ของดีอยู่ลึกลับ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2544 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ของดีอยู่ลึกลับ

ที่เราพูดนี้เตือนพี่น้องทั้งหลายให้มีสตินะ ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องใด ๆ เราไม่มีเรื่องของโลกเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ที่พูดลงไปด้วยความเพ่งเล็ง ตำหนิติโทษด้วยความเพ่งเล็งเราไม่มีนะ ผิดตรงไหนบอกเพื่อให้คนนั้นปัดออก ความหมายว่างั้นนะ ธรรมไม่ได้เหมือนโลก ถ้าโลกนี้ว่าอะไรเจ็บแสบจริง ๆ ว่าผิดนี้โลกเจ็บแสบ แทงกันเลย ๆ ธรรมไม่ใช่ปัดออก อันนี้แหลมหลาวนะปัดปุ๊บ ๆ ออกไม่ให้แทงคนนั้นโดยที่คนนั้นไม่รู้ตัว ทางนี้ปัดออก อันนี้แหลมหลาว ธรรมท่านเป็นอย่างนั้นปัดออก อันนี้ยาพิษนะปัดออก อย่างนั้นนะ ธรรมกับโลก โอ๋ย ผิดกันมากจริง ๆ ไม่ได้เหมือนกันเลย เป็นคนละโลก อยู่ด้วยกันก็เหมือนข้างหน้าข้างหลัง ข้างหน้าเป็นข้างหน้าร้อยเปอร์เซ็นต์ ข้างหลังก็เป็นข้างหลังร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในร่างกายอันเดียวกัน มันเป็นใหญ่คนละทาง คนละฟาก ๆ ข้างหน้า ข้างหลัง

วันนี้เขาก็ไปภูวัว วันที่ ๒๕ พอดีวันจวนสิ้นเดือน ส่วนมากตั้งแต่วันที่ ๒๕ ไปถึงประมาณวันที่ ๒๘-๒๙ เขาจะไปวันใดวันหนึ่งไปส่งของภูวัว รถคงจะเข้าได้มั้ง ฝนถ้ามันตกในขณะที่รถไปนั้นมันไม่ได้นา ธรรมดาทางมันก็เข้าได้อยู่ธรรมดา ๆ แต่เวลาข้ามคลองมาแล้วตอนขึ้นนี้ ดินที่เขาเทใหม่มันไปเลอะเทอะ มันก็มานี้ไม่ได้ รถลงก็ลงไม่ได้ ที่ว่าไปไม่ได้ สำหรับคลองนั้นมันมีสะพานข้ามได้ ทีนี้ฝั่งคลองน่ะซีเลอะเทอะหมดเลยไปไม่ได้ วันนี้คิดว่าคงจะไปได้

สำหรับเมื่อวานนี้ก็แบ่งภาคกันไป คันหนึ่งให้ไปผาแดง คันหนึ่งไปสังโฆ ของเท่ากันเลย ส่วนรถของเราเราไปสังโฆ เราก็เอาของเราไปคันหนึ่งต่างหาก อันนี้ไม่ได้นับ มีสองคันแบ่งกัน ผาแดงคันหนึ่ง สังโฆคันหนึ่ง อันนั้นเราก็สงสารพระ สำหรับพระเราที่อยู่กันมาตลอดนี้ วัดป่าบ้านตาดนี้เราดูทุกอย่าง การขบการฉัน การลุกลี้ลุกลนในอาหารสำหรับวัดนี้แทบจะพูดได้ว่าไม่มี มีแต่ความสวยงาม ท่านไม่ได้ลุกลี้ลุกลนในอาหารการกิน ดูซิดูท่านจัดอะไรซี เราเป็นหัวหน้าเราดูตลอดนะ แต่จะรู้ว่าเราดูหรือไม่ดูไม่ทราบแหละ ถ้าเรามีญาณเราดูก็ต้องจับว่าไง แต่นี้มันไม่มีญาณมันก็หยั่งทราบไปหากล้วยหอมกล้วยไข่ไปเสีย ญาณของเรามันไปทางนั้น มันเป็นใหญ่ไปทางนั้น ญาณประเภทนี้ถ้าว่าหมอก็หมอนัดไปทางนั้นว่างั้นเถอะ นัดไปทางกล้วยหอมกล้วยไข่ไปเสีย ไม่ได้นัดให้ดูตับคน ตับไหนมันลุกลี้ลุกลนเห็นแก่ได้แก่กิน ญาณของเรามันก็ไม่มีเสียนั่นซี

