กรรมดีชั่วฝังอยู่ในจิต (ธรรมธาตุ) ณ ที่ว่าการอำเภอปักธงชัย
วันที่ 5 พฤษภาคม 2544 เวลา 17:30 น.
สถานที่ : หอประชุมที่ว่าการอำเภอปักธงชัย จ.นครราชสีมา
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์รับผ้าป่าช่วยชาติ ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอปักธงชัย จ.นครราชสีมา

เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ (เย็น)

กรรมดีชั่วฝังอยู่ในจิต

วันนี้เป็นวันอุดมมหามงคลแก่พี่น้องชาวอำเภอปักธงชัย ในนาม จ.นครราชสีมาของเรา และพร้อมกับบรรดาพี่น้องชาวไทยเราซึ่งมาจากสถานที่ต่าง ๆ มีกรุงเทพเป็นจำนวนมาก ที่มารวมอยู่ในงานการมหากุศลของเราครั้งนี้ รู้สึกว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย แต่การแสดงธรรมวันนี้ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วย รู้สึกวิงเวียน พูดลำบากหน่อย เป็นลักษณะอย่างนั้นละ มีโยมคนหนึ่งมาพูดว่าอายุ ๘๗ ปีแล้วขอให้อยู่ไปนาน ๆ อะไร ว่าตะกี้นี้ผ่านไป ทางนั้นผ่านไปแล้ว ความชำรุดทรุดโทรมความวิงเวียนของเราไม่ผ่านไปจากเราเลยนะ เวลานี้รู้สึกวิงเวียน จึงขออภัยจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายด้วยหากว่าการแสดงธรรมไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะธาตุขันธ์ไม่อำนวย

วันนี้รู้สึกอุ่นหนาฝาคั่งมากทีเดียว ทางฝ่ายพระสงฆ์ก็มารวมอนุโมทนาสาธุการกับพี่น้องทั้งหลายเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมซึ่งนาน ๆ จะได้ยินทีหนึ่ง เรื่องอรรถเรื่องธรรม ไม่ได้เหมือนเรื่องโลกเรื่องกิเลสตัณหาซึ่งชุลมุนวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน มีอยู่ทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน บ้านนอกในเมือง ชุลมุนวุ่นวายไปกับด้วยของกิเลสความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไม่มีวันจืดจาง อันนี้วุ่นมากจริง ๆ ได้ยินแต่เสียงเหล่านี้แสดงตัวตลอดเวลา เด็กเกิดมาก็เริ่มเรียนวิชาจากพ่อแม่ คือความวุ่นวายทั้งหลาย พ่อแม่เตรียมพร้อมไว้แล้วสำหรับมอบเป็นมรดกอันยุ่งเหยิงวุ่นวายให้ลูกหลานสืบทอดต่อกันไป ๆ เพราะฉะนั้นบ้านเมืองของเราที่ห่างเหินจากอรรถจากธรรม มีแต่เรื่องกิเลสทำงานทำการแล้ว จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่ว่าที่ไหนเหมือน ๆ กันหมด

วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลาย ได้มาได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมบ้าง เพื่อเป็นคู่แข่งกับเสียงกิเลสซึ่งแสดงบนเวทีในหัวใจ ในปาก ในกิริยามารยาทของเรามานานแสนนาน แต่ละคน ๆ ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ มีแต่เรื่องเหล่านี้แสดงตัวตลอดเวลา เสียงอรรถเสียงธรรมไม่ค่อยได้ยินไม่ค่อยมี แม้เวลากลางค่ำกลางคืนซึ่งเป็นโอกาสสำหรับชาวพุทธของเราจะได้บำเพ็ญกุศล ทำความสงบแก่จิตใจในเวลาจะหลับจะนอนเช่นนั้น กิเลสก็ยังไปแบ่งสันปันส่วนเอาไปอีก เวลาเข้าห้องนอนกิเลสจะเอาเสื่อเอาหมอนมัดติดคอมัดติดหลังไปพร้อม พอกราบแล้วก็หงายเลยทันที ล้มดังเสียงครอก ๆ นี่คือเสียงกิเลสกล่อมสัตวโลก เสียงธรรมแทนที่จะ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สมกับเราเข้าห้องพระนั้นไม่ค่อยได้ยิน

วันนี้เสียงธรรมขึ้นให้พี่น้องทั้งหลายได้ยินได้ฟังบ้าง ตา หู จมูก ลิ้น กายของเราทุกสัดทุกส่วนตลอดถึงใจ เป็นสมบัติของเราล้วน ๆ สำหรับที่จะทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง ขอจงแบ่งสันปันส่วนให้มีเวล่ำเวลาฝ่ายกุศลศีลทานเข้าสู่จิตใจ และเวล่ำเวลาที่จะวิ่งเต้นขวนขวายหาสิ่งเยียวยาธาตุขันธ์ ซึ่งมีความบกพร่องต้องการตลอดเวลา เรียกร้องขอความช่วยเหลืออยู่ จนกลายเป็นเรื่องความฟุ้งเฟ้อเพราะร่างกายไม่พอ ส่วนใจเหือดแห้งตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนเข้าห้องพระ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ไม่ทราบว่าจบหรือไม่จบ เสื่อหมอนกับดังเสียงครอก ๆ นั้นเอาไปกินแล้ว ๆ อย่างนี้เป็นส่วนมากนะ

เพราะเหตุนี้เองจิตใจของโลกจึงเหือดแห้งจากความสุขความสงบเย็นใจ ความสุขความสงบเย็นใจนี้เกิดขึ้นจากศีลจากทานการกุศล จากการเจริญเมตตาภาวนาล้วน ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่กิเลสฉุดลากไปทั้งวันทั้งคืน นับตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งยันค่ำเวลาหลับ ยุ่งตลอดเวลา นี้คืองานของกิเลสทำความเดือดร้อนแก่เราทั้งหลายทั่วหน้ากัน แต่งานของอรรถของธรรมที่จะให้เป็นไปเพื่อความสงบร่มเย็นแก่จิตใจ ด้วยเฉพาะอย่างยิ่งคือจิตตภาวนา เจริญ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน แล้วทำใจให้สงบในเวลานั้น เราจะนั่งพับเพียบก็ได้ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ ในเวลาที่เราอยู่ห้องพระตั้งหน้าตั้งตาจะบำเพ็ญผลประโยชน์เข้าสู่ใจ เพื่อใจจะได้รับความสงบร่มเย็นในเวลาขวนขวายธรรมเข้าสู่ตัวเอง ให้ได้มีความสงบ

เจริญพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรืออานาปานสติ ซึ่งเป็นอารมณ์อันเลิศเลอของธรรมนำเข้าสู่ใจ ใจได้เกาะได้ยึดคำว่าพุทโธ หรือธัมโมนั้นให้ติดแนบอยู่กับใจด้วยความมีสติ แล้วใจจะค่อยปล่อยวางอารมณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เป็นไฟเผาหัวอกเราตลอดมานั้นเข้าเป็นลำดับลำดา แล้วจะสงบเย็นภายในจิตใจของเรา นี่คืออาหารเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจได้แก่ธรรม อาหารภายนอก เช่น ข้าวน้ำโภชนะที่อยู่ที่อาศัยนั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสำหรับร่างกาย ถ้าเรารู้จักประมาณเราก็พอได้รับความสุขจากเขาบ้างพอประมาณ ถ้าเราไม่รู้จักประมาณมีแต่ความฟุ้งเฟ้อน้ำล้นฝั่งแล้ว สิ่งเหล่านี้แลกลับกลายมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เราเพราะความได้ไม่พอ ได้เท่าไรไม่พอ ๆ จนกระทั่งวันตายก็ยังไม่พอ

เพราะกิเลสไม่เคยสร้างเมืองพอให้ผู้ใดทั้งนั้น นอกจากธรรมเท่านั้น ธรรมนี่ได้แค่ไหนพอดิบพอดีพอเหมาะพอสม มีความสงบเย็นใจไปโดยลำดับลำดา แต่กิเลสได้เท่าไรยิ่งเดือดยิ่งร้อนยิ่งวุ่นวายส่ายแส่เหมือนกับไฟได้เชื้อ ไฟนั้นย่อมไม่ดับเพราะเชื้อที่ไสเข้าไป แต่จะดับเพราะการพรากเชื้อออกไม่ให้เข้าไปสู่ไฟ จะไม่ลุกลามเป็นเปลวจรดเมฆขึ้นไป จึงต้องพรากเชื้อไฟ เวลานี้เป็นเวลาที่เราจะพรากเชื้อไฟ คือความคิดความปรุงนั้นเป็นเหมือนเชื้อไฟ ก่อความทุกข์ให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจตลอดมา แล้วสงบอารมณ์เหล่านั้นเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรม ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมท่านแสดง

ทำจิตใจให้จดจ่ออยู่กับการได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เวลานี้เป็นเวลาฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ฟังเสียงอื่นฟังมามากแล้ว เห็นพระเจ้าพระสงฆ์เราก็ได้เห็นวันนี้ นอกนั้นเห็นแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ได้เห็นเพื่อความสงบเย็นใจ รูปพระ พระเป็นเพศที่สงบ พระของพระพุทธเจ้าจริง ๆ เป็นเพศที่สงบ มองดูแล้วงามตาชื่นใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสภายในจิตใจ ยึดคติตัวอย่างจากการได้เห็นได้ยินได้ฟังไปเป็นคติเครื่องเตือนใจตนเอง ได้ระลึกรู้ถึงบุญถึงบาปถึงความเป็นความตายบ้าง

