เมื่อเช้านี้เราไปเที่ยวดูกระต่ายดูสัตว์หลังจากปล่อยไอ้ด่างไปแล้ว ไปดูมันเศษมันเหลืออยู่เท่าไร ไอ้ด่างกินไม่หมด มันยังเศษยังเหลืออยู่เท่าไร เมื่อเช้านี้ติดตามเที่ยวดูซอกแซก ดูกระต่ายละสำคัญ ดูอยู่สองจุด เฉพาะลูกกระต่ายที่เห็นเมื่อเช้านี้มี ๗ ตัว ทางนี้มี ๓ ทางโน้นมีอีก ๔ ลูกกระต่ายกำลังน่ารัก ยังไม่หมดสำหรับลูกกระต่ายที่เห็นเมื่อเช้านี้ เฉพาะลูกกระต่ายยังเหลืออยู่ ๗ ตัวกำลังน่ารัก ๆ กระต่ายใหญ่มีอยู่ทั่วไป เรานับกระต่ายใหญ่กระต่ายเล็กลูกกระต่ายเราสังเกตดู กระต่ายเวลานี้มีอยู่เยอะนะ ไปไหนดูแต่สัตว์ ดูสภาพของสัตว์ ดูไปดูด้วยความสงสาร
สำหรับไก่นั้นมีอยู่ทั่วไปเต็มไปหมด แต่อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคนเหมือนกัน คือไก่ถึงลักษณะท่าทางมันจะกลัวคนอยู่บ้าง มันก็กลัวอำนาจต่างหาก ถือว่าอำนาจมนุษย์สูงกว่าเขา เขากลัวอำนาจต่างหาก ที่จะให้เขากลัวว่ามนุษย์พวกที่อยู่ในวัดจะฆ่าเขานี้เขาไม่คิด เขากลัวอำนาจเฉย ๆ ไปที่ไหนจ้อกแจ้ก ๆ เขาบอกกัน เราผ่านไปดูไป ๆ มีลักษณะจ๊อกแจ๊ก ๆ เขาเตือนกัน ไม่ค่อยกลัว กระจงก็เยอะ ทางภาคนี้เขาเรียกไก้ มีอยู่ทั่วไป เมื่อเช้านี้เจอ ๒ ตัวทางนู้น อยู่ทางนี้เจอเป็นประจำ
เราดูแต่สัตว์ มันเพลินตาเพลินใจ กระต่ายทางนี้มีอยู่ ๒ ตัว ขาวสอง สีหมอกตัวหนึ่ง มันพยายามมาเป็นเสี่ยวกับเราแต่เราไม่เป็นกับมัน มันมาเล่น เราเดินจงกรม หยอกกันเล่นกันใกล้ ๆ เราไม่สนใจ บางทีมันอยู่ข้างทาง เราเดินไปนี้มันก็เฉยนะ ข้างทางออกเข้าทางจงกรม เขาอยู่ข้างทางเราเดินไป เขาเฉยไม่สนใจนะ แสดงว่าเขาไม่ถือว่าเราเป็นภัย เดินไม่ค่อยทั่วถึงเมื่อเช้านี้ มันสายเสียก่อน เพราะเราออกจากทางจงกรมสาย ออกก็ไป ถ้าตั้งหน้าไปเที่ยวดูจริง ๆ ก็ทั่วถึง
เมื่อวานนี้ก็เอาไอ้ด่างไปปล่อย ตามธรรมดาเคยใส่กระสอบไป ใส่กระสอบพอไม่ให้มันออกเท่านั้นเอง ส่วนใส่ลังใส่อะไรมีน้อยมาก แต่เมื่อวานใส่ลังใหญ่ เรานึกว่าเป็นกระสอบ พอเอาออกมันเป็นลังใหญ่ เห็นไอ้ด่างผู้ต้องขังอยู่ในนั้น ไปก็ไปปล่อยที่หน้าวัดถ้ำผาปู่ คือมันไม่มีปัญหาอะไรเรื่องสัตว์นะ เพราะถ้ำผาปู่ท่านเลี้ยงเอาไว้เลย เพราะมันมาอาศัยอยู่นั้นตั้งสิบกว่าตัว อยู่ในบริเวณกำแพงข้างในของท่านเผย มีอาหารอยู่ข้างหลัง ๆ เราไปเที่ยวดูหมดนั่นแหละ อาหารสัตว์ท่านก็จัดไว้ดีนะ ดูมันยั้วเยี้ย ๆ เต็ม
แมว เป็นสิบกว่าโน่น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหา ปล่อยไปนี้มันไม่มีกำแพง อยากไปไหนไปได้ เข้าวัดก็เข้าได้เพราะวัดมีแมวอยู่แล้ว
พอไปปล่อย กำลังจะเข้าซุ้มประตูวัด ไม่ใช่ซุ้มประตูทางนะ ซุ้มประวัดมีแห่งหนึ่ง ซุ้มประตูทางมีอีกแห่งหนึ่ง ผ่านนี้ไปจวนจะถึงซุ้มประตูวัดแล้วเป็นที่โล่งแจ้งแถวนั้น มีสวนเขาอยู่ เอ้า ลงนี้ ไล่มันเข้าในสวนนี้แหละ พอเปิดออก โฮ้ สมกับมันฉลาดนะ พระท่านทำหลายชั้น ๆ ออกไม่ได้ง่าย ๆ แหละว่างั้นเถอะ เปิดชั้นนี้แล้วยังอีกชั้นนั้น เปิดชั้นนั้น เป็นสองสามชั้น เมื่อเช้าวานนี้ เราดูอยู่นะ พอดีกับแมวตัวนี้สอนพระแหละ พระฉลาดบังคับเขานั่นแหละไม่ให้ออกได้ ถ้าฉลาดอย่างอื่นก็จะดีนะ
ไปเราก็ดู พอเปิดออกเป็นชั้น ๆ ไล่ออกเขาไม่ออก พอเอาไม้สอดเข้าไปตีก้นเขา เขาถึงออก พอออกมาพระเอาไม้ตีหลังปั๊วะวิ่งเลยไปเลย วิ่งเข้าในป่าไปเงียบเลย มันก็ไม่ตัวใหญ่เท่าไรนักนะแมวตัวนี้น่ะ แต่สำคัญอยู่ที่ใจ มันโดดขึ้นถึงนู้นเลย โห เก่งมาก มันไม่ได้ตัวใหญ่โตอะไรนัก เพราะเราดูอย่างชัดเจนเมื่อวานนี้ ก่อนที่จะปล่อยออกไปเราดูลักษณะท่าทางมัน ดูทุกอย่าง มันก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก มันนอนหลับสบายละไม่ค่อยได้สนใจกับแมว ก็จะคอยถามเท่านั้นแหละ ถ้าใครเห็นแมวที่ไหนให้บอกมา เพราะเวลานี้เราเอาสังกะสีกั้นที่ต้นเสา ๆ ซึ่งแมวขึ้นได้ คือมันไม่ขึ้นผนังนะ มันจะขึ้นต้นเสา ปุ๊บขึ้นเลย ทีนี้เรากั้นไว้ข้างบน เอาสังกะสีครอบไว้ มีฝากั้นดังที่เห็นนั่นแหละ ไว้รอบวัดเลย แล้วคอยดู ธรรมดาก็ขึ้นไม่ได้แหละ นอกจากจะเป็นแมวชนิดจะฟาดหำพระ เรากลัวแต่ชนิดนี้แหละ มันมีอย่างนั้นละ ตัวมันฉลาดมันฉลาด ถ้าธรรมดาแล้วขึ้นไม่ได้
คือเราไปดูหมดเลยนะ เมื่อเช้าวานซืนนี้ไป พอว่าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกจากนี้เราก็ไป เดินไปดูทุกต้นเสาไปเลย รอบ ก็พอดีพระกลับจากบิณฑบาต พอเรามาถึงพระก็กลับมา เราออกแต่เช้าเลย ก็แน่ใจว่ามันจะไม่มีเข้าได้ ทีนี้ไอ้ด่างมันเข้าได้นี่ซี ก็เลยจับไอ้ด่างใส่ตาข่าย คือเอาตาข่ายวางไว้ มันพุ่งขึ้นนี่ปั๊บมันจะออกช่องนี้ ข่ายอยู่ข้างหน้ามันก็โดนข่ายเลย นั่นละที่ได้เมื่อวานนี้ เอาไปเมื่อวานนี้ เอาข่ายดักไว้ที่นั่นเพราะมันมีช่อง เราก็ทำท่าเซ่อไว้ตรงช่องเพราะมันเคยออกด้วยความฉลาดของมัน เราก็ทำท่าเซ่อไว้ช่องที่มันฉลาดนั่นแหละ ข่ายของเราอยู่ข้างล่าง ไปโดดผึงก็ใส่ข่ายเลย นั่นเห็นไหม เอาไปแล้ว
คอยสังเกตดูก็แล้วกัน ถ้าใครเห็นแมวที่ไหนให้บอกนะ โห แมวนี้เป็นภัยต่อสัตว์มาก เรารักสัตว์มากนี่นะ เรารักเราสงวนมากกับสัตว์ เฉพาะสัตว์ที่แมวกินนั่นน่ะ พวกกระต่าย พวกกระแต ที่มันกินง่าย ๆ กระแตมันเที่ยวกลางวัน กลางคืนมันนอน แต่กลางวันแมวมันเจอเมื่อไรมันก็เอา เพราะตามันดีทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนกระรอกมันอยู่สูง ๆ ไม่เป็นไรแหละ กระแต พวกหนูเที่ยวกลางคืน กระต่ายสำคัญมากทีเดียว เพราะมันกินเสียมากต่อมาก ไก่ก็กิน เวลามันหิวมันก็กิน แต่ไก่มันก็มากต่อมาก เราวิตกกับกระต่ายละมาก เมื่อเช้าไปเห็นลูกกระต่ายอยู่ถึง ๗ ตัวเราก็พอเบาใจบ้าง มันอ้วน น่ารักมาก
มันไม่ค่อยกลัวเราเหมือนแม่มัน แม่มันอยู่อย่างนั้น ลูกมันเห็นเราก็วิ่งไปข้าง ๆ แม่ เพียงเท่านั้นไม่มาก เราก็เดินดู เขาก็วิ่งไปหมอบอยู่ตามนั้น ๆ เขาไม่ค่อยกลัว เพราะพระเลี้ยงดูเขาตลอด พระเป็นเจ้าของอยู่นั่น ทีนี้ตอนพระไปบิณฑบาตล่ะซี ไม่อยู่ เราไปก็เพศเดียวกันมองเห็นก็รู้ มันก็ไม่กลัว โห สงสารมากนะสัตว์ มาอาศัยในวัดนี้เต็มวัดเลย เฉพาะไก่นี้เต็มหมด ห่าง ๆ เฉพาะทางลึก ๆ ทางโน้นไม่ค่อยมีไก่นัก ไม่หนาแน่นเหมือนบริเวณที่อยู่ใกล้ชิดกับคน ถ้าบริเวณไหนมีคนมากพวกไก่นี้เต็มไปหมดเลยนะ ในครัวและแถวบริเวณนี้เต็มไปหมด ถ้าเข้าไปลึก ๆ จริง ๆ ก็ไม่ค่อยมาก มันมีอยู่ทั่วไปแต่ไม่มากไม่หนาแน่นเหมือนบริเวณชุมนุมชน ไก่มันก็อาศัยคนเหมือนกัน
เมื่อวานไปถ้ำผาปู่เท่านั้นละ จากนั้นมาก็กลับมาเลย เราก็เป็นห่วงทางวัดภูสังโฆอยู่ ไม่ได้เอาอาหารไปให้ แต่เวลามาที่นี่เมื่อไรก็เอาไปเฉพาะของที่มีอยู่ในนี้ ของใหม่ไม่มี ของสดอันนี้ไม่มี เวลามาก็ให้อันนี้เต็มรถไปเลย อาหารอื่นที่เป็นอาหารสดอย่างนี้ไม่ค่อยมี เรารู้สึกแป้วใจอยู่ตรงนี้ ก็มีภูสังโฆที่พระมาก อันนี้เป็นอันดับสองคือเราไม่ได้ไปส่ง แต่มาเมื่อไรเราให้เต็มรถไปเลย แต่สำหรับภูวัวนั้นเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดมาละ ไม่บกบางเรื่องอาหาร เราจัดให้พอ ๆ กำหนดเผื่อไว้ทุกอย่าง ๆ เราเป็นคนกำหนดเอง แล้วให้เขาลงบัญชี ๆ ไว้ เวลาจัดให้เขาจัดตามนั้นเลย เราอยู่ไม่อยู่ก็ไม่ให้คลาดเคลื่อน อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์ตามธรรมดาของพระกรรมฐาน เหลือเฟือนักเราไม่ชอบ
อันนี้เราก็ทำด้วยอนุโลมนะ มันก็มีแง่สงสารแง่หนึ่ง ทำให้เหลือเอาไว้ ๆ ถ้าเป็นธรรมดาของเราแล้วตัดลงอีกครึ่งหนึ่งจะว่าอะไร เพราะเราไม่ได้มาคุยกับพี่น้องทั้งหลาย ฟังซิกิริยาท่าทางที่พูด จริงจังไหม เหลาะแหละไหม เวลาทำกับเจ้าของก็ทำแบบนั้น นี่เรามาสอนโลกนี้เป็นเพียงกิริยาของหลักใหญ่ซึ่งเราดัดตนเองเท่านั้นเองนะ ไม่ใช่เป็นตัวจริงออกมา เป็นแต่เพียงว่ากิ่งก้านออกมาที่แสดงต่อพี่น้องชาวไทยเรา มีลักษณะขึงขังตึงตังเด็ดเดี่ยวอะไร คนไม่เคยเห็นก็ว่าเรานี้โหดร้ายทารุณ เราฟัดกับกิเลสโหดกว่านี้จะมาว่าอะไร
เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ซัดเลย ถึงขนาดนั้นนะ ทีนี้เวลาออกมาเป็นแกงหม้อใหญ่ มันก็ขยายออกมาเป็นกิ่งเป็นก้าน ก็ไม่หนักมาก แต่กิริยามันหากมีอยู่ในนั้น สำหรับเราทำเราเองเด็ดทุกอย่างยังบอกแล้ว พูดอะไรนี่ไม่อยากมีใครเชื่อละนะ แต่เราก็ทำของเราอย่างนั้น ใครไม่เชื่อเราก็ทำอย่างนั้น เขาทำไม่ได้เราทำได้ เขาไม่เชื่อช่างหัวเขาซี ก็เราทำได้เราเชื่อว่าเราทำได้เป็นไรไปใช่ไหมล่ะ เราเป็นคนทำเองสงสัยที่ไหน นี่ละที่กิริยาอันนี้ที่มันออกมาจากหลักใหญ่
คือหลักใหญ่มันเอาจริงเอาจังมากทุกอย่าง ถ้าลงเหตุผลลงตรงไหนแล้วขาดไปเลยนะ อันนี้สำคัญที่ว่าจริงจังนี่ สำคัญมากนะในใจของเรา ถ้าลงว่าอะไรแล้วจริงจังมากทีเดียว ขาดไปพร้อมเลย เจ้าของเองแก้ไม่ได้นะฟังซิ แต่เรากำหนดไว้อย่างนี้เรียบร้อยแล้วนี้ เราจะไปแก้ไขใหม่ไม่ได้นะ ไปลบล้างไม่ได้ ต้องมีเหตุผลของเราเองเหนืออันนี้อีกถึงจะแก้อันนี้ ถ้าเหตุผลเท่ากันก็ต้องคงอันเดิมไว้ ถ้าเหตุผลต่ำกว่าแล้วลบไม่ได้เลย ถ้าเหนือก่าแล้วยอมรับ นั่นอย่างนั้นนะ เจ้าของเองทำเจ้าของเองก็ทำอย่างนั้น ไม่ได้แบบมือเขียนตีนลบนะ เอาจริงเอาจังทุกอย่าง
เพราะกิเลสมันแหม ถ้าใครยังไม่ได้ผ่านไปก่อน นี่เราพูดตามนิสัยวาสนาเรามันอาภัพมันหยาบ มันต้องได้ทำกันอย่างหนักมือ ทำแบบเรานี้ โอ๊ย ลำบากมากละนะ ใครก็ไม่อยากบวชแหละ ถ้าบวชมาก็จะถูกดัดสันดานแบบนี้ใครจะอยากบวช อันนี้เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่าจะถูกดัดสันดานนะ มันหากเป็นด้วยความสมัครใจเอง บวชมาทีแรกก็แบบประเพณีบ้านเมืองเขา เป็นแต่เพียงว่าหลักความจริงมันติดใจ พอก้าวเข้าสู่วัดแล้วเป็นคนของวัดไปเลย พอก้าวเข้าสู่ความเป็นพระก็เป็นพระร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลยตลอด มีความจริงจังตลอดไป แต่เรามีความมุ่งหมายว่าเราจะทำหน้าที่การบวชให้สมบูรณ์ทุกอย่าง หลักธรรมวินัยจะไม่ให้มีที่ต้องติเลย จนกว่าว่าเราจะสึกเมื่อไรก็สึกไป อันนั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง ในเวลาเป็นพระนี้จะต้องทำแบบพระให้สมบูรณ์แบบ นี่มันปัก
ครั้นเวลาอ่านหนังสือไป ๆ สะดุดเรื่อย อ่านไป เอ๊ะ ยังไง นี่เราเคยผิดมาแล้ว อันนั้นเราเคยผิดมาแล้ว มันสะดุดใจมันก็พยายามจะแก้ไปตามนะ สะดุดใจเรื่อย ๆ ค่อยดูดดื่มเข้าเรื่อย ๆ ไปอ่านประวัติพระพุทธเจ้าถึงขั้นสลบไสล โอ๋ย น้ำตาร่วงเลยเทียวนะ เป็นเองนะความสงสารท่านก็เหลือประมาณ จากนั้นมาแล้วท่านได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี้ก็น้ำตาร่วง อัศจรรย์ท่าน อันดับที่สองก็ดูประวัติของสาวก พระราชามหากษัตริย์ออกบวชเยอะนะครั้งพุทธกาล มีเยอะ องค์ไหนออกบวชแล้ว สมบัติบริวารยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ปรากฏว่าท่านสนใจนะ พอออกแล้วก็แบบพระพุทธเจ้าเลย
พระพุทธเจ้าเหมือนตกจากสวรรค์ลงนรกทั้งเป็นนั่นละ ความทุกข์ความทรมานของพระองค์จากความเป็นกษัตริย์ลงมาสู่ความเป็นผู้ฝึกหัดดัดแปลงเจ้าของ ถึงขั้นสลบไสล เหมือนเทวดาตกจากสวรรค์ลงนรกทั้งเป็นนั่นละ ท่านก็แบบนั้น ทีนี้บรรดาสาวกทั้งหลายเฉพาะอย่างยิ่งคือกษัตริย์นะออกบวช แบบเดียวกัน ออกมาจากหอปราสาทราชมณเฑียร ไม่เคยไปสนใจกับไพร่ฟ้าประชาชีบ้านเมืองอะไรเลย ออกเข้าป่าเงียบ พอกลับมาทีหลังนี้กลายเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา นั่นเป็นอย่างนั้นนะ อันนี้ก็อีกเหมือนกันรองลำดับพระพุทธเจ้าลงมาที่อ่านประวัติ
อ่านประวัติของสาวก โถ นี่ท่านก็เป็นอย่างนี้ ๆ แล้วมันก็ดูดเข้าไป ๆ เรื่อย ๆ ทางโลกทางสงสารก็ค่อยจางไป ๆ อันนี้ก็ดูดเข้า ๆ ดูดเข้าถึงขั้นว่ามรรคผลนิพพานละที่นี่ ขึ้นแล้วนะ ขึ้นมรรคผลนิพพาน ขยับเข้าไปถึงขนาดที่ว่าต้องให้ได้มรรคผลนิพพานให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ซัดกันเลย ตรงนี้ตรงมันขาดสะบั้น ความเพียรทุกอย่างเด็ดทีเดียว นั่นละมันถึงได้ลำบากลำบน ลำบากจริง ๆ เรา ทรมาน แต่มันเป็นความสมัครใจของเรานะ ไม่มีใครไปบังคับบัญชา เป็นความสมัครใจ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ความพอใจมันมีที่จะเอาผลให้ยิ่งกว่านี้ไปอีก อันนี้เป็นปุ๋ย ความทุกข์ยากลำบากเป็นเหมือนปุ๋ยหล่อเลี้ยงความเพียรของเรา มรรคผลนิพพานให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว มันก็หนุนของมันเรื่อย ๆ หนุนเรื่อย ๆ
เราก็ได้เคยพูดว่ามีความสะดวกสบายอยู่บ้างพอประมาณก็คือจิตเป็นสมาธิ นี่ก็บอก จิตเป็นสมาธิจิตไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายจิตอิ่มอารมณ์ ไม่คิดทางรูปทางเสียงทางกลิ่นทางรสที่สัมผัสสัมพันธ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไม่ยุ่งมันอิ่มอารมณ์ ความสงบหล่อเลี้ยงตลอดเวลา สบาย ความคิดส่ายแส่เรื่องอะไรนี้ถือเป็นความรำคาญ แต่ก่อนไม่คิดไม่ได้ มันดีดมันดิ้นอยากคิดอยากปรุงจิตใจ เพราะกิเลสผลักดันออกไป ดันออกไปให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังมานั้นน่ะมาเป็นอารมณ์อยู่ภายในใจ เรียกว่าธรรมารมณ์ เอาอารมณ์ภายนอกมาเผาตัวเองตลอดเวลา ต้องคิดต้องปรุง ไม่คิดไม่ได้มันหิวมันโหย
ทีนี้พอจิตเริ่มเข้าสู่ความสงบ รสแห่งความสงบนี้เย็นใจ สบาย ไม่มีอะไรกวน มันก็เริ่มเห็นโทษความวุ่นวายด้วยการคิดการปรุงนั้นเข้าโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งจิตสงบมากเข้าไปเท่าไร ๆ อารมณ์เหล่านั้นจางไป ๆ จนกระทั่งสงบเต็มเหนี่ยวของสมาธิ เรื่องคิดเรื่องปรุงนี้ไม่อยากคิดเลย คิดแย็บอะไรกวนใจเห็นไหม ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมันลากออกไปอยากคิดอยากปรุง ทีนี้กลับมาตรงกันข้ามแล้วว่าไม่อยากคิด ถ้าคิดมันกวนใจ อยู่ด้วยความสงบแน่วของจิตเป็นเอกจิต หรือว่าเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียวคือรู้อยู่เฉพาะอย่างนั้น นั่งที่ไหนก็อยู่อย่างนั้นละนะ
คือจิตไม่ยุ่งเสียอย่างเดียวมันอยู่ได้หมดนะคนเรา นอนท่าไหนนอนได้ นั่งท่าไหนนั่งได้ ไม่ได้มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จิตไม่ออกยุ่งเสียอย่างเดียว สำคัญอยู่ที่จิตนะ จะว่าสบายเราก็ยอมรับว่าสบาย แต่ว่าความสบายจนเฉื่อยชาไม่อยากทำความพากความเพียรไม่มี มันเพียรอยู่ในความสงบของมันนั่นแหละ มันอยากสงบอยู่นั้นของมันทั้งวันมันก็สงบได้ มันก็เป็นความเพียรของมันอันหนึ่ง มันก็หมุนอยู่นี่เสีย มันไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก็ยอมรับว่าขั้นสมาธินี้พอสบายบ้าง อยู่ที่ไหนอยู่ได้สบายหมดขั้นสมาธินี่ อยู่ได้สบาย
อะไร ๆ นี้เขาก็เป็นของเขา ๆ จิตเราไม่ไปยุ่งเสียอย่างเดียว สิ่งเหล่านั้นก็เหมือนไม่มี เพราะจิตเป็นอารมณ์ รู้อันนี้ไปรู้อันนั้น ๆ มันก็สร้างความยุ่งขึ้นมา ถ้ารู้อยู่อย่างเดียวนี้มันไม่สร้าง รู้อันนี้มันอยู่กับอารมณ์ของความสงบใจ สบาย ถ้าพูดถึงว่าสบายเราก็ยอมรับว่าสบายในขั้นสมาธิ ขั้นจิตสงบ สงบมากเท่าไรยิ่งสบายมาก ไม่อยากคิดอยากปรุง นั่งอยู่ที่ไหนเป็นเอกจิตเอกธรรม แน่ว ๆ อยู่งั้น นี่ละที่ว่าพอสบายบ้าง ในเวลาความเพียรเท่าที่เราผ่านมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานนะ อันนั้นก็ตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตาย พอก้าวเข้ามาขั้นนี้พอได้ปลงได้วางบ้าง ค่อยสบาย ๆ สบายจนกระทั่งลืมตัว เรียกว่าติดในสมาธิ ไม่อยากออกคิดออกปรุงอะไร ถึงขนาดพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาลากออกนั่นแหละ
จากนั้นออกจากสมาธินี้ก็ออกทางด้านปัญญา เพราะมันพร้อมแล้ว จิตใจมันอิ่มพออารมณ์ทุกอย่างแล้วมันไม่ยุ่งกับอะไร พอไสเข้าทางด้านปัญญามันก็หมุนติ้วเลย เพราะไม่หิวโหยกับอารมณ์ พอจะมาแยกมาแบ่งไปอารมณ์นั้นอารมณ์นี้อันเป็นการยุ่งกวน มันไม่ไป ไสเข้าไปตรงไหนมันก็ไปตรงนั้น ไสเข้าไปทางด้านปัญญา การแยกการแยะเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ โลกธาตุทั้งกว้างทั้งแคบทั้งเขาทั้งเรา ดินฟ้าอากาศ เทียบเข้ามา ๆ หมด มันก็มาอยู่ในใจดวงเดียวที่ไปยึดไปถือเขา ตีเข้ามา ๆ ก็ย่นเข้ามา นั่นปัญญา พอออกทางด้านปัญญาทีนี้เพลิน เอา ทีนี้งานหนักอีกนะ แต่หนักด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่หนักเฉย ๆ ด้วยการถูกบีบบังคับนะ หนักด้วยความสมัครใจ โดยเหตุที่เราเพลินในความรู้ความเห็นที่มันแยกมันแยะระหว่างกิเลสกับธรรม เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ที่เคยติดพันกัน มันแยกมันแยะตัวออกมา แล้วแยกไปเรื่อย ๆ กระจ่างออกไปเรื่อย จิตใจก็เพลินไปเรื่อย ๆ เบาลงไปเรื่อย
คือมันปล่อยไปเรื่อย พอรู้อะไร ๆ มันปล่อย เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่สิ่งที่เหลว ๆ เลว ๆ ทั้งนั้นนี่นะ ที่จิตมันกอบมันกำมันแบกมันหามทุกวัน มีแต่สิ่งเลวทั้งนั้นไม่ใช่ของดี พอธรรมจับเข้าไปแทรกเข้าไปตรงไหนมันก็รีบปล่อยสิ่งนั้น ๆ เพราะธรรมเป็นของดีกว่า เป็นชั้น ๆ ขึ้นไปของธรรม มันก็ค่อยปล่อยไป ๆ กระจ่างไป ปัญญาฝ่ายหยาบปล่อยขั้นหยาบของอารมณ์ทั้งหลายที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจมาก แล้วก็ปล่อยเข้าไป ปัญญาขั้นละเอียดปล่อยเข้าไปในส่วนอุปาทาน ที่ไปยึดไปถือโดยไม่รู้สึกตัว ปล่อยไป ๆ แล้วเบาเข้า ๆ จิตกระจ่างออก ๆ ความเพลินเพลินตลอด
ทีนี้ได้ยับยั้งนะ จิตเมื่อถึงขั้นนี้แล้วยับยั้ง พอถึงขั้นปัญญารู้เหตุรู้ผล เพลินต่อการพิจารณาของตน เพลินต่อการแก้การไขถอดถอนแล้ว นั่นละมันจะเริ่มเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ มันจะค่อยหมุนตัวของมันเอง เรื่องความขี้เกียจขี้คร้านมันหายหน้าไปหมดแหละ จากนั้นมันก็รั้งเอาไว้ ไม่รั้งมันจะเลยเถิด ต้องรั้ง ๆ เรื่อย ทีนี้ความเพียรประเภทนี้มีแต่รั้งทั้งนั้นนะ ความที่จะไสไม่มี เพราะฉะนั้นว่าความเพียร ๆ เราจึงไม่อยากเรียก คือว่าความเพียรต้องเพียรพยายาม อันนี้มันไม่ได้พยายาม มันถึงขนาดได้รั้งเอาไว้ มันพยายามอะไรอย่างนั้น ถ้าว่าความเพียรก็ว่าความเพียรกล้า คำว่าความเพียรกล้าคือเพียรเพื่อจะหลุดพ้น ตอนนี้ไม่ต้องพูด เพียรเพื่อจะหลุดพ้น ก็เรียกว่าความเพียรกล้าไปเสีย มันกล้าต่อความหลุดพ้นนี้พอพูดได้ ถ้าว่าให้เป็นความเพียรมันไม่ได้เพียร มันได้รั้งเอาไว้
นี่ละการปฏิบัติตน จิตดวงนี้นะเวลามันมืดมันหนามันมืดจริง ๆ มันไม่รู้จักบาปจักบุญอะไรเลย เห็นฟืนเห็นไฟเป็นข้าวต้มขนมไปหมด ที่จะเผาหัวมันมันไม่รู้นะ เห็นเป็นข้าวต้มขนมไปหมดเห็นฟืนเห็นไฟน่ะ นี่ประเภทเห็นฟืนเห็นไฟเป็นข้าวต้มขนม เป็นประเภทจะพาสัตวโลกทั้งหลายจมลงนรก คือจิตเหล่านี้ซึ่งมันฝังอยู่ในหัวใจของสัตวโลกมากต่อมากนะเวลานี้ มีแต่จิตประเภทเห็นฟืนเห็นไฟเป็นข้าวต้มขนมนี่แหละ ที่มันจะเผาสัตวโลกน่ะ ที่เห็นกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟนี้จะยังไม่มี ต่อเมื่อเราได้ค่อยชำระสะสางลงไป เห็นความสงบสุข เห็นความฟุ้งซ่าน เป็นโทษเป็นคุณฟัดเหวี่ยงกันไป นั้นละเริ่มละที่นี่ เริ่มจะรู้เรื่องรู้ราว ก็ค่อยขยับตัวเข้าไปเรื่อย อย่างนั้นละความเพียร มันเป็นในเจ้าของมันรู้เอง ไม่ต้องถามใครแหละ ถึงขั้นใด ๆ ควรจะเป็นยังไงมันก็บอกในตัวเอง รู้เข้าไป ๆ ชัดเข้าไป
นี่เราพูดถึงเรื่องความเพียร ความเพียรของเรานี้เป็นความเพียรที่ว่า โอ๊ย จนน่ากลัวนะ คือเราพิจารณาย้อนหลังในความเพียรของเราตั้งแต่เริ่มปฏิบัติมานี้ พิจารณาว่าตรงนั้นมันท้อแท้มันอ่อนแอมันเหลวไหล หรือมันท้อถอยน้อยใจ มันจะถอนตัวออกมา ไม่มีเลย ถึงยากก็ยอมรับว่ายากแต่ไม่ถอย จึงได้ขยะ ๆ ในความเพียรเจ้าของ พิจารณาย้อนหลังไปนี้ โหย อย่างนั้นมันก็ทำได้ ๆ ที่ว่าจิตใจเรามันอ่อนเปียกไปหมด มันท้อถอยต่อความพากเพียรไม่มี เรื่องทุกข์ยอมรับว่าทุกข์หากสู้ไม่ถอย นี่ที่ว่ารู้สึกขยะ ๆ โถ ทำอย่างนั้นมันก็ทำได้ ๆ คือเทียบในวัยนั้นกับความมุ่งมั่นในระยะนั้น กับวัยในเวลานี้ กับความมุ่งมั่นเวลานี้ มันเข้ากันไม่ได้ ถ้าจะทำแบบนั้นตายเลยพูดง่าย ๆ เพราะฉะนั้นถึงว่า โห อย่างนั้นมันก็ทำได้ ๆ คือเดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้ว่างั้นเถอะน่า ทำก็ตายเลย ต้องเขียนใบตายเรียบร้อย ให้หาโลงผีมาเสียก่อนแล้วค่อยทำความเพียรแบบที่เราเคยทำนั้น คือต้องตาย
อันนั้นมันไม่ได้ตายนี่ ความมุ่งมั่นก็เต็มเหนี่ยวเลย มุ่งต่อแดนพ้นทุกข์อย่างเดียวๆ แดนพ้นทุกข์กับอรหันต์นี้อันเดียวกันเลย หลังจากได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างถึงใจแล้วขาดสะบั้นลงไปหมด เรื่องมรรคผลนิพพานไม่มีปัญหา มีอยู่กับเราเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงย้อนถามมาตัวเราอีกว่า เป็นยังไงทีนี้ได้ฟังโอวาทของพ่อแม่ครูจารย์มั่นเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพานนี้ แต่ก่อนก็แบกความสงสัยมา เวลานี้มาฟังอย่างถึงใจแล้วเป็นยังไง ยอมรับเลยว่าถึงใจ แล้วทีนี้เราจะจริงจังไหม ทางนี้ตอบขึ้นมาอย่างผางเลยนะ ต้องจริงไม่จริงต้องตายเท่านั้น เห็นไหม
นั่นละตั้งแต่บัดนั้นมาที่นี่ ขึ้นเวทีไม่มีกรรมการ ใครเก่งฟัดกันเลยกรรมการอย่ามายุ่ง ตั้งแต่บัดนั้นมามันทุกข์มากนะเรา นี่เป็นนิสัยวาสนาอาภัพนะ เราก็ไม่ได้ลงใจทีเดียวว่าบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หรือพระเณรทั้งหลายจะเป็นแบบเรานะ ผู้ง่ายกว่าเรามีเยอะ ตามที่ท่านแสดงไว้ในบุคคล ๔ ประเภท หรือพูดย่อๆ ก็ว่า ขิปปาภิญญา ทันธาภิญญา ผู้ที่รู้ได้เร็วก็มี ผู้รู้ได้ช้าก็มี แล้วท่านก็แยกประเภทอีก ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็ว คือลำบากจริงแต่รู้ได้เร็ว ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า รู้นั้นรู้ แต่รู้ช้านี่ก็หนักมากนะ จากนั้นก็ สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา คือทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็ว สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสะดวกแต่รู้ได้ช้า
ปฏิปทา ๔ นี้ก็เรียนมานานแล้วแหละ เครื่องดำเนินของผู้บำเพ็ญก็มี ๔ ประเภท มันจึงไม่เหมือนกัน เราก็เชื่ออยู่ในใจของเราอยู่แล้วแหละว่าผู้ปฏิบัติจะไม่เหมือนกัน ผู้ยากลำบากมี ผู้ง่ายมี ก็เหมือนอย่างสถานที่ที่ไร่ที่นาที่สวนของเรานี้ บางแห่งทำง่ายได้ผลมากก็มี บางแห่งทั้งทำยากทั้งได้ผลน้อยก็มี บางแห่งทำยากได้ผลมากก็มี นาก็มีอย่างนั้น ที่ไร่ที่สวนที่นาไม่เหมือนกัน แต่นาของเราเป็นยังไง มันยากลำบากก็นาของเรา เราต้องทำของเรา มันก็ต้องทนทุกข์ละซี จึงลำบากอยู่ พูดถึงเรื่องความเพียรในวงชาวพุทธของเรานี้จะว่าอะไร ทั้งๆ ที่ถามนี้ออกมาทุกปากเลย คนหนึ่งอยากได้ ๕ ปาก ถามว่าถือศาสนาอะไร มันจะขึ้นพร้อมกันเลย ๕ ปากแย่งชิงกันออกมาพูด ถือศาสนาพุทธ จะว่าพุทธด้วยกันทั้งนั้น แต่เวลาการปฏิบัติกิริยาของพุทธมีไหม นี่ตอบยากนะ รีบเก็บปากเข้ากระเป๋าหมดเลย พวกนี้มี ๕ ปาก ๑๐ ปากรีบเก็บเข้ากระเป๋าหมดไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน อย่างว่าถือศาสนาพุทธนี่ออกพร้อมกันหมด แต่กิริยาของพุทธมันไม่มี
ทีนี้เวลาเอากิริยาของพุทธออกมาใช้อย่างที่พูดนี่แหละ นี่ละกิริยาของพุทธแท้ พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ธรรมถึงขั้นสลบไสล บรรดาสาวกทั้งหลายที่เด็ดเฉียบขาดถึงขั้นฝ่าเท้าแตกจักษุแตก นี่ประเภทนี้ประเภทที่ใครจะถือเอาเป็นคติตัวอย่างได้ยากมากนะ นี่แบบหลักพุทธศาสนาหลักอันเยี่ยมคือนี้ นี้ก็รองลำดับกันลงไปๆ ไอ้พวกเรานี้หลักไหนก็ไม่ค่อยได้เรื่องถ้าเป็นหลักพุทธนะ ถ้าเป็นหลักเสื่อหลักหมอนอย่างนั้น อู๊ย มันติดเนื้อติดตัวมองหาคนไม่เห็นละนะ มองไปทางนี้เห็นเสื่อ มองทางนั้นเห็นแต่หมอน มองไปที่ไหนเห็นแต่เสื่อแต่หมอน เครื่องประดับประดาตกแต่งให้สดสวยงดงาม ให้สะอาดสะอ้าน ให้อยู่ดีกินดีนอนหลับสบายดังครอกๆ จนกระทั่งถึงเวลาเขาไปปลุกกินข้าวยังอย่ามายุ่ง คือการนอนมันยังไม่อิ่มอย่างนั้นมีเยอะ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ กิริยาของพุทธศาสนาเราไปอยู่ตามเสื่อตามหมอน ตามความไม่เอาไหนนี้นะ
ถ้าตามพระพุทธเจ้า โถ สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา จำคำนี้ให้ดี สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ตั้งกึ๊กลงไปเลย จะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนสติต้องจับๆ ตลอด นี้เป็นพื้นฐานแห่งความเพียรโดยแท้ที่จะแก้กิเลสโดยตรง พากันจำเอานะ นี่เคยฟัดมาแล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่เคยสะทกสะท้านกับสามแดนโลกธาตุนี้ ไม่ว่าใครจะมาโอ้มาอวดมาท้ามาทายมาต่อต้านเรา ที่เราปฏิบัติด้วยตัวของเราเองรู้เห็นด้วยตัวของเราเองนี้ จะให้หวั่นไหวนี้ไม่มีเลย ดังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาพระองค์เดียวเป็นศาสดาของโลกทั้งสามเห็นไหม ใครไปค้านพระพุทธเจ้า พระองค์สนใจกับคำคัดค้านต้านทานของใคร ความจริงเต็มหัวใจพระองค์แล้วสอนได้เต็มเหนี่ยว อันนี้ของพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังไม่พอ ของพระอรหันต์ก็เต็มหัวใจของท่าน ท่านสนใจกับใครที่จะมาคัดค้านต้านทาน เพราะอันนี้เป็นของจริง ก็เป็นอย่างนั้น
มันจะไม่มีนะเวลานี้กิริยาของชาวพุทธเรานี้ โอ๊ย เทศน์ที่ไหนเราพูดจริงๆ เราอ่อนใจเหมือนกัน การเทศนาว่าการสอนพวกพี่น้องชาวพุทธเรานี้ เราก็ฉุดเอาบืนไปๆ มันก็ค่อยเป็นค่อยไป เวลามันบืนก็บืนเสียก่อน เหมือนเด็กตกคลอดมาแล้วทิ้งไว้บนเบาะก็อยู่บนเบาะ ทิ้งไว้ที่ไหนมันก็อยู่อย่างนั้น เมื่อได้รับการบำรุงรักษา ต่อไปมันก็เป็นผู้เป็นคนขึ้นมา จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ได้ อันนี้การบำรุงเด็กที่คลอดใหม่ไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ไม่รู้บาปรู้บุญ มันก็ต้องลำบากอย่างนั้น ฝึกไป ผู้ใหญ่ฝึกไปผู้ดูแลฝึกไปธรรมะฝึกเข้าไป มันก็ค่อยคืบคลานตัวไปได้ๆ แล้วก็ค่อยเป็นผู้เป็นคนรู้จักบาปรู้จักบุญขึ้นมา
นี้เวลามันเข้าถึงใจแล้วบาปบุญมีหรือไม่มีเท่านั้นละฟาดปากเลยเรา นั่นน่ะไม่อยากตอบนะว่าบาปบุญมีหรือไม่มี ปั๊วะเลย พอปั๊วะเสร็จแล้วโคตรพ่อมึงไม่เคยเรียนบาปเรียนบุญ ไม่เคยสนใจกับบาปกับบุญ สร้างแต่ไฟนรกเผาหัวมึง มึงมาถามกูหาอะไร ความหมายว่างั้นเข้าใจไหม นี่ละน้ำหนักของธรรมใส่ปั๊วะเลยแล้วค่อยตอบ มันถึงถึงใจ นี่ละธรรมท่านไม่ได้สนใจนะว่าเป็นคำหยาบคำโลน คำดุคำด่า คำสกปรกโสมม ท่านไม่มี ในหลักธรรมจริง ๆ แล้วไม่มี มีแต่ความจริงล้วนๆ ออกมา กิเลสเป็นตัวจอมปลอมมันคัดค้านต้านทาน มันหาว่าพูดหยาบพูดโลน ตัวหยาบโลนคือกิเลสมันคัดค้านต้านทานไว้ ความจริงเป็นอย่างนี้ พากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ
เมื่อวานนี้วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ทองคำได้ ๒ บาท ๕๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๗,๑๐๐ ดอลล์ เมื่อวานทางบ้านแพง เขาเอามาจากพระที่ไปอยู่สหรัฐมอบฝากมา ๗,๑๐๐ ได้เมื่อวานวันนี้จึงมาออกประกาศ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงนั้น ๔ พันกิโลได้บอกไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วเวลานี้ทองคำที่ได้เพื่อจะหลอมนั้นเวลานี้ได้ ๔๐๙ กิโล ๓๙ บาท ๖๘ สตางค์ นี้เป็นทองคำจำนวนที่จะหลอมนะ คือธรรมดาเราจะหลอมนั้นจะต้องได้ตั้ง ๔๐๐ กิโลขึ้นไปแล้วก็หลอมทีหนึ่งๆ รวมทองคำทั้งหมดทั้งหลอมและยังไม่หลอม ทั้งมอบและยังไม่มอบได้ทองคำ ๒,๔๗๒ กิโล หรือ ๒ ตัน กับ ๔๗๒ กิโล กรุณาทราบตามนี้ ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ นี่ก็ได้ตั้ง ๒ พันกว่าแล้ว ทองคำของเราที่ได้เรียบร้อยแล้วนะ ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ต่อไปนี้จะขยับเรื่อย ๆ นะ
เพราะเราได้เตือนพี่น้องทั้งหลายในอันดับที่ ๒ ที่เริ่มตั้งรากตั้งฐานของบ้านเมืองพยุงชาติไทยของเรา ที่ทรุดโทรมถึงขั้นจะล่มจมได้โดยไม่อาจสงสัย ในประเทศไทยของเรารู้เห็นทั่วหน้ากัน ว่าเมืองไทยของเราเอนเอียงลงไปถึงขั้นจะล่มจมได้ นี้ก็ได้อาศัยพี่น้องชาวไทยทุกคนมีศาสนาเป็นผู้นำ ได้ออกมาพยุงกันเวลานี้ก็เริ่มฟื้นขึ้นมานี่ ทองคำเราเคยมีเมื่อไรนี่ นี้มันก็ได้ถึง ๒,๔๗๒ กิโลแล้วภายใน ๓ ปีทองคำเราได้ถึง ๒ ตัน ทองคำหนัก ๒ ตันของเล่นเมื่อไรวะ นี่ละพยุงขึ้นมาอย่างนี้ละ ทีนี้ดอลลาร์เราก็ได้เวลานี้ ๕,๒๗๘,๐๐๐ ดอลลาร์ เวลานี้เข้าคลังหลวงแล้วนะ ส่วนเงินสดดังที่ประกาศแล้วยังไม่เข้าก็ยังไม่นับ เราบอกที่ตายตัวแล้ว คือว่าทองคำที่เข้าแล้วเท่านั้น แล้วดอลลาร์ก็เข้าแล้ว แล้วเราจะเข้าเรื่อยๆ อย่างนี้ต่อไป
ให้พี่น้องทั้งหลายต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาอุตส่าห์พยายามพยุงชาติไทยของเรา ถ้าหากว่าทั้งชาติทั้งศาสนาของเมืองไทยเราที่ตั้งใจไว้แล้วเต็มเม็ดเต็มหน่วย คือทางบ้านเมืองและทางศาสนายังเอาเมืองไทยขึ้นไม่ได้แล้ว เมืองไทยเรานี้จะจมอย่างแน่นอนไม่สงสัย บอกว่าแน่นอนเลย ถ้าชาติศาสนานี้เอาขึ้นไม่ได้แล้วนะ เวลานี้ให้ฟังเสียงชาติที่เราเป็นที่แน่ใจแล้วกับชาติ ผู้ใดเป็นผู้นำของชาติเป็นที่แน่ใจยังไง เวลานี้การก้าวเดินของรัฐบาลชุดนี้เราพูดตรงๆ เราเป็นธรรมเราเป็นศาสนาพูดตรงๆ รู้สึกว่าราบรื่นดีงามมาเป็นลำดับ ยังไม่ปรากฏว่าเป็นข้อคัดค้านต้านทานอะไรจากทางศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งคือเราเป็นหัวหน้า ว่าการเป็นผู้นำของชาติทำไปอย่างนั้นเป็นความผิดอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่เคยได้เตือนเพราะไม่เคยเห็นผิด เท่าที่ได้ผ่านมาในรัฐบาลชุดใหม่นี้รู้สึกราบรื่นดีงาม
พูดออกมาคำไหนดำเนินงานใดเราเห็นด้วย เพราะไม่ขัดจากหลักของธรรม ก็ไม่ขัดกันกับธรรมที่ทำให้บ้านเมืองล่มจมได้ ก็ต้องเป็นไปเพื่อความเจริญ เมื่อไม่ขัดต่อธรรมแล้วจะเจริญเรื่อยๆ ถ้าขัดต่อธรรมตอนใดๆ นั่นแหละความล่มจมจะอยู่ตรงนั้น นี่รู้สึกว่าราบรื่นดีงามมาเป็นลำดับ ในบรรดารัฐบาลชุดใหม่ที่ตั้งขึ้นมาจากพี่น้องชาวไทยรวมหัวกันทั้งประเทศ ยกท่านผู้นี้ให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คือคุณทักษิณ ชินวัตรนี้ เป็นหัวใจประเทศไทยเราให้เป็นผู้นำ ก็รู้สึกว่าราบรื่นดีงามมาเป็นลำดับลำดา เท่าที่ได้พิจารณาตามกำลังของเราโดยความเป็นธรรมนะ เราจึงขอขอบคุณและอนุโมทนา การดำเนินมานี้เราไม่มีอะไรขัดข้อง ในนามของธรรมไม่ขัดข้องว่างั้น
เราก็จะพยายามทางด้านศาสนานี้พยุงช่วยกันไป เพื่อจะยกชาติไทยของเราขึ้นให้มีความแน่นหนามั่นคง จากการฟังเสียงผู้นำดำเนินตามผู้นำ ที่เราเห็นว่าถูกต้องหรือแน่ใจแล้ว ดังที่ชมเชยมาสักครู่นี้ และเรื่องหลักธรรมเราก็พยายามดำเนินมาอย่างนี้ ก็ยังไม่เคยได้ถูกตำหนิติเตียนที่ไหนว่า หลวงตาบัวพาพี่น้องทั้งหลายดำเนินผิดพลาดไปจะพาบ้านเมืองให้ล่มจมก็ยังไม่ปรากฏ ในหัวใจของเราเองก็ไม่เคยมีปรากฏว่าเป็นมลทิน ได้พาพี่น้องดำเนินผิดพลาดไปตรงไหนไม่มี มีแต่ความภาคภูมิใจๆ เป็นลำดับมา จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายพยุงกันด้วยน้ำใจทุกคน ในจุดดีงามคือทางชาติทางศาสนาที่เราได้ฝากความไว้วางใจแล้วเวลานี้ให้มีกำลังมากขึ้น ด้วยการสนับสนุนของพี่น้องชาวไทยทั่วหน้ากัน เอาละพอ
พวกที่อยู่ในครัวให้ระมัดระวังตัวให้ดี เข้ามาก็ขอให้มาด้วยความเป็นธรรม อย่ามาเป็นเสนียดจัญไรแก่วัดแก่วาแก่เพื่อนแก่ฝูง มาเป็นตัวแสบมาเป็นตัวโจรตัวมารเป็นฟืนเป็นไฟเผาวัดเผาวาไม่ได้นะ ให้พากันสำรวมระวัง ถ้าใครรู้สึกว่าเจ้าของไม่ดีเป็นที่ตำหนิได้จากการตำหนิของครูบาอาจารย์หรือจากธรรมทั้งหลายแล้ว ให้รีบอย่างน้อยแก้ตัว มากกว่านั้นให้รีบหนีจากสถานที่นี่อย่าอยู่ให้มันหนักใจ มันมีแง่มีงอนแปลกๆ ต่างๆ ออกมา มาทำลายหมู่เพื่อนนั่นละ ทำลายอะไรก็ไม่สำคัญยิ่งกว่าการทำลายจิตใจ สมบัติเงินทองข้าวของแต่ละชิ้นละส่วนไม่สำคัญ มันออกมาจากจิตใจ ถ้าจิตใจได้เสียเสียหมดนะ อันนี้เป็นการกระทบกระเทือนจิตใจมาก
เช่นอยู่ๆ ก็ไปฉกไปลักเอาของใครมาก็ตาม เพียงสตางค์หนึ่งเท่านั้นสะเทือนมากแล้วนะ ให้กันได้เป็นล้านๆ ไม่ปัญหาอะไร ยิ่งจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันทั้งผู้ให้ผู้รับ แต่การไปฉกไปขโมยเอาด้วยวิธีการอันใดที่เจ้าของไม่ยอมแล้วนี้ เจ็บแสบมากที่สุด คือกระเทือนหัวใจมาก อย่าได้มาทำในวัดนี้เป็นอันขาด อย่าทำนะ แล้วก็ให้สอดส่องดูด้วย กิริยาของใครที่แสดงออกมาอย่างนี้ให้สังเกตดู ถ้าทราบแล้วให้มาบอกเรานะ เราจะไม่มีอะไรแหละ โง่ที่สุดก็คือหลวงตาบัวว่างั้นเลย จะเดินตามแบบโง่ของเรานี่แหละนะ นี่เตือนแล้วให้ระวังนะ มันมายังไงนี่มาอยู่ในนี้ เป็นตัวแสบอยู่ในวัดวาในครัวนี่มีนะ มันเริ่มปรากฏขึ้นมาแล้วนะเวลานี้ แล้วมันก็เคยปรากฏมาเสมอ เราเคยไล่ออกจากวัดมาเรื่อยๆ นะ
นี้ก็มาเริ่มอีกแล้ว มันจะมาก่อฟือก่อไฟเผาวัดเผาวา เขามาหาศีลหาธรรม มันมาหาไฟเผาตัวเองและเผาเพื่อนฝูงด้วยกันให้แหลกเหลวไปหมดไม่ได้นะ จำให้ดีนะ แล้วให้ต่างคนต่างคนสังเกตสอดรู้กันดู มันเป็นยังไงคนเหล่านี้น่ะ พวกเปรตพวกผีเหล่านี้มันมาแฝงตัวอยู่ยังไง เอาเท่านั้นแหละจำให้ดี
นี่พระที่ท่านฉันจังหันเพียงเล็กน้อยเมื่อเช้านี้ ข้อหนึ่งก็คือว่า เพราะทางนี้ให้ขยับขยายเพราะจวนเข้าพรรษาแล้ว ไม่รับมาก รับจำนวนเท่าไรบอกไว้เลย จากนั้นเป็นเศษเป็นเหลือแล้วให้ขยับขยายออกไป นี่พระอาจน้อยเพราะพระขยับขยายออกไปก็ได้ อาจน้อยเพราะพระไม่ฉันจังหัน อยู่ข้างในมากก็ได้ ออกมาเพียงเล็กน้อยอย่างนี้ก็ได้ มีสองภาค แต่การให้ขยับขยายให้พระขยับขยายเราเริ่มประกาศมาเรื่อยๆ ถ้าจะให้รับหมดก็ไม่ได้ วัดนี้แน่นเลย ทุกปีมาก็ดูเหมือน ๔๖ องค์ในพรรษา ปีนี้เลยเริ่มขึ้นเป็นถึง ๔๘ แล้ว ทางนู้นขอมาทางนี้ขอมาแต่เนิ่นๆ เราก็รับไว้ๆ ก็เข้าบัญชี ถ้ารายไหนที่รับแล้วต้องเอาเข้าบัญชีว่ารับเริ่มรับไว้ แล้วที่อื่นมาก็ล้นเหลือผ่านไปๆ ส่วนจำนวนรับก็อยู่ในนั้นละ ถ้าว่าน้ำก็อยู่ในแก้ว นอกจากนั้นมาก็ให้ล้นไปผ่านไป เวลานี้ก็ ๔๘ กำหนด พวกที่มาฝากตัวมีหลายองค์นะ นี่ก็นับไว้แล้วรวมแล้วเป็น ๔๘ เวลานี้
ที่ว่ากุฏินั้นท่านปัญญาพิจารณาอยู่ มอบให้ท่านปัญญาท่านจะเขียนแปลน คือทำอะไรก็ตามพระฝรั่งนี้จะเขียนแปลนทั้งนั้นแหละ แม้ที่สุดทำด้ามมีดก็เขียนแปลน อยู่ที่ครัวเราไปเห็นท่านกำลังเขียนแปลน เขียนแปลนอะไร แปลนด้ามมีด หึย เมืองไทยเขาไม่ได้ทำแปลนละ ประสาด้ามมีดว่างั้น นี่มียังไงก็ต้องเขียนแปลนๆ คือถ้าเขียนแล้วมันไม่ต้องคิดอ่าน คิดอ่านตั้งแต่เวลาเขียนแปลนท่านว่า พอเขียนแปลนเรียบร้อยแล้วไม่ต้องคิดอ่าน ทำไปได้สบายเลย
พอว่างั้นเราก็ใส่ปั๊บเข้าไป ก็บทเวลาฉันจังหันจัดเข้าในบาตรแล้วไม่เห็นมาเขียนแปลนเสียก่อน เราจะฟาดมันหมดบาตรแล้วโยนบาตรเปล่ามาให้ นั่นพอดีกับพวกนักเขียนแปลน โอ๊ย การฉันจังหันในบาตรแล้วไม่จำเป็นต้องเขียนแปลนแหละ มันเป็นแปลนสำเร็จรูปแล้ว ท่านก็แก้ดีนะ เวลาฉันจังหันจัดเข้าในบาตรแล้วไม่เห็นไปเขียนเสียก่อนเราว่างั้น เราจะฟาดมันหมดบาตรโยนบาตรเปล่าให้ โอ๊ย ข้าวในบาตรมันสำเร็จมาเรียบร้อยแล้วไม่จำเป็นต้องเขียนแปลน นั่นละมันกลัวตายเราว่างั้น