สำหรับพระเราเราชมมาตลอด ชมภายในใจ นี่รับพระมาเท่าไรพึ่งมาเปิดวันนี้เห็นไหม กี่ปีมา ที่จะพูดเรื่องพระให้ประชาชนทั้งหลายได้ทราบเราไม่เคยพูด ดูมาตลอด เพราะเราเป็นผู้รับพระ แนะนำสั่งสอนพระ ผิดถูกดีชั่วประการใดคอยตักคอยเตือนอยู่เสมอ เท่าที่ผ่านมานี้พระวัดนี้ไม่มี เรียกว่าแทบจะว่าไม่มีกิริยาที่ลุกลี้ลุกลนเห็นแก่ปากแก่ท้องเห็นแก่อยู่แก่กิน และเห็นแก่ตัว เอาของให้หมู่เพื่อนให้ของไม่ดิบไม่ดี ของดีเจ้าของเอาอย่างนี้ ไม่มีสำหรับวัดนี้นะ ดีไม่ดีอะไรที่ดีไปใส่บาตรหมู่เพื่อนด้วยซ้ำ เป็นอย่างนั้นนะ คือท่านดัดหัวใจของท่านที่มันลุกลี้ลุกลนมันโลภ ท่านตีความโลภออกเอาธรรมเข้าไป ไม่ต้องเอามันโลภมาก ความหมายว่างั้นนะ

ท่านทำอยู่ภายใน แล้วเราก็เคยฝึกเรามาแล้ว พอพระท่านแสดงอาการอย่างนั้นมันก็เข้ากันได้เลย เพราะต่างคนต่างมีอุบายวิธีฝึกตนเองอย่างเดียวกัน สำหรับพระวัดนี้เราได้ชมว่าท่านไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง จะขบจะฉันเท่าไรมากน้อย ท่านก็ฉันด้วยความเป็นธรรมล้วน ๆ อย่างฉันนี้ท่านไม่ค่อยอิ่มนะที่ฉันทุกวัน แม้ท่านมาฉันทุกวัน ๆ ท่านก็ลดลงไว้เสมอไม่ให้เป็นไปตามกิเลสตัณหา การลดของท่านตามแต่นิสัยของแต่ละองค์ที่จะพิจารณาตัวเอง วันนี้ฉันขนาดนี้เป็นยังไงการภาวนา ท่านจะเอาการภาวนาเป็นเครื่องยันทีเดียว ผลได้เสียจะอยู่ที่ภาวนา เพราะอะไร เพราะอาหารประเภทใด เพราะอิริยาบถใด กิริยาอย่างไร มาทำภาวนาให้ดีหรือให้เลวลง

เฉพาะอย่างยิ่ง เช่น อาหารนี้สำคัญมาก ได้ทดสอบตลอด เพราะฉะนั้นการขบฉันจังหันของพระวัดป่าบ้านตาดท่านจึงไม่แน่นอนสำหรับสายตาของคน แต่แน่นอนในความสังเกตองค์ท่านเอง ว่าวันไหนจะควรเพิ่มขึ้นประมาณเท่าไร แล้วการภาวนาเป็นยังไง ๆ ท่านจะทดสอบตลอด กลางค่ำกลางคืนเวลาสงัด ๆ เวลาเอาจริงเอาจัง มันจะรู้กันชัดตอนนั้นละนะ ตอนกลางวี่กลางวันไม่ค่อยเท่าไร เพราะร่างกายก็หยาบอาหารก็หยาบ ทุกอย่างหยาบ สิ่งที่มาสัมผัสสัมพันธ์ก็มีแต่ส่วนหยาบ ๆ เข้ามากระทบกระเทือนอยู่เรื่อย ๆ การสังเกตตัวเองจึงไม่ค่อยถนัดชัดเจนเหมือนเวลาดึกสงัด