เพราะโลกนี้มีป่าช้า ใครเกิดมาป่าช้าติดแนบมากับตัวของเราทุกคน ๆ พอเกิดปั๊บความเกิดกับความตายมาพร้อมกันแล้ว ปล่อยให้ความตายก้าวเดินไปไม่กี่ก้าว ๆ บางรายยังไม่ได้ออกก้าวเลยตายอยู่ในท้องแม่ก็มี ตกคลอดออกมาตายอยู่ต่อหน้าท้องแม่ก็มี เกิดมาได้สองเดือนสามเดือนตายต่อหน้าพ่อแม่ก็มี เดินไม่กี่ก้าวตายไปก็มี อายุสี่ปีห้าปีตายไป เก้าปีสิบปี เรียกว่าก้าวได้เก้าก้าวสิบก้าวก็ตาย ๆ นี่คือป่าช้าของสัตวโลกอยู่กับตัวของเราทุกคน อย่าไปมองป่าช้าที่เป็นเมรุเป็นอะไรที่เขาก่อไว้ หรือป่าช้าอยู่ตามบ้านนอกซึ่งมีอยู่ตามในป่า นั้นเป็นชื่ออันหนึ่ง ป่าช้าที่ตายตัวมีอยู่กับทุกคน ขอให้ระลึกถึงป่าช้านี้แล้วระลึกความหลีกเว้นจากป่าช้านี้ ด้วยการสร้างคุณงามความดี เราจะไม่มาเกิดมาตายเผากันอยู่ไม่เลิกไม่แล้วนี้ตลอดไปอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ แล้วระลึกถึงศีลถึงธรรม

เวลานั่งภาวนาทำใจให้สงบ ใจสงบแล้วจะเย็นไปหมด สมบัติเงินทองข้าวของเวลาใจเราไม่มีที่พึ่งที่เกาะ สิ่งเหล่านี้เป็นประหนึ่งว่าเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม สิ่งใดที่เลิศเลอในโลก สู้สมบัติเงินทองข้าวของสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลย จิตมันเกาะมันเกี่ยวมันยึดมันถือ เพราะไม่มีที่เกาะที่เกี่ยวมันก็ต้องถืออันนี้ว่าเป็นของดิบของดี เกาะเกี่ยวจนกระทั่งวันตาย ตายแล้วยังเป็นห่วงเป็นหวงอีก ถ้าบาปกรรมไม่มากนักตายแล้วก็กลับมาเป็นเปรตเป็นผี เป็นสัตว์ประเภท เช่น ตุ๊กแก เป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ มาเฝ้าสมบัติเงินทองของตัวที่ตายจากไปแล้วนั้น นี่มีอยู่เยอะ

ถ้าผู้มีบุญมีกุศล บุญกุศลนั้นมีคุณค่าล้นโลกล้นสงสาร ตายแล้วเกาะกับจิตปั๊บไม่มาห่วงกับสิ่งเหล่านี้เลย นี่ผู้ระลึกถึงป่าช้าระลึกถึงความตาย ย่อมระลึกถึงความดีอันเป็นทางหลีกเว้นไปโดยลำดับลำดา เพราะฉะนั้นเวลาพี่น้องทั้งหลายจะหลับจะนอน ขอให้พากันระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี้คือธรรมชาติที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเลย ครองโลกมานาน คำว่าธรรม..รวม คำว่ารวมนั้นคือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เวลาปรินิพพานแล้วพระจิตของท่านเป็นธรรมธาตุทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จิตที่บริสุทธิ์ของท่านเป็นธรรมธาตุทั้งหมด พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เวลาปรินิพพานไปแล้วจิตของท่านเป็นธรรมธาตุทั้งหมด

ธรรมธาตุที่รวมตัวกันนี้แลจากพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ จากพระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และจากบรรดาสาวกทั้งหลายที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ รวมตัวกันแล้วเรียกว่าธรรมธาตุ ถ้าจะเทียบแล้วก็เหมือนกันกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงของเรา พี่น้องทั้งหลายก็คงเคยเห็นกันแล้วน้ำมหาสมุทรเป็นยังไง มองหาฝั่งหาฝาข้างหน้าไม่มีเลย ฟ้ากับดินจรดกันเป็นพื้นเดียวกันเลยเพราะมันกว้างแสนกว้าง เราจะมองหาฝั่งมองไม่เห็น เราจะเห็นแต่ฝั่งที่เรายืนเหยียบย่างอยู่เวลานี้เท่านั้น ฝั่งนอกจากนี้ไปฝั่งหน้าโน้นมองไม่เห็น นี่คือน้ำมหาสมุทรที่ตกมาจากท้องฟ้า จากฝนตกทีละหยดละหยาด ๆ ไหลลงสู่พื้นแผ่นดิน แล้วไหลไปตามลำคลองสายต่าง ๆ แล้วก็รวมลงไปสู่มหาสมุทร

มหาสมุทรเป็นที่เก็บน้ำทั้งหลายที่ตกลงมาจากบนท้องฟ้า รวมตัวเข้าเรียกว่ามหาสมุทรทะเลหลวง นี่คือน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเราคือน้ำมหาสมุทร น้ำในตุ่มในไห น้ำในบึงในบ่อไม่มาก แต่น้ำมหาสมุทรนั้นเต็มอยู่ตลอดเวลาข้อนี้ฉันใดก็เหมือนกัน บรรดาท่านผู้มีคุณธรรมทั้งหลาย ซึ่งเท่ากับฝนที่ตกลงจากท้องฟ้าไหลลงสู่พื้นปถพี แล้วไหลไปตามคลองสายต่าง ๆ ไหลลงไปจนกระทั่งถึงทะเลหลวง นี่ได้แก่ท่านผู้บำเพ็ญบารมีตั้งแต่ต้นทางมา เหมือนกับฝนเริ่มตกทีแรกลงสู่พื้นแผ่นดิน ไหลจากพื้นแผ่นดินไปตามลำคลอง ไหลจากลำคลองไม่หยุดไม่ถอยเข้าสู่มหาสมุทรทะเลหลวงได้ไม่สงสัย

นี่เทียบแล้วกับบรรดาพี่น้องเราซึ่งเป็นชาวพุทธนี้เป็นจุดสำคัญมาก ต่างคนต่างสร้างบารมีด้วยการให้ทาน มีมากมีน้อยให้ทานไม่เสียดาย เพราะมีความห่วงใยในความเลิศเลอแห่งธรรมทั้งหลายที่จะได้จากการให้ทานนี้เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธเราจึงมีแบ่งกินแบ่งทาน ไม่มีแต่กินอย่างเดียวซึ่งท้องเราพุงเล็ก ๆ นี่ละเอาไปถลุงหมด มีเท่าไรไม่เหลือกินเท่าไรไม่พอ คือท้องของกิเลสตัณหา ท้องของอรรถของธรรมนั้นได้เท่าไรเต็มอยู่ในนั้นไม่เหือดแห้งหายไปไหน เราแบ่งมาทำทานเสียเป็นท้องของธรรม เมื่อบริจาคเข้ามามาก ๆ ท้องของธรรมก็ค่อยเต็มตื้นขึ้นมา ๆ

ที่เราสร้างบารมีนั้นก็เรียกว่าน้ำไหลเข้ามาเรื่อย ๆ น้ำบารมีของเรา ไหลมาตามลำคลอง ๆ ผู้สร้างบารมีมากน้อยเพียงไรก็ยิ่งไหลใกล้แม่น้ำมหาสมุทรเข้ามา ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งไหลเข้าในมหาสมุทรหมด แม่น้ำสายต่าง ๆ จะไหลลงสู่มหาสมุทรถ่ายเดียว นี่แม่น้ำแห่งอรรถแห่งธรรมแห่งคุณงามความดีทั้งหลายของเราที่สร้างมานี้ จะนำเราไหลเข้าสู่ธรรมธาตุ ซึ่งเทียบกันกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่ละธรรมธาตุ ๆ นั้นใหญ่โตขนาดนั้นละ มหาสมุทรนี้ยังเทียบไม่ได้นะ แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเทียบได้นอกจากน้ำมหาสมุทร พอที่จะเทียบเคียงกันได้กับธรรมธาตุแห่งธรรมทั้งหลายที่มีครอบโลกธาตุอยู่ จากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย รวมธรรมที่บริสุทธิ์ ใจที่บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากขันธ์สมมุตินี้แล้วไปเป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ นี่ละที่ท่านว่าธรรมมีอยู่ ๆ

ทีนี้เวลาเราสร้างบารมีเข้าไม่หยุดไม่ถอย หากเทียบกับน้ำก็ไหลเข้าสู่มหาสมุทร เต็มตื้นด้วยน้ำมหาสมุทร หยิบที่จุดไหนดอนใดมีตั้งแต่หยดน้ำมหาสมุทรทั้งนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน จิตเราเมื่อได้สร้างบารมีไม่หยุดไม่ถอยก็จะรวมตัวเข้า ๆ ไหลใกล้เข้าสู่ธรรมธาตุเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งบารมีเต็มที่แล้วเพราะการบำเพ็ญไม่หยุดไม่ถอย ใจของเราก็เข้าถึงธรรมธาตุ เช่นเดียวกันกับน้ำไหลเข้าสู่มหาสมุทรเต็มไปด้วยน้ำ อันนี้ใจของเรารวมตัวเข้าเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไหลเข้าสู่ธรรมธาตุครอบโลกธาตุ นี่คือน้ำแห่งธรรม

น้ำแห่งธรรมต้องอาศัยผู้บำเพ็ญ ไม่บำเพ็ญไม่ได้ ต้องบำเพ็ญด้วยกัน ทุกข์ยากลำบากมีความทุกข์ความทรมานเหมือนกันหมด ในโลกนี้ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากันในการแบกหามทุกข์ ตายกองกันมานี้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว คนคนหนึ่งเราจะเอาศพเอาเมรุของแต่ละคนนั้นมาเทียบมาวัดมาเหวี่ยงกันว่า คนนั้นตายมากคนนี้ตายน้อย นับไม่ได้เลย ตายมากี่กัปกี่กัลป์จากภพชาติต่าง ๆ ที่อำนาจแห่งกรรมมันไสเข้าไปให้เกิดให้ตาย ๆ ซึ่งช้านานมากระทั่งถึงป่านนี้ ก็เพราะความประมาทของเราเองไม่ค่อยสร้างคุณงามความดีพอธรรมที่จะได้ฉุดลาก หรือยับยั้งภพชาติยาว ๆ นั้นให้หดย่นเข้ามา ๆ ได้

