มีเท่านั้น สำหรับประวัติของเราไม่ให้เขียน ผู้ใหญ่ ๆ ในกรุงเทพ เช่น อาจารย์หมออวย คุณหญิงส่งศรี คุณหญิงเสริมศรี โอ๊ย มากต่อมากนะผู้ใหญ่ ๆ ที่มาขอเขียนประวัติของเรา เราไม่ให้ทั้งนั้น ไม่ให้เลย
จนกระทั่งพระไปขอคัดจากไหนมายื่นให้เราตรวจทาน ปาเข้าป่าโน่น ประสาหลวงตาบัว เราว่าอย่างนี้นะ แล้วก็ยังมาเป็นเล่มจนได้ เลยกลายเป็นหยดน้ำบนใบบัว ไม่ใช่เราเป็นผู้เขียนเองแต่งเองนะ เรามีโอกาสเราก็อ่านจนจบนั่นแหละ ก็ไม่เคลื่อนคลาดเท่าไรนักแหละ ก็เป็นธรรมดาคนหนึ่งจดจำตามรอยเดิม รอยเดิมคือเรื่องของเรา ถ้าเราเขียนเองก็สมบูรณ์ แต่เราไม่เขียน ใครมาเขียนประวัติของตัวเองรู้สึกไม่น่าดูนะ มันจะเป็นการยกยอตัวเองนั่นเองจะไปไหน เราจึงไม่เอา
นี่พูดเรื่องหลวงปู่มั่น สมัยปัจจุบันนี้หลวงปู่มั่นเป็นสักขีพยานในเรื่องมรรคผลนิพพาน เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เป็นหลักสักขีพยานได้อย่างเต็มตัวเลย ท่านเต็มภูมิจริง ๆ เรื่องเทวบุตรเทวดา เต็มภูมิหมดเลย เวลาท่านเทศน์สอนเทวดานี้เราน้ำตาร่วงนะท่านเล่าให้ฟัง พวกเทพทั้งหลายมานี้มืดแปดทิศแปดด้าน พวกพญาครุฑ พญานาค มาหมดนะ พวกเทวดาตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมามาหมดเลย มาเป็นระยะ ๆ ท่านบอกว่าท่านอยู่เชียงใหม่ท่านไม่ได้ว่างนะตอนกลางคืน เทศน์อบรมพวกเทพทั้งหลาย สำหรับประชาชนไม่มีอะไรแหละ เพราะท่านไม่เกี่ยวข้องกับใครแต่ไหนแต่ไรมา
ท่านชอบอยู่องค์เดียว ๆ พระติดตามท่านนะ ให้อยู่กับท่านทีละองค์บ้างสององค์บ้าง ถ้ามากกว่านั้นท่านไล่ออกไปอยู่ข้างนอก ให้อยู่กับท่านทีละองค์บ้างสององค์บ้าง บางทีท่านอยู่องค์เดียวบ้างอยู่อย่างนี้ นิสัยของท่านไม่ชอบยุ่งแต่ไหนแต่ไรมา ท่านจึงไม่ค่อยได้สอนคน ท่านบอกท่านไม่ได้สอนใคร แต่พวกเทพนี้สอนแทบทุกคืน ท่านบอกท่านไม่ได้ทำประโยชน์ให้มนุษย์ แต่ทำประโยชน์ให้พวกเทพมากยิ่งกว่ามนุษย์ร้อยเท่าพันทวีท่านว่า ท่านก็ดังไปทางนั้นเสีย ดังกับพวกทวยเทพทั้งหลาย
คิดดูอย่างคืนวันนั้น เราไม่สงสัยละนะที่ว่าพวกเทพจะไม่ดลบันดาลน่ะ คืนวันที่ท่านจะได้ออกเดินทางไปมรณภาพที่สกลนคร เพราะท่านเริ่มไม่นอนมา ๓ คืน คืนที่สามนี้ไม่นอนเลย มีแต่ให้เร่งเอาไปสกลนคร เร่งอย่างเด็ดเสียด้วย ให้รีบนะ ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจมาตายที่นี่นะ ผมตั้งใจจะไปตายสกลนครต่างหาก เอาผมไว้ทำไม ท่านว่าอย่างนั้น โอ๋ย เราก็อยู่ในมุ้งกับท่าน เราเป็นเนื้อบนเขียงท่านสับลงยำลงตลอด เราฟังทุกกิทุกกี ครั้นแล้วก็วิ่งไปหาครูบาอาจารย์ ท่านว่าอย่างนั้น ๆ จะว่ายังไง เรายังอดยกโทษครูบาอาจารย์ไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นในหัวใจก็ต้องบอกล่ะซี
ครั้นไปหาองค์นี้ กราบเรียนตามเรื่องของท่านที่สั่งเราอย่างเด็ดขาด ๆ นำเรื่องของท่านออกมาด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย เราจะเป็นจะตายเราเป็นเนื้อบนเขียงถูกยำตลอดเวลา ครั้นออกมาหาครูบาอาจารย์แล้ว ท่านว่าอย่างนั้น ๆ เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว อาจารย์องค์นั้นว่าอย่างนั้น อาจารย์องค์นี้ว่าอย่างนี้ เป็นลักษณะอืดอาดเนือยนาย เราโมโห โถ มันเป็นยังไงครูบาอาจารย์ จนยกโทษนะ เป็นอยู่ในจิต แล้วครูบาอาจารย์องค์ขนาดนี้เป็นผู้สั่งมาอย่างเด็ดอย่างขาด ทำไมจึงอืดอาดเนือยนายอย่างนี้นะ เป็นอย่างนั้นนะเรา เรามันเป็นไฟเพราะรับเรื่องทั้งหมดจากมุ้งของท่าน ว่างั้นเถอะพูดง่าย ๆ เวลาจำเป็นใครอยู่ในมุ้งกับท่าน มีแต่เรากับท่านสององค์เท่านั้น เราไม่ยอมให้ใครเข้าไปเลย ปฏิบัติอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่าน เพราะความเทิดทูน รักสุดหัวใจ เทิดทูนสุดหัวใจ ทุกสิ่งทุกอย่างสุดหัวใจ จึงไม่ให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านเวลาจำเป็น เช่น ถ่ายหนักถ่ายเบา ใครไปยุ่งไม่ได้เลยนะ เราจะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แต่ผู้เดียว เก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในหัวอกเราผู้เดียว ไม่ยอมให้ใครไปแตะต้อง
เดี๋ยวธรรมดาจิตใจของปุถุชนเข้าไป ไปเห็นอากัปกิริยาของท่านเป็นยังไง มันอาจจะแย็บ ๆ ออกมาในทางจิตใจเป็นอกุศล เราคิดไว้อย่างนั้นตามประสาของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ยอมให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านเลย เวลาจำเป็นจริง ๆ มีแต่เรา เรานี้ตัดรองหมดแล้ว เรื่องที่จะคิดยกโทษท่านนี้เราไม่มีเลย มอบถวายหมด เพราะฉะนั้นเราถึงดูแลท่านตลอดเวลาในมุ้งเวลาจำเป็น นี้แหละนำเรื่องที่ท่านสับท่านยำเรา เร่งให้ไป ให้ไปวันนี้ ๆ ขึ้นเดี๋ยวนั้น ให้ไปเดี๋ยวนี้ โน่นน่ะมันของเล่นนะ เราก็เซ่ออันหนึ่งได้มาจับทีหลัง ถึงได้ยอมกราบท่าน โถ เรานี่โง่นักหนานะ คือนี่ที่ว่าเหมือนเทวดาจะต้องร้อน สมกับท่านเทศน์สอนเทวดามาตลอด ในคืนวันนั้นท่านเร่งใหญ่เลย ตอนเช้ารถเขาก็มาจากสกลนคร ไม่มีใครบอกเขาเลย บันดลบันดาลมารับเลย เหมือนว่าเทวดาจะไปบันดลบันดาลใจของชาวสกลนคร บริษัทแม่นุ่มเอารถมาเลย
มาท่านก็ถามเพียงเป็นกิริยา นี่พระก็มีมาก คือจะมารับท่านไปสกลนคร ท่านนิ่ง พอทางนั้นจบลงเรียบร้อยแล้ว นี่พระก็มีมากรถจะพอกันไหมล่ะ ท่านว่างี้นะ ทางนั้นก็ตอบมา ไม่พอจะมารับทั้งวัน เขาว่างี้ ท่านนิ่งเลย จึงเตรียมฉีดยานอนหลับให้ท่าน แล้วก็เอาท่านออกขึ้นรถไปเลย นี่เราแน่ใจว่าพวกเทวดาก็จะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครบอก เราถามดู ใครเป็นคนส่งข่าวส่งคราวให้ทางโน้นเขาทราบ ไม่มีว่างั้น เขามาเอง ถามเขาว่ามีคนไปบอกเหรอ เขาก็บอกไม่มี มาเอง เราจึงแน่ใจว่าพวกเทพนี่แหละที่บันดลบันดาลจิตใจพวกนั้น ตอนเช้าก็มา
เรามาเสียใจตอนนี้ คือท่านไม่แย็บสักนิดหนึ่ง ถ้าแย็บคืนวันนั้นจะต้องแตกทีเดียว วัดป่าบ้านภู่น่ะ แตกเพราะเรานี้แหละ เพราะอัดอั้นตันใจจะเป็นจะตาย เวลาได้รับความเผ็ดร้อนมาถูกสับถูกยำเลือดสาดมาเต็มตัว เราวิ่งไปหาครูบาอาจารย์ เวลานี้ท่านอาจารย์อย่างนั้น ๆ พูดออกมาตามความสัตย์ความจริง แล้วองค์นี้อืดอาด องค์นั้นเนือยนาย องค์นั้นว่าอย่างนั้น มันยังไงกันนะ มันอดยกโทษครูบาอาจารย์ไม่ได้นะเรา มันหากเป็นของมัน เพราะผู้รับเรื่องมานี้จะเป็นจะตายอยู่แล้ว ครั้นไปพูดให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายฟัง ครูบาอาจารย์ที่มีอายุพรรษาแก่กว่าเราก็มีเยอะนี่นา เราจะไปผลุนผลันทำอวดดีแต่ตนได้ยังไงใช่ไหมล่ะ ต้องได้ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ นี้ท่านก็มาอย่างนั้นเสีย เราก็เสียใจจนอดยกโทษครูบาอาจารย์ไม่ได้เหมือนกัน
ถ้าเผื่อว่าท่าน .. เหลือคำเดียวนะ ถ้าท่านแย็บออกมาคืนวันนั้นวัดป่าบ้านภู่จะแตกทันทีเลย เพราะเหตุไร นี่รู้ไหม นี่ผมรั้งเอาไว้นะ เท่านั้นแหละคำเดียว ถ้าไม่รั้งไปเดี๋ยวนี้เลยนะ เท่านั้นเราจะผางทันที ปุ๊บไปโทรศัพท์ที่อำเภอพรรณานิคม ให้มาโดยด่วน รถมาเดี๋ยวนี้ วัดนี้จะต้องแตกในกลางคืน ไปกลางคืนวันนั้นเลยนะ ถ้าเราได้ทราบว่าผมรั้งเอาไว้เท่านั้นแหละ แต่นี่ท่านก็ไม่บอก เราก็เลยทนทุกข์ทรมานเรื่อยมา เรื่องราวเป็นอย่างนั้น
อันนี้เพราะเหตุไรถึงได้มาเป็นอย่างนี้ เราเป็นแล้วมันถึงได้รับกับปึ๋งเลย ก็เราเป็นเราจะตายหลายครั้งหลายหนแล้ว แล้วมันก็เป็นฐานะที่ควรรั้งไว้ได้ โรคหัวใจเรานี่มันถึงขนาดว่าจะไปหลายครั้งนะ คือเมื่อมันเป็นฐานะที่รั้งไว้ได้อยู่ เราก็รั้งเอาไว้ไม่ให้ออก คือถ้าอะไรมันปล่อยหมดแล้วมันจะไปนี่ อันนี้จิตบังคับเอาไว้เมื่ออยู่ในฐานะที่บังคับเอาไว้บังคับเอาไว้ สักเดี๋ยวลมหายใจก็คลี่คลายออกมา ๆ เวลามันดับจริง ๆ แล้วลมหายใจหมดนะ ร่างกายทุกส่วนนี้หมดเลย มันหดตัวเข้าไปเหลือแต่ความรู้ที่จะดีดเท่านั้น นี่เรารั้งความรู้นี้ไว้ไม่ให้เคลื่อน สติซึ่งเป็นสมมุติอันหนึ่งรั้งเอาไว้ไม่ให้เคลื่อน บังคับไว้รอจังหวะที่จะให้ลมหายใจค่อยมีขึ้นมา รั้งเอาไว้มันก็ไม่เคลื่อน มันก็อยู่
ถ้าหากว่ามันสุดกำลังจริง ๆ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังตายใช่ไหมล่ะ แต่นี้ยังไม่สุดกำลัง พอรั้งเอาไว้ได้เราก็รั้ง รั้งไม่รู้กี่ครั้งโรคหัวใจเรานี้ มันหนักขนาดนั้นนะ ถ้าไม่รั้งไปนานแล้วนะ นี่ละพอมาเป็นในเราเข้าเราก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น โอ๋ย ที่ท่านว่าให้เร่งนะ ๆๆ อย่างนี้เอง ๆ คือท่านรั้งเอาไว้ แต่ท่านไม่บอกว่าท่านรั้งนั่นซิ เรามาเผลอตรงนี้ ถ้าท่านบอกว่าเวลานี้ผมรั้งเอาไว้นะ เท่านั้นแหละ วัดป่าบ้านภู่นี้จะแตกในกลางคืนเลย เราจะเตรียมพร้อมทันที ไม่ฟังเสียงใครเลยว่างั้นเถอะน่ะ เอาท่านออกเดี๋ยวนั้นเลย แต่นี้มันไม่ได้ยินน่ะซี ตอนเช้าถึงเอาท่านไป พอตกกลางคืนมานั้น ท่านก็มรณภาพ เห็นไหมล่ะนานไหม ก็อย่างนั้นแหละ พอฟื้นจากหลับ เกี่ยวกับเรื่องฉีดยานอนหลับ พอยานอนหลับหมดฤทธิ์ท่านก็ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาดูนั้นดูนี้ ดูหมดนะ กุฏิก็เป็นกุฏิที่เขาสร้างไว้สำหรับต้อนรับท่าน ท่านก็กลับคืนไปกุฏิหลังนั้น ท่านดูไม่พูดนะ
พอท่านตื่นนอนขึ้นมา มองนั้นมองนี้ทิศทางต่าง ๆ ชัดเจนว่ามาถึงวัดสุทธาวาสแล้ว จากนั้นท่านพอหลับสงบไปไม่นาน สักเดี๋ยวก็มีอาการ เรียกว่าท่านปลงแล้ว ท่านปล่อยอาลัยทุกอย่างแล้วท่านจะไปแล้ว เพราะแต่ก่อนท่านรั้งเอาไว้ พอฤทธิ์ยาหมดไปแล้วลืมตาขึ้นมา ตื่นนอนขึ้นมามองนั้นมองนี้ ดูทุกอย่างไม่พูดนะ พอเสร็จเรียบร้อยเป็นที่แน่ใจแล้ว ทีนี้ก็หลับตาสงบ ไม่นานนะ สักเดี๋ยวมีอาการแล้ว ปลงแล้วนะนั่น ท่านแน่ใจแล้วว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ท่านก็ปล่อยเรื่องความห่วงทุกอย่าง จะปล่อยขันธ์ด้วยละที่นี่ นั่นละถึงมีอาการขึ้นมา เราก็รีบนี่ดูเอา นั่นซิเรา เรามันคนนิสัยอย่างนี้ ดูเอาเห็นไหม ท่านเป็นยังไง ที่ท่านเร่ง ๆ ตลอดเวลา ดูเอาเป็นยังไง ว่างั้นแล้วเรา ใครมาตาลืมไม่กะพริบนะมาเห็นท่าน นั่นดูเอา เราก็ว่างั้นแหละ ก็เป็นอย่างนั้นจะว่าไง
คือจิตดวงนี้พอรั้งได้ ๆ แต่ต้องจิตมีหลักมีเกณฑ์ เช่นอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไม่สงสัยว่าจะเป็นพระประเภทไหน ก็คือพระอรหันต์นั่นเอง เมื่อควรรั้งได้ท่านก็รั้ง ท่านจึงบอกว่า ให้รีบนะ ๆๆ อยู่ตลอดเวลา ท่านเอาถึงขนาดนั้น ซัดเรานี้จนจะตาย วิ่งไปหาครูบาอาจารย์อืดอาดเนือยนาย อู๊ย มันโมโหนะ ของเล่นเมื่อไร บทเวลามาโดนเราเข้า โอ้โห ขึ้นทันทีเลย ท่านเป็นเพราะเหตุนี้เอง ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรั้ง ของเราเรารั้งนี่เรารู้แล้ว ก็อันเดียวกันนี่ ถ้าปล่อยปั๊บผึงไปเลย ต้องบังคับเอาไว้ ซึ่งอยู่ในฐานะที่ควรบังคับได้ก็รั้งเอาไว้ได้ ถ้ามันสุดวิสัยแล้วอะไรมารั้งก็ไม่อยู่ ผึงเลย แม้พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพาน แน่ะ เป็นอย่างงั้น
ให้มันเห็นในหัวใจไม่ต้องไปถามใครแหละ อย่างพ่อแม่ครูจารย์เร่งเรา ให้เอาไปเดี๋ยวนี้ ๆ อย่ารอนะ ๆ ถ้าท่านแย็บออกมาว่า นี่ผมรั้งเอาไว้นะ เท่านั้นแหละวัดนั้นจะแตกในกลางคืนเลย เราเองจะเป็นผู้ทำงาน โทรศัพท์ปึ๋งไปเอารถมาเดี๋ยวนี้เลย นี่แหละเรื่องของจิต เมื่อเป็นในเจ้าของจะไปถามใคร มันรู้ชัด ๆ จะไปถามใครวะ อย่างท่านไม่บอกว่าท่านรั้ง เรามาเป็นของเราเรารั้งของเราไว้ เราก็รู้ อ๋อ ท่านรั้งเอาไว้อย่างนี้เอง ที่ว่าเรารอ พอไปถึงนั้นปั๊บ ในวันนั้นคืนนั้นก็ไปเลย นั่นเห็นไหมล่ะท่านปล่อยแล้ว
นี่ก็พูดเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นให้เป็นคติแก่พี่น้องทั้งหลาย ไปพินิจพิจารณา จิตเมื่อได้ฝึกได้แล้วเป็นอย่างนั้นแหละ นี่เราก็ทำเต็มกำลังความสามารถของเรา เราจึงไม่ได้สงสัยเรื่องท่านเลย พูดอะไรปั๊บมันเข้ากันเป็นอันเดียวกัน ๆ เข้ากันยอมรับกันทันที ๆ ไม่ต้องวินิจฉัยเลย ผางรับกันได้ทันที ยอมรับกันเลย วันนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก การช่วยชาติบ้านเมืองก็พูดมาทุกวัน ๆ วันนี้เอาแค่นั้นแหละ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com