เวลาดึกสงัดจะทราบเรื่องราวของธาตุของขันธ์ของจิตใจ ธรรมกับกิเลสมันฟัดมันเหวี่ยงมันขัดมันแย้งกันที่ตรงไหน นั่นละท่านนำอันนั้นละออกมาปฏิบัติกับตัวเอง เวลามาหาส่วนหยาบ เช่น อาหารอย่างนี้นะ เมื่อวานนี้ฉันอย่างนั้น ๆ การภาวนาเป็นอย่างนี้ ๆ ท่านจะตัดท่านจะลดของท่านลง เช่น สมมุติว่าวันนี้ท่านเอาหนักสักหน่อย ฉันเพียง ๑๐% เท่านั้น ได้สักสองสามคำพออยู่ท้องพอได้ย่อยเท่านั้นก็พอ แล้วเป็นยังไงภาวนา ท่านไปทดสอบอีก ถ้าท่านทดสอบดูแล้วรู้สึกว่าธาตุขันธ์มันจะอ่อนมากไป ท่านก็เพิ่มให้อีกขึ้นเท่านั้นเปอร์เซ็นต์เท่านี้เปอร์เซ็นต์ ถ้าจะสูงไปมากท่านตัดลง นั่นอย่างนั้นนะ การฝึกตัวเองต้องเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นไม่รู้ของดีนะ

ของดีอยู่ลึกลับ พวกมูตรพวกคูถคือความโลภ ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่อยู่แก่กินนี้ มันปกปิดกำบังเอาหมดธรรมไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นจึงให้เปิดออก ๆ สังเกตดูเรื่อยเปิดเข้าเรื่อย นั่นละผู้ปฏิบัติธรรมต้องสังเกต ไม่สังเกตไม่ได้นะ ด้วยเหตุนี้พระท่านฉันจังหันเป็นประจำก็คือท่านฉันแต่น้อย คำว่าฉันแต่น้อยท่านยังมีเพิ่มขึ้นลดลงอีกเป็นระยะ ๆ ที่จะฉันให้อิ่มหนำสำราญจริง ๆ สำหรับวัดนี้รู้สึกจะมีน้อยมาก ให้ฉันเต็มอิ่มเต็มกำลังจริง ๆ พอมองเห็นเขตวัดก็เหยียบเบรกแล้วดับเครื่อง ไม่ให้ชนประตูวัด ประตูวัดเป็นประตูของแมวที่จะขึ้นข้างบน มาเหยียบหัวคนที่เซ่อ ๆ ในวัด เปิดประตูไว้ให้แมวไปเหยียบหัวคนเซ่อ เพราะฉะนั้นจึงต้องเหยียบเบรกแต่โน้น นั่นละการปฏิบัติตัวเองไม่ให้ถึงที่ ถ้าฉันให้เต็มอิ่มเต็มที่แล้วกิเลสได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย ธรรมแฟบเลย นั่นท่านเห็นอย่างนั้น จึงต้องระวังตลอดเวลา

ในตำราท่านก็ยังมี แต่ก่อนเรากำลังเรียนอยู่เราก็อ่านไปเฉย ๆ เวลาเข้ามาปฏิบัติถึงได้รู้ โอ้โห ท่านพูดนี้ท่านถอดออกมาจากหัวใจด้วยการสังเกตจิตใจของท่านจริง ๆ เข้ากันได้กับเวลานี้ที่เรากำลังเดินตามหลังท่าน เราปฏิบัติอย่างท่านพูดออกมาแล้วนั้น คือจิตมันจะลุกลี้ลุกลนไปหาอาหารการกินอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ไปก็ต้องไปตามเป็นกิจวัตรไป ภาวนาไปพิจารณาปฏิบัติตัวเองรักษาใจไปตลอด ที่ใจมันลุกลี้ลุกลนไปหาอาหารการกินอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ใจเป็นกิเลสแหวกแนวแล้วนะนั่น

พระท่านกำลังครองผ้าจะไปบิณฑบาต พอกำลังครองผ้าไป จิตประเภทนี้ละประเภทลุกลี้ลุกลน ประเภทบ้ามีแต่อยากสะแตกอย่างเดียวมันผึงผังออกมา วันนี้ใครเขาจะใส่บาตรอาหารประณีตบรรจงอะไรแก่เราบ้างนา มันคิดขึ้นมา เหอ นั่นตอบแล้วตอบภายในใจ นี่ยังไม่ไปก็ไปหาก่อนแล้วนี่ ไปหาคว้าที่ไหนเขาจะให้อะไรต่ออะไรมาแล้วนี่ เจ้าของยังครองผ้าอยู่นี่ ไม่ไปวันนี้ ลดผ้าปุ๊บปั๊บเลย ไปถ้าเก่งไปเอง นั่นเห็นไหมท่านดัด นี่ในตำรานะเอามาพูดนี่ เอา ถ้าเก่งก็ไปเอง จากวันนั้นแล้วดัดอีกวันหลัง คอยจ้อกัน เอ้า ตัวไหนเก่ง เอา ถ้ามันเป็นอย่างนั้นอีกไม่กิน ถ้ามันเก่งอย่างนั้นยังไม่กิน นั่นท่านหนักเข้าไป