มีแต่กิเลสมันวางสายยาวเหยียดต่อภพต่อชาติ เกิดแล้วเกิดเล่า ตายแล้วตายเล่า มากี่กัปกี่กัลป์ พอตายไปแล้วปิดกึ๊บไม่ให้รู้ว่าเราเกิดมาจากภพใดชาติใด ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะความมืดบอดของใจ กิเลสมันปิดบังไว้หมด เราจึงสนุกเกิดสนุกตาย ตายกองกันนี้คนหนึ่ง ๆ ไม่นับจำนวนได้เลย ฟังซิตายมากี่กัปกี่กัลป์ เพราะใจดวงที่พาให้เกิดให้ตายนั้นไม่เคยมีป่าช้าไม่เคยตาย มีแต่ออกจากร่างนี้แล้วก็ไปสู่ร่างนั้น จากร่างนั้นไปสู่ร่างนั้น

เช่น เราเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเรามีคุณงามความดี จิตของเรานี้ก็ถูกบุญกุศลนี้หนุนขึ้นไปเกิดได้สูงกว่านี้ไป แม้จะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่มีบุญญาภิสมภาร มีอำนาจวาสนาบารมี เป็นที่เกรงขามและเป็นที่เคารพบูชาแก่โลกทั่ว ๆ ไปได้ ถ้าสูงกว่านี้ขึ้นไปก็ไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ เช่น จาตุมฯ เป็นชั้นที่หนึ่งของสวรรค์หกชั้น แล้วปรนิมมิตวสวัตดี เป็นสวรรค์ชั้นหก ถ้าความดีเรามากกว่านี้ก็ก้าวขึ้นไปพรหมโลก ๑๖ ชั้น นี่คือความดี พาใจดวงไม่เคยตายนี้เข้าไปสู่ภพที่ดีเป็นลำดับลำดาไปอย่างนี้

ตรงกันข้ามถ้าเราสร้างแต่บาปแต่กรรมแล้ว จิตนี้ไม่ตายเหมือนกัน แต่ต้องได้รับความทุกข์ความทรมานเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่เรื่องที่จะให้จิตตายจิตฉิบหายผ่านทุกข์แสนสาหัสไปนั้นไม่มีทาง ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่จนกระทั่งสิ้นกรรมประเภทนั้นถึงจะผ่านพ้นไปได้ นี่จิตดวงนี้ไม่เคยตาย อยู่กับหัวใจของสัตว์ของบุคคลทั่ว ๆ ไปหมด กับเราทุก ๆ ท่านที่นั่งฟังเทศน์อยู่เวลานี้ ก็คือจิตเป็นผู้รับทราบ จิตดวงนี้แลไม่เคยมีป่าช้า แต่โลกมองไม่เห็น กิเลสปิดบังไว้หมด เคยเกิดเคยตายมากี่ภพกี่ชาติ ก็เหมาเอาภพเอาชาติไปเป็นเรื่องเกิดเรื่องตายไปเสียหมด จิตใจไม่ได้คำนึงถึงเลยว่า อะไรเข้าไปสิงอยู่นั้นจึงพาให้สวมร่างนั้นไปเกิด สวมร่างนี้ไปตายอยู่ตลอดเวลา กิเลสปิดไว้หมด

ต้องเปิดออกด้วยอรรถด้วยธรรมถึงจะรู้ความลึกลับของจิตด้วย รู้ความลึกลับของกิเลสที่มันหุ้มห่อปิดบังจิตใจไว้ไม่ให้รู้ตัวด้วย แล้วจิตใจจะค่อยเปิดเผยขึ้นมา เปิดเผยความรู้ตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วก็เริ่มรู้โทษรู้ภัยแห่งกิเลสที่เคยเป็นภัยต่อเราไปเป็นลำดับลำดา ดังท่านนักภาวนารวมกุศลทั้งหลายแล้ว รวมลงที่จิตตภาวนา เช่นเดียวกับน้ำไหลลงที่ต่าง ๆ ไปรวมที่ทำนบ อันนี้ศีลทานการกุศลของเรา ให้ทานมามากน้อยเพียงไร จะกี่ปีกี่เดือนกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม คำว่าสูญหายไม่มี ทั้งบุญทั้งบาปติดแนบอยู่กับใจตลอดมาทุกภพทุกชาติไปอย่างนั้น ทีนี้จิตดวงนี้เวลามีบุญมีกุศลมาก ๆ ก็ส่งขึ้นไปอย่างนั้น แล้วถ้ามีบาป มีบาปมากเท่าไรก็ส่งลงไปทางต่ำมาก

ความสูงมากกับความต่ำมากนี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วทุกพระองค์ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดจะลบล้างความมีความเป็นจริงมาตั้งกัปตั้งกัลป์และดั้งเดิมออกได้เลย เช่น สิ่งที่ต่ำมากให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมานมาก ๆ นั้น ท่านบอกไว้ว่านรก สำหรับนรกท่านตั้งเป็นชื่อเป็นนามมาโดยลำดับลำดา มีชื่อทุกขุมนรกนั้นแหละ แต่ต้องขออภัยจดจำไม่ได้ เอาตั้งแต่เรื่องนรกมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังก็พอเข้าใจกันแล้ว ที่ต่ำมากที่สุดได้รับความทุกข์ความทรมานมากที่สุด คือผู้ที่ทำบาปมากที่สุด จะต้องไปตกนรกในหลุมนี้แน่นอนเป็นหลุมอื่นไปไม่ได้

เพราะความจริงของกรรมนี้เป็นที่เด็ดขาดมาก ยิ่งกว่าความจริงทางโลกที่กิเลสหลอกลวง ความจริงในกิเลสไม่มีมีแต่หลอกลวง แต่ทางธรรมแล้วความหลอกลวงไม่มี มีแต่ความจริงล้วน ๆ เช่นอย่างเราทำบาปทำกรรมในแดนมนุษย์นี้ด้วยความสมัครใจ ถึงกับหน้าด้านไม่ยอมฟังเสียงบาปเสียงบุญ เสียงนรกอเวจีและสวรรค์ชั้นพรหมตลอดพระนิพพานอะไรบ้างเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่บาปแต่กรรมตั้งแต่ตื่นนอนมายันค่ำ จนกระทั่งเป็นนักเลงโต วันไหนไม่ได้ทำบาปวันนั้นอยู่ไม่สบาย เสียลวดลายของนักเลงโต ต้องได้ทำบาป ไม่ได้อะไรจริง ๆ ก็ไปหาขโมยเอาผ้าขี้ริ้วเขาทิ้งอยู่หน้าบ้านเขามา เพื่อไว้ลวดลายว่านี่คือนักเลงโต วันนี้ไปขโมยของใหญ่ของโตที่มีราค่ำราคามากไม่ได้ ก็ขอให้ได้ผ้าขี้ริ้วซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของเขามาเพื่อไว้ลวดลายแห่งนักเลงโต

นี่ผู้ที่สร้างบาปสร้างกรรมมาก ๆ จนกลายเป็นนักเลงโตแล้ว ไม่ได้สร้างบาปวันหนึ่ง ๆ อยู่ไม่ได้ ผู้เช่นนี้แลท่านเรียกว่า เป็นกองรับเหมาแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย รวมมาอยู่ในจุดนักเลงโตนี้ทั้งนั้น ที่จะบอกว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี บาปไม่มีบุญไม่มีนั้น มีแต่นักเลงโตฆ่าตัวเองล้วน ๆ ที่จะเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองไม่มีเลย นี่เรียกว่านักเลงโตทางฝ่ายชั่ว ตายแล้วก็จมเพราะไม่มีใครที่จะไปฉุดลากได้ ไม่เหมือนโลกมนุษย์เรา โลกมนุษย์เรานี้มันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมตามอำนาจของกิเลส ซึ่งมันไม่มีของจริงออกใช้ มีแต่ของปลอมล้วน ๆ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง มีตั้งแต่ของปลอมทั้งนั้นออกจากกิเลส

ไปทำความชั่วช้าลามกมาแล้ว เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตาได้ทั้งของกลาง มันก็ปฏิเสธอย่างหน้าด้านว่า เราไม่ฉกไม่ลักเราไม่ไปปล้นไปสะดม เราบริสุทธิ์พุทโธ ๆ กิเลสทำความเสียหายมากขนาดไหน ต้องเสกสรรปั้นยอกิเลสนี้ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครในโลกนี้ นี่เป็นความพอใจของกิเลสที่ต้องการยกยอมากที่สุด ทำชั่วมากเท่าไรให้เขายกยอตัวว่าเป็นคนดีมากที่สุดคือกิเลส กิเลสจึงมีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไปทำอะไรก็ตามในมนุษย์เรานี้ ถ้ามีเส้นมีสายมีขาบ้างก็วิ่งใส่เส้นใส่สายไปพึ่งบารมีเขา ไปพึ่งผู้มีความรู้วิชาทางกฎหมายบ้านเมือง ไปลากออกมา ให้ทางโน้นไปอ้างสักขีพยาน เอาอำนาจบาตรหลวงไปใส่เขา ว่าตนไม่ได้ปล้นไม่ได้ลักไม่ได้สะดม แล้วก็ตัดสินกันไปอย่างลอยนวลว่าคนนี้เขาบริสุทธิ์มาก มหาโจรคนนี้เขาบริสุทธิ์สุดยอดแล้ว แล้วปล่อยกันไปไม่ได้ติดคุกติดตะราง นี้คือกลมายาของกิเลส เป็นอย่างนั้นสำหรับโลกอันนี้

ไปฟ้องศาลต้นก็ตามแก้กันไป แก้ก็แก้แบบปลอม ๆ นั้นแหละ ให้แก้ตามความจริงไม่มี แก้แบบปลอม ๆ เอ้า ศาลต้นตัดสินแล้วแพ้กันมา ขึ้นศาลอุทธรณ์ ไปแก้กันที่ศาลอุทธรณ์ เรื่องของปลอม ๆ นั่นแหละขึ้นศาลอุทธรณ์ ตัดสินกันออกมาอีกแบบปลอม ๆ ว่าเขาบริสุทธิ์ ฟาดขึ้นศาลฎีกา ก็ไปแก้กันแบบปลอม ๆ เต็มศาลฎีกาว่าเขาบริสุทธิ์ สุดท้ายขึ้นถึงสามศาลแล้ว มหาโจรคนนั้นก็ออกไปอย่างลอยนวลไม่ติดคุกติดตะราง นี่คือศาลของโลก นี่คือศาลของกิเลสตัดสินความให้กันเป็นอย่างนี้ จึงหาความยุติธรรมต่อกันไม่ได้โลกเรา

ถึงบริสุทธิ์อยู่ก็ตาม คนติดคุกติดตะรางทั้ง ๆ ที่มีความบริสุทธิ์เต็มตัวนี้มีเยอะนะเรือนจำ คนที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรไปติดคุกติดตะราง เพราะถูกใส่ร้ายอย่างที่ว่านี่แหละ ผู้ที่ไปทำความชั่วช้าลามก ไปลอยนวลอยู่ไม่ได้ติดคุกติดตะรางมีมาก สำหรับแดนมนุษย์เราเป็นอย่างนี้ แต่แดนเมืองผีแล้วอย่าหวังว่างั้นเลย ฟังให้ดีคำนี้ แดนเมืองผีแล้วอย่าหวัง ไม่มีทนาย ไม่มีผู้พิพากษา ไม่มีศาลต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา เป็นสิทธิ์ขาดมหาอำนาจอยู่กับกรรมดีกรรมชั่วของผู้ทำแต่อย่างเดียวเท่านั้น ใครทำชั่ว เอา ทำลงไป จะทำชั่วขนาดไหนทำลงไป แล้วธรรมชาตินั้นจะจดจารึกไว้ เขาเรียกคอมพิวเตอร์พิวแต้อะไร เราเกิดมาตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์ พอเขาว่าเราก็อยากโม้บ้างก็เอาเรื่องคอมพิวเตอร์มาโม้

เขาว่าคอมพิวเตอร์นี่เชี่ยวชาญทุกสิ่งทุกอย่าง คอมพิวเตอร์ของธรรมเหนือนั้นขนาดไหน นี่ละจึงไม่จำเป็นต้องไปหาผู้พิพากษา ต้องไปหาทนายความมาฟ้องร้องกัน อำนาจแห่งกรรมตัดสินเด็ดขาดเป็นระยะ ๆ ไปตามจำนวนแห่งกรรมมากน้อยของผู้ทำไปเรียบร้อย ๆ ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ทำความชั่วก็เป็นคอมพิวเตอร์โดยธรรมชาติ ทำฝ่ายดีก็เป็นคอมพิวเตอร์โดยหลักธรรมชาติตายตัวไปเลย พอถึงเมืองผีปุ๊บเท่านั้นใครจะมาฟ้องร้องกันที่ไหนไม่มีทาง ขาดสะบั้นไปหมดเลย ตูมลงในนรกหลุมที่ว่าไม่มี ๆ นั้นแหละ หลุมที่หลอกลวงตัวเองเพราะกิเลสมันพาให้หลอกลวง เวลาไปรับเคราะห์ก็ผู้ที่ถูกหลอกลวง เชื่อกิเลสนั้นแหละไปจมลงในแดนนรกกี่กัปกี่กัลป์ ไม่มีทางที่จะขึ้นมาได้ถ้าไม่สิ้นกรรมเสียอย่างเดียว

ผู้ทำดีก็เหมือนกัน ในเมืองผีเป็นอย่างนั้น ทำลงไปมากน้อยจะกี่ปีกี่เดือนกี่กัปกี่กัลป์ จะฝังเข้าในจิต ๆ เพราะจิตไม่ตาย กรรมดีชั่วไม่ตาย ฝังอยู่ในจิต มีมากมีน้อยเพียงไรกรรมดีก็หนุนเข้าไป ๆ จนกระทั่งมีเต็มส่วนแล้วถึงวิมุตติหลุดพ้น พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงเลย นี่คือกรรมในเมืองผีเป็นอย่างนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังให้ถึงใจนะ

ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นธรรมหลอกลวง เหมือนกิเลสที่สอนโลกอยู่ตลอดมานี้หลอกลวงมาตลอด โลกก็ไม่เข็ดไม่หลาบ จึงได้รับความทุกข์ความทรมานเป็นเครื่องตอบแทนกันตลอดมา ไปโลกไหนก็ไป แบบเดียวกันนี้ทั้งนั้น ไม่มีโลกไหนจะมีความผาสุกเย็นใจ เพราะการปฏิบัติตามกิเลส จะเป็นแบบนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น มากน้อยเป็นไปทั่วถึงกันหมด เรื่องของกิเลสจะหลอกไปอย่างนี้ต้มตุ๋นไปอย่างนี้ ให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน แต่เรื่องของธรรมตรงกันข้าม ผู้มีความดีภายในใจไปที่ไหนย่อมมีความสงบร่มเย็นภายในตัวเอง ๆ สิ่งภายนอกจะอดบ้างอิ่มบ้างเป็นธรรมดาในโลกอนิจจัง ย่อมเป็นของไม่เที่ยง ได้มากับสูญไปก็มาพร้อม ๆ กันนั่นแหละ รู้เท่าทันมันเสีย

การทำบุญให้ทานไม่ลดไม่ละ สร้างคุณงามความดีนี่เข้าฝังใจ ๆ เป็นอัตโนมัติ เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ ฝังเข้าไป ๆ บทเวลาแสดงผลขึ้นมา เราไม่จำเป็นจะต้องไปนับไปอ่านว่า การกุศลผลบุญของเราซึ่งเป็นมหาศาลใหญ่โตผิดคาดผิดหมายแก่เราผู้เสวยอยู่เวลานี้นั้น เกิดมาแต่เมื่อไร เราสร้างแต่เมื่อไร ไม่ต้องไปถาม รวมตัวอยู่ในความพอในหัวใจของเราแล้วทุกชิ้นทุกอัน เอาใจนี้เป็นที่ประมวลแห่งกรรมดีทั้งหลาย มารวมอยู่นี้หมด

เราไม่ต้องไปถามหาว่าทำความดีมานี้กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ไม่ต้องไปถามให้เสียเวล่ำเวลา ขอให้สร้างลงไปเถอะ อำนาจของกรรมนี้จะฝังลึก ๆ อยู่ในนี้หมด เมื่อเวลาถึงขั้นเต็มภูมิแล้วก็แสดงตัวออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว ผิดคาดผิดฝัน จำได้ไม่ได้ก็ตามไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคได้ ความสมบูรณ์พูนผลแห่งบุญแห่งกุศลของผู้นั้นเป็นที่พอใจ ไม่จำเป็นต้องย้อนไปหาการสร้างของตัวเองว่าสร้างมากี่ปีกี่เดือน มารวมอยู่ในวงปัจจุบันคือตัวเจ้าของเป็นเจ้าของบุญ เราเป็นผู้สร้าง ใจนั้นละเป็นผู้สร้าง เสร็จแล้วก็มารวมอยู่ที่ใจของเราถ่ายเดียวนี้ ทีนี้ผู้สร้างบาปก็แบบเดียวกัน ขอให้พี่น้องทั้งหลายเทียบอย่างนี้ก็แล้วกัน จะกี่กัปกี่กัลป์มาก็ตามไม่มีปัญหาอะไรเลย ใจตัวประธานซึ่งคอยรับบาปรับบุญมีอยู่กับตัวเอง ไม่เคยตายไม่เคยมีป่าช้า ตัวนี้ละเป็นตัวที่จะรับทั้งบาปทั้งกรรม

เราเป็นผู้รักสงวนตัวให้พากันระมัดระวังบาปกรรมทั้งหลาย อย่าดื้อด้านหาญทำ อย่าแข่งดีแข่งเด่น อย่าท้าทายพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เราจะฉิบหายทั้งเป็นของเรานี้แหละถ้าใครท้าทายพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์บรรลุเป็นศาสดาเอกของโลกมานี้ เป็นเอกด้วยกันเสมอกันหมดเลย รู้แจ้งแทงทะลุในบาปในบุญในนรกสวรรค์ เปิดเผยเป็น อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าตลอดเวลา สูญหายไปไหน นรกสูญหายไปไหน จ้าอยู่ในหัวใจนี่ หัวใจพระพุทธเจ้า สวรรค์สูญหายไปไหน จ้าอยู่ในหัวใจ เห็นอยู่รู้อยู่ตลอดเวลา ตลอดนิพพานก็ทรงไว้แล้วในพระทัยท่าน แล้วนรกพวกเปรตผีอสุรกายเกลื่อนโลกธาตุ มันหายไปไหนมันสูญไปไหน

พวกตาบอดมันหาเรื่องหาราว ให้กิเลสปิดหูปิดตาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี ๆ สัตว์นรกหลุมเดียวเท่านั้น ในโลกเมืองไทยเรานี้มีกี่คน เราเอาเฉพาะมนุษย์เสียก่อนนะ พลเมืองของมนุษย์เรานี้ ทั่วโลกนี้มีจำนวนสักกี่ล้านคน จำนวนกี่ล้านคนนี้อย่าไปแข่งสัตว์นรกที่เสวยกรรมอยู่ในแดนนรก เพียงขุมเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว มนุษย์ทั่วโลกนี้สู้ไม่ได้เลย ไฉนจึงอาจหาญชาญชัยนักหนา กล้าหาญเอานักหนา ที่จะทำความล่มจมแก่ตนอย่างไม่มีชิ้นดีเลย แล้วไปปฏิเสธว่านรกไม่มี ให้รีบพิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้นะ

ศาสดาองค์เอกทุก ๆ องค์สอนไว้แบบเดียวกัน มีฤทธาศักดานุภาพตามหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นแบบเดียวกันหมด เราอย่าไปลบล้างถ้าไม่อยากฉิบหายทั้งเป็น ถ้าอยากฉิบหายทั้งเป็น เอา เรามีกี่คนในครอบครัวของเรา อีหนูก็มีพ่ออีหนูแม่อีหนู อีหนูก็มีไอ้หนูก็มี มันมีกี่คน ๆ รวมแล้วหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ของเรา เอ้า ประกาศกันให้ไปสร้างความชั่วทั้งหมดในโคตรนี้น่ะ บทเวลาเสร็จสิ้นแล้วมันไปหมดทั้งโคตรมันเลย ไม่มีตัวไหนรายใดที่จะเหลือหลออยู่ในคนโคตรนี้ เพราะมันสร้างบาปสร้างกรรมด้วยกัน สร้างทั้งโคตรมันก็ไปด้วยกันทั้งโคตร สร้างความดีทั้งโคตรก็ไปด้วยกันทั้งโคตร ธรรมไม่ลำเอียงนะ ให้พากันจำเอาไว้

เราจะไปหลีกเลี่ยงแบบกฎหมายกฎหมอยไม่ได้นะ เรื่องของกิเลสมีทั้งกฎหมายหลอกลวงเอาไว้ฉากหนึ่ง กฎหมอยคอยกินตับภายหลัง ๆ กฎหมายกฎหมอยมันอยู่กับโลกกิเลสโลกมนุษย์เรานี้น่ะ ธรรมท่านไม่มี กฎธรรมชาติคือกฎแห่งกรรมอย่างเดียวเท่านั้น นี้เป็นธรรมชาติที่ตายตัวมากี่กัปกี่กัลป์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเท่าไรสอนแบบเดียวกันหมด ไม่มีคำว่าเคลื่อนคลาด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคลื่อนคลาด นรกก็มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์กี่กัปกี่กัลป์ เป็นปัจจุบันมาตลอด แล้วข้างหน้าก็ไม่มีข้างหลังก็ไม่มี เป็นธรรมชาติที่มีมาดั้งเดิมอย่างนี้แล้วใครจะไปลบล้างได้เล่า นรกแต่ละหลุม ๆ เป็นธรรมชาติเหนียวแน่นมั่นคงเกินกว่าที่สัตวโลกทั้งหลาย หรือสมมุติใด ๆ ก็ตามจะไปลบล้างสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่มีใครลบล้างได้

หากว่าลบล้างได้แล้ว พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวฟาดแหลกหมดเลย นรกมีกี่หลุม ๆ ยิ่งให้เป็นหลวงตาบัวตรัสรู้ด้วยแล้วนี้ โอ๋ย พี่น้องทั้งหลายให้อยู่สบายนะ พากันขับกล่อมบำรุงบำเรอ ใครมีผัวกี่คนไปหามามาก ๆ มีเมียกี่คนไปหามามาก ๆ ไปหาเป็นบ้ากัน แล้วไม่มีแหละความทุกข์ร้อน ได้มาก็ หือ พ่ออีหนูได้เมียมากี่คนวันนี้ ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน แม่อีหนูไปเอาผัวมาอีกกี่คน ยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากันอย่างนี้ จะไม่มีคำว่าทุกข์เลย นี้เห็นไหมเพียงผัวเดียวเมียเดียวยังทะเลาะกัน แล้วเอาอีหนูมาอีกสักคนเสร็จเลย เอาไอ้หนูมาอีกสักคนแหลกหมดเลย

นี่ถ้าหากว่าแดนนรกทำลายได้แล้ว หลวงตาบัวเป็นพระพุทธเจ้านะ จะปราบให้เรียบวุธ แม่อีหนูคนนี้เอามาร้อยคนมันน้อยไป ให้เอามาพันคน หลวงตาจะปราบให้นรกไม่ให้มันมี ไม่ต้องมาทะเลาะกัน พ่ออีหนูก็ไม่ใช่ของย่อย แม่อีหนูได้ร้อยคน พ่ออีหนูฟาดพันคนมา เอามาแล้วสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงไม่มีความทุกข์ มีแต่ความรื่นเริงไปหมด เพราะเหตุใด เพราะไฟนรกภายในใจหลวงตาบัวก็เผามันแล้ว ไฟนรกอเวจีหลวงตาบัวก็เผาหมดแล้ว พี่น้องทั้งหลายมีแต่ความสะดวกสบาย แต่นี้หลวงตาบัวตัวเท่าหนูนี่ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านยังลบล้างมันไม่ได้ ทั้งทุกข์ภายในใจของสัตว์ที่ดื้อด้านไปทำความทุกข์เผาตัวเอง ทั้งนรกอเวจีที่สัตว์ทั้งหลายจะไปตกจมลงในนรก พระพุทธเจ้าก็ไปลบล้างทำลายไม่ได้ เหตุใดหลวงตาบัวตัวเท่าหนูนี้จะไปทำลายได้

จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่ากล้าหาญนะ กล้าหาญต่อแดนนรก เราอย่ากล้าหาญถ้าไม่อยากจมทั้งเป็น ให้เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ ๆ ตรัสรู้ขึ้นมานี้ของเล่นเมื่อไร สร้างพระบารมีสละเป็นสละตายมากี่ภพกี่ชาติ บางประเภท คือพระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท ประเภทที่หนึ่ง สร้างพระบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้ารื้อขนสัตวโลกให้พ้นจากทุกข์มาเป็นเวลา ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป คือติดแนบด้วยแสนมหากัป ๆ มาทุกองค์ แล้วประเภทที่สอง สร้างพระบารมีมา ๘ อสงไขยแสนมหากัป ประเภทที่สามสร้าง ๔ อสงไขยแสนมหากัป นี้กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาแต่ละพระองค์ ๆ ท่านลำบากขนาดไหน แล้วเวลามาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วมาสอนโลกแบบหลอกลวงมีอย่างเหรอ ไม่มี ขอให้เชื่อ

จึงเรียกว่าของเลิศก็คือธรรมเท่านั้น ไม่มีคำว่าปลอมว่าแปลมแฝงในนั้นเลย มีแต่ของจริงล้วน ๆ ตั้งแต่หนึ่งถึงล้านก็มีแต่ของจริงล้วน ๆ ไม่มีสิ่งปลอมปนอยู่ในนั้นเลย นี่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์จริงล้วน ๆ เลิศล้วน ๆ ด้วยกัน สอนไว้ตามหลักความจริงล้วน ๆ ไม่มีคลาดเคลื่อน ใครจะไปทำลาย-ทำลายไม่ได้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทำลายไม่ได้แล้ว จึงประกาศทั้งโทษทั้งคุณของสิ่งเหล่านั้น ให้โลกทั้งหลายได้ทราบกัน พวกโทษก็คือบาปกรรม มันจะลงไปนรก คุณก็คือบุญกุศลของเรานี้แหละ ที่จะพาไปสวรรค์ถึงพระนิพพาน ท่านสอนทั้งดีทั้งชั่ว อันใดที่ชั่วปัดไม่ให้สัตว์ทั้งหลายทำ เพราะท่านสงสารมาก อันใดดีสั่งสอนสัตวโลกให้พยายามทำความดิบความดีแก่ตน จะได้เป็นสิริมงคลแก่พวกเราทั้งหลาย

อย่าให้เสียชาตินะ เราอย่าเอาแต่ความเพลิดเพลินของกิเลสมาหลอกลวงจิตใจ ไม่มีวันเข็ดหลาบอิ่มพอ นี้จะจมแน่ ๆ นะ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาหลอกลวงนะ เอกจริง ๆ แล้วท่านไม่มาแบ่งสันปันส่วนอะไรกับพวกเรานะ สอนหนักสอนเบาสอนขนาดไหนก็เพื่อรื้อขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ทั้งนั้น แล้วท่านจะมาหวังบาปหวังบุญอะไรกับพวกเรา พวกเรานี่เองเป็นพวกที่จะหาบบาปหาบกรรม ถ้าพระพุทธเจ้าสอนไม่ฟังแล้วจะเป็นใครไป ก็คือตัวด้าน ๆ นี้แหละตัวจะไปจมในนรก เวลาเข้าถึงนรกแล้วแก้ตัวได้ยังไง ไปแก้ซิน่ะใครเก่ง แล้วมาบอกหลวงตาบัวด้วย หลวงตาบัวจะไปเชื้อเชิญหมดทั้งโคราชเรานี้ให้สร้างแต่ความชั่ว ไปแล้วฟาดนรกให้แหลกไปหมดเลย

แต่นี้มันเป็นไปไม่ได้นั่นซี จึงต้องได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ นำธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นของจริงมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วกัน ให้พากันรู้เนื้อรู้ตัวนะ เวลานี้เราเกิดเป็นมนุษย์ ไม่มีวาสนาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้นะ แล้วไม่เชื่อคำว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มันไม่เชื่อ มีแต่ร่างมนุษย์ ยังเหลือแต่ว่าไม่มีหางเหมือนหมาเท่านั้นแหละ มนุษย์หางกุ้นนั่นเองไม่มีหางเหมือนหมา ก็มนุษย์หางกุ้น แล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร พอลมหายใจขาดแล้วก็จมลง ๆ นี่พิจารณา

เวลานี้เป็นมนุษย์รู้กันอยู่แล้ว ให้พยายามฝึกฝนอบรมตัวเอง มันอยากทำก็อย่าทำเรื่องการทำบาปทำกรรม ทำลงไปแล้วคือการทำลายเรานั้นแล ถ้าเราไม่อยากทำลายเราอย่าทำบาป ถ้าเราอยากส่งเสริมเรา เอา ทำบุญให้ทาน จะยากลำบากขนาดไหนยากเพื่อความง่าย เราทุกข์ขนาดไหนทุกข์เพื่อความสุข แต่ทุกข์ตามกิเลสนี้ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ต่างกันนะ เราบึกบึนไปตามกิเลสมีความทุกข์ร้อนเหมือนกันนั่นแหละ แล้วก็เพิ่มไปอีกเป็นมหันตทุกข์ขึ้นอีก ส่วนบึกบึนในทางคุณงามความดีการให้ทานรักษาศีลภาวนายาก ๆ แต่เราก็บืน เมื่อบืนไม่หยุดไม่ถอย ความยากความลำบากนี้กลายเป็นทุน หนุนเป็นคุณงามความดีเป็นความสุขขึ้นมาแก่เรา จึงต้องให้พากันทนนะ

