วัดภูวัว พระ ๓๑ เณร ๕ รวม ๓๖ อย่างที่ว่าแหละ ๓๐ เป็นจุดกลาง ขึ้นบ้างลงบ้าง พอดีละ ที่มีเณรนั้นเราก็ทราบความหมายของท่าน ถ้าธรรมดาแล้วพระที่ท่านอยู่ในป่าลึก ๆ ที่เด็ด ๆ นั้นท่านไม่ค่อยมีเณรแหละ แต่นี้ที่มีเณรก็เพื่อทำอะไรไว้ถวายพระ เพราะไม่มีใคร ให้เณรคอยรับใช้พระแทนฆราวาส เพราะฉะนั้นจึงมีเณรอยู่หลายเณร ปรกติจะไม่มีเณร คิดดูสำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้มาสร้างวัดทีแรกมีเณรเมื่อไร ไม่รับเลย รับก็เณรหนึ่งเท่านั้น มีเณรเดียว มีเณรเดียวมันก็ยังตีตราให้เห็นอีกด้วย ไม่รับเณรรับแต่พระล้วน ๆ ตลอดมา ทีนี้นานเข้ามาก็มีเณรหนึ่งโผเผมากับอาจารย์ บวชเป็นเณรแล้วมาขออยู่ที่นี่ เรารับด้วยความจำเป็นอย่างนั้น
เราก็บอกว่าเอาเณรเอาเถรไปปฏิบัติไปออกสนามรบ ไม่เหมาะเราว่างั้น ออกสนามรบต้องมีแต่นักรบ พวกเถรพวกเณรมันอืดอาดไม่เข้มแข็ง แล้วเข้ามาอยู่ที่นี่มันก็แสดงให้เห็นชัด ๆ ด้วยนะ เป็นพยานเสียด้วย อยู่ ๆ เราอะไรก็ไม่ทราบ แต่ก่อนก็ไม่เคยไป คือแต่ก่อนจริง ๆ พระก็ไม่มีมาก กุฏิอยู่ห่าง ๆ แล้วเป็นป่าทั้งหมดเลย อยู่ ๆ เราออกจากทางจงกรมแล้วไปเลย สองทุ่มพอดี ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยไป ที่นั่นมีทางจงกรมอยู่ลึก ๆ แห่งที่ว่านี่นะ ไม่เคยมีใครไปละ ประมาณสองทุ่มเราออกจากทางจงกรมแล้วเดินบุกเข้าไปเลย ไปทางจงกรมทางนั้นละ ไปพอจวนจะถึงทางจงกรมเห็นไฟอะไรแว็บ ๆ ขึ้น เห็นไฟมันขึ้นทางจงกรม เรากำลังเดินไปอยู่มืด ๆ ไฟมันแว็บ ๆ ขึ้นทางนั้น อ้าว มันไฟอะไร เหมือนบั้งไฟ แต่เราก็ไม่ได้นึกว่าจะเป็นบั้งไฟ ก็ยิ่งเป็นจุดสนใจจึงเดินเข้าไป
เราเดินใกล้เข้าไปก็ค่อยสังเกตว่ามันเรื่องอะไร ในป่านี้ไม่เคยมีใครเข้ามา ก็บันดลบันดาลเราเข้ามาวันนี้ พอไปด้อมไปสังเกตดู สักเดี๋ยวแว็บ ๆ ขึ้นอีก ได้ความแล้ว อ๋อ นี่ใครมาจุดบั้งไฟเล็ก ๆ อยู่ที่นี่ เราก็บุกเข้าไปเลยก็เห็นเณรนั้นละ เห็นไหมล่ะ คือบั้งไฟเล็ก ๆ มันมีดินระเบิดอยู่ข้างใน ก็เหมือนบั้งไฟใหญ่แหละ เป็นแต่เพียงว่าบั้งไฟเล็กมันก็ขึ้นตามเล็กของมัน บั้งไฟใหญ่มันก็ขึ้น นี่คือเขาเลียนแบบบั้งไฟใหญ่ สมบูรณ์แบบด้วยกัน เหมือนว่าเด็กก็สมบูรณ์แบบ ผู้ใหญ่สมบูรณ์แบบ เอ๊ เณรนี่ไปได้แบบมาจากไหนไม่รู้นะ
พอเข้าไปได้ยินเสียงซิด ๆ ๆ ขึ้น เสียงไฟซิด ๆ ๆ ขึ้นไปนู้น เราก็เดินเข้าไป เณรอยู่ข้าง ๆ กำลังจุดอยู่ เราเข้าไปนี้เลยว่า เณรมาทำอะไร โอ๋ย ตัวสั่นเลยเทียวนะพูดอะไรไม่ออก เราก็ไม่มีกิริยาอะไรเพราะยังไงก็ทราบอยู่แล้วว่าเณรจะกลัวมาก ทำอะไรเณร มาทำอะไรอยู่นี้ โอ๊ย ทำไปอย่างนั้นแหละ มันตัวสั่นนะ ทำไปอย่างนั้นแหละ ได้คิดเห็นไหมเด็กจะไปอยู่กับพระอยู่กับใครก็ตามมันก็จะเป็นเด็กอยู่ตลอดอย่างนั้น เรื่องของเด็กจุดบั้งไฟเล็ก ๆ สนุกคนเดียวก็เอา ไม่มีใครรู้นะ เวลามาถามพระ ใครทราบไหมว่าเณรไปทำบั้งไฟเล็ก ๆ นี้มาจากไหน ไม่มีใครทราบเลยและไม่มีใครทราบทั้งวัด ไม่ทราบทำยังไงทำมาจากไหน แต่เราก็ไม่ได้ถามไปแหละ
ลงทัณฑกรรมนะถึงถาม วันนั้นก็ถามเท่านั้นแหละเพราะเณรมันตัวสั่นอยู่แล้ว มาวันหลังมันก็เป็นของมันอยู่ตลอด เราก็เหมือนว่าไม่มีเรื่องเลย ไม่พูดถึงเลย ตั้งสามสี่วันดูอาการมันค่อยคลี่คลายขึ้น มีลักษณะสดชื่น เห็นท่าว่าท่านคงไม่ดุแหละ คงว่างั้น ทีนี้ก็เลยเรียกมาตอนนั้น ตอนจาง ๆ ไปแล้ว ตั้งสามสี่วันล่วงไปแล้ว แกคงเห็นว่าท่านคงไม่ว่าอะไรแหละ ก็เลยเรียกไปถาม เณรทำไมจึงไปทำอย่างนั้น นึกว่าจะมาหาภาวนา แล้วไปทำยังไงอย่างนั้น อยู่คนเดียวมันรำคาญ ก็เลยทำบั้งไฟน้อยจุดเล่นไปอย่างนั้นแหละ แล้วทำบั้งไฟได้วิชามาจากไหนเราถาม อ๋อ ได้มาจากวัดที่บ้านของเณรพักนั่นแหละ ผู้ใหญ่พาไปทำบั้งไฟ เขามีงานทำบั้งไฟอยู่ในวัด แกเป็นเด็กก็ไปกับพ่อ เวลาเขาทำยังไงแกก็ดูอยู่นั้น เพราะฉะนั้นแกถึงได้วิชานั้นมาทำ ถึงได้รู้เรื่อง เณรได้วิชามาตั้งแต่เป็นเด็ก พ่อพาไปวัดก็ไปดูเขาทำ เข้าใจวิธีทำแล้วก็เลยมาทำ
แล้วทำขึ้นจริง ๆ นะ ซิด ๆ ๆ ดังเสียงเบา ๆ แหละแต่มันน่าฟังนะ อยู่ ๆ มันใส่ค้างเหมือนกันนะ มีค้างบั้งไฟวางอยู่นั้น พอจุดนี้ซิด ๆ ๆ ขึ้นเลย ดังเบา ๆ บั้งไฟเล็ก เอ๊ มันทำได้ จากนั้นมาก็สอนทุกอย่าง ต่อไปนี้อย่าทำ อันนี้เป็นการเตือนการสอนครั้งแรก ทั้ง ๆ ที่เราก็คิดไว้แล้วว่า เณรกับการบำเพ็ญนี้ไม่เข้ากันก็ชี้แจง จำเป็นก็รับไว้ สังเกตมันก็เห็นอย่างนี้แหละ เราก็เลยลงทัณฑกรรม ข้างศาลานี้แต่ก่อนเป็นดินทรายไม่เป็นอย่างนี้นะ เป็นดินธรรมชาติ ก็เลยให้เณรไปเอาดินในจอมปลวกในป่าใส่ปุ้งกี๋มาถมที่ต่ำ ๆ ที่มีแต่ตมแต่โคลน เวลาคนผ่านไปมาจนจะมาไม่ได้ แต่ก่อนไม่มีรถมีแต่คนเดินผ่านไปมามันเฟะฟะไปหมดเวลาเหยียบ จึงลงทัณฑกรรมเณรตามหลักพระวินัยนั่นแหละ
ลงทัณฑกรรม คือภาคทัณฑ์เอาไว้คราวนี้ ภาคที่สองก็เป็นอันว่าขับไล่หรือมีโทษหนักกว่านี้ไปอีก อันนี้เป็นภาคทัณฑ์ทัณฑกรรมให้ทราบว่านี้คือความผิด ผิดวิสัยของสมณะ เณรก็ลูกของพระ ให้ไปเอาดินนั้นมาถมนี้ ไม่เอามาก ๓ วัน ๆ ละชั่วโมง ให้เอาดินจากนั้นมาถม แล้วก็ให้มีพระคอยกำกับดูนาฬิกาด้วย ถึงจะได้เวลาแล้วก็ตามถ้าหากว่าพระยังไม่สั่งให้เลิก เลิกไม่ได้ เรามีข้อบังคับอีกนะ พระต้องคอยกำกับ ถึงจะได้เวลาแล้วก็ตามถ้าหากว่าพระท่านยังไม่สั่งให้กลับ จะเอานาฬิกามาใหญ่กว่าพระผู้กำกับผู้บังคับบัญชานี้ไม่ได้ บีบเข้าอีก จนกระทั่งเสร็จเมื่อไรพระถึงจะสั่งให้กลับได้ พระก็มีเมตตาก็รู้อยู่ว่าเด็ก ทรมานเด็กเฉย ๆ ทำสามวัน
เราจึงไม่รับเณร มันเป็นอย่างนี้ความหมายน่ะ มันก็มาเห็นต่อหน้าต่อตา วันนั้นก็ไม่ทราบอะไรบันดลบันดาลใจเราก็ไม่เคยไปในป่าลึก ๆ นู่น ไม่เคยไปเลย ไปหนเดียวก็ไปเจอเอาเลย สองทุ่มเดินจงกรมอยู่ ออกจากทางจงกรมก็บึ่งถึงเลย เข้านู้นเลยนะ พอไปก็ ซิด ๆ ๆ มันก็ไปเจอของดีจนได้ โฮ้ มันบันดลบันดาลยังไงมาเจอของดี ของดีอะไรอย่างนี้ เราก็เลยไม่ลืม มันแปลกอยู่นะ เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่รับเณร ปกติไม่รับแหละเณรไม่เอา ยุ่ง ถึงจะเป็นข้าหลวงหัวโล้นก็ตาม แต่เรื่องของเด็กก็คือเด็กโดยดี มันต้องเป็นเด็กอยู่ในหลักธรรมชาติของมัน มันจะผิดเพี้ยนของมันตลอดเวลา ผิดเพี้ยนจากหลักธรรมหลักวินัยจึงไม่อยากรับ เป็นกังวล ไม่เอา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เอา อย่างมากก็องค์หนึ่ง รับด้วยความจำเป็นเท่านั้น ไม่ได้รับจริงจังอะไร
นี่พูดถึงวัดภูวัวมีเณร ๕ เณร เราก็คิดเหตุผลที่มีเณรนี้ท่านคงจะใช้เณรให้ทำอะไร ๆ เพราะในนั้นไม่มีคน ไม่มีฆราวาสไม่มีใครไปอยู่อย่างนั้น เพราะเราสอนอย่างเด็ดนี่ สถานที่นี่เป็นสถานที่อบรมพระเพื่อมรรคเพื่อผลล้วน ๆ เราถึงทุ่มลงเลย คือเลี้ยงดูตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งถึงป่านนี้ได้สิบกว่าปีแล้วนะ เราเลี้ยงมาตลอดไม่มีบกพร่องเลย การสอนนี้ยิ่งเด็ดตลอดเลย ใครจะมาเพ่นพ่านไม่ได้ ฟาดท่านอุทัยเป็นหัวหน้าวัด ตัวนั้นละตัวที่จะรับรอง สับลงไปเข้าใจไหม ท่านจึงต้องระวังตลอดมาอย่างนี้ ที่ว่ามีเณรนั้นเราก็คิดเห็นอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรแหละ เพราะสถานที่นั่นกับเณรมันก็พอดีเข้ากันได้ คือพระท่านใช้ให้ทำอันนั้นอันนี้ให้ เพราะฟังซิพระมีตั้ง ๓๑ น้อยเมื่อไร เดี๋ยวองค์นั้นมีธุระจำเป็นก็จะใช้เณรนั้นบ้างเณรนี้บ้างอะไร เราคิดอย่างนั้นเราไม่ว่าอะไรแหละ เพราะทราบสภาพของมันดีแล้ว ถ้าธรรมดาไม่เหมาะ
นั่นละพระครั้งพุทธกาลท่านดำเนินอย่างนั้น เราเอาแบบฉบับจากนั้นมาดำเนิน ถอดจากคัมภีร์เลยมาดำเนิน อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นหาที่ต้องติไม่ได้ เราอยู่กับท่าน ตั้งแต่วันเข้าไปอยู่ทีแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพ รวมแล้วก็เป็นเวลา ๘ ปีเต็ม ไม่เคยเห็นความบกพร่องของท่านทั้งทางด้านธรรมด้านวินัยเลย เพราะฉะนั้นถึงได้เทิดสุดหัวใจเลย ขนาดนั้นละ คือท่านเก็บหอมรอมริบไม่ให้อะไรตกเรี่ยเสียหาย ธรรมวินัยเล็กน้อยขนาดไหนหยิบหมดเลยเทียว ก็เราเรียนมาเหมือนกันมันก็เห็นเหมือนกัน ผิดถูกก็รู้หมด เราถึงได้เทิดสุดหัวใจเลย
การอยู่ของท่าน ท่านไม่มีเณรเหมือนกัน พึ่งมามีจุ้นจ้านเอาตอนหนองผือ เณรมีบ้าง เพราะหนองผือพระมาก ท่านไม่เคยรับมาก ท่านก็อกจะแตกแหละ เพราะกับสิ่งเหล่านี้ท่านไม่เคยมาดั้งเดิม ตั้งแต่อยู่ในป่าในเขาลึก ๆ โน้นก็มีพระไปอยู่กับท่านได้หลายองค์เมื่อไร ไม่ได้นะ อย่างมากก็ ๓ องค์ ถ้าสามสี่องค์ไปแล้วไม่นานนะท่านไล่หนีเลย ปรกติท่านอยู่องค์เดียวหรืออย่างมากมีพระองค์หนึ่งเท่านั้น ส่วนมากท่านจะมีแต่องค์เดียวของท่าน นี่ปรกติท่าน แต่พระทั้งหลายก็เข้าไปหาท่าน แล้วเวลาเข้าไปหาท่านให้ไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ท่านไม่ให้มาอยู่กับท่านนะ มาอบรมเป็นกาลเวลาแล้วให้ออกไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ ท่านเองท่านก็อยู่องค์เดียว ๆ อย่างนั้นตลอดมา เรื่องเณรอย่าพูดถึงเลย ไม่มี
นี่ละแบบฉบับของท่านผู้ทรงมรรคทรงผลมาเป็นสรณะของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านเหล่านั้นปฏิบัติอย่างนี้มาทั้งนั้น แบบแผนตำรับตำราก็ชี้บอกไว้ พอบวชเสร็จแล้วไล่เข้าป่าเข้าเขา ๆ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย เป็นปฐมโอวาทเลย พอบวชเสร็จแล้วต้องสอนโอวาทนี้ก่อนอื่นเลย พระองค์ไหนก็ตามต้องได้รับโอวาทนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่องค์เดียว นั่นฟังซิโอวาทข้อนี้เด็ดไหม พอบวชแล้วก็ให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าหรือป่ารกชัฏ ที่แจ้งเช่นอัพโภกาส เป็นที่สะดวกในบางกาลเวลา ท่านจะอยู่เช่นนั้นก็ได้ ให้ไปหาอยู่ในที่เช่นนั้น แล้วจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นั่นเห็นไหมท่านบอกเล่น ๆ เมื่อไร บอกตลอดชีวิตเถิด เอาชีวิตเข้าแลกเลย
จากนั้นก็ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ไปหาบิณฑบาตด้วยกำลังปลีแข้งของตน ได้มาเท่าไรก็ฉันเท่านั้น สิ่งที่เกิดมีหรูหราฟู่ฟ่ามันก็ตามมาอย่างนี้แหละจะว่าไง หลักใหญ่ของท่านอยู่นั้น ๆ มีอะไรมาท่านฉันของท่านเสร็จไปเลย ๆ ในป่าก็ป่าอย่างนั้นจริง ๆ ในป่าในเขาที่ชำระสะสางกิเลส ความมัวหมองมืดตื้อมันเต็มอยู่ในบ้านในเมือง ไล่เข้าป่าเพื่อชำระสิ่งเหล่านี้ออกจากจิตใจ จากนั้นก็ถือผ้าบังสุกุล ผ้าบังสุกุลที่เขาไปทอดทิ้งไว้ตามป่าตามอะไรที่ไหน ก็เก็บมาเย็บปะติดปะต่อเป็นผ้าสบงบ้างจีวรบ้างสังฆาฏิบ้าง เป็นผ้าบังสุกุล เขาก็เลียนแบบนั้นแหละที่เขาเอามาบังสุกุล ก็เลียนแบบนั้นมาเรื่อย ๆ แบบธรรมชาติแท้คือท่านหาเก็บตกเอาตามที่ต่าง ๆ เช่น เขาทอดผ้าป่าหรือบังสุกุลไว้ในป่าช้านี้ ครั้นเวลาท่านไปเยี่ยมป่าช้าท่านก็เอามา นี่หลักเดิม
จากนั้นก็พวกยา เภสัช ยาก็ฉันยาดองด้วยน้ำมูตร ฟังซิน่ะ น้ำปัสสาวะ นั่นละยาของท่าน ไปที่ไหนเต็มย่ามเต็มกระเป๋า กระเป๋าเหล่านี้มีแต่ยานะนั่น ไม่มีอรรถมีธรรมมีแต่ยาเต็มกระเป๋า ไปที่ไหนกลัวแต่จะตาย ๆ ยานี้เต็มกระเป๋า ๆ ธรรมนี้แห้งผาก ๆ ไม่มีนะ มีแต่พวกยาเต็มกระเป๋า ธรรมแห้งผากภายในใจ กลัวจะเป็นจะตาย มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราว นั่นละพระพุทธเจ้าสอนเด็ดไหม ที่เป็นสรณะของพวกเรามาตั้งแต่ พุทฺธํ แล้วก็ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มาแบบนี้ทั้งนั้น ธรรมเราจะค้นพบได้ด้วยวิธีการเหล่านี้เป็นส่วนมากนะ มาเป็นสรณะของพวกเรา ท่านไม่หาหรูหราฟู่ฟ่า วานนี้บอกแล้วกิเลสเหยียบธรรม เหยียบหมด เหยียบธรรมเหยียบวินัยของพระของเณรไม่มีเหลือนะ มีแต่กิเลสตีตลาด ๆ ธรรมตีไม่มีแล้ว แทบจะว่าไม่มี
เพราะฉะนั้นจึงต้องส่งเสริมพระที่ท่านตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ ไล่เข้าป่า อย่างที่เราบำรุงอยู่ที่วัดภูวัวนี้เหมือนกัน เราบำรุงด้วยเด็ดขาดเสียด้วยนะ เอ้า เรื่องอาหารการกินใครจะมาถวายไม่ถวายอย่าเป็นอารมณ์ เราสั่งทันทีเลย เราจะเป็นผู้เลี้ยงดูเอง แล้วเด็ดขาดด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเอาไปนี้เผื่อไว้ตลอด ๆ เราเป็นคนสั่งเองทั้งหมดเลย ไม่ให้บกพร่อง ตามนั้น ๆ เหลือเฟือตลอดเวลา แล้วท่านไม่ต้องเป็นกังวล ใครจะมาถวายไม่ถวายไม่สนใจ มีเท่าไรฉันเท่านั้น
พระกรรมฐานไม่ได้ยากนะ การอยู่การกินใช้สอยหลับนอนนี้ท่านสบายมาก แต่ความหนักแน่นของท่านที่จ่อตลอดเวลาคือความเพียร สติกับจิต จิตนั้นตัวภัยมหาภัยอยู่ที่นั่น สติเป็นน้ำดับไฟปราบเข้าไปตรงนั้น ๆ สติสตังดู มันคิดเคลื่อนไหวไปทางไหน ทางโลกทางสงสารทางเป็นฟืนเป็นไฟยังไงบ้าง น้ำดับไฟคือสติปัญญาพิจารณาดับไปเรื่อย ๆ แก้ไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นนะท่านภาวนาถึงได้มรรคได้ผลมา ครั้นเวลาเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า แทนที่จะถามอย่างอื่นไม่เห็นปรากฏในคัมภีร์ มีแต่เป็นยังไงไปอยู่ในป่านั้นเขาลูกนั้นถ้ำนั้น เป็นยังไงภาวนา ขึ้นภาวนาเลยนะ
พระก็เล่าถวาย เมื่อบกพร่องตรงไหนพระพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำสั่งสอนแล้วไล่เข้าป่า ๆ มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นบางเวลา ๆ แล้วก็เข้าไปอยู่ตามป่าตามเขาดังที่ทรงสั่งสอนไว้เรียบร้อยแล้วนั้น ท่านเป็นอย่างนั้น ครั้นเวลาสำเร็จออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า นั้นละมหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้าดูเอา รุกฺขมูลเสนาสนํ นั้นคือมหาวิทยาลัยป่า พอไล่เข้าไปแล้ว อาจารย์ชั้นเอกสุดยอดก็คือพระพุทธเจ้า ผู้ไปศึกษาอบรมกับท่านสำเร็จชั้นนั้นชั้นนี้ องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นั้นสำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์ ตามวิชาธรรมที่สอนให้ เมื่อได้รับมรรคผลแล้วก็ออกมาเป็นครูเป็นอาจารย์สอน อยู่ในมหาวิทยาลัยป่าทั้งนั้นนะ สอนที่ไหนก็มีแต่ครูบาอาจารย์เป็นปรมาจารย์ ๆ ทั้งนั้นสอน มรรคผลนิพพานเต็มหัวใจสอนผิดไปที่ตรงไหน
นี้ก็สำเร็จออกมาเรื่อย ๆ เรียนมาจากมหาวิทยาลัยป่า ท่านสำเร็จออกมาเป็นพระอริยบุคคล เป็นโสดา เป็นสกิทา เป็นอนาคา เป็นอรหันต์ ออกมา ๆ ท่านเรียนธรรมล้วน ๆ ไม่มีโลกเข้าไปเจือปนเลย นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ศาสนาพระพุทธเจ้า ผลิตสัตวโลกให้มีความดีงาม ผลิตจิตใจกิริยามารยาทเป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้างด้วยธรรมเหล่านี้แหละที่ท่านสอน อย่างนอกจากนี้ไม่มี มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา นี่ละสรณะของพวกเราท่านดำเนินมาอย่างนั้น ตำรับตำรามีอยู่เห็นอยู่จะว่าไง จากนั้นก็เป็นมาอย่างที่เห็นนี่ละ
ทีนี้มันจะหมดไปเสียจริง ๆ แล้วละพระกรรมฐานเรา จึงได้เข้มงวดกวดขัน อันไหนที่ควรทะนุถนอมก็ทะนุถนอม อย่างเช่นวัดภูวัวหรือวัดแถวนี้เหมือนกัน เราไปเสมอนี่ ไปที่ไหนมีเหตุมีผลทุกอย่างที่ไป ไปวัดนั้นวัดนี้ไปดูสถานที่ที่อยู่ของพระ ที่บำเพ็ญของพระทำกันยังไง ๆ การประพฤติปฏิบัติของพระปฏิบัติกันยังไง โดยเอาธรรมวินัยกางไปตลอด ตรงไหนบกพร่องก็เตือน ๆ ควรดุ ๆ จึงได้ไปที่นั่นบ้างที่นี่บ้างอยู่เรื่อย ๆ นี่เราก็พยายามให้พระท่านได้บำเพ็ญสมณธรรมด้วยความสะดวก เรื่องจตุปัจจัยไทยทานนั้นใครจะมาถวายหรือไม่ถวายอย่าเป็นกังวลเราบอกเลย เรารับเลี้ยงตลอดแล้ว ก็ทำอย่างนั้นด้วย รับเลี้ยงตลอดเลย
เมื่อวานนี้ไปจึงได้เรื่องพระมา พระ ๓๑ เณร ๕ เดือนหนึ่งไปทีหนึ่ง จวนสิ้นเดือนแล้วก็ไปเป็นประจำมาได้สิบกว่าปีแล้ว พระเหล่านี้เราเลี้ยงดูหมดเลยเราไม่ให้บกพร่อง ถึงเราจะไปไหนมาไหนก็ตาม ถึงวันเวลาแล้วเขาไปส่งเองตามที่เราสั่งไว้เรียบร้อยแล้วไม่เคลื่อนคลาดนะ เขาจะไปจัดการของเขาเองตลอดมาอย่างนี้ นอกนั้นเราก็ช่วยบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ เหมือนภูวัว ภูวัวนี้ขาดไม่ได้บอกเลย เพราะเราได้พูดเด็ดขาดเรียบร้อยแล้ว ว่าเราจะรับเลี้ยงทั้งหมด เราต้องรับเลี้ยงทั้งหมดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเหตุสุดวิสัยจริง ๆ มันก็ทราบกันคนเราน่ะ ธรรมดาอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้นเลย เราปฏิบัติมาอย่างนั้น
พอตกเย็นเริ่มค่ำท่านก็มารวมที่ศาลาเล็ก เป็นกุฏิสองชั้น ข้างล่างเป็นหินลาดหินดาน ข้างบนไม่มีใครไปอยู่แหละพระ ก็ปลูกไว้โก้ ๆ เหมือนศาลาหลังนี้ข้างบนมีแต่โก้ ๆ ข้างล่างเต็มไปหมดคน เป็นประโยชน์ ข้างบนไม่ค่อยเกิดประโยชน์อะไร อันนั้นก็กุฏิสองชั้นเหมือนกัน ชั้นบนไม่มีใครไปยุ่งแหละ มีแต่อยู่ข้างล่าง เราไปจนกระทั่งป่านนี้เราไม่เคยขึ้นบนกุฏิหลังนี้นะ ไปก็ไปอยู่ข้างล่างเสียเสร็จแล้วมาเลย ทีนี้พระท่านก็มารวมอยู่ที่นั่น พอตกเย็นเริ่มมืดท่านก็มา หัวหน้าวัดก็มา เอาเทปของวัดป่าบ้านตาดนี้แหละไป ท่านจะเปิดเทปไว้นั้น พระก็นั่งสมาธิฟังเทปโดยนั่งภาวนาในเวลานั้น อย่างน้อยมักเป็นหนึ่งตลับเทป หนึ่งกัณฑ์ทุกวัน ๆ พอเสร็จแล้วท่านจะนั่งภาวนาต่อก็ต่อ องค์ไหนที่จะไปก็ไปได้ เลิกกันไป นี้เป็นปรกติ ท่านทำอย่างนั้นตลอดมา
สำหรับเทปนั้นเอาออกจากวัดนี้ไปตลอดไปไว้ที่นั่น ท่านมาฟังอย่างนั้นทุกคืน ๆ อบรมภาวนาทุกวัน ๆ จึงไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง ให้เป็นเรื่องของพระล้วน ๆ เลย มีมากมีน้อยเรื่องของพระล้วน ๆ ไม่ให้ยุ่งกับอะไร เพื่อสั่งสมอรรถธรรม สติสตังติดกับตัว ๆ เมื่อไม่มีเรื่องก่อกวนสติกับจิตต้องติดกันแนบ เรียกว่าความเพียรตลอด ๆ จากนั้นก็จะค่อยเจริญขึ้นจิตใจ ว้าวุ่นขุ่นมัวขนาดไหนพ้นน้ำที่สะอาดคือธรรมไปไม่ได้ ชะล้างลงไปก็สะอาดขึ้นมา ๆ ต่อไปก็ตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นได้ เป็นความสงบร่มเย็นเป็นสมาธิ จากนั้นก้าวเป็นปัญญาขึ้นมาได้
จากปัญญาแล้วทีนี้คำว่าปัญญานี้กระจายนะ พูดไม่ออกนะเรื่องปัญญา คือพูดไม่ถูก เรื่องสมาธิพูดถูกเพราะมีขอบเขต สมาธิเต็มภูมิเหมือนน้ำเต็มแก้ว ให้เลยนั้นไม่เลย จะเต็มภูมิขนาดไหนก็เหมือนน้ำเต็มแก้ว มากขนาดไหนก็อยู่ในขอบปากแก้วไม่เลย นี้คือขอบเขตของสมาธิที่อยู่ เรียกว่าสมาธิเต็มภูมิ สงบขนาดไหนก็เต็มภูมิ พอก้าวออกทางด้านปัญญา เรียกว่าน้ำล้นแก้วนะที่นี่ พอออกทางด้านปัญญานี้กระจายออก ๆ ปัญญานี้จะไม่มีสิ้นสุดนะตามแต่นิสัยวาสนาอีกด้วย ไม่ใช่ตามแต่ความพากเพียรของผู้นั้นมีความตั้งใจมากน้อยเพียงไร ปัญญาจะก้าวเดินไปอย่างนั้น ยังมีนิสัยวาสนาเกี่ยวเข้าไปนั้นอีก ดึงกันไปอีกด้วย ให้กระจายออกไปละเอียดลออไปเรื่อย ๆ ปัญญาจึงไม่มีสิ้นสุด นอกจากอุบายวิธีการของปัญญาฆ่ากิเลสแล้ว ยังเป็นวิธีการของปัญญาที่จะพิจารณารู้เห็นเหตุผลกลไกต่าง ๆ ที่ครอบโลกธาตุ มันมีอะไร
กิ่งก้านสาขาดอกใบเหล่านั้นเหมือนกับเชื้อไฟ สภาวธรรมทั้งหลายที่มีอยู่เต็มโลกธาตุนี่เป็นเหมือนเชื้อไฟ ธรรมที่อยู่ในใจนี้เป็นเหมือนไฟ ให้ชื่อพอเข้าใจกันได้ก็เรียกว่าปัญญาธรรม ญาณอันหนึ่งหรือปัญญาญาณหนึ่ง ออกจากใจ มันยังจะซ่านไป นี่ละไฟนะ ไฟคือธรรมนี่จะซ่านออกรู้ออกเห็นตามสิ่งต่างๆ คือสภาวธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุนี้ สติปัญญาของผู้มีภูมิธรรมอันแก่กล้าสามารถวาสนาต่างกันๆ ผู้มีความลึกซึ้งมากท่านจะรู้ของท่านไปอย่างนั้นนะ จะซึมซาบไปเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟอยู่ทางไหนไฟจะลุกลามไปเรื่อยๆๆ ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำว่าสั้นว่ายาว ขอให้มีเชื้อไฟอยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไปได้หมด นี้ขอให้สภาวธรรมมีอยู่ที่ไหน ปัญญาญาณหรือความหยั่งทราบของปัญญานี้จะหยั่งทราบ เท่ากับไฟไหม้เชื้อนั่นแหละ มันจะลุกลามไปเรื่อยๆๆ
แล้วจะไม่ให้เห็นได้ยังไง ที่พระพุทธเจ้าว่าบาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มี นี้คือสภาวธรรมทั้งนั้น ใจที่เป็นนักรู้นี้คือธรรมจะกระจายไปหมดเลย ปิดได้ยังไง กระจายไปเรื่อยๆๆ ทั่วถึงกันไปหมด นี่พระพุทธเจ้าเป็นยังไงชั้นเอกของศาสดาทุกองค์ แล้วจะไม่ให้รู้ให้เห็นสภาวธรรมที่มีอยู่เต็มโลกธาตุด้วยพระทัยท่านได้ยังไง เต็มพระทัยเหมือนกัน นั่นละเอามาสอนโลกสอนได้อย่างนี้เอง คือรู้ไปหมดแล้วจึงเอามาสอน จะผิดพลาดไปที่ไหน มีแต่พวกหูหนวกตาบอดลบล้างไปๆ เจ้าของก็หัวชนไปไฟไหม้หัวมันไปเรื่อยๆ สุดท้ายพวกนี้แหละพวกไปจมอยู่ในนรก ที่ไปลบล้างนรกว่าไม่มี นรกขึ้นอยู่กับใครวะ ถ้าขึ้นอยู่กับผู้ใดๆ แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่มีความหมาย นรกไม่ขึ้นกับพระพุทธเจ้าเสียอย่างเดียว นรกก็ไม่มีไปเสียอย่างนี้ นี่นรกมี ใครจะว่าไม่มีก็ตาม
ให้พากันจำเอานะ ว่าสภาวธรรมทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุนี่คือ ฐีติธรรมหรือสภาวธรรมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ทีนี้ธรรมคือใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วจะรู้จะกระจายไปหมด เหมือนกับไฟนะใจ ธรรมนี้เหมือนกับไฟได้เชื้อมันจะรู้จะเห็นตามไปหมดแทรกไปหมดๆ เลย นี่เรียกว่าน้ำล้นฝั่ง ตั้งแต่ก้าวออกทางด้านปัญญาเป็นน้ำล้นฝั่ง จากนั้นเราจะว่าปัญญาไม่ปัญญาทีนี้ไม่มีขอบเขตแล้วนะ พอล้นฝั่งไปแล้วจะไปได้ทุกแห่งเลย ปัญญาญาณเหล่านี้ไปได้ทุกแบบทุกฉบับตามนิสัยวาสนากว้างแคบต่างกันนะ จะรู้ไปได้ ๆ อย่างนั้น พากันเข้าใจ
นี่ละความจริงของธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลกสอนเล่นๆ เมื่อไร เราจะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ เล่นๆ ให้กิเลสเหยียบหัวเอา ๆ อู๊ย มันไม่อยากดูนะพูดจริงๆ มองไปไหนมันตำหูตำตาตำทุกอย่าง ถ้าเป็นธรรมดาหัวแตกไปนานแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย หัวแตกตาบอดอะไรไปนาน เพราะสิ่งเหล่านั้นโดนเอาๆ อันนี้หัวเป็นหัว สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งเหล่านั้น คือต่างอันต่างอยู่ จึงรู้เหมือนไม่รู้เห็นเหมือนไม่เห็น นอกจากเวลามันคันฟันมันกัดเอาบ้าง ไม่กัดก็เห่าฟ่อๆ เอาเสียบ้าง เอาละ เท่านี้วันนี้
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๒๕ พฤษภา ๔๔ ทองคำได้ ๒๔ บาท ๗ สตางค์ดอลลาร์ได้ ๑๒ ดอลล์ ทองคำทั้งหมดที่ได้ทั้งที่หลอมและยังไม่หลอมมอบและยังไม่มอบเวลานี้ได้ ๒,๔๗๒ กิโลครึ่ง ที่ยังไม่หลอมเวลานี้นั้น ๔๑๐ กิโลกับ ๙ บาท ๒๑ สตางค์อันนี้ยังไม่ได้หลอม เราอาจจะได้หลอมตอนไปกรุงเทพฯ นี่ก็ได้นะ เพราะมัน ๔๐๐ กว่าไปแล้ว ตามปกติก็ต้อง ๔๐๐ กว่าแล้วเราก็หลอมทีนึง หลอมเสร็จแล้วให้ได้อยู่ในเกณฑ์ ๔๐๐ กิโล นี่ก็ได้ ๔๑๐ คิดว่าจะได้หลอม กว่าเราจะไปกรุงเทพฯ นั้นมันก็จะเพิ่มขึ้นอีก อาจจะได้หลอมในคราวนี้ก็ได้ กรุณาทราบตามนี้ เป็นยังไงล่ะอาจารย์รัตนา ฟังเทศน์วันนี้ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบนี้เป็นยังไงเข้าใจไปโดยตลอดเรื่อยไม่ใช่หรือ
อาจารย์รัตนา ค่ะดีค่ะ เพราะว่าที่ท่านพูดเรื่องเณร เด็กเขาเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ
หลวงตา พูดเรื่องเณรยังไง จากนั้นก็ขึ้นเรื่อยนะ ไปเรื่อย
อาจารย์รัตนา เณรกับบั้งไฟเจ้าค่ะ
หลวงตา เราขบขันนั่นหละ แหม มันทำได้ทำยังไงอย่างนั้นนะ อยู่คนเดียวรำคาญว่าอย่างนั้นนะ อยู่คนเดียวรำคาญ เลยหาทำบั้งไฟจุดเล่น ก็พอดีอาจารย์เป็นอาจารย์ใหญ่เสียด้วยเข้าไปเจอเอาอย่างจังๆ เลยตัวสั่นหมดเลย เราเห็นอย่างนั้นเราก็ไม่มีอะไรแล้ว ทำเป็นเรื่องเหมือนไม่มี ถามธรรมดาเหมือนผู้เฒ่าถามเด็กทั่วไป แต่เณรมันตัวสั่น เพราะฉะนั้นในระยะ ๓ วัน ๔ วันเราถึงไม่พูดถึงเลย จนกระทั่งมันคลี่คลาย หน้ามีเลือดมีอะไรออกมาแล้วจึงค่อยเริ่มนะ ตอนแรกไม่เอาเลยเพราะมันกลัวอยู่มากแล้ว เราก็เหมือนไม่มีเรื่องเลย จนกระทั่งมันจางไปแล้วจึงจับมาหวดเอาๆ คือให้ทำงาน ๓ วันๆ ละชั่วโมงๆ พอเสร็จแล้วก็สั่งสอนอีกทีนึง ให้พระทรมานให้พระควบคุม เอาปุ้งกี๋ไปขุดเอาดินจอมปลวกมาถมที่ต่ำๆ
อะไรมาอีกนี่ (ตะเกียงครับ)โถ จ้าดี เข้าท่าดีนะ นั่นน่ะเห็นไหมล่ะนี่ดูเอา ที่ใจสว่างอยู่ภายในนี่ เวลาส่งออกมาแก้วครอบมันเหมือนไม่มีนะ มันกระจายออกหมด ใจที่สว่างอยู่ข้างในจ้าออกมา แก้วครอบนี่ประหนึ่งว่าไม่มี ร่างกายซึ่งเป็นเหมือนกับแก้วครอบนี้ประหนึ่งว่าไม่มีเหมือนกัน มันซ่านออกหมด ถึงเวลามันสว่างนี่ ใจเป็นอย่างนั้น อันนี้เราก็เคยพูดอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ไม่ใช่เหรอ ก็คืออย่างนี้เองมันจ้า (สว่างกว่านี้ครับนี่สว่างนิดเดียว) อันนี้ที่ว่าสว่างนิดเดียวนั่นคือว่ามันสู้นอนไม่ได้ มันนอนทับเอาหมดไม่มีแสงสว่างเลย
ที่เราพูดเรื่องใจสว่างเป็นอย่างนั้น เจ้าของเองยังอัศจรรย์เจ้าของคิดดูซิน่ะ เราเทียบได้เพียงเท่านี้ คือความสว่างของใจเหมือนไส้ตะเกียงสว่างอย่างนี้ ร่างกายเรานี้เหมือนแก้วครอบ แล้วก็เหมือนไม่มีเลยนะมันครอบหมดนี้ แก้วครอบมันก็เหมือนไม่มี ความสว่างกระจายออกไปหมด ทีนี้จิตที่เวลาสว่างเต็มที่ของมันร่างกายนี้ก็เหมือนไม่มี มันจ้าไปหมดเลย มันต่างกันนะ อันนี้เราพูดถึงในขั้นนี้ของความสว่าง เราจะเอาขั้นนี้เป็นขั้นอัศจรรย์สุดยอดไม่ได้ ขั้นอันนี้เวลาความสว่างสุดยอดเข้ามาทับทีเดียวความสว่างอันนี้เป็นกองขี้ควายไปหมดเลยนะ ใจห่างไกลกันไหม ในขั้นนี้เราว่าความสว่างนี้อัศจรรย์สุดยอดของมัน แต่ในภูมิของมันนะ
ทีนี้ความสว่างสุดยอดกว่านี้เรียกว่าเลยยอดอันนี้ไปแล้ว ครอบปึ๊บเข้ามาเท่านี้ อันนี้เป็นเหมือนกับกองขี้ควายไปเลย นั่นเห็นไหม เห็นอยู่ในใจดวงเดียว เวลาอัศจรรย์อันนี้ก็เห็น เช่น เวลามาตำหนิอันนี้ว่าเป็นกองขี้ควายก็ใจดวงนี้มันมาตื่นกัน ก็เพราะฐานะของมันสูงต่างกันใช่ไหมล่ะ มันก็ตำหนิกันได้ละซิ (อาจารย์รัตนาไม่เคยเป็นอย่างนี้)
อาจารย์รัตนา เป็นค่ะเป็นครั้งเดียวเป็นหนเดียวค่ะ ตอนหลังจะให้เป็นอีก ไม่เป็นค่ะ
หลวงตา อย่าไปกังวลซิ คืออย่าไปกังวลสิ่งที่เป็นมาแล้วนะ ถ้าไปกังวลนั้นแหละคืออุปสรรค มันเป็นสัญญาไปคาดไปหมายหมด งานมันไม่ทำมันก็ไม่เป็นอีก
อาจารย์รัตนา อยากให้เป็นอีกเจ้าค่ะ
หลวงตา อยากให้เป็นอีกให้อยู่ในปัจจุบัน เป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมันแต่อันนี้หนุนตลอด สติปัญญาเราทำยังไงมันถึงเป็นอย่างนั้น ตั้งจุดลงจุดนี้แล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ต้องเป็นกังวล แล้วมันก็เป็นขึ้น ๆ แล้วกระจายออกไปอีก คือต้องอยู่ปัจจุบัน ถ้าเราจะเอาความคาดหมายที่เคยเป็นแล้วนี้ไปคาดหมาย มันเป็นอุปสรรคเป็นขวากเป็นหนามกั้นไว้หมด ยังไงก็ไม่รู้ จนกระทั่งจิตมันจางเข้ามา มันหายห่วงใยสิ่งเหล่านี้แล้วเข้ามาเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันก็สร้างตัวเองขึ้นมันก็จ้าอีกนั่นเข้าใจเหรอ ต้องเป็นอยู่กับปัจจุบัน ที่เป็นมาแล้วให้ผ่านเลย
อาจารย์รัตนา หลายปีแล้วค่ะ
หลวงตา หลายปีก็ช่างหัวมันเถอะ ไอ้นั่นปีเดือนมืดแจ้งเฉยๆ มันเป็นอยู่ที่หัวใจของเรา แต่ก่อนเราเคยเป็นมายังไงมันยังเป็นเห็นไหมล่ะ เมื่อมันเป็นแล้วเราจะพยายามบำรุงให้มันถูกวิธีมันเป็นได้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แหละ
ลูกศิษย์ ธรรมะแตกดี
หลวงตา ธรรมะแตกหรือบ้าแตกก็ไม่รู้ มันมีสองอย่าง ส่วนมากมีแต่บ้าแตก พวกเรานี่พวกบ้าแตก นี่กองหัวหน้าบ้าเข้าใจไหม ไปละทีนี้ ๙ โมงเป๋งพอดีเลย