ทีนี้มันก็หมอบล่ะซีมันกลัวจะไม่ได้สะแตก ท่านก็เลยพามันไปกิน เมื่อมันกลัวจะไม่ได้สะแตก ถูกท่านตีขนาบหนัก ๆ เข้าแล้วท่านก็พามันไปหากิน ไม่ว่าไปสะแตกเข้าใจหรือ เพราะมีธรรมควบคุม ถ้าไม่ใช่ธรรมควบคุมสะแตกทั้งนั้นแหละ ถ้าธรรมควบคุมแล้วกิน พอยังอัตภาพเป็นปัจจัยเครื่องหนุนกันไป ลดลงเป็นขั้น ๆ อย่างนั้นนะธรรมท่าน พอเวลามันผาดโผนท่านก็เอาหนัก วันหลังจ้อใส่กันเลย เอ้า ใครเก่งวันนี้น่ะ ท่านก็เอาชีวิตเข้าตั้งเลยจะว่าไง มันเก่งจริงเราก็จะเก่ง เรื่องความหิวโหยความทะเยอทะยานเพราะอำนาจกิเลส ไม่ได้เห็นพาไปมรรคผลนิพพาน มีแต่ความรู้จักประมาณ ความรับผิดชอบตัวเองในด้านผิดด้านถูกประการต่าง ๆ เพื่อรักษาจิต จัดแล้วไปมรรคผลนิพพานได้เท่านั้น เหล่านี้ไม่พาไป ท่านจึงไม่ให้มันจูงไป เป็นอย่างนั้นนะท่านดัดท่าน

สำหรับพระท่านปฏิบัติอยู่นี้ เราเคยมาก่อนมันรู้หมดนั่นแหละเรื่องของพระนะ พูดถึงนั้นไม่ใช่คุยนะ เรื่องหนักหนาทางด้านอาหารอย่างนี้เราหนักมากจริง ๆ เพราะฉะนั้นถึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จะผ่อนยังไงจะอะไร ๆ อย่างนี้เราทำของเราเรียบร้อยมาแล้วได้ผลยังไง ๆ ทีนี้พระท่านปฏิบัติท่านก็เดินตามร่องรอยพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ที่เห็นว่าท่านดำเนินถูกต้องดีงามพอเป็นคติได้ ท่านก็ยึดมาเป็นคติ เพราะธรรมมีอยู่ทั่วไป ไม่จำเป็นจะต้องออกคัมภีร์อ่านป้าง ๆ ละนะ กิเลสก็ไม่ต้องออกคัมภีร์มันอยู่หัวใจคน ธรรมก็อยู่หัวใจคน อันใดที่ถูกยึดเลย อันใดที่ผิดปัดเลย นี้เรียกว่าธรรมทั้งนั้น

อันนี้มีในคัมภีร์ไหม อันนั้นมีในคัมภีร์ไหม อย่างนี้ท่านไม่ มันมีอยู่ทุกแห่งหลักธรรมชาติ คัมภีร์จดได้ไม่จดได้เท่าไรก็แล้วแต่ แต่หลักธรรมชาตินั้นมีอยู่ทั่วไปทั้งธรรมทั้งกิเลส ท่านจึงยึดได้ทั่วไป อันนี้เป็นกิเลสปัดทันทีเลย นี่เรียกว่าธรรมปัดกิเลส เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่จะไปหาอ่านคัมภีร์เสียก่อนแล้วค่อยมาปัดกิเลส ถ้าเราเป็นกิเลสเราจะฟาดมันคอขาดไปเลย สูอ่านคัมภีร์หรือยัง สูจะเอาอะไรไปอ่าน ตาสูไปแล้ว คอสูขาดแล้วจะว่างั้นนะ ไม่ได้อ่านหรอกคัมภีร์ คอขาดตามันก็ไปแล้ว หลุดลอยไปแล้วมันจะอ่านคัมภีร์ได้ยังไง ถ้าเป็นเราเป็นกิเลสจะเอาอย่างนั้น ตัดคอมันก่อนยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ ถ้าเป็นธรรมแล้วใส่ปั๊วะคัมภีร์ไม่คัมภีร์เป็นอะไรวะ กิเลสมันอยู่ที่ไหน มันอยู่คัมภีร์หรืออยู่หัวใจคน นั่นซัดเข้าไปตรงนั้นซี