พระพุทธเจ้าทนมาทุกพระองค์ การสร้างบารมีมาไม่ทนเป็นพระพุทธเจ้าได้หรือ บรรดาพระสาวกทั้งหลายก็เหมือนกันทนทุกองค์ เพราะอยากดี ๆ ทนทุกองค์ พระพุทธเจ้าของเรานี้สลบสามหน ทนหรือไม่ทน ท่านจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า เรานี้มาแบมือเปิบ ๆ ใช้ไม่ได้นะ ต้องคำนึงถึงเหตุถึงผลทุกอย่าง อย่าอยู่ไปวันหนึ่ง ๆ กินไปวันหนึ่ง ๆ เหมือนกับชีวิตของเรานี้ไม่มีความหมายอะไร แล้วเราก็ไม่สนใจกับชีวิตของเราว่ามีความหมาย ๆ ตายเปล่า ๆ ทั้งเป็นคนประเภทนี้น่ะ ให้ระลึกเสียตั้งแต่บัดนี้

เกิดในแดนพุทธศาสนาแล้ว เอา การให้ทาน ให้มีทั้งกินทั้งทาน อย่าให้กิเลสไปกินหมดนะจมจริง ๆ คนเรา มีเท่าไรไม่มีความหมาย เงินทองข้าวของมีกี่ล้านก็ตาม ตายแล้วก็ไม่เห็นเอาเงินทองเหล่านั้นมาเผาคนนะ เห็นแต่เอาฟืนเอาถ่านไปเผานั่นแหละ เงินทองข้าวของสมบัติมีมากมีน้อยเกลื่อนอยู่อย่างนั้น ใครมาเอาไปเผาแข่งมนุษย์ทั่วโลกมีไหม ไม่เห็นมี ตายแล้วคนนี้ก็สืบแทนกันไป ๆ ถ้าตระหนี่ถี่เหนียวก็แบบเดียวกันอีก ตายแล้วก็เผากันเท่านั้นแหละ กระดูกก็ไม่ได้นะ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวถ้าไม่มีบุญเสียอย่างเดียว แล้วก็มีแต่บาปอีกด้วย นอกจากไม่ทำบุญให้ทานแล้วยังสร้างบาปอีกด้วย ยิ่งไปใหญ่เลย

เราต้องการไปใหญ่หรือไปไหน พิจารณาตัดสินใจเสียตั้งแต่บัดนี้ ให้พิจารณานะ วันนี้เอาธรรมมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เสียงโลกเสียงสงสารเสียงความเดือดร้อนวุ่นวายของกิเลสฟังมามากแล้ว ตั้งแต่ตื่นนอน ๆ ทุกวัน วันนี้ได้ฟังอรรถฟังธรรม ให้พี่น้องทั้งหลายจำให้ดี พินิจพิจารณาให้ดี อันใดที่มันเป็นภัยตัดมันขาดสะบั้นไปเลย คอขาด-ขาดไปเราไม่ตกนรกพอแล้ว เอาอย่างนั้นนะไม่อย่างนั้นไม่ได้จริง ๆ นี้ละเรียกว่า มีให้มี ทั้งได้กินได้ทานเหมาะสมแล้ว กินก็คือธาตุขันธ์ของเรามันบกพร่องต้องการตลอดเวลา ต้องพาอยู่พากินพาขับพาถ่ายพาหลับพานอน ต้องหามาเยียวยามัน นี่เป็นความจำเป็นสำหรับธาตุขันธ์ ทีนี้เรื่องจิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เพราะจิตใจมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่มีบุญมีกุศลเป็นเครื่องหนุนตนเลย จึงต้องสร้างบุญสร้างกุศลให้ใจ เป็นอาหารโอชารสเลิศเลอคือธรรมสู่ใจ

การให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี การเจริญเมตตาภาวนาก็ดี นี้คือธรรมที่เลิศเลอ หรืออาหารอันเลิศเลอเข้าสู่ใจ อันนี้ละจะพาเราไปสู่คุณงามความดีทั้งหลาย ไปสถานที่สมหวังของเรา จิตใจก็อิ่มเอิบด้วยศีลด้วยธรรม ร่างกายก็พอกับธาตุกับขันธ์ในการอยู่การกิน จิตใจก็พอกับศีลกับธรรมแล้วคนนั้นไม่จนตรอก ไปไหนไม่จนตรอกจนมุม เพราะภายในก็พร้อมแล้วด้วยบุญด้วยกุศล ภายนอกเราเลี้ยงดูมาแล้วจนกระทั่งถึงวันตาย เมื่อตายแล้วมันจะไปไหนก็ไป บุญกุศลอยู่กับหัวใจแล้วเราไม่จนตรอกจนมุม ให้พากันสร้างบุญสร้างกุศล

พูดนี่แล้วก็ย้อนเข้าไปหาเรื่องจิตตภาวนานี้สำคัญมากนะ ถ้าพี่น้องทั้งหลายอยากเห็นความประมวลมาแห่งบุญกุศลทั้งหลายของเจ้าของที่สร้างมามากน้อย ให้ภาวนา ภาวนาแล้วมันจะรวมเข้ามานี่ให้เห็นอยู่ตรงนี้ อยู่ที่จิตนี่ เราสร้างมากี่กัปกี่กัลป์กี่ปีกี่เดือนอย่าไปนับ มันจะมารวมอยู่ที่หัวใจดวงเดียวนี้ เต็มอยู่ในนี้หมด นี่ละให้ภาวนา จิตใจเมื่อเวลาได้รับการภาวนา มีสติให้ดี อบรมจิตใจในเวลาภาวนา เวลานั้นทิ้งหมดความคิดทั้งหลาย อย่าเอามายุ่งเหยิงวุ่นวายกับความคิดของธรรมคือพุทโธ ๆ ให้พุทโธกับสติอยู่ด้วยกัน นึกพุทโธ แล้วมันจะค่อยสงบลง ๆ พอจิตสงบลงจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นมาในหัวใจของเรานั้นแหละ ตั้งแต่ก่อนไม่เคยแสดงความแปลกประหลาด แต่เวลาภาวนาเข้าไม่หยุดไม่ถอย จะปรากฏเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมาภายในใจของเรา

เมื่อปรากฏขึ้นมาแล้วคนเราย่อมมีความตื่นเต้น ย่อมมีความดีอกดีใจ มีกำลังใจที่จะบำเพ็ญต่อไป แล้วยิ่งปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็ยิ่งหนุนเข้าไปเรื่อย ๆ นั้นละที่นี่ความพากความเพียรทางที่ดีไม่ต้องบอก มันหากเป็นของมันเองเพราะอำนาจแห่งความดีดึงดูดฉุดลากไปจนได้นั่นแหละ นี่ละให้พากันทำนะ จุดนี้เป็นจุดสำคัญมากจุดหนึ่ง เวลาจะหลับจะนอนอย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป หลับครอก ๆ ไม่สนใจกับพุทโธ ธัมโม สังโฆ เลยนี้ใช้ไม่ได้นะ ขอให้พากันระลึกพุทโธ

หลวงตาเป็นห่วงพี่น้องทั้งหลายมากเกี่ยวกับทางด้านศีลธรรมภายในใจ ประหนึ่งว่าชาติไทยเรานี้ว่าเป็นเมืองพุทธ ๆ อยากจะพูดว่ามันเป็นเมืองผีว่างั้นนะ คือมันไม่มีกิริยาของพุทธติดเนื้อติดตัวเลยแล้วจะไปอาศัยอะไร ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟที่มันแสดงอยู่ตลอดเวลาทั่วหน้ากันนี้ไปเผาตัวเอง ๆ สิ่งที่จะพาให้มีความสงบร่มเย็นไม่ปรากฏในชาวพุทธของเรา คือศีลธรรมไม่ค่อยปรากฏเลย แล้วจะเอาอะไรไปเป็นที่พึ่งที่อาศัยที่พึ่งเป็นพึ่งตาย ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา

วันนี้ก็ถูกเผาวันหน้าก็ถูกเผาเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ที่เผามาแล้วก็เผามาแล้ว ปัจจุบันนี้ก็เผาอยู่ วันพรุ่งนี้ก็จะเผาอีก แล้วเป็นยังไง มีแต่เผา ๆ ตลอดเวลาจะไม่เข็ดหรือมนุษย์เราทั้งคนแท้ ๆ ใครฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์วะ สิ่งเหล่านี้ต้องคิดไม่คิดไม่ได้ เราสงสารจริง ๆ นะ หลวงตาบัวนี้ขอเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง การปฏิบัติธรรมมานี้เราเอาเป็นเอาตายเข้าว่าจริง ๆ นะ เราพูดอย่างเด็ดอย่างขาดเราไม่สะทกสะท้าน เพราะเราได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เพราะเรามุ่งแล้วชาตินี้เราจะให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ ในหัวใจมันหากเป็นของมันอยู่ในนั้นแหละ

เรียนหนังสืออยู่มันก็ไม่หยุดนะ เรียนหนังแส่หนังสืออยู่นี้เป็นเวลา ๗ ปี ไม่เคยละนะการภาวนา หากทำลอบ ๆ มอง ๆ ทำอยู่นั้นแหละ เป็นแบบขโมย คือไปอยู่กับเพื่อนกับฝูงเป็นนักเรียนด้วยกัน มันเป็นเหมือนลิงนะ พูดเรื่องปริยัติเขาก็พูดไปแบบของเขาแบบลิงนั่นแหละ เราก็พูดแบบลิงกับเขา ใช้กิริยาแบบลิงกับเขาภายนอกนะ แต่ภายในใจของเรานี้ไม่เคยลดละ หนักแน่นในธรรมในภาวนาตลอด ทีนี้เวลาว่าง ๆ เราจะใช้ชั่วโมงหนึ่ง ๆ เว้นแต่เวลามันจวนแจเข้าไป จวนจะสอบนี้ก็ต้องอ่อนทางภาวนา หนักแน่นในวิชาที่จะสอบ อันนี้เป็นบางครั้งบางคราว ถ้าธรรมดาแล้วจะต้องภาวนาอย่างนั้นตลอดไป

ไม่ให้ใครทราบนะ เพื่อนฝูงไม่บอก บอกไม่ได้พวกนี้มันเหมือนลิง เช่น เห็นเรากำลังเดินจงกรมอยู่กลางคืนดึก ๆ พวกพระเพื่อนฝูงนั้นแหละ พวกลิงเหมือนกันนั่นแหละ เดินมานี้ว่า ทำอะไร ไอ้เราก็เซ่อ ทีแรกไม่เข้าใจ เดินอะไร อ๋อ เดินจงกรม เหอ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ คอยกันหน่อย ๆ น่ะ เห็นไหมมันแหย่แล้ว โถ กูตายเสียท่าเขาแล้วคราวนี้ คราวหลังพลิกใหม่ เวลาเงียบ ๆ หมู่เพื่อนเงียบหมดแล้วเราก็ด้อมลงไปเดินจงกรม เวลาเพื่อนฝูงมาเห็น เดินอะไร โอ๋ย ก็นั่งนานเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็ต้องมาเดินเปลี่ยนบรรยากาศบ้างซี นี่พอรอดตัวไปได้ เราทำอย่างนี้ตลอดมานะ ตั้งแต่เรียนหนังสือเราไม่เคยลดละ

มันจะเป็นนิสัยอะไรเราก็ไม่ทราบ พูดไม่ถูกนะ หากพูดให้ใครฟังไม่ได้ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีไม่เคยพูดเรื่องภาวนาให้หมู่เพื่อนฟังเลยนะ หากเป็นอยู่ตลอดเวลา ทำไม่หยุดไม่ถอยอย่างลึกลับนั่นแหละ เข้าในห้องก็เข้าภาวนา ครั้นออกมากลางคืนดึก ๆ ก็เดินจงกรม ไม่ให้ใครเห็น ไม่ได้พูดถึงเลยว่าเราชอบภาวนา เป็นลิงไปกับเขาเสีย พวกนี้มันก็เหมือนแขนซ้ายแขนขวานั่นแหละ จะไปเอาผิดเอาถูกกับแขนไหนล่ะ แขนซ้ายก็แขนเรา แขนขวาก็แขนเรา เพื่อนฝูงก็เพื่อนของเรา เขากับเราก็เป็นอันเดียวกันเหมือนแขนซ้ายแขนขวา ครั้นไปว่าแล้ว ไปว่ามันก็จะเป็นบาปเป็นกรรมอะไร ก็พวกเดียวกันว่ากันมันก็เหมือนลิง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีผิดมีถูก หลบหลีกเอาดีกว่าอย่างนี้ละ

ทีนี้พอหยุดจากเรียนแล้ว เอาละนะที่นี่เอาใหญ่เลยเทียว เรียนอยู่ ๗ ปีจิตรวมลงสงบ ๓ หน นี้เราฝังลึกมากทีเดียว เวลารวมนี้อัศจรรย์สุดส่วนเลย จิตดวงนี้มันเหมือนกันกับเกาะที่อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ท่ามกลางมหาสมุทรนี้กว้างแสนกว้าง แต่จิตดวงนี้อยู่ท่ามกลาง เป็นเกาะอันหนึ่ง โลกอันนี้กว้างแสนกว้าง จิตดวงนี้สงบอัศจรรย์เด่นดวงอยู่ในจุดเดียวนี้ เรียกว่าอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรนั่นเอง เกิดความตื่นเต้นทีเดียว อัศจรรย์ ตั้งแต่เกิดมาจริง ๆ ไม่เคยปรากฏจิตมีความสงบอย่างนี้ ทีนี้พอภาวนาพุทโธ ๆ นั่นแหละ ภาวนาไป ๆ จิตค่อยรวมเข้ามา ๆ มีลักษณะแปลก ๆ ทำให้เกิดความสนใจหนักเข้า ๆ ตั้งสติจ่อเข้า ๆ จิตรวมเข้าผึงเลยที่นี่

พอลงเต็มที่แล้วนี้มันพูดไม่ถูกนะ ได้แต่คำว่าอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย ตื่นเต้นตัวเอง ไม่นานจิตก็ถอนขึ้นมาเสีย เพราะความตื่นเต้นไปกวนมัน แล้ววันหลังเอาอีก ว่าจะเอามันก็ไม่ได้ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีจิตรวมลงแบบอัศจรรย์นี้ ๓ หน นี้ละเป็นที่ฝังลึกมากนะ จากนั้นก็ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเอาอย่างเป็นอย่างตาย หลังจากได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นเราเรียบร้อยแล้ว เป็นที่หายสงสัยเรื่องบาปบุญนรกสวรรค์นิพพาน ไม่สงสัยแล้วที่นี่ ท่านเปิดออกให้ฟังอย่างเต็มเหนี่ยว ๆ

จากนั้นมาก็ก้าวขึ้นเวที กิเลสไม่ตายเราต้องตาย สุดท้ายใครจะตายก็ไม่ทราบแหละ เราฟาดกันอยู่ ๙ ปีเต็ม นี่เรียกว่าทุกข์แสนสาหัส ไม่มีอะไรทุกข์ในชีวิตของเรา ชีวิตของพระเรา สองขั้นนะ ขั้นเป็นฆราวาสเราก็ทุกข์ แต่ไม่เคยสละตายกับมัน แต่ทุกข์ในเวลาปฏิบัติความพากความเพียรนี้ทุกข์สละตายด้วยนะ เอาอย่างหนักที่สุดถึง ๙ ปีเต็ม นี่ละถ้าว่าติดคุกก็ติดถึง ๙ ปี พวกนักโทษเขาจะมีทุกข์อะไร เขากินข้าววันหนึ่งสองมื้อสามมื้อ จักตอกเหลาตอกได้วันละสี่เส้นห้าเส้น ฆ่าเวล่ำเวลาให้หมดไปเพื่อจะได้ออกจากตะราง

แต่เรามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นไปด้วยความสมัครใจ อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันกี่คืนช่างหัวมัน นั่งภาวนา มีแต่ภาวนา กี่วันถึงจะฉันจังหันทีหนึ่ง มันจะเป็นจะตายจริง ๆ ก็บิณฑบาตเขามาฉันสักทีหนึ่ง ๆ นี้เป็นมาเป็นประจำในระยะ ๙ ปีเต็มนี้ หนักมาก เพราะฉะนั้นชีวิตของพระเรา จึงหนักยิ่งกว่าชีวิตของฆราวาสที่เราเคยเป็นมานะ ชีวิตของพระนี้เรียกว่าหนักมากที่สุด ลืมไม่ได้เลยถึง ๙ ปีเต็ม ขอสรุปให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผลแห่งการปฏิบัติด้วยความเอาเป็นเอาตายความเอาจริงเอาจัง ธรรมท่านสนองอย่างไรบ้าง ขอให้ฟังก็แล้วกัน

นี่ละธรรมมีอยู่หรือไม่มี ถ้าไม่มีจะสนองได้ยังไง ไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ยังไง ธรรมไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้หรือ พระสงฆ์สาวกตรัสรู้ได้ยังไงธรรมไม่มีน่ะ ก็ธรรมมีอยู่ก็ตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่ อันนี้ก็เหมือนกัน ฟาดถึง ๙ ปี วันสุดท้ายเราเอาอย่างนี้เลย สรุป เพราะเวลานี้กำลังก็อ่อนลงแล้ว ๆ ถึงวาระที่มันจะแสดงความอัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสาร เกิดมาตั้งแต่โคตรแต่แซ่หลวงตาบัวนี้ก็ไม่เคยปรากฏ ไม่เคยคิดเคยคาดเคยฝัน แต่มันก็มาเป็นเอาในขณะนั้นเวลานั้น สถานที่เป็นบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร นี่เป็นสถานที่เป็น เวลาที่เป็น ๕ ทุ่มพอดี วันที่เป็นวันที่ ๑๕ กลางคืน ๕ ทุ่มพอดี

พอจิตเอากันเต็มเหนี่ยว นี่เราสรุปเลยนะ พอถึงขึ้นนั้นแล้ว กิเลสกับจิตขาดสะบั้นออกจากกันนี้ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยเทียว สามแดนโลกธาตุไหวไปหมดเลย ปรากฏในเวลานั้น กายนี้ไหวปึ๋งทันทีเลยมันจะล้มทั้งหงาย มันสะดุ้งอย่างแรง นั่นละที่นี่ธรรมชาตินั้นจ้าขึ้นมา เป็นยังไงธรรมมีหรือไม่มี ฟังซิพี่น้องทั้งหลายพูด เอามาหลอกท่านทั้งหลายเหรอ จ้าขึ้นมา อะไรจ้าขึ้นมา หัวใจที่กิเลสครอบงำเปิดออกหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาติของจิตล้วน ๆ กลายเป็นธรรมทั้งแท่งแล้วจ้าขึ้นมาครอบโลกธาตุ เกิดความสลดสังเวช น้ำตาร่วงเลยเทียว ไหลพราก ๆ โถ ธรรมทำไมอัศจรรย์อย่างนี้ละเหรอ ๆ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ

นั่นเห็นไหม ไม่ได้วัดรอยนะมันเป็นของมันอย่างจัง ๆ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้เหรอ เกิดความอัศจรรย์ในวันนั้น โหย ฟ้าดินถล่ม จิตที่มันเคยมืดเคยบอดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลากิเลสออกหมดแล้วมันจ้าขึ้นมา เป็นยังไงที่นี่อะไรมีหรือไม่มี บาปมีหรือไม่มี บุญมีหรือไม่มี นรกมีหรือไม่มี สวรรค์มีหรือไม่มี พรหมโลก นิพพานมีหรือไม่มี เปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุมีหรือไม่มี มันจ้าอยู่นี้จะไปถามใคร ใครจะตาบอดสามแดนโลกธาตุช่างหัวเขาซิ เราตาดีคนเดียวดูเห็นชัด ๆ อยู่นี้สอนมันเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วแต่มันจะจมของมันเท่านั้นเอง สอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฟังซิพี่น้องทั้งหลาย

นี่ละการเสียสละชีวิต พระพุทธศาสนามีผลอย่างไรบ้าง ธรรมมีหรือไม่มี บาปบุญมีหรือไม่มี ฟังให้ชัดเจนนะ พระพุทธเจ้าองค์เอกทุกองค์ ๆ มาสอนเป็นโมฆะไปหมด มันจะเป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ ตั้งแต่กิเลสที่ฟาดหัวเราอยู่ตลอดเวลาบ่นกันอื้อ ๆ ทั่วโลกดินแดนนี้เหรอ เอามาพิจารณาเทียบเคียง มันก็พอมีทางที่จะแก้ไขไปได้นะคนเรา ไม่ได้ยอมตายเสียอย่างเดียว นี่เราได้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังธรรมะที่ได้แสดง เราจึงได้กล้าพูดทุกสิ่งทุกอย่าง ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นไหวกับอะไร ความกล้าเราก็ไม่เคยมี ความกลัวเราก็ไม่เคยมี ตั้งแต่จิตอันนี้ได้ขาดสะบั้นออกจากกิเลส สว่างจ้าครอบแดนโลกธาตุแล้ว สามโลกธาตุนี้หมดเลย มีแต่ความสว่างจ้าไปหมดครอบโลกธาตุ แล้วกลัวอะไรกล้าอะไร พิจารณาซิ

เมื่อมันพอเต็มตัวของมันแล้วอะไรก็เลิศ อันนี้เลิศกว่าทุกสิ่งทุกอย่างแล้วไปกลัวกับอะไรไปกล้ากับอะไร ไปเป็นคู่ต่อสู้กับอะไร ธรรมชาตินี้เหนือทุกอย่างแล้ว นี้ละธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนมาตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่พระองค์ มารื้อธรรมเหล่านี้มาสอนโลก เหมือนกับแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จมอยู่ในดิน ใครก็เหยียบย่ำไปมา ๆ ไม่มีความฉลาดรอบรู้พอที่จะค้นเอาแร่ธาตุต่าง ๆ มาทำประโยชน์ได้ มันก็จมไปเหมือนไม่มีแร่ธาตุนั้นแหละ แต่เวลามีผู้เฉลียวฉลาดไปค้นเอาแร่ธาตุขึ้นมาทำประโยชน์ ดังที่เราเห็นไหมล่ะ เวลานี้เต็มไปหมดทั่วโลกดินแดน

นี่ธรรมเหมือนกัน พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นั้นแลเป็นนักค้นธรรมธาตุขึ้นมาประกาศธรรมสอนโลก แล้วเราเป็นยังไงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ฟังให้ดีนะ เรานี่สงสารนะ จวนตายเท่าไรยิ่งสงสาร ยิ่งหนาขึ้นทุกวัน ๆ บาปไม่มีบุญไม่มี โอ๊ย พวกนี้จะจมกันไปหมดจะทำยังไง ก็มันเห็นจ้าอยู่นี้จะว่าไง แล้วปฏิเสธพระพุทธเจ้าได้ยังไงก็มันเห็นจ้าอยู่กับหัวใจเราแล้ว ไปลบล้างพระพุทธเจ้าว่าไม่มีได้ยังไง บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีได้ยังไงก็จ้าอยู่ในหัวใจนี้ ก็เหมือนอย่างพวกเราทั้งหลายนี้ตามีอยู่นี่ มองเห็นอะไรประจักษ์ตาอยู่นี้ เขาบอกว่าไม่มี ๆ เราจะเชื่อเขาไหม

เช่น ศาลาหลังนี้ใหญ่โตขนาดไหนเราเห็นอยู่ด้วยตาของเรา คนอื่นมาลบล้างบอกว่าศาลาหลังนี้ไม่มีเราเชื่อเขาไหม ถ้าเราไม่เป็นบ้าเกินเหตุเกินผลเสียเท่านั้น เราต้องเชื่อตาของเราซี ตาพระพุทธเจ้า ตาพระอรหันต์ท่านไม่ได้เหมือนตาฝ้าตาฟางของพวกเรานะ หูแจ้งตาสว่างตาสิ้นกิเลส เป็นตา โลกวิทู เป็นตาอัศจรรย์ ไม่ได้เหมือนตาของเราที่มีกิเลสนะ ตาพระพุทธเจ้าตาผู้สิ้นกิเลสต่างกัน ว่าตรงไหนแม่นยำ ๆ ไม่มีอะไรพลาด ท่านจึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว หรือตรัสไว้ชอบแล้ว คือไม่มีคำว่าบกพร่องที่จะหยิบมาเพิ่มมาเติม หรือจะมาดึงออกว่ามันมากไป ไม่มี จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว พอดีทุกอย่าง

ให้พากันประพฤติปฏิบัตินะ เรานี้จวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงเป็นใยบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอันมาก เรานี้ไม่ได้ห่วงแหละเรื่องตายนี่น่ะ ความเป็นกับความตายเรามีน้ำหนักเท่ากัน เราไม่เห็นยุ่งกับมันเลย ถ้ามาคิดอย่างทุกวันนี้เราก็คิดถึงว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราทำประโยชน์ให้โลกก็จะได้มากพอสมควร ถ้าเราตายไปเสียประโยชน์ก็จะขาดไป เราจึงเอนมาให้ความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่าความตายไปเสีย จึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายมาสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่อย่างนี้แหละ สำหรับเราเองเราไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไรจริง ๆ พอทุกอย่างแล้ว

สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมานี้ ให้ตายใจได้เลยว่าหลวงตาบัวไม่มีเท่าเม็ดหินเม็ดทรายที่จะมางุบงิบ ๆ เอามาเป็นของตัวเอง แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มี เพราะเราพอแล้วทุกอย่าง ทำต่อโลกด้วยความเมตตาล้วน ๆ อะไรมาเราเป็นผู้ควบคุมหมด การเงินการทองแต่ก่อนหลวงตาเคยเกี่ยวข้องกับมันเมื่อไร ไม่เคยไม่ยุ่งกับการเงินการทอง แต่เวลาชาติบ้านเมืองมีความจำเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงถึงจะปลอดภัย มันก็ต้องหมุนมาหาตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อเป็นเช่นนั้น เอ้า ทองคำเรารับผิดชอบ ดอลลาร์เรารับผิดชอบ เงินสดเรารับผิดชอบ เหมือนหนึ่งว่าสมบัติพี่น้องทั้งหลายบริจาคมาทั่วแผ่นดินไทยมาอยู่กับเราคนเดียว เราเป็นเจ้าของคนเดียว ประหนึ่งว่าเป็นอย่างนั้น คนเดียวคือรับผิดชอบคนเดียว เพื่อชาติไทยของเรา

เราเป็นที่แน่ใจในการดำเนินของเรา เราไม่มีอะไรกับโลก มีแต่ความเมตตาล้วน ๆ นี่ละขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบตามนี้ เรื่องของหลวงตาบัวช่วยโลกเราช่วยอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ได้ช่วยธรรมดา ชีวิตก็ย่างเข้า ๘๗ แล้วเห็นไหมล่ะฟังซิ จะอยู่สักกี่ปีกี่เดือนก็ตายไปเสีย เรื่องของตายกับชีวิตของเราเราไม่สนใจนะยิ่งกว่าการห่วงใยโลก จึงได้หมุนติ้ว จะตายขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์ไปเทศน์ที่นั่นไปเทศน์ที่นี่ ไปอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้แหละหมุนไปหมุนมา

วันนี้ก็ได้ฟังเทศน์กันทั้งทางฝ่ายพระฝ่ายฆราวาส ฝ่ายพระเราก็เป็นที่ชุ่มเย็นแก่ประชาชน ไปตั้งบ้านตั้งเรือนที่ไหนต้องสร้างวัดสร้างวา เป็นยังไงชาวพุทธเรา ถือวัดถือวาถือพระเจ้าพระสงฆ์เป็นหัวใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร บ้านไหนไม่มีวัดมีวาบ้านนั้นแห้งผาก ๆ จากทางอรรถธรรมในทางจิตใจ ถ้าบ้านไหนมีพระเจ้าพระสงฆ์ มีความสงบร่มเย็นชื่นใจ ๆ เพราะฉะนั้นไปที่ไหนเมืองไทยเราจึงมีวัดมีวาทั่วไปหมด แล้วพระเราก็ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ให้ตัวเราเองประพฤติในศีลในธรรมให้เป็นที่อบอุ่น จากนั้นก็ทรงอรรถทรงธรรมขึ้น สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ ยิ่งถึงวิมุตติสมบัติแล้วนั้นแหละเรามีสมบัติอันล้นค่าของเรา เป็นที่ร่มเย็นแก่โลกทั่ว ๆ ไปตลอดถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม นั่นเห็นไหม ที่จะมาอาศัยธรรมของผู้ที่ทรงธรรมอันสง่างามภายในใจ

เทวบุตรเทวดามีหรือไม่มีมาอวดพระพุทธเจ้าซิ ตาบอดอวดทำไม ถ้าคนตาดีมาพูดก็น่าจะมีผู้เชื่อฟัง แต่คนตาบอดมาอวดคนตาดีมีอย่างเหรอ พระพุทธเจ้าตาดีขนาดไหนไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าในสามแดนโลกธาตุนี่ แล้วไม่มีใครเกินพวกเราที่ตาบอดหูหนวกไม่ยอมเชื่อฟังพระพุทธเจ้า คือพวกเรา มันจะจมนะ วันนี้การเทศนาว่าการก็เห็นว่าสมควรแก่กำลังวังชา ส่วนเวล่ำเวลาถ้าพูดไปถึงตลอดรุ่งก็คงได้ เพราะวันพรุ่งนี้มันก็สว่างขึ้นมา มันมืดมามันแจ้งไปได้ ๆ แต่เรานี้มันจะตายแล้วฟื้นไม่ได้นะ จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก