ไม่ว่าทองคำไม่ว่าดอลลาร์ เงินสดนี้มันไปตามหัวหน้านะ หัวหน้าจึงสำคัญตลอดไม่ว่าทางโลกทางธรรม แม้แต่สัตว์ก็มีหัวหน้า หัวหน้าไม่เคยเว้น สัตว์ประเภทใดก็ตามมีหัวหน้า ๆ ถ้าเป็นคณะ ๆ แล้วมีหัวหน้าทั้งนั้น จึงถือเป็นความสำคัญตลอด เรื่องความเป็นหัวหน้าเหมือนเข็มกับด้ายเย็บ ด้ายเย็บวิ่งตามเข็ม ด้ายมีเท่าไรก็ไม่มีความหมายถ้าเข็มไม่พาก้าวเดิน สมบัติเงินทองเรามีมากมายก็ตามถ้าไม่มีผู้นำมาใช้ อันนี้ก็กองไว้อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์ มีผู้นำเข้ามามาเป็นเจ้าของ เจ้าของเป็นคนชนิดใด ถ้าเจ้าของเป็นคนชั่ว สมบัตินี้กลายเป็นไฟไปเลย ถ้าเจ้าของเป็นคนดี สมบัตินี้เป็นน้ำเป็นท่า ชุ่มเย็นตลอดไปเลย
ไปกรุงเทพคราวที่แล้วก็ดูเหมือนว่า ได้ดอลลาร์ถึง ๖ หมื่นกว่านะ ทองคำได้ถึง ๑๐๐ กิโล เป็นอย่างนั้นนะ ก่อนนั้นเราไป ๒๗ วันเป็นเดือนมีนา ได้ทองคำ ๓๗ กิโล ไปคราวที่สองวันที่ ๑๐ เมษา ๑๖ วันได้ทองคำ ๑๐๐ กิโล เป็น ๑๓๐ กว่าไปสองครั้งนี้ ทองคำเราได้เยอะนะ มาทางนี้ก็เริ่มขึ้นละ ถึงจะไม่มากก็ตามก็ขึ้น ขึ้นไปตามหัวหน้าผู้นำ นี่ก็เริ่มขึ้น ๆ หัวหน้าไปที่ไหนก็เริ่มขึ้น ๆ เพราะเดินตามหัวหน้า แซงหัวหน้าไม่ได้นะเสียหาย ต้องเดินตาม ศาสดาของโลก สาวกเดินตามเห็นไหมล่ะ สาวกทั้งหลายต่างมีลูกศิษย์ลูกหา เดินตามครู ๆ ไม่ได้แซงครูนะ เดินตามทั้งนั้น ๆ เพราะครูนั้นถือว่าถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ศาสดาองค์เอก เอกแล้วไม่มีใครเสมอ สาวกทั้งหลายเดินตาม พ้นทุกข์เป็นลำดับ ๆ เรื่อย
ทีนี้สาวกทั้งหลายนำธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ล้านเปอร์เซ็นต์ออกมาสั่งสอนสัตวโลกทั่ว ๆ ไปแทนองค์ศาสดาเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ก็ต้องเดินตามทั้งนั้น ใครแซงหัวหน้าแล้วเป็นฉิบหาย อย่างเทวทัตเห็นไหมแซงหัวหน้า จะเป็นพระพุทธเจ้าแข่งพระพุทธเจ้า ในภาษิตเราก็จำได้แต่ก่อนเรียน ภาษิตเป็นบาลี แต่ทีนี้เราจำบาลีไม่ได้ จำได้แต่เป็นภาษาเราที่แปลออกมาแล้ว มีพระเข้าไปกราบทูลท่านถึงเรื่องว่า บัดนี้พระเทวทัตจะแยกตัวออกจากพระพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่าเป็นศาสดาองค์ใหม่ขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ทรงรับสั่งย่อ ๆ แต่กินความลึกมาก ทรงสลดสังเวชนะ เอ้อ สิ่งใดที่เป็นของดีนี้สัตว์ฝ่าฝืนสัตว์ทำลาย แต่สิ่งใดที่เป็นของชั่วสัตว์ยิ่งส่งเสริมพอกพูนกัน บทที่สามเราก็ลืมเสีย
พระองค์เป็นลักษณะอุทานด้วยความสลดสังเวช เราพูดย่อ ๆ ว่า สิ่งที่ชั่วนั้นสัตว์ทำได้ง่ายมาก แต่สิ่งที่ดีสัตว์ทำได้ยาก อันนี้ก็เทวทัตไปทำชั่ว ทั้ง ๆ ที่องค์ศาสดาเป็นประธานอยู่นั้นไม่ยอมรับ ยังสลัดจากพระพุทธเจ้าไปเป็นศาสดาองค์ใหม่ขึ้นมาแข่งพระพุทธเจ้า และปรากฏว่ามีพระสงฆ์ติดตาม พระสงฆ์ปุถุชนคนหนาปัญญาหยาบ ได้รับการเสี้ยมสอนเพียงเล็กน้อยในทางไม่ดีก็ติดตามไป ครั้นเวลาไปแล้วไม่นานก็หลั่งไหลกลับมาหาพระพุทธเจ้าหมดเลย ยังเหลือแต่พระโกกาลิกองค์เดียว สุดท้ายยังเหลือองค์เดียว แล้วก็ไปเห็นโทษตัวเองทั้ง ๆ ที่พระหลั่งไหลไป ไม่กี่วันกลับมาหาพระพุทธเจ้าทั้งหมด ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาเห็นโทษของตัวเอง
เมื่อเห็นโทษของตัวเองแล้วก็ยอม ยอมรับเต็มที่แล้ว ก็ฝากคำกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า เวลานี้พระเทวทัตได้เห็นโทษแล้ว จะมาขอขมาพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับสั่งว่า ถึงมาก็ไม่ได้พบเราตถาคตแหละ แน่ะเห็นไหม พระญาณหยั่งทราบไว้แล้ว เพราะเหตุผลกลไกอะไรพระองค์ก็รับสั่งมาทันทีเลย จะไม่ได้พบเราตถาคตแล้ว มานี้ก็จะมาถูกแผ่นดินสูบที่สระหน้าพระเชตวัน เขาหามมาถึงนั้น นั่งแคร่มา บรรดาบริษัทบริวารลงอาบน้ำอาบท่ากัน ทางนี้อยู่ ๆ แผ่นดินก็แยกออกสูบลงไปเลย แต่เวลาแผ่นดินสูบมาถึงคางกรรไกรแล้วเปล่งวาจา ระลึกขึ้นได้ทันทีว่า ขอถวายคางกรรไกรนี้เป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ออกมาด้วยเหตุผล แล้วพระสงฆ์ท่านทูลถามว่า เพราะเหตุไร เออ เธอยังดีนะ เธอได้มาสว่างตอนสุดท้ายปลายแดนก็ยังดี เธอจะจมลงไปในนรกเสวยกรรมมหันตทุกข์มหันตโทษก็ตาม แต่ความดีที่เธอถวายคางกรรไกรนี้จะยกเธอให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อ อัฏฐิสาระ แปลว่า ผู้มีกระดูกเป็นแก่นสาร หรือผู้เอากระดูกบูชา แปลได้สองนัย ผู้มีกระดูกเป็นแก่นสาร ฉุดท่านได้ จากนั้นเธอจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วพ้นทุกข์เลย เป็นอันว่าสิ้นสุดยุติ
นี่การแซงไม่ใช่ของดี แซงผู้ไม่ควรแซง คนชั่วทำชั่ว เราเป็นคนดีแซงออกหน้าเลยไม่ผิด เพราะเป็นการละชั่วทำดี ไม่ผิดตามคลองธรรมพระพุทธเจ้า แต่แซงคนอื่นทั้ง ๆ ที่ดี เราแซงด้วยความชั่วของเรา เลว ท่านจึงห้ามไม่ให้แซง นี่ก็เป็นวันตรัสรู้ของศาสดาเอกพวกเราชาวพุทธทั้งหลาย วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา พระองค์ทรงเริ่มต้นมาตั้งแต่ปฐมยามเรื่อยมา รบกับข้าศึกศัตรูที่จะเอาตัวให้หลุดพ้นเป็นศาสดาเอกขึ้นมาในจวนสว่างของวันวิสาขบูชา ทรงภาวนา วันนั้นเป็นวันสุดท้ายปลายแดน ตอนเช้าได้เสวยพระกระยาหารของนางสุชาดาที่ถวายท่าน ๔๙ ก้อน
คือเขาถวายเขาไม่ได้ตั้งใจว่าถวายพระพุทธเจ้านะ คือมีร่มโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงนั้น เขาถือว่าร่มโพธิ์ใหญ่ต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้น แล้วนางสุชาดานำข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อนกับที่พระองค์ไม่เสวยพระกระยาหาร ๔๙ วันพอดี บรรจบกับวันนั้นท่านจะเสวย เพราะท่านทรงพิจารณาดูแล้วว่า การอดอาหารโดยไม่มีทางอื่นใดมาช่วยสนับสนุนด้วยความถูกต้องแล้วเป็นไปไม่ได้ เพียงอดอาหารเฉย ๆ ให้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านี้สำเร็จไม่ได้ ท่านจึงทรงระลึกย้อนหลังถึงคราวพระองค์เป็นสิทธัตถราชกุมาร พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ ไปนั่งอยู่ใต้ร่มหว้าใหญ่ ทรงเจริญอานาปานสติ จิตสว่างไสวขึ้นในตอนบ่ายวันนั้น นั่นละท่านได้รับความอัศจรรย์
ท่านทรงพิจารณาย้อนหลังไปถึงนั้น ท่านเลยเอานั้นมาเป็นอารมณ์ น่าจะถูกแล้วที่เราทำในคราวนั้น เลยเอาอานาปานสติที่ทรงเจริญเข้ามาบำเพ็ญในคืนวันนั้น เป็นจิตตภาวนาขึ้นมา แต่ก่อนอดข้าวเฉย ๆ ไม่เป็นการภาวนาจึงไม่สำเร็จ ทีนี้พอหยุดอดข้าวแล้วเจริญอานาปานสติเป็นทางถูกต้องแล้วก็ได้บรรลุธรรม ตั้งแต่ปฐมยามบรรลุ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ พระองค์เคยเกิดมากี่ภพกี่ชาติตั้งกัปตั้งกัลป์มามากน้อยเพียงไร พิจารณาย้อนหลังถึงร่องรอยเดิมที่เคยเกิดเคยตาย ขึ้นสูงลงต่ำมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งปัจจุบัน ระลึกชาติย้อนหลังของพระองค์ได้
จากนั้นก็พิจารณาเล็งญาณดูสัตว์ทั้งหลายอีก ที่เกิดตายอยู่ด้วยกันนี้เป็นยังไงกับเราที่เป็นนักเกิดนักตาย เพียงศพเราคนเดียวนับไม่ได้แล้ว ทีนี้สัตว์ทั่วโลกดินแดนนี้เป็นยังไง การเกิดการตายของสัตวโลก ตลอดถึงศพถึงเมรุของเขาเป็นยังไง พิจารณาไป เกลื่อนไปหมดเทียบไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวก็นับว่ามากแล้ว ยิ่งสัตว์ทั้งหลายแต่ละราย ๆ การเกิดตายนี้มามากขนาดไหน นี่เรียกว่า จุตูปปาตญาณ คือพิจารณาเล็งญาณดูความเกิดความตาย ของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นมาเหมือนกับพระองค์ เป็นยังไงบ้าง ก็มาทรงทราบประจักษ์พระทัยว่า การเกิดตายเหมือนกันหมด เป็นกันมาอย่างนี้ ๆ เรื่อย ๆ ไป
มาสองพักแล้วนะ พักหนึ่งทรงพิจารณาดูเรื่องของพระองค์เอง เรียกว่า บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แล้วพักที่สองก็มาพิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลกที่เกิดตายนี้เป็นยังไงบ้าง พิจารณาก็ได้ความชัดเจนว่าเหมือนกันกับเราที่เป็นมาแล้ว ก็ทรงพิจารณาย้อนเข้าหาสาเหตุที่นี่ ที่เป็นมาทั้งสองนี้น่ะ เราเกิดเราตายมานี้เกลื่อนกล่นมาตั้งกัปตั้งกัลป์หาประมาณไม่ได้ จนไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายแล้ว และสัตว์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้ นี้เป็นสาเหตุมาจากอะไรจึงพาให้เกิดให้ตาย นี่ละที่ทรงพิจารณาปัจจยาการ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา พิจารณาหาสาเหตุที่พาให้เกิดให้ตาย ย้อนเข้ามาหาอวิชชาก็ถอนพรวดขึ้นมาตรงนั้นเสีย อวิชชาซึ่งเป็นโคตรแซ่แห่งการเกิดตายของสัตวโลกได้แก่อวิชชา ถอนพรวดขึ้นมาในวันนั้น ได้ตรัสรู้ขึ้นมา
เราพูดถึงเรื่องยามเบื้องต้น บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ครั้นต่อมาเป็น จุตูปปาตญาณ แล้วขึ้นที่สามก็อาสวขยักญาณ คือการพิจารณาอวิชชา สิ้นกิเลสในปัจฉิมยาม วันนั้นได้ตรัสรู้ขึ้นมาให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา พิจารณาซีเราเป็นนักเกิดนักตาย แล้วก็มาสงสัยอยู่ในตัวของเราเต็มตัวทุกคน ๆ เรียกว่าไม่เคยเกิดเคยตาย อย่างน้อยสงสัยเรื่องเกิดเรื่องตายว่าเราเคยเกิดเคยตายมาหรือไม่ พระพุทธเจ้าเป็นพยานมาแล้ว เคยเกิดเคยตายมาหรือไม่พระพุทธเจ้า แล้วสัตวโลกก็พิจารณาแล้วว่าเคยเกิดเคยตายมาเหมือนกัน แล้วเรายอมรับแล้วยัง พระพุทธเจ้าเคยเกิดตายมากี่กัปกี่กัลป์ พระองค์ยอมรับว่าเคยเกิดเคยตายมาแล้ว
พิจารณาครั้งที่สองเป็นมัชฌิมยาม ว่าสัตว์ทั้งหลายเคยเกิดตายเหมือนเราหรือไม่ ก็ประจักษ์พระทัยว่าสัตว์ทั้งหลายเคยเกิดตายเหมือนกันเลย แล้วท่านก็ยอมรับว่าความเกิดตายของท่านเคยเป็นมาอย่างนั้น สัตว์ทั้งหลายก็เคยเป็นมาอย่างนี้ แล้วพวกเราเป็นสัตว์ทั้งหลายหรือสัตว์อะไร ยอมรับหรือยังว่าความเกิดตายนี้มีหรือไม่ในตัวของเราเอง ให้มาพิจารณาตรงนี้ ส่วนสาเหตุที่พาให้เกิดให้ตายพระพุทธเจ้าพิจารณาทีหลัง เป็นอย่างนี้นะเป็นยังไง เราจะแซงครูไปทางไหนทีนี้ ถ้าตามครูก็เรียกว่ายอมรับพระพุทธเจ้าองค์ศาสดาเอก แต่ก่อนพระองค์ไม่เคยเปล่งพระวาจาหรือเปล่งพระอุทานขึ้นมาว่า ยอมรับความจริงทั้งหลายที่เคยผ่านมากี่ภพกี่ชาติ ยอมรับแล้วในวันนี้ แล้วสัตว์ทั้งหลายพระองค์ก็ทรงยอมรับแล้วในวันนั้น
ทีนี้สาเหตุที่พาให้เกิดตาย ๆ นี้ มาพิจารณาเข้าถึงโคตรใหญ่คืออวิชชา ถอนพรวดขึ้นมา ยอมรับว่าบัดนี้เราจะไม่เกิดไม่ตายอีกแล้ว ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก นี่ละตรัสรู้ขึ้นมาตรงนี้เอง พอถอนอวิชชาพรวดขึ้นมาเท่านั้น การเกิดตายภายในจิตที่จะพาให้เกิดให้ตายต่อไปนี้ขาดสะบั้นลงไปเลย นั่นละท่านเรียกว่าตรัสรู้ ทีนี้พวกเราเป็นลูกศิษย์เป็นยังไง อันดับหนึ่งเคยเกิดเคยตายมาหรือยัง อันดับที่สอง เวลานี้เราแน่ใจเราไหมว่าออกจากนี้เราจะไปเกิดเป็นอะไรอีก พระพุทธเจ้าแน่ใจนะ จากนี้ไปเราจะไม่เกิดอีกแล้ว แน่ใจ พวกเราเป็นยังไงแน่ไหม ถ้ายังไม่แน่ก็เรียกว่ายังเก่งกว่าครูอีก ถ้ายังจะสงสัยไปอีกเก่งกว่าครูแซงครูไปอีก จมอีกนะ
เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตอย่าแซงครูนะ แซงครูไม่ใช่ของดี ศาสดาองค์เอกไม่มีใครเสมอแล้วในโลกนี้ สอนโลกด้วยไม่มีกิเลส เปิดจ้าตลอดหมดทั้งความเป็นมาแต่ก่อน ทั้งปัจจุบันของสัตว์ ทั้งอนาคต พระองค์ทรงทราบตลอดทั่วถึงหมดแล้ว มาสอนโลกด้วยความเป็นศาสดาเอกของโลก พวกเรารับฟังคำของท่านให้ฟังให้ดีทุกคนนะ อย่าให้เสียท่าเสียที เกิดมาตายเปล่า ๆ มากี่ภพกี่ชาติ ชาตินี้เป็นชาติที่ได้ยินเสียงธรรมประกาศก้องมาตั้งแต่วันเราเกิดมา พ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนมา เราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับให้พิจารณา ถ้ายังไม่ยอมรับจะเอาอีกนะ เราอย่าอวดเก่งต่อกิเลส อวดเก่งเท่าไรยิ่งเลวลงทุกที ๆ ถ้าอวดกิเลสก็ต้องเอาธรรมเข้าอวดถึงถูก ถ้าไปวิ่งตามกิเลสนี้ฉิบหายทั้งนั้นแหละ ให้พากันพิจารณาตั้งอกตั้งใจนะ
วันนี้เป็นวันคล้ายกับที่ศาสดาเอกของเราได้อุบัติขึ้นมาในโลก ตรัสรู้ธรรมแดนพ้นทุกข์ขึ้นมา ตั้งแต่บัดนั้นประกาศศาสนามาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วนะ นานสักเท่าไรแล้ว เรายังจะหลับครอก ๆ อยู่ ยังอีก ๒,๕๐๐ ปี ปีของเราที่เกิดตายอยู่นี้มันจะไม่ถึง ๒,๕๐๐ นะ มันกี่วันกี่เดือนก็ไม่ทราบจะตายก่อน เราจะไปคาด ๒,๕๐๐-๖๐๐ นะ ให้คาดที่ลมหายใจเรา ถ้าลมหายใจยังมีอยู่ก็เรียกว่าเรายังอยู่ ให้รีบเร่งขวนขวายเสียตั้งแต่บัดนี้ จิตกำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา หรือจะให้กิเลสตัณหาฉุดลากลงนรกอเวจี เกิดตาย ๆ ทับถมกันอยู่นี้ตลอดไปหรือจะสลัดปัดมันด้วยการสร้างคุณงามความดี รู้เนื้อรู้ตัวด้วยการสร้างกุศล สร้างศีล ทานของเรา เอา ให้พิจารณาตัดสินกันเสียตั้งแต่บัดนี้
วันนี้เป็นวันพระพุทธเจ้าตัดสินกิเลส แล้ววันนี้เป็นวันตัดสินเราเรื่องบาปเรื่องกรรม สงสัยบาปสงสัยกรรมสงสัยนรกสวรรค์ ตัดสินเสียวันนี้ พระพุทธเจ้าตัดสินมาแล้วตั้งแต่วันนั้น สิ่งนี้มีสมบูรณ์มาดั้งเดิม เราอย่าไปลบล้างถ้าไม่อยากฉิบหาย บาป บุญ นรก สวรรค์ มีมากี่กัปกี่กัลป์ ใครสามารถไปลบล้างได้ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าแม้พระองค์เดียวไม่เคยมี แล้วเราจะเก่งแต่เราคนเดียวเก่งไปถึงไหนน่ะ ถามตัวเองนะอย่าไปถามคนอื่น ให้พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร
เกิดมาชาติไหน ๆ ก็มาตายอยู่ด้วยความประมาท ๆ ชาตินี้ยังจะประมาทจมเข้าไปอีกเหรอ มันสมควรแล้วเหรอกับมนุษย์เรา ซึ่งได้ฟังคำประกาศก้องของศาสนามาตั้ง ๒,๕๐๐ กว่าปี เรากี่ปีมานี้ได้ฟังมา เรายังจะไม่สนใจอยู่เหรอกับอรรถกับธรรม จะสนใจตั้งแต่ที่จะตายกองกันอยู่นี้เหรอ ถามเจ้าของนะ วันนี้พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เอาย่อ ๆ นี้มาพูดเลย ชาวพุทธเราจึงได้ถือเป็นคติเป็นประเพณีเป็นที่ระลึกสุดยอดของหัวใจในวันเช่นนี้ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา มาฆบูชาวันปลงพระชนม์ คือตรัสรู้ธรรมแล้วสอนธรรมแก่โลกไปได้ ๔๕ พรรษาก็ทรงปลงพระชนมายุ ลั่นพระวาจาว่าจากนี้ไปอีก ๓ เดือน คือตั้งแต่วันเดือนสามเพ็ญ ถึงวันเดือนหกเพ็ญเป็นวันที่ท่านจะนิพพาน แล้วถึงวันนั้นเสด็จไปเลยเห็นไหม องอาจกล้าหาญไหมศาสดาของเราพอถึงวันเวลาแล้ว
ทรงปลงพระชนมายุลั่นพระวาจาไปแล้ว จากนี้ไปอีกสามเดือนเราจะตาย พอถึงวันเดือนหกเพ็ญเป็นวันตาย ตอนเช้าเสด็จออกเลยไปกรุงกุสินาราที่จะไปนิพพาน เห็นไหมท่านสะทกสะท้านไหม เราไปนี้เราจะตายหรือไม่ตาย เคยมีไหมในพระโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยมี เสด็จบึ่งเลย ถึงแล้วพวกมัลลกษัตริย์มาทูลถาม มายังไงต่อยังไง โอ๋ย จะมาตายที่นี่ นั่นเห็นไหมล่ะ เขาก็จัดสวนมัลลกษัตริย์ให้เป็นที่ปรินิพพานในคืนวันนั้น แล้วก็นิพพานในคืนวันนั้น เคลื่อนไปไหน เห็นไหมพระวาจาที่รับสั่งออกมาจากพระญาณหยั่งทราบที่แน่นอนแล้ว เคลื่อนไปที่ไหน นี่ศาสดาองค์เอกที่เป็นผู้นำพวกเราทั้งหลาย เราจะขัดจะแย้งพระพุทธเจ้าไปไหนถ้าเราไม่อยากจมนะ ถ้าไม่อยากจมให้รีบแก้ไขตนเองตั้งแต่บัดนี้นะ
นี่ละคำสอนพระพุทธเจ้าประกาศกังวาน มีแต่คำสอนที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ นะ คำแปลกปลอมไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้า เรื่องของกิเลสปลอมทั้งนั้น นับแต่เม็ดหินเม็ดทรายขึ้นไปถึงโคตรแซ่กิเลส มีแต่ตัวจอมปลอมทั้งหมดหลอกสัตวโลก จึงจมไปด้วยกันทั้งนั้น ใครเชื่อกิเลสจมไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าใครเชื่อธรรมจะมีวันฟื้นขึ้นมาได้ เล็ดลอดออกมาได้ เราจะเอาทางไหน เอ้า ตัดสินใจถามเรานะตั้งแต่บัดนี้ นี่หลวงตาบัวก็จวนจะตายแล้ว
นี่ก็พูดอย่างป้าง ๆ เหมือนกันไม่ได้สงสัยนะ นี่ก็ดำเนินตามทางของศาสดาเอกไม่ได้แซงพระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ยังไง เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ฟัดกันเลยกับกิเลส เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว นี้คือเดินตามครูนะ เอาครูพาตาย-ตาย พระพุทธเจ้าสลบสามหน เราไม่เคยเห็นสลบ เอา มันจะสลบถึงขั้นตายก็ให้เห็น ขอให้เดินตามครู ครูสอนว่ายังไงจะเอาอย่างนั้น กิเลสหนักเราต้องหนัก เรื่องเบาไม่ต้องบอกมันเบาของมันเอง นี่ก็ซัดมาจนเต็มเหนี่ยวแล้ว เต็มความสามารถของเรา วันของเราเป็นแต่เพียงว่าไม่ใช่เดือนหกเพ็ญ เป็นเดือนหกดับ พูดตรง ๆ เสีย แรม ๑๔ ค่ำไม่ใช่แรม ๑๕ ค่ำ ตื่นเช้ามาก็เป็นแรม ๑๕ ค่ำกลางคืนกำลังเริ่มดึก ๕ ทุ่มพอดี ที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร ของวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓
จิตอันนี้ละไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เราไม่โอ้ไม่อวด เราเดินตามครูไปอวดครูได้ยังไง อวดไม่ได้นะ เราเดินตามครูต้องพูดตามครู เพราะรู้ตามครู เราต้องพูดอย่างนั้น ทีนี้พอ ๕ ทุ่มเป๋งฟ้าดินก็ถล่ม นี่ละ อวิชฺชาปจฺจยา ที่พิจารณา บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ นั้นเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า เรื่องของเราเราก็เอาปัจจุบันเลย เกิดมาจากที่ไหนมันก็เอาจากนี้ละ เอาย่น ๆ นี่เลย มันจะเกิดจะตายทั้งเขาทั้งเราจะเกิดจากอวิชชานี้ ก็ฟาดอวิชชาขาดสะบั้นลงไป ฟ้าดินถล่มเลยนะ ปรากฏในหัวใจของเรา ส่วนฟ้าดินจริง ๆ เขาจะถล่มไม่ถล่มก็เป็นเรื่องของเขา แต่ความรู้สึกของใจนี่มันถึงขนาดนั้นละ ไม่เคยมีในชีวิตของเรา ผางทีเดียวเลยเทียว ไม่เคยคาดเคยคิดนะ เหมือนฟ้าดินถล่มไปหมดเลย พอผางออกแล้ว คืออวิชชาที่ตัวมืดบอดมันพังทะลายลงไป
ทางนี้มีอยู่แล้วตั้งแต่ดั้งเดิมแต่ถูกอวิชชาปิดเอาไว้มันมองไม่เห็น หูหนวกตาบอดอยู่อย่างนั้น ภายในใจบอด ทีนี้พออวิชชาพังลงไปจากใจแล้วจ้าขึ้นมาพร้อมกับขณะที่ฟ้าดินถล่มเลย นี่ละถึงออกอุทานขึ้นมาเลย โถๆๆ ขึ้นมาเลยเทียว มันพูดได้ยังไงฟังซิน่ะ คำนี้ใครจะพูดได้..ธรรมดา แต่อำนาจของธรรมเป็นข้อยืนยันกันมันพูดออกมาได้ไม่ต้องสงสัย เหอ อย่างนี้เหรอพระพุทธเจ้าตรัสรู้-ตรัสรู้อย่างนี้เหรอๆ ขึ้นอย่างนั้นเลยนะ นี่ฟังซิพี่น้องทั้งหลายน่ะ มาสอนพี่น้องทั้งหลายมาหลอกเหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้-ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นเลยนะ ใครจะไปกล้าพูดอย่างนี้ แต่มันเป็นขึ้นภายในใจอย่างเต็มหัวใจแล้วเป็นหลักธรรมชาติ ไม่ได้ว่ากล้าหรือไม่กล้า เอาความจริงขึ้นมาแสดงรับกันเลย เป็นพยานพระพุทธเจ้าก็ได้นะ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นเลย น้ำตาไม่ต้องบอกพังเลยเทียวนะ กายเวลาฟ้าดินถล่มนี้กายนี้พุ่งเลยเทียวนะ มันกระเทือนของมันอย่างแรงกล้าทีเดียว
นี้เปิดให้ฟังจากผลแห่งการปฏิบัติกับธรรมของพระพุทธเจ้า มีหรือไม่มีธรรมพระพุทธเจ้าฟังซิน่ะ การปฏิบัติเห็นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งวาระสุดท้ายฟ้าดินถล่มขึ้นมา ถึงขนาดที่ออกอุทาน ทั้งๆ ที่เราไม่เคยคิดเคยอ่าน แต่นี่คือว่าออกตามหลักความจริง ถ้าเป็นโลกเขาก็หาว่าโอ้ว่าอวดว่าแข่งพระพุทธเจ้า นั่นโลกมันเป็นอย่างนั้น เรื่องธรรมความจริงต่อความจริงเข้าถึงกันปึ๋งเลย หรือแม่น้ำลงเข้ามหาสมุทรทะเลหลวงก็ถูก ธรรมธาตุเข้าถึงธรรมธาตุก็ถูก ไม่ผิด พอถึงนั้นแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ธรรมแท้เลิศ เลิศด้วยอย่างนี้หรือๆ ขึ้นเลยที่นี่ นี่ละอุทาน พระพุทธเจ้าเลิศ เลิศอย่างนี้เหรอ ตรัสรู้อย่างนี้เหรอ พระธรรมที่เลิศ เลิศอย่างนี้เหรอ พระสงฆ์เลิศ พระสงฆ์ก็เข้าไปเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นธรรมธาตุด้วยกันแล้ว เลิศอย่างนี้ละเหรอๆ นั่นเห็นไหม
ทีนี้เวลามองไปที่ไหนนี้ เอา เปิดให้มันเต็มเหนี่ยวนี่มันจวนจะตายแล้ว แต่ก่อนมันมืดตื้อมาขนาดไหน ทีนี้พอจ้าขึ้นมานี้มันเห็นไปหมดนี่จะว่าไง โถ ทำไมเป็นอย่างนี้จิตนี้ โถๆๆ มีกิเลสตัวเดียวเท่านี้ปิดบังเอาไว้ ไม่มีอะไรในสามแดนโลกธาตุมาปิดบังใจดวงนี้ได้ มีแต่กิเลสเท่านั้น พอกิเลสพังแล้วเปิดจ้าไปหมดเลย ใครจะว่าบาปไม่มีบุญไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ไม่มี ใครว่าไม่มีนู่นน่ะ จะฟาดปากมันทันทีเลยนะ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานมีหรือไม่มี จะฟาดปากมัน พ่อมึงเคยเห็นหรือมึงถึงมาโอ้อวดจะว่างี้นะ คือพูดให้มันเต็มเหนี่ยวเข้าใจไหม นี่ละน้ำหนักของคำพูด
บอกว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี เราจะเอาฝ่ามือของเรานี้ฟาดทั้งฝ่ามือทั้งหมัดด้วยนะ กำอย่างนี้เป็นหมัดแบอย่างนี้เป็นฝ่ามือ ฟาดทั้งฝ่ามือฟาดทั้งหมัด ถ้าหมัดยังไม่พอยังไม่สะใจ ไปยืมหมัดหมามาอีกฟาดมันอีก ให้มันหงายหมาลงเข้าใจไหม พ่อมึงเคยไหมอย่างนี้กูเห็นแล้วนะความหมายว่างั้น นี่กูเห็นแล้ว โคตรกูยังไม่เคยเห็นก็ตามกูเห็นแล้วมึงจะว่าไง โคตรมึงเห็นไหม ตัวมึงเห็นไหม จ้อเข้าไปตีด้วยนะ ถองเข้าไปจ้อด้วยตีด้วย นี่อำนาจของธรรมพี่น้องทั้งหลายฟังนะ
วันนี้เอาธรรมล้วนๆ มาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่ามาคิดนะที่ว่าพูดว่าโอ้ว่าอวดนี่คือกิเลสมันแซงเข้าใจไหม มันจะคอยตีหัวเราไม่ให้ยอมรับความจริง ความจริงล้วน ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ความจริงล้วนๆ ที่สงฆ์สาวกตรัสรู้ขึ้นมา ความจอมปลอมล้วนๆ คือกิเลสตัณหาที่มันหาว่าโอ้ว่าอวดโจมตีธรรมเข้าใจไหม นี่ละเวลามันได้เป็นมันเป็นขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว ทีนี้มองดูโลกทั่วๆ ไปนี้มันก็วิ่งถึงกันเลยกับพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาสั่งสอนโลก พอตรัสรู้ผางขึ้นมาแล้วมองดูสัตวโลกนี้ อ่อนพระทัยท้อพระทัย ถึงกับจะไม่สอนโลกแล้วนะ
นี้มันก็เป็น ตัวเท่าหนูมันก็เป็น เพราะเราก็ผ่านมาแล้วเรื่องเหล่านี้ทุกสิ่งทุกอย่าง กองศพของเรานี้พะเนินเทินทึกเหนือเมฆว่าไง กองศพของเราคนคนเดียว กองศพของสัตว์ทั่วโลกทั่วสงสารมากขนาดไหน มันเห็นประจักษ์อยู่นี้ด้วยความเป็นมาของจิตดวงนี้น่ะ จิตดวง อวิชฺชาปจฺจยา ที่พาให้เกิดให้ตายนี้สั่งสมตัวขึ้น ถ้าหากว่าไม่มีธรรมสังหารมัน มันจะไปอีกตลอดเวลานะ มันก็จ้าอยู่ภายในใจ แล้วจิตใจมันก็มืดบอดๆ จะสอนได้ยังไง ๆ นี่ละเราสรุปลง
จนกระทั่งถึงได้ย้อนหน้าย้อนหลังพิจารณาถึงขั้นที่ว่า สุดท้ายก็มาลงตัวเองว่าจะสอนไปได้ยังไงสอนโลกใครจะเชื่อ สอนที่ไหนสอนผู้ใดเขาก็จะหาว่าเราเป็นบ้าเป็นบอ หาว่าโอ้อวดไปหมด ไม่เกิดประโยชน์อะไร อยู่ไปกินไปพอถึงวันเท่านั้นก็ไปเสียเท่านั้น ดีกว่าจะไปสอนโลกให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ ทีแรกมันขึ้นอย่างนี้นะ ครั้นต่อมาๆ เพราะว่าจิตดวงนั้นมันจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ มันจะต้องหมุนของมันโดยหลักธรรมชาติ สักเดี๋ยวก็พับขึ้นมาหาเจ้าของเอง เอ้า ถ้าว่าธรรมนี้เป็นของเลิศเลอเลยโลกเลยสงสารที่จะรู้เห็นตามได้ ไม่มีใครจะรู้ตามได้ เราเป็นเทวดามาจากไหนเราถึงรู้ นั่น มาย้อนหาเจ้าของนะ เรารู้ได้เพราะเหตุใด
มันก็ยอมรับละซี เราเป็นเทวดามาจากไหน เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันมันรู้ได้อย่างนี้จะว่าไง แล้วรู้ได้เพราะเหตุไร รู้ได้เพราะสายทาง สายทางคือสวากขาตธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วๆ ให้เดินตามนี้ เดินตามนี้มาก็ถึงจุดนี้ความหมายว่างั้น พอว่าเรารู้ได้ไง รู้ได้เพราะเหตุนั้น เหตุนั้นก็คือว่าทางดำเนินของเรา สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว อ๋อ รู้ได้ ยอมรับ ที่นี่ยอมรับนะ ถึงไม่มากก็รู้ได้นั่นยอมรับ ลงใจ ทีนี้ก็ลงใจ เอา สอนก็สอนไปตามกำลังความสามารถที่เป็นไปได้ละที่นี่ ที่ว่าปฏิเสธว่ารู้ไม่ได้นั้นปัดแล้วนะ พอว่ารู้เพราะเหตุใด เราเป็นเทวดามาจากไหน เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ สาวกทั้งหลายเป็นมนุษย์ทำไมท่านรู้ได้ เราก็เป็นมนุษย์ทำไมรู้ได้ โลกทั้งหลายเขาก็เป็นมนุษย์ ไปลบล้างเขาได้ยังไงว่าเขาจะรู้ไม่ได้
รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะธรรมสอนมา นี่ทางเดินเข้ามา ธรรมทั้งหมดนั่นละเป็นทางก้าวเดินเข้ามาสู่ความแคล้วคลาดปลอดภัย ถึงหลุดพ้นจากทุกข์ได้เพราะสายธรรมที่สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี้ จึงยอมรับว่า อ๋อ รู้ได้ ไม่มากก็ได้ จึงยอมรับ ก็จึงค่อยเป็นค่อยมา พระพุทธเจ้าประกาศสอนธรรมแก่โลกก็แบบเดียวกัน เราไม่ได้วัดรอยมันหากเป็นในหัวใจของเจ้าของเอง จึงได้สอนมาเรื่อย จนกระทั่งมาระยะนี้เลยกลายเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย พูดไปที่ไหนวอกๆ ไปที่ไหนเห็นแต่รูปหลวงตาบัวเกลื่อนเต็มไปหมดทุกแห่งทุกหน โอ๊ย ไอ้รูปหลวงตาบัวมันพิลึกกึกกือ
แทนที่จะดีใจเขามายกยอ หลวงตาบัวกลับไม่เป็นนะ มันยังไงไอ้หลวงตาองค์นี้มันพิลึกกึกกือ ไปที่ไหนเห็นแต่รูปหลวงตา เขายอมันเป็นยังไง ไปที่ไหนมีแต่เรื่องอันนั้นนะ คือยอก็ตามเหยียบก็ตาม เรื่องธรรมใครจะชมเชยก็ตามสรรเสริญก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนเกินทั้งหมด ธรรมแล้วคือความพอ ไม่มีอะไรเข้าไปเพิ่มเติม ไม่มีอะไรจะไปดึงออกว่าบกพร่องแล้วเพิ่มเติม อย่างนี้ไม่มี มันเกินไปแล้วดึงออกเสียเพื่อให้พอดี ไม่มี เป็นธรรมพอดีตลอดเวลา นั่นละคือธรรมแท้ พากันเข้าใจนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมประเภทนี้นะมาสอนโลก ท่านสอนมาตลอดเวลา เราผู้ฟังมีแต่ความขัดข้องยุ่งเหยิงคัดค้านต้านทานอยู่ในหัวใจ ให้ระวังไอ้ตัวเทวทัตนี้ให้ดีนะ มันจะคัดค้านธรรมมันจะพาเราจมนะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ เหนื่อยแล้ว
วันนี้ได้ฟังธรรมะทุกประเภท ๆ วันนี้รู้สึกจะเด็ดอยู่ นี่ละพลังจิตถ้าลงได้ออกแล้วผางเลยนะ ไม่ได้ออกแบบโลกแบบกิเลสสงสารนะ ออกแบบธรรม เรายังเสียดายที่ว่าธาตุขันธ์ของเราอ่อนแอมาก เครื่องประกอบมันไม่สมบูรณ์ ถ้าเครื่องประกอบคือธาตุขันธ์นี้ดีมันยิ่งจะพุ่งกว่านี้อีกนะ พูดให้เต็มยศก็ว่า ธรรมเต็มหัวใจ ธรรมเต็มตัวเหมือนน้ำเต็มถัง เจาะเข้าไปซิให้เจาะซิ น้ำเต็มถังเจาะตรงไหนไหลออกเลย เจาะรอบตัวไหลออกรอบตัว ธรรมเต็มหัวใจแล้วออกรอบด้านทั่วแดนโลกธาตุ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ขอให้บรรจุเข้าในหัวใจดวงใดเถอะน่ะ ไม่ต้องถามใครมันก็รู้เองเข้าใจเหรอ นี่ละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น พวกเรายังจะให้กิเลสพาหลอกอยู่เหรอ ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ธรรมไม่มี สิ่งที่มีคืออะไร มหันตทุกข์แบกทุกคน
ผ้าป่าที่อำเภอปักธงชัยวันที่ ๕ ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ทองคำได้ ๑ กิโล ๖๒ บาท ๑๘ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑,๔๐๙ ดอลล์ เงินสดได้ ๖๔๑,๖๘๐ บาทให้กรุณาทราบตามนี้ นี้มาจากอำเภอปักฯ ที่จังหวัดนครราชสีมา สรุปทองคำดอลลาร์วันที่ ๖ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๓ บาท ๒๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๑๐ ดอลล์ หมายถึงเฉพาะที่นี่นะไม่ได้พูดถึงอำเภอปักฯ อำเภอปักฯ มันกิโลกว่าแล้วนี่ ไม่ได้บวกอำเภอปักฯ นะ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวง ๔ พันกิโลนั้น เวลานี้ได้มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากการมอบแล้วนั้นเวลานี้แต่ยังไม่ได้หลอมมีจำนวน ๔๐๐ กิโล ๖๑ บาท ๑๓ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดทั้งหลอมและไม่หลอมเวลานี้ได้ ๒,๔๖๓ กิโล ยังขาดอยู่อีก ๑,๕๓๗ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโล ยังไงต้องเอาให้ได้ไม่ได้คอขาดเลยนะ
หลวงตาเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย เคยเห็นความอ่อนข้อย่อหย่อนออดแอดไหม ไม่มีว่างั้นเลย ผางเลยเทียวเพราะอำนาจความเมตตา ร่างกายจะอ่อนเพลียไปก็ตาม แต่จิตใจนี้เป็นธรรมไม่มีวัยไม่อ่อน จึงกรุณาทราบตามนี้ ยังไงเราจะต้องให้ได้ ๔ พันกิโลนี้ติดเลยเทียว ขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้เลย อันนี้ยัน ถ้าทองคำได้ขาดจำนวน ๔ พันกิโลไปแม้ ๑ สตางค์ก็ตาม แสดงว่าคอของชาติไทยเราทั้งชาติโดยมีหลวงตาบัวเป็นหัวหน้า คอขาดไปด้วยกันหมดเลย เราให้สงวนคอไว้ฟาดให้มันอย่างน้อย ๔ พันกิโล มากกว่านั้นเท่าไรหลวงตาบัวจะอนุโมทนาด้วย เอาละพอ กรุณาทราบไว้บางท่านจะไม่ทราบ ว่าสมบัติเงินทองทั้งหลายที่นำบริจาคเข้าสู่คลังหลวงนี้ เราจะเข้าใจว่าคลังหลวงได้โดยถ่ายเดียว เมืองไทยเราสง่างามโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ให้พึงทราบทั้งสองด้านด้วยนะ
วัตถุสมบัติทั้งหลายที่พี่น้องบริจาคเข้าสู่คลังหลวงนั้น เป็นเครื่องประดับประดาสง่างามและแน่นหนามั่นคงในคลังหลวงของเรา นี่เป็นมหาสมบัติอันหนึ่ง อันที่สองสมบัติที่เราถวายไปนั้นน่ะ เป็นมหากุศลย้อนเข้ามาสู่ตัวของเราผู้บริจาค เราก็ได้เป็นมหากุศลภายในใจของเราทั่วหน้ากันเหมือนกันหมด คือวัตถุเข้าคลังหลวง บุญเข้าหัวใจเรา เท่านั้นแหละ
สำหรับวัดนี้ไม่มีพาเวียนเทียนนะ เพราะท่านต้องการความสงบสงัดมาดั้งเดิม แต่วันเช่นนี้พระท่านไม่ค่อยนอนกันนะ ท่านภาวนาอย่างเงียบๆ การเวียนเทียนนี้เป็นธรรมเพื่อนำพี่น้องชาวไทยเรา เวียนเทียนในวันวิสาขบูชา การเวียนเทียนนี้เป็นการนำพี่น้องทั้งหลาย ทำให้ได้รู้คติเป็นคติตัวอย่างไป แต่ธรรมชาติแล้วพระถ้าวันเช่นนี้ท่านทำความเพียรบูชาพระพุทธเจ้าด้วยภาคปฏิบัติ ส่วนมากท่านจะไม่นอนนะท่านภาวนาเงียบ ท่านไม่ออกมาเวียนเทียน ท่านเวียนหัวกิเลสอยู่นี้เข้าใจไหม ฟาดหัวกิเลสอยู่นี้