โห การปฏิบัติธรรมะนี้ใครยังไม่ขึ้นสนามไม่รู้จริง ๆ นะ นี้ละพระพุทธเจ้าท้อพระทัย ๆ คือท่านขึ้นเวทีมาพอแล้วถึงขั้นสลบไสลจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เห็นทุกแบบทุกฉบับของกิเลส มันเก่งขนาดไหน ๆ เห็นทุกแบบทุกฉบับของธรรมที่แก้กัน ๆ ท่านจึงนำมาแสดงได้โดยถูกต้อง จึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วหรือตรัสไว้ชอบแล้ว คือไม่มีคำว่าบกพร่อง จะเอาเพิ่มเติมไม่มี ลดลงว่ามันมากเกินไปไม่มี…ธรรม จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว นี้ออกมาจากพระทัยที่พิจารณาทดสอบเรียบร้อยแล้ว เป็นธรรมล้วน ๆ ขึ้นมา สอนจึงเป็นธรรมล้วน ๆ ไปตลอด

อย่างที่ว่ามรรคผลนิพพาน นรก เปรตผีอสุรกายนี้ ใครอย่าว่าล่วงไปเท่านั้นเท่านี้จะจืดจะจางหนา ถ้าลงหัวใจกับกิเลสไม่ได้จืดได้จางเมื่อไร ธรรมชาติอันนี้ละที่มันจะไปจมลงนรกอเวจีมันก็สด ๆ ร้อน ๆ พอ ๆ กันจะว่าไง มรรคผลนิพพานก็แบบเดียวกัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวันเดือนปีนาทีโมงอะไร มันขึ้นอยู่กับหัวใจที่มีธรรมกับกิเลสฟัดกันเท่านั้นละ ตัวนี้แก้ตกก็ไม่ต้องตกนรก นรกก็มีไว้อย่างเรือนจำนี่ เราไม่ฉกไม่ลักไปปล้นไปสะดมใครจะมาเอาเราไปติดคุกล่ะ ที่ไปติดคุกมีแต่นักโทษทั้งนั้น ลงในนรกอเวจีมีแต่นักบาปนักกรรมทั้งนั้นแหละ แบบนั้นเองละ

นรกไม่ได้ไปหากว้านเอาใครมาลง ตัวหากทะลึ่งไปต่างหาก มันดื้อด้านตั้งแต่เป็นมนุษย์อยู่นี้ ท่านบอกว่าบาปมันไม่เชื่อ บุญก็ไม่เชื่อ ว่าอะไรมันก็ไม่เชื่อ ทำแต่ความอยาก ความอยากละมันเชื่อ ความอยากมันลากคอลงนรกน่ะซีมันไม่รู้ ลงไปจมแล้วสายแล้วที่นี่ แก้ไม่ตก นรกมีหรือไม่มีก็เจอแล้ว ใครไปแก้ให้ที่นี่ ถ้าเจ้าของไม่แก้ตั้งแต่บัดนี้ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ที่สอนไว้โดยถูกต้องแล้วไม่มีหวัง ให้พิจารณากันนะ

เราอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์บาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพานนะ อันนั้นมีไว้สภาพเหมือนเรือนจำ เราอย่าไปวิจารณ์เรือนจำนะ ให้เราวิพากษ์วิจารณ์เรานี่ ใครไปติดคุก ก็คือพวกทำผิดนั่นละไปติดคุก ถ้าเราไม่ติดแล้วเรือนจำก็เป็นเรือนจำ ตะรางเป็นตะราง ไม่มีอะไรไม่ได้มาหากว้านเผาใครละ ผู้นี้มันดื้อต่างหากมันไปเป็น เรื่องนรกก็เหมือนกัน สวรรค์นิพพานก็เหมือนกัน แบบเดียวกันเลย หลักธรรมชาติ ๆ มีมากี่กัปกี่กัลป์ไม่มีต้นมีปลายคือธรรมชาติเหล่านี้ เพราะฉะนั้นใครจะไปลบล้าง-ลบล้างไม่ได้เลย เหมือนฝ่ามือกั้นแม่น้ำมหาสมุทร กั้นได้ยังไงฝ่ามือกับแม่น้ำมหาสมุทร อันนี้หลักธรรมชาติเท่ากับแม่น้ำมหาสมุทรเป็นอย่างน้อยนะ นี้ยังครอบอีกนะธรรมชาตินี้ แล้วฝ่ามือเราจะไปกั้น ว่านรกไม่มี บาปไม่มี โอ๋ย อย่าไปกั้น ยกโคตรยกแซ่มากั้น พวกนี้มือกุดมือด้วนไปหมดนั่นแหละ ไม่มีใครมีมือติดตัว กั้นปั๊บขาดสะบั้นเลย กระแสแห่งความรุนแรงของหลักธรรมชาติเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้เหมือนเราคาดเราคิดนะ หลักความจริงกับความด้นเดานี้ผิดกันมาก จึงต้องเตือน พระพุทธเจ้าเตือนเสียตั้งแต่บัดนี้

ธรรมดากิเลสมันต้องให้ทะลึ่งตลอด ทะลึ่งกับอรรถกับธรรม เหยียบอรรถเหยียบธรรมไปตลอด ให้ดูหัวใจตัวเองนะ มันจะไม่มีวันชินชา ความทะลึ่งจะอ่อนตัวลงนี้ไม่มี ถ้าไม่มีเบรกห้ามล้อคือธรรมเข้าไปหักห้ามมันแล้ว มันจะไปของมันเตลิดเปิดเปิงตายจมไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ ถ้ามีธรรมหักห้ามแล้วมีทางดี แล้วดีเป็นลำดับ นั่นเป็นอย่างนั้น

หัวใจดวงนี้มันไม่เคยตายนั่นซิ ไม่มีคำว่าตาย สำหรับใจดวงนี้ไม่มี บอกได้คำเดียวว่าไม่มีเท่านั้น ไม่มีอะไรมาแทรกได้เลย เงื่อนต้นเงื่อนปลายของใจนี้ ถามว่าใจนี้ดั้งเดิมเป็นมายังไง พระพุทธเจ้ารับสั่งว่าอย่าคิด มันเป็นอจินไตย ท่านว่าอย่างนั้นนะ อจินไตยคือเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดควรคำนึงให้เสียเวล่ำเวลา เหนื่อยเปล่า ๆ ความหมายแปลว่าอย่างนั้น ท่านยกอุปมาปั๊บเข้ามาเลย เรื่องที่ว่าจิตหรือบาปบุญมีมานานสักเท่าไร ท่านบอกว่าอย่าคิด สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตย สิ่งที่ควรคิดมีอยู่ เอ้า ให้คิดให้เป็นประโยชน์แก่ตน

คืออะไร ท่านยกข้อเปรียบเทียบขึ้นมาว่า เหมือนหนามยอกเท้า หนามยอกเท้านี้เราไม่จำเป็นจะต้องไปถามสกุลหนาม ว่าหนามที่มายอกเท้าเรานี้ชื่อว่ายังไง นามสกุลว่ายังไง แล้วเกิดมานานสักเท่าไร ดั้งเดิมมันอยู่ป่าไหนดงไหน เกิดมาแต่เมื่อไร กว่าจะไปถามถึงชื่อนามของหนามถามสกุลหนาม เท้านั้นเน่าเฟะเลย ไม่สนใจถอดหัวหนามออก เพราะฉะนั้นท่านจึงรับสั่งให้พอเหมาะพอดีว่า อย่าไปถามสกุลหนาม ให้รีบถอนหัวหนามออกมา มันจะเกิดจากสกุลไหนช่างหัวมัน ให้รีบถอนหัวหนามออกมาแล้วเอายาใส่เข้าไป นี้เป็นวิสัย แผลที่เท้าของเราก็จะหายได้ เรื่องปัญหาของหนามไม่มีปัญหา ขอให้เท้าเราหายหมดปัญหาไปเลย

ฟังซิ ข้อเปรียบเทียบพระพุทธเจ้า ถ้าใครยังไปถามหาหนามหาสกุลหนามแล้ว เท้าเน่าเฟะเลยไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ถามหาบาปหาบุญหานรกสวรรค์ก็แบบเดียวกัน ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ให้รีบละ สิ่งใดที่ท่านสอนว่าให้ละให้รีบละ สิ่งใดที่ควรบำเพ็ญให้รีบบำเพ็ญ อันนี้เป็นความถูกต้องดีงามเหมาะสม ดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุก ๆ พระองค์สอนแบบเดียวกันอย่างนี้มาแล้ว เพราะท่านปฏิบัติอย่างนี้มาแล้ว ท่านไม่ไปหาถามสกุลหนาม พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่หาถามสกุลหนาม พวกเราเป็นลูกศิษย์ตถาคตทำไมถึงแซงหน้าแซงหลังเก่งกว่าครู ไปถามหาสกุลของบาปของบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพาน แล้วมันจะจม มันเน่าเฟะยิ่งกว่าหนามยอกเท้านะ ให้จำให้ดี เอาละพอ วันนี้เทศน์เท่านั้นละ

คนของเราที่เกี่ยวกับสมบัติเงินทองนี้ต้องเป็นเหมือนหัวใจเรานะ พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบไว้เลย เราชี้อย่างเด็ดขาดเลย เราไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกลว่าญาติว่ามิตรไม่มี ธรรมคือความจริงล้วน ๆ เท่านั้น ใครจะมาทรยศต่อเรานี้คอขาดไปเลยเทียว ไม่มีคำว่าญาติว่าวงศ์ คอขาดเหมือนกันหมด ให้พากันทราบเอาไว้ เราถึงนำมาใช้ เรียกว่าแทนหัวใจเราเลย ไม่มีคำว่าจะทุจริตคดโกงมีเล่ห์มีเหลี่ยมต่าง ๆ มาเล่นกับเราไม่ได้ เอาละทีนี้ให้พร

วัดภูวัวนี้มีพระร่วม ๔๐ มัง บางปีก็ ๔๐ กว่าเหมือนกัน บางปีมีถึง ๔๒ องค์ในพรรษานะ เราก็เคยคาดเอาไว้ว่าท่านคงจะเอาจุดศูนย์กลางคือ ๓๐ องค์เป็นประมาณ ถ้าเพิ่มก็ไม่มาก ลดก็ไม่มาก คงจะอยู่ในจุดนั้น เราไปทีไรถามอยู่ในย่าน ๓๐ กว่าหรือ ๒๐ กว่า อยู่ในจุดนั้น แต่ในพรรษาบางปีก็ ๔๐ กว่านะ เราก็ไม่ว่าอะไรเพราะเป็นพระที่ตั้งใจภาวนา บอกว่าพระตั้งใจภาวนา จะมามากเท่าไรเอ้ามาเราจะรับเลี้ยง คำนี้คำขาดสะบั้นไปเลยนะ แต่ก็มีข้อแม้อันหนึ่งเด็ดเหมือนกัน ถ้าพระโกโรโกโสไม่เป็นท่าให้ไล่ลงภูเขาให้หมด มันหนักภูเขาลูกนี้ ถ้าพระดีเอ้ามา เพราะฉะนั้นท่านมามากมาน้อยเราจึงไม่เคยว่าอะไร

การส่งสิ่งของนี้เราส่งให้เต็มเหนี่ยวเลย เรียกว่าพอ เหลือไว้ ๆ ตลอด เผื่อว่าพระอยู่ตามแถวใกล้เคียง มีแห่งละสององค์บ้าง สามองค์บ้าง อยู่ในภูเขากว้าง ๆ แล้วมาติดต่อขอจากท่าน ท่านก็แบ่งให้ ๆ จากที่เราไปให้ แล้วเราก็เปิดทางให้เลยว่า ให้ท่านไปเถอะ มาจากทางไหน ๆ ที่ภาวนาด้วยกันให้มา เอาไปเลย ถ้าหากว่าบกพร่องผมจะส่งมา แล้วถ้าขาดให้บอกไปเลยนะ เราจะส่งมาทันทีเราบอก ก็ไม่เคยขาดเพราะส่วนมากเราเผื่อไว้ตลอด ๆ แล้ว

เมื่อวานนี้ก็ได้พูดแล้วใช่ไหมล่ะ ถ้าจำไม่ผิดก็เช่นอย่างข้าวสารนี้เดือนละ ๔๐ กระสอบ ก็เผื่อแล้วใช่ไหมล่ะ กระสอบหนึ่งร้อยกิโล เดือนละ ๔๐ กระสอบ ข้าวเหนียว ๓๐ ข้าวเจ้า ๑๐ แล้วน้ำปลา ๔๕ ลังต่อเดือน กุ๊ก ๔๕ ลังต่อเดือน น้ำตาล ๒๕ กระสอบ ๆ ละร้อยกิโลต่อเดือน เครื่องกระป๋องท่านบอกว่าอย่างน้อย ๖๐ ลัง คืออาหารประเภทต่าง ๆ เช่น พวกอาหารสำเร็จรูป พวกไก่หรือพวกหมูหรือพวกหมามีหรือไม่มีก็ไม่รู้ มันใกล้กันก็ไล่กันไปล่ะซี เหล่านี้เป็นอาหารกระป๋อง อย่างน้อยเดือนละ ๖๐ ลัง ปลาแห้งอยู่ใน ๘๒-๘๓ แต่คราวนี้ ๘๕ กิโลต่อเดือน

คือปลาย่างสั่งมาจากทางเขมร ให้ทางโคราชเป็นศูนย์กลางสั่งไปทางโน้น ได้มาแล้วโคราชก็ส่งมาทางอุดร ทางอุดรก็โทรมาบอกในวัดว่ามาถึงแล้ว ที่นี่เริ่มออกเดินทางได้แล้ว ต้องรอปลาย่างเสียก่อน เขาจะนัดกันว่าจวนสิ้นเดือนระหว่างตั้งแต่วันที่นั้นถึงวันที่นั้นให้มาถึง นี่ก็มาถึงแล้ว วันนี้เขาไปแล้วละ คราวนี้ ๘๕ กิโล อันนี้หมายถึงเราสั่งตายตัวแล้วนะ เป็นคำสั่งของเราเรียบร้อยแล้วเคลื่อนไปไม่ได้ ถ้าไม่สุดวิสัยที่ว่ามันไม่มีจริง ๆ ส่วนที่อาหารสดอาหารแห้ง พวกกุนเชียง หมูหยอง อะไรก็แล้วแต่ เครื่องทำครัวนี้ให้เขาหาเอง บอกว่าให้ได้มาก ๆ นอกจากสิ่งที่เราสั่งแล้ว อาหารเครื่องทำครัวผลหมากรากไม้อะไรให้เขาหาเอง ให้ได้มาก ๆ เท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นมันจุใจนะเรา

ทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทั้ง ๆ ที่ของมีอยู่ โอ๋ย ไม่ได้นะ ไม่เหมือนใครนะ ฟาดกันเลยทุ่มเลย ๆ แบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทั้ง ๆ ที่อาหารมีอยู่ ฟังเสียงที่เขาจะให้ คนหนึ่งจะให้ คนหนึ่งจะไม่ให้ มันแย่งกันดึงกัน ตังเมมันดึงกัน ๆ คนจะเอาก็ดึงจะเอา คนตระหนี่มันก็ดึงกลับคืน ตังเมสายเดียวกันดึงทั้งสองมือ ทางนี้ดึงจะเอา ทางนี้ดึงไม่ให้ แล้วสุดท้ายฟังเสียงดังบึ้มเลย สายยางขาด ระหว่างความเสียสละกับความตระหนี่แย่งกันสายยางขาด เหมือนลูกระเบิดนิวเคลียร์นิวตรอนนั่นละ มันมีอยู่หัวใจใดให้ระวังให้ดี

อัลตราซาวด์ รพ.สีชมพู มาแล้ว ๕๗๐,๐๐๐ เช็คใบนี้ละอย่างน้อย ๕๗๐,๐๐๐ ใครมาบริจาคมากน้อยเห็นหมด แต่เวลาหลวงตาออกเช็คใบเดียว ๕๗๐,๐๐๐ ไม่มีใครทราบนะ นี่บอกไว้เสียบ้าง นี่มาแล้วราคามันเท่านั้น อย่างน้อยวันจันทร์นี้ต้องออกหนึ่งใบละเช็ค เพราะฉะนั้นเวลาออกจึงไม่มีใครรู้นะ เวลามารู้กันหมด มาเท่าไร ๆ รู้ ๆ คนนั้นเท่านั้นคนนี้เท่านี้มาบวกกันเป็นเท่านั้น รู้กันทั่วหน้าในศาลา แต่เวลาจ่ายหลวงตาจ่ายองค์เดียว ใส่ปึ๋งเดียวฉบับหนึ่งหรือเช็คใบหนึ่งอย่างที่ว่านี่ ๕๗๐,๐๐๐ ถ้ามีสองใบมาอีกมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นเวลาหลวงตาจ่ายเงินจึงไม่มีใครทราบ แล้วหลวงตาจนจึงไม่มีใครทราบ ใครก็มีแต่ว่าหลวงตามั่งมี ๆ คนนั้นให้เท่านั้นมี ๆ บทหลวงตาเอาไปจมไม่มีใครว่า

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก