เทศน์อบรมพระ และฆราวาส
ณ วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [บ่าย]
ขอให้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน
วันนี้เป็นวันมหามงคลของพี่น้องชาวไทยเรา เฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยมหิดล ต้องขออภัยนะ ภาษาอย่างนี้หลวงตาไม่ชำนาญ ผู้เข้าใจแล้วก็ให้เข้าใจล่วงหน้าไปก่อนคำพูดก็แล้วกัน โดยวันนี้มีงานอันใหญ่หลวงเพื่อสร้างมหากุศลเป็นมหามงคลแก่ชาติไทยของเรา โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ พรชัย มาตังคสมบัติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ทราบว่าท่านไม่ได้มาในงานนี้ เป็นความจำเป็นในงานรีบด่วน รองลงมาก็คือ ศาสตราจารย์ คุณหญิงสุริยา รัตนกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล รองศาสตราจารย์ พินิจ รัตนกุล ผู้อำนวยการวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นประธาน เป็นผู้นำ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของงานมหากุศลของพี่น้องทั้งหลาย
วันนี้บรรดาท่านที่มีเกียรติทุกระดับ ได้มาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในธรรม พร้อมกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่ว ๆ ไป ที่มาในงานนี้ มาจากที่ต่าง ๆ โดยถือมหาวิทยาลัยนี้เป็นจุดศูนย์กลางแห่งการบำเพ็ญมหากุศล มีการบริจาคทานเพื่อชาติของเรา และมีการฟังธรรมเทศนาที่หลวงตาจะได้ชี้แจงแสดงเรื่องราว ทั้งทางการช่วยชาติบ้านเมือง และทางศาสนาอันเกี่ยวข้องกับจิตใจโดยตรงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะวันนี้มีโอกาสอันดีงามเต็มตามเวลาที่กำหนดไว้ ขออย่าให้งานอื่นใดอันเป็นความยุ่งเหยิงวุ่นวายแก่จิตใจเข้ามารบกวนใจ จะฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว จะเสียเวล่ำเวลาไปเปล่าจากการฟัง จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร
จึงขอให้พากันสำรวม เวล่ำเวลา ความคิดอ่านไตร่ตรองที่เป็นไปอยู่ตามปกตินั้น ให้สงบเข้ามาสู่ใจด้วยจิตจดจ่อฟังธรรม ท่านชี้แจงเหตุผลกลไกอะไร เราจะได้เข้าอกเข้าใจและนำไปประพฤติปฏิบัติจะเป็นสิริมงคลแก่เราเอง และส่วนรวมทั่ว ๆ ไป เพราะคำว่าธรรมนั้นเป็นธรรมชาติที่ละเอียดอ่อนสูงสุด ไม่มีสิ่งใดจะสัมผัสสัมพันธ์ได้เลยนอกจากใจ อันดับแรกก็คือท่านผู้ถือพระพุทธศาสนา ถือธรรม น้อมธรรมเข้าสู่ใจ ก็จะได้รับความสัมผัส คือความเยือกเย็น ความอบอุ่น มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นภายในใจ ทำความรู้สึกตัวขึ้นภายในใจ จากธรรมเตือนเราเพราะการได้ยินได้ฟัง นี่เป็นอันดับหนึ่ง เรียกว่าความสัมผัสธรรม
ความสัมผัสธรรมโดยลำดับตามศาสดาที่สอนเรา จากที่ท่านได้รู้ได้เห็นธรรมทั้งหลายโดยถูกต้องแม่นยำ จนถึงขั้นเป็นศาสดาสอนโลกแล้วมาสอนเรา นั้นแหละธรรมที่ท่านสัมผัสโดยตรง คือใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นี่เรียกว่า เป็นธรรมสัมผัสใจอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังพระพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ท่านมีธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เมื่อใจมีความรักใคร่ใฝ่ธรรมมากเพียงไร ก็สนใจบำรุงปฏิบัติตนเอง ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา
เฉพาะอย่างยิ่งคือการภาวนานี่รู้สึกว่า เป็นคำหรือเป็นธรรมชาติที่ลึกลับมาก จนกระทั่งทำให้เกิดความท้อถอยน้อยใจ ว่าเกิดมาไม่มีวาสนาบารมี ถ้าพูดถึงเรื่องภาวนาแล้วอ่อนเปียกไป ๆ ความอ่อนเปียกไปของใจเรานี้ คือกิเลสทุบเอาตีเอา ความขยันหมั่นเพียรทางด้านคุณงามความดีอ่อนเปียกไปตาม ๆ กัน ยิ่งการภาวนาด้วยแล้ว เวลาคุยกันโม้กันนี้ได้ทุกเวล่ำเวลา ไม่สนใจดูนาฬิกา คุยกันได้วันยังค่ำ ตลอดคืนยังรุ่งก็ได้ ไม่ดูเวล่ำเวลา ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไม่สนใจ พอมันจะเป็นจะตายจริง ๆ ระลึกได้ หันหน้าเข้ามาสู่พุทธ ธรรม สงฆ์ คิดจะภาวนาหรือไหว้พระสวดมนต์เท่านั้น จิตใจอ่อนไปหมด นี่ละอำนาจของกิเลส มันกีดกั้นทางเดินของเรา ขอให้ทุก ๆ ท่านได้ทราบเอาไว้
เราอย่าถือกิเลสเป็นเราโดยถ่ายเดียว ถ้ากิเลสลงเป็นเราแล้ว การจะสร้างคุณงามความดีนี้กิเลสจะมาเป็นเราเสียหมด วันนี้เราเหนื่อย เราลำบากลำบน วันนี้งานการมีมาก ไม่มีเวล่ำเวลา นี่ถึงเวลาจะหลับจะนอนแล้ว จะมาไหว้พระสวดมนต์อยู่หาอะไร นี่ละกิเลสมันปัดออกทางด้านภาวนา อ่อนไปหมดทางด้านภาวนา นี่ละที่ทำให้เราบำเพ็ญทางคุณงามความดีได้ยาก เพราะเวลากิเลสมันหนาแน่นนั้น มันเป็นกิเลสไปหมดทั้งดวงใจของเรา ไม่ให้ทำคุณงามความดี แต่เราก็ไม่ทราบว่านี้คือกิเลส
ความจริงแล้วกิเลสก็ดี ธรรมก็ดี เกิดขึ้นที่ใจของเรา อยู่ที่ใจของเราทุกคน ๆ ตลอดสัตว์ทั่วโลกดินแดน จะปราศจากธรรมชาติคือกิเลสนี้ไปไม่ได้ ฝังจมอยู่นี้ ทีนี้เวลาเราคิดในทางความดี คือธรรมที่มีอยู่กับใจ แสดงตัวออกมาเพื่อสร้างคุณงามความดี กิเลสที่มีกำลัง และมีความหนาแน่นมากกว่าก็ปัดป้อง หรือกีดขวางทางดำเนินของเรา เพื่อทำความดี หาเรื่องต่าง ๆ ที่จะให้แยกจากการสร้างความดี เข้าสู่อำนาจของมันจนได้ ดังที่เรียนเมื่อสักครู่นี้ว่า หันหน้าเข้าสู่ห้องพระ ไหว้พระสวดมนต์ แล้วกิเลสมันบอกว่า ไม่มีเวล่ำเวลาอ่อนเปียก อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ พูดไม่จบ เพราะกิเลสกล่อมลง ๆ กล่อมลงหมอน
ผลของการกล่อมลงหมอนของกิเลสได้ยินแต่เสียงกรนดังครอก ๆ นี่คือผลงานของกิเลสแสดงต่อตัวของเรา แต่เราก็ไม่ทราบว่าเป็นกิเลส ยังถือว่าเรา ๆ แหม คืนนี้นอนหลับสนิทดีทีเดียว เพราะเหนื่อยมากนอนหลับสนิทดี แต่ความเหลวไหลในการภาวนาเมื่อคืนนี้ไม่พูด พูดแต่เรื่องการนอนหลับดี การภาวนาเหลวไหลไม่เป็นท่า อย่างนี้ไม่พูด เพราะกิเลสมันกลืนไว้หมดไม่ให้พูดถึงอรรถถึงธรรมเลย ท่านจึงเรียกว่ากิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกัน
ขอให้พี่น้องชาวพุทธเรา ทราบเรื่องอรรถเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ด้วยดี เพราะธรรมนี้เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พ้นวิสัยแห่งสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรอาจเอื้อมถึงได้แล้ว นอกจากผู้ที่มีความรักใคร่ใฝ่ใจในอรรถในธรรม ทำให้เกิดความยินดีในฝ่ายธรรม คืออยากให้ทานบ้าง อยากรักษาศีลบ้าง และอยากเจริญเมตตาภาวนาบ้าง เป็นขณะ ๆ นี่เรียกว่าธรรมออกทำงาน เพื่อผลประโยชน์แก่ตัวเราอย่างแท้จริง ส่วนกิเลสออกทำงานนั้น มันคอยกีดกันทางเดินเพื่อสร้างความดีเอาไว้
คำว่า กิเลส นั้นท่านทั้งหลายอาจไม่ทราบก็ได้ คำว่ากิเลสคือความเศร้าหมองมืดตื้อภายในจิตใจของสัตว์ แล้วผลักดันสิ่งที่กิเลสต้องการออกมาเป็นกิริยามารยาทภายนอก เช่น การทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ หรือทำตามอำนาจของกิเลสโดยธรรมดา ไม่ถึงกับเป็นบาปเป็นกรรมมากนัก แต่เป็นกิริยาของกิเลสชอบใจออกทำงาน นี่เรียกว่าอารมณ์ของกิเลสอยากได้นั้นอยากได้นี้ อยากดูนั้น อยากเห็นนี้ อยากฟังนั้น อยากตลอดเวลา พาจิตใจคิดปรุงตลอดไป นี่เรียกว่า อารมณ์ของกิเลสผลักดันใจให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่ท่านเรียกว่ากิเลส
ถ้าเรายังไม่เคยเห็นก็กรุณาทราบว่า กิเลสมีอารมณ์แสดงออกอย่างนี้ มีผลขึ้นมาให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ส่วนอารมณ์ของธรรมซึ่งเกิดในใจดวงเดียวกันนี้ เป็นอารมณ์ที่ชอบอรรถชอบธรรม ชอบความสงบเย็นใจ ชอบความสุข ความสบายในการสงบอารมณ์ เช่น คนนั่งภาวนา หรือผู้ที่มีใจรักใคร่ ชอบทำบุญให้ทานมากน้อย พอใจ ๆ อยู่ตลอดไป นี่เรียกว่าอารมณ์แห่งธรรมที่เกิดขึ้นจากใจ เป็นสิริมงคล และเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ต่อเราไปเรื่อย ๆ อยากรักษาศีลก็เป็นความอยากเพื่อความพ้นทุกข์ ยิ่งอยากภาวนาด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นการอยากพ้นทุกข์โดยตรง ทั้งสองนี้ท่านเรียกว่ากิเลสกับธรรม
กิเลสเกิดขึ้นแสดงลวดลายไปทางต่ำทราม ธรรมเกิดขึ้นแสดงออกไปในทางที่สูง เพื่อความสุขความเจริญแก่ผู้ดำเนินตาม ให้จำเอาไว้ นี่เรียกว่ากิเลสกับธรรมเกิดจากใจของเราอย่างเดียวกัน อย่าพากันไปคิดว่ากิเลสอยู่ที่นู่น กิเลสอยู่ที่นี่ กิเลสอยู่บ้านนั้นเมืองนี้ อยู่ภูเขาลูกนั้นลูกนี้ มหาสมุทรทะเลหลวง ดิน ฟ้า อากาศนู้น อย่างนี้ไม่มี ที่เกิดของกิเลสทางนู้นทางนี้ก็ไม่มี ที่อยู่ของกิเลสก็ไม่มี ในสถานที่และสิ่งต่าง ๆ ทั่วโลกดินแดน
แต่กิเลสเกิดขึ้นจากใจ ผลักดันจิตใจให้เดือดร้อนวุ่นวาย โลกจะกว้างแสนกว้าง แคบแสนแคบประการใด จะมารู้กันที่จิตใจที่ได้รับการผลักดันจากกิเลส ให้ดีดให้ดิ้นอยู่ตลอดเวลา มาคับอยู่ที่จิตใจ ทุกข์อยู่ที่จิตใจ คับแคบก็คับแคบที่จิตใจ ไม่ได้คับแคบตามดิน ฟ้า อากาศ ท้องฟ้า มหาสมุทรที่ไหนเลย มันอยู่ที่นี่ ทีนี้ธรรมก็เหมือนกัน สถานที่นั่นที่นี่ก็ไม่ใช่เป็นสถานที่สถิตอยู่แห่งธรรม เป็นสถานที่เกิดแห่งธรรม แต่เกิดที่จิตใจของเราอันเดียวกัน เช่นเดียวกับกิเลสเกิดนั้นแหละ ทุกข์เกิดก็เกิดที่ใจ เพราะกิเลสผลิตขึ้นมา ความสุขก็เกิดที่ใจ เพราะเราบำเพ็ญความดีขึ้นมาภายในใจของเรา จึงขอให้พากันระมัดระวังสำรวมจิตใจให้ดี
โลกนี้กว้างแสนกว้าง ขออย่าได้มองข้ามหัวใจเรา ซึ่งเป็นสถานที่รับทั้งสุข รับทั้งทุกข์ อยู่ในนี้หมด จิตใจดวงนี้กว้างแสนกว้าง เมื่อได้เบิกกิเลสออกสุด ไม่มีอะไรเหลือภายในใจแล้ว ไม่มีอะไรที่จะกว้างแสนกว้าง เลยสมมุติโดยประการทั้งปวงไปยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์ เช่น จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ เป็นจิตที่กว้างขวาง เบิกบานยิ้มแย้มในพระทัยและในใจของท่านผู้บริสุทธิ์ทั่วหน้ากัน นี่คือใจที่ได้รับสัมผัสธรรมจากการบำเพ็ญอยู่โดยสม่ำเสมอ เราจะได้เห็นธรรมคืออะไร จะได้เห็นที่ใจของเรา ก็หายสงสัยว่าธรรมมีอยู่ที่ใดบ้าง จะมารู้ที่ใจ เห็นที่ใจ ความสุขสุดยอดที่เราบำเพ็ญถึงขั้นบริสุทธิ์แห่งใจเต็มที่แล้ว ก็จะมารวมอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด ใจจึงเป็นของสำคัญ จึงขอให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายสำรวมระวังใจ
อย่ามองตั้งแต่ภายนอกทั่วโลกดินแดน มองเท่าไรก็ไม่จบไม่สิ้น สร้างแต่ความทุกข์ ความดีดความดิ้นไปตามความสำคัญมั่นหมายในโลกกว้าง และโลกแคบนั้นแหละ ให้มองดูจิตใจของเรา ยิ่งเวลาภาวนาจะได้มองอย่างชัดเจน ถึงวิถีทางเดินของจิตนี้จะเดินอยู่ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน เว้นแต่หลับเท่านั้น คือใจทำงาน เนื่องจากจิตนี้มีกิเลสเป็นเจ้าอำนาจ เป็นตัวแรงงานอันใหญ่โต ผลักดันให้คิด ให้ปรุง ให้ก่อแต่เรื่องราวทั้งหลายเป็นประจำภายในใจ โลกทั้งหลายจึงหาความสุขความเจริญไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความสุขทั่วหน้ากัน ผลที่ได้มามักจะเป็นความผิดหวัง ๆ เพราะเราหาในทางที่ผิด ด้วยเหตุนี้จึงควรหาในทางที่ถูกตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าบ้าง แม้ไม่ได้มากก็ขอให้ได้บ้างยังดี เป็นสิริมงคลแก่ใจ คือควรจะมีการอบรมจิตใจให้เข้าสู่ความสงบ พักการพักงานที่กิเลสผลักดันตลอดเวลานั้นเข้ามาสู่ความสงบ
การที่จิตจะให้เกิดความสงบ ท่านสอนไว้เป็นบทว่า จิตตภาวนา คือการภาวนา ได้แก่ การอบรมจิตที่มันดีดมันดิ้นด้วยอำนาจกิเลสผลักไสอยู่ตลอดเวลาให้เข้าสู่ความสงบ จิตที่มีความสงบย่อมเป็นจิตที่สงบเย็นใจ สบาย เบาไปหมด ร่างกายทุกอย่างเบาไปตาม ๆ กันกับจิตที่เบา เพราะปราศจากอารมณ์รบกวน นี่แหละผลแห่งการบำเพ็ญธรรม พระพุทธเจ้าสอนไว้สด ๆ ร้อน ๆ ไม่ได้สอนไว้เพื่ออนาคตนู้น ๆ โดยถ่ายเดียว จะไปอนาคตที่ไหนก็ขอให้ดูปัจจุบัน บำรุงปัจจุบันคือจิตใจของเรา ในขณะที่บำเพ็ญให้ดูที่จิตใจของเรา คือการภาวนา
ภาวนาคือการอบรมจิตให้เป็นความสงบ จะเป็นธรรมบทใดก็ได้ ดังที่เคยแสดงไว้มากมายในการช่วยชาติคราวนี้ หลวงตาเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนามาก เพราะเห็นความสำคัญของใจที่โลกทั้งหลายมองข้ามไป ๆ จึงต้องย้อนมาสอนจิตตภาวนา ดังเวลานี้ก็อยากจะสอนเรื่องภาวนา ให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นความสุขประจักษ์ใจของเราบ้าง ตั้งแต่เราเกิดมานี้ไม่ค่อยเห็นมีความสุขประจักษ์ใจเลย เราจะได้สมบัติมากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็เป็นสมบัติเงินทองข้าวของ ตึกรามบ้านช่องไปเสีย มันไม่ใช่ความสุข เป็นแต่จิตของเราไปลูบ ๆ คลำ ๆ และสำคัญตนว่าเรามีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ แล้วก็เป็นความสุขนิดหน่อย ประเดี๋ยวประด๋าว จากนั้นก็จางหายไป ก็มาคลุกเคล้ากับความทุกข์ที่มีประจำอยู่ภายในใจจากการรบกวนของกิเลสนั้นแล หาความสุขจึงไม่ค่อยปรากฏกัน ไปถามที่ไหนลองไปถามดูซิ
แล้วต่างคนต่างหาความสุขด้วยกันทั้งนั้น เวลาจะเอามาเป็นสักขีพยาน คือผลรายได้เป็นความสุขมาเล่าสู่กันฟังจริง ๆ ไม่ค่อยมี มีแต่ระบายความทุกข์ ความเดือดร้อนด้วยเหตุต่าง ๆ ต่อกันฟัง จนไม่ทราบว่าใครจะฟังเสียงใคร เพราะใครก็อัดอั้นตันใจด้วยความทุกข์ความทรมานของใจ ที่กิเลสรบกวนอยู่ตลอดเวลา เลยหาความสุขไม่ได้ ตั้งแต่ตื่นเช้ายันค่ำ จนกระทั่งถึงเวลานอนหาความสุขไม่ได้ จากการดีดดิ้นของกิเลส หาไปเท่าไรจนกระทั่งวันเกิดถึงวันตายก็เจอตั้งแต่สิ่งที่ผิดหวัง ๆ และเต็มไปด้วยกองทุกข์ตลอดไป นี่คือกิเลสพาหา มันหลอกมันลวงว่าอันนั้นดี อันนี้ดี อะไร ๆ ก็ดีไปหมด แล้วผลสุดท้ายก็มีแต่จิตไปหลงอารมณ์ของตัวเอง ว่าอันนั้นดี อันนี้ดี สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้ว่าเขาดี ไม่ดี มันเกิดขึ้นจากการเสกสรรปั้นยอของใจ แล้วก็หลงความเสกสรรของตัวเอง สุดท้ายก็มารวมอยู่ที่ความทุกข์ความลำบากภายในใจ
ฉะนั้นจึงควรอบรมจิตใจให้มีความสุขสงบภายในใจ ประจักษ์ตัวเอง นี่หาความสุขเราจะเห็นประจักษ์ในเวลาบำเพ็ญภาวนา เราจะไม่ไปถามใครเลย ขอให้ดำเนินตามแบบแผนของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้องแล้วนี้ก็พอแล้ว ให้ลองทำดูซิ โทษแห่งความวุ่นวายส่ายแส่ของใจเราได้รับมามากน้อยเพียงไร คุณค่าแห่งความสงบเย็นใจเพราะการอบรมตนเองนี้จะมีคุณค่าขนาดไหน ขอให้พากันทำดู ธรรมเป็นศูนย์กลาง การบำเพ็ญก็บำเพ็ญเพื่อเรา เมื่อถูกธรรมแล้วจะมีสิทธิได้รับความสุขความสงบเย็นใจทั่วหน้ากันนั้นแล
วิธีการทำใจให้สงบ ท่านผู้ไม่เคยภาวนา ขอให้นำคำบริกรรมคำใดก็ได้ เช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ เข้ามาบริกรรมอยู่ที่จิต แล้วมีสติเป็นเครื่องควบคุมรักษาจิตไม่ให้เผลอไปที่ไหน ให้มีแต่คำบริกรรมภาวนาติดแนบอยู่กับจิตนี้เท่านั้น ไม่ปล่อยวาง ไม่เผลอไปไหน ทุกข์ยากลำบากก็ไม่สนใจ มีแต่จะจดจ่อดูจิตกับคำบริกรรมด้วยสติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จิตใจเมื่อได้รับการอารักขาด้วยสติแล้วจะค่อยสงบตัวลง ๆ กิเลสความยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่เข้ามารบกวน
ตอนนั้นแหละ ตอนที่เราจะได้เห็นความสงบเย็นใจ ดีไม่ดีจะได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในขณะนั้นก็ได้ในบางราย ถ้าผู้บำเพ็ญยังไม่เห็นก็อย่าท้อถอยน้อยใจว่าวาสนาน้อย ให้เราพยายามทำเสมอ ทำไปไม่หยุดไม่ถอย ผลจะปรากฏขึ้นให้เราชมจนได้นั้นแหละ ว่าความสุขที่เราเสาะแสวงหามานี้นานเท่าไร จะมาเจอที่การภาวนาของเรา เป็นความสุขที่ละเอียดลออ สุขุมคัมภีรภาพ เป็นความสุขที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์ประจักษ์ในใจของเราขณะภาวนานั้นแหละ นี่คือความสุขที่เราไม่ลืมง่าย ๆ
ใครก็ตามถ้าบำเพ็ญไปจิตใจมีความสงบ แล้วปรากฏความสุขเย็นใจ และความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในตัวเองแล้ว แม้วันหลังคราวหลังเราทำภาวนา จะไม่เป็นอย่างที่เคยเป็นนั้นก็ตาม ความระลึก ความยึด ความเป็นอารมณ์ ฝังใจตลอดเวลา ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อความสุข ความเย็นใจ ความอัศจรรย์ ที่ผ่านมา แล้วก็มีแก่ใจที่จะบำเพ็ญให้เป็นไปโดยลำดับ เมื่อเราพยายามทำอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว เราจะปรากฏดังที่กล่าวนี้แลเป็นความสุข ตัวเองก็ประจักษ์ใจตัวเอง ในสถานที่หรือบุคคลที่ควรพูด เราก็ระบายให้เพื่อนฝูงฟังได้อย่างอาจหาญชาญชัย เพราะเรารู้เองเห็นเองภายในใจของเรา นี่คือการอบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นใจ ให้พากันอบรมอย่างนี้
หลวงตาเป็นห่วงเป็นใยกับพี่น้องชาวไทย ลูกหลานชาวไทยทั้งประเทศอยู่มากทีเดียว ไปที่ไหนไม่ใช่พูดแบบความดูถูกเหยียดหยาม พูดตามอรรถตามธรรม มันด้อยที่ตรงไหนก็ต้องพูด ไปที่ไหนมักจะมีตั้งแต่กิเลสห้อมล้อมเต็มตัว มองหาคนแทบไม่เจอ เห็นแต่ความดีดความดิ้นของกิเลสตลอดทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อย ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ คนมั่งมีดีเด่น คนทุกข์ คนจน มีตั้งแต่เรื่องกิเลสจูงหน้าจูงหลัง ด้วยความเพลิดเพลิน ด้วยความหวังนั้นหวังนี้อยู่ตลอดเวลาเต็มตัว ที่จะหาอรรถหาธรรม มายับยั้งชั่งตัวสงบอารมณ์คือใจ ให้เบากับอารมณ์เหล่านั้นบ้างไม่ค่อยมี ประการหนึ่งอาจไม่มีผู้แนะนำสั่งสอนก็ได้ จึงไม่ค่อยจะสนใจ และไม่รู้วิธีที่จะเสาะแสวงหาความสงบเย็นอันแปลกประหลาดและอัศจรรย์ทั้งหลายนี้ ให้เจริญมากขึ้นภายในใจ
วันนี้มีโอกาสอันดีจึงได้นำธรรมนี้มาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง การแสดงทั้งนี้หลวงตาขอเรียนโดยตรง ว่าธรรมที่แสดงให้ประชาชนทั้งหลาย เฉพาะในการนำพี่น้องทั้งหลายร่วม ๕ ปีนี้แล้ว หลวงตาได้แสดงอย่างไม่มีความสงสัยสนเท่ห์ในธรรมทุกขั้น จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน สามารถนำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังทั่วถึงกัน เต็มกำลังของเราโดยไม่สงสัยในสิ่งใด จึงขอให้ได้นำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ
เราไม่สงสัยในการสั่งสอนโลกทั่ว ๆ ไป เหมือนตั้งแต่คราวที่เรียนแต่ปริยัติ ไม่ปฏิบัติก็เอาความจดความจำนั้นมาบอกมาเล่า สั่งสอนกันไป เขาก็ไม่แน่ใจ เราก็สงสัย ต่างคนต่างไม่แน่ใจ ต่างคนต่างสงสัย ผลประโยชน์ก็ไม่ค่อยมี แต่เมื่อเราปฏิบัติได้เห็นผลประจักษ์ใจของเราแล้ว เป็นความแน่นหนามั่นคง มีรสมีชาติ ทั้งอยู่ภายในใจ ทั้งการแสดงออกมีรสมีชาติ เข้มข้นไปตามเนื้ออรรถเนื้อธรรมขั้นนั้น ๆ หลวงตาได้มาเทศนาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายจึงสั่งสอนแบบนี้ ไม่ได้สั่งสอนอย่างอื่นอย่างใด
ธรรมทั้งหลายได้ปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนหายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพานนั้น หมดโดยสิ้นเชิงว่ามีหรือไม่มี ก็มรรคผลนิพพาน มีอยู่ที่หัวใจของคน เป็นแต่เพียงว่าถูกปิดกำบังไว้ด้วยกิเลส เช่นเดียวกับบึงกับสระน้ำใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำ แต่ถูกจอกแหนปกคลุมหุ้มห่อไว้หมดในสระน้ำหรือบึงนั้น ๆ จนมองหาน้ำไม่เจอ ใครมองไปก็เห็นแต่จอกแต่แหน ไม่ได้เห็นน้ำ เมื่อเวลาเปิดจอกเปิดแหนขึ้นแล้ว น้ำก็อยู่ใต้จอกใต้แหนนั้นแล ก็เห็นอย่างชัดเจน ตักขึ้นมาอาบดื่มใช้สอยก็เป็นที่เข้าใจ ประจักษ์ในตัวเอง
เรื่องของจิตก็เช่นเดียวกัน เวลานี้ถูกกิเลสซึ่งเป็นเหมือนกับจอกกับแหนปกคลุมหุ้มห่อจิตใจของเรา ซึ่งเป็นเหมือนบึงเหมือนบ่อน้ำเต็มอยู่ในใจนั้น ไม่ให้มองเห็นอรรถเห็นธรรมที่มีอยู่ภายในใจเลย แล้วก็ดีดดิ้นไปตามจอกตามแหน คือเรื่องของกิเลสทั้งมวล จึงได้รับแต่ความเดือดร้อน ความทุกข์ ทีนี้เมื่อมาพยายามเปิดจอกเปิดแหนออกจากใจของเรา ด้วยการบำเพ็ญจิตให้มีความสง่างาม จอกแหนทั้งหลายก็ค่อยจางไป เบาบางไป เปิดขึ้นมาก็เห็นน้ำคือธรรมภายในใจโดยลำดับ จนกระทั่งเปิดจอกเปิดแหนออกหมดไม่มีเหลือแล้ว น้ำในสระนั้นเต็มอยู่มาตั้งแต่เมื่อไร
นี่ละจิตใจกับธรรมที่เต็มไปด้วยน้ำอมตธรรม เต็มอยู่ที่หัวใจ เมื่อเปิดจอกเปิดแหนคือกิเลสออกหมดโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งความพากเพียรแล้ว เราจะได้ชมน้ำในบึงคือหัวใจของเรา เต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกันหมด เพราะเวลานี้ถ้าว่าน้ำมันก็มีอยู่ในหัวใจของเราแล้ว ถ้าพูดถึงจอกแหนมันก็ปิดอยู่แล้ว ให้พากันเวิกจอกเวิกแหนออกด้วยอุบายวิธีการทางกุศลธรรม การให้ทานอย่าปล่อยอย่าวาง มีมากมีน้อยเราให้ทานตามกำลังของเรา
นี่เรียกว่า เปิดจอกเปิดแหน ขนจอกขนแหนออกจากใจของเรา นี่อันหนึ่ง มีเท่าไรเราก็ทานตามที่เราเกิดเรามี ตามนิสัยของชาวพุทธ และเป็นนิสัยของเราที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สมกับที่เราเคยมีนิสัยอยู่บ้างแล้วจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้มาพบพระพุทธศาสนา อย่าปล่อยอย่าวางศีลธรรมที่ควรจะส่งเสริมภพชาติของตนให้ย่นเข้ามา แม้จะเกิดมีหลายภพหลายชาตินับไม่ได้ก็ตาม การทำบุญให้ทานเป็นการตัดภพตัดชาติ ย่นภพย่นชาติเข้ามา โดยเฉพาะ ๆ ย่นเข้ามาด้วยอำนาจแห่งการสร้างความดี
เมื่อสร้างความดีพอแล้วก็ตัดภพตัดชาติ คือความเกิด แก่ เจ็บตาย อันเป็นเรื่องหาบหามกองทุกข์ในภพต่าง ๆ นั้นได้โดยสิ้นเชิง ก็หลุดพ้นไปได้ เพราะอำนาจแห่งการสร้างความดี การรักษาศีลก็ควรจะมีกันบ้าง อย่าปล่อยทิ้งไว้ตามคัมภีร์ไปเสียอย่างเดียว คัมภีร์ท่านไม่เป็นบาปเป็นบุญ ท่านไม่เป็นโทษเป็นกรรม ท่านไม่ไปตกนรกไปสวรรค์ ผู้ที่เป็นผู้ที่ไปคือพวกเราเอง ให้พยายามรักษาตัวของเราด้วยดี เกิดมาในชาตินี้เหมาะสมแล้วที่เป็นลูกชาวพุทธ ขอให้ปฏิบัติตนตามกำลังความสามารถของเราทุกคน ๆ ผลแห่งความดีงามจะเป็นสมบัติของท่านทั่วหน้ากัน
นี่ที่เราได้แสดงวันนี้เพื่อท่านทั้งหลายได้มองดูใจตัวเอง ซึ่งเป็นของเลิศเลอโดยหลักธรรมชาติ แต่ถูกสิ่งที่ไร้ค่าไร้ราคา คือกิเลสตัณหาประเภทต่างๆ ปิดบังเอาไว้ ใจจึงเป็นของหมดค่าหมดราคาไปหมด เพราะกิเลสมันทำให้หมดไป ให้พยายามเปิดกิเลสออกด้วยการสร้างคุณงามความดี ใจของเราจะได้มีความสง่างามขึ้นไปเป็นลำดับ นับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงที่สุด เราอย่าชินใจในคำว่าบาปก็ดี บุญก็ดี นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลก และนิพพานก็ดี อย่าเป็นความชินใจ จะกลายเป็นเรื่องหนาแน่นไปเรื่อย ๆ แล้วพอใจกับกิเลสในการสร้างความชั่วโดยไม่รู้สึกตัว
การแสดงธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งคุณ ทั้งโทษ ทั้งนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดเปรตผีประเภทต่าง ๆ นี้เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ที่สัตว์มีอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว เช่น นรกก็สด ๆ ร้อน ๆ สวรรค์ พรหมโลกก็สด ๆ ร้อน ๆ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ที่สัตว์ตายไปแล้วได้ไปเสวยกรรมนั้นก็สด ๆ ร้อน ๆ ถ้าเราชินชาต่อไปจะกลายเป็นเรื่องเรา ไปเสวยผลแห่งความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ได้ ถ้าเราไม่ชินชา ระมัดระวัง กลัวสิ่งเหล่านี้ แล้วมีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อความดีงาม ก็เท่ากับยินดีต่อทางสวรรค์ นิพพาน ถ้าเรายินดีทำแต่บาปแต่กรรมก็เท่ากับยินดีในแดนนรก ในฟืนในไฟทั้งหลาย ให้พากันระวังตั้งแต่บัดนี้นะ ถ้าตายไปแล้วถึงมาสำรวมระวังไม่มีความหมาย ให้ระวังแต่บัดนี้
ศาสดาองค์เอกสอนโลกในเวลาที่ทรงพระชนม์อยู่ โลกปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติตามในเวลาที่มีชีวิตอยู่ เช่น สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามพระองค์จนได้เป็นพระอรหันต์ ท่านก็บำเพ็ญตั้งแต่มีชีวิตอยู่ แล้วเป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นไปตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุนั้นการบำเพ็ญความดีทั้งหลาย เราอย่าไปคาดว่าจะเอาผลในที่นู่นที่นี่โดยถ่ายเดียว โดยที่ไม่ได้ดูตัวเอง บำเพ็ญตัวเอง ให้หนาแน่นมั่นคงขึ้นไปในทางที่ดี เราจะเกิดมาเสียชาตินะ
ชาติมนุษย์นี้เกิดได้ยาก ไม่ได้เกิดง่ายเหมือนชาติของสัตว์ประเภทอื่น ๆ นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วให้เราพยายามบำเพ็ญคุณงามความดีของเราให้ดี ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ วันหนึ่ง ๆ ให้คำนึงคำนวณตัวเสมอ อย่าปล่อยเลยตามเลย ตั้งแต่ตื่นนอนถึงกระทั่งหลับ ไม่คำนึงคำนวณถึงความผิด ถูก ชั่ว ดีเลย ไม่ดี ต้องได้คำนึงคำนวณ วันนี้ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เราทำความผิดความพลาด หรือความถูกต้องดีงามอะไรบ้าง เอามาทดสอบกัน ถ้าหากว่าทำความผิดก็แสดงว่าวันนี้เราขาดทุน ให้พยายามแก้ไขดัดแปลง หาผลหาประโยชน์ในทางที่ถูกที่ดี ก็เรียกว่าเราได้กำไรขึ้นมา
ให้ทดสอบตนอยู่เสมอ อย่ามีแต่ความเพลิดความเพลิน ยิ่งเป็นเด็กซึ่งเป็นนักศึกษาด้วยแล้ว พวกนี้พวกไวไฟ ความดีดความดิ้น ความคึกความคะนอง มีอยู่เต็มหัวใจของเด็กวัยนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยธรรมเข้าเป็นเบรกห้ามล้อ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามอารมณ์ที่คิดที่อยาก ที่ทะเยอทะยาน มันจะเสียตัวของเรา คนคนหนึ่งที่ทรงตัวได้ ที่อยู่ด้วยความสงบร่มเย็น ก็เพราะมีความดีเป็นความอบอุ่น และคนนั้นก็ปฏิบัติตัวดี คนนี้ก็ปฏิบัติตัวดี ต่างคนต่างเป็นคนดี คบค้าสมาคมกันก็เป็นคนดีด้วยกัน ร่มเย็นไปตามกัน
ถ้าต่างคนต่างเอาตั้งแต่ใจของตัวเอง ใจของตัวเองนั้นมีตั้งแต่กิเลสมันเป็นเครื่องฉุดลากไปตลอดเวลา จะทำให้เราเสียได้ นี่เป็นของสำคัญ ความดี คนดี เด็กดี โลกต้องการกันทั้งนั้น เวลานี้ที่เรามาอยู่โรงร่ำโรงเรียนก็เพื่อความเป็นเด็กดีนั่นเอง เป็นคนดีมีความรู้วิชา นำไปปฏิบัติตนเพื่อหน้าที่การงานได้สะดวกสบาย เพราะความรู้วิชาอำนวย ยังไงก็อย่าลืมว่าเรื่องธรรมต้องให้ติดแนบกับตัวของเรา ถ้ามีแต่เพียงวิชาความรู้เท่านั้น เรียนมามากน้อยวิชานี้สามารถที่ไปทำความชั่วได้ถ้าไม่มีธรรม
ยิ่งเป็นคนฉลาดมากเท่าไรจากการศึกษาเล่าเรียนมานี้ กลวิธีการที่จะทำความชั่วแก่ตัวและส่วนรวมนั้นมีได้ทุกแง่ทุกมุม เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องห้ามล้อ หรือเบรกห้ามล้อ จึงต้องมีธรรมเสมอ จะเรียนรู้วิชาแขนงใดมา อย่าปล่อยอย่าวางธรรม คือความเป็นคนดี และมีเหตุผลในการปฏิบัติตัว เราอย่าถือความอยากความทะเยอทะยานเป็นความใหญ่โตยิ่งกว่าธรรม ให้ถือคำว่าควรหรือไม่ควร มีเหตุผลจับในกิริยาของเราที่จะทำ จะพูด ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเสมอ อันใดไม่ควรเราก็ไม่ทำในสิ่งนั้น เรียกว่ามีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ
เรียนหนังสือมาแล้ว วิชาความรู้นั้นมาก็เป็นเครื่องประดับตัวของเราเอง เพราะมีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ หรือเป็นเครื่องประดับอยู่อย่างลึกลับภายในวิชาของเรา เรียนมาแล้วหน้าที่การงานก็ทำประโยชน์ให้ตนได้เต็มกำลัง และทำประโยชน์ให้ส่วนรวมได้เต็มกำลังเช่นเดียวกัน ไม่มีข้อเสียเข้ามาแทรกแซงและทำลาย เพราะมีธรรมเป็นเครื่องประกันอยู่ภายในจิตใจของเราทุกคน ธรรมนี้อย่าลืมนะ ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่านักศึกษา จนกระทั่งข้าราชการงานเมือง ใหญ่เท่าไรธรรมยิ่งเป็นความจำเป็น เป็นเครื่องประดับเราให้เป็นที่เย็นใจสำหรับหน้าที่การงานของตน ได้ดำเนินไปโดยธรรม
ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาหาเรามากน้อย ก็มีความสงบร่มเย็นไปตาม ๆ กัน ผู้มีความรู้ มากน้อยเพียงไร แล้วเป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีธรรมในใจแล้วก็ยิ่งเป็นที่เคารพนับถือ ยำเกรง กราบไหว้บูชาของผู้น้อยตลอดไป ธรรมไปอยู่ที่ไหนไม่จืดจาง แต่ถ้ามีแต่กิเลสความรู้ท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอด ความรู้นั้นมากแต่การกระทำต่ำทรามยิ่งกว่าสัตว์ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ไม่สมภูมิแห่งความเป็นมนุษย์ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์เลย เพื่อประดับศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ เราจึงควรมีธรรมเป็นเครื่องประดับใจ ความระลึกผิด ถูก ชั่ว ดี นี่เป็นของสำคัญนะ
คนเรารู้ เขาไม่ได้เรียนมากเขาก็รู้ความผิด ถูก ชั่ว ดี เราเรียนมาแล้วก็ให้รู้ความผิด ถูก ชั่ว ดี และยิ่งเรียนสูงเท่าไรยิ่งเป็นข้อระมัดระวังตนมากขึ้นด้วยศีลด้วยธรรม เราจะเป็นคนดีมีสง่าราศี ทำหน้าที่การงานอันใดที่เป็นที่แสลงหูแสลงตาอย่าทำ ไม่ใช่ของดี เป็นการทำลายตัว และทำลายความนับถือ ทำลายความเคารพของผู้เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ของดี ให้นำแต่ของดีมาใช้ ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นอำนาจครอบทั่ว ๆ ไปด้วยแล้ว ยิ่งได้ทำความสำรวมตนให้มากยิ่งกว่าเด็ก และคนธรรมดา นี่แหละสำคัญมาก
เช่น อย่างพระในวัดท่าน วัดนี้ขึ้นอยู่กับหัวหน้าเป็นสำคัญ วัดหนึ่ง ๆ ถ้าหัวหน้าวัดเหลวไหล ลูกวัดมักจะเหลวไหลโลเล หาหลักหาเกณฑ์ หาธรรมหาวินัยอันดีงามมาประดับตนไม่ได้ เลยกลายเป็นพระโกโรโกโส นี่เพราะขาดความเคารพตัวเองที่ไม่เคารพธรรม ไม่เคารพวินัย ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาแทนพระองค์ที่ติดแนบอยู่ภายในใจ แต่ไม่เหลือบมองกับธรรมกับวินัย ทำตนเหลวแหลกแหวกแนวไป พระก็ไม่ดี ทีนี้ยิ่งหัวหน้าวัดยิ่งปฏิบัติตนเหลวแหลกแหวกแนวด้วยแล้ว วัดนั้นเลยกลายเป็นเรือนจำ กลายเป็นส้วมเป็นถานไป หาที่เคารพยำเกรงไม่ได้
สร้างกุฏิสูงกี่ชั้นก็ตาม มันก็เลยเป็นส้วมเป็นถานชั้นนั้น ๆ ไปหมด เพราะผู้อยู่ในกุฏินั้น ๆ มีแต่ส้วมแต่ถาน คือความเหลวแหลกแหวกแนวของพระเณรแต่ละองค์ ๆ เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไปทั้งวัด อย่างนี้ก็ไม่มีใครเคารพนับถือ ใครไม่อยากไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นส้วมเป็นถาน นอกจากเวลาจำเป็น ดังส้วมถานนี้เวลาจำเป็นจริง ๆ ใครก็เข้าเอง ถ้าไม่จำเป็นไม่เข้า อันนี้เข้าวัดเข้าวา ถ้าวัดวาไม่เป็นที่เคารพนับถือ เพราะตัวเองไม่เคารพตัวเอง แล้วใครก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง นี่สำคัญ
หัวหน้าวัดนั่นละสำคัญมากทีเดียว ถ้าหัวหน้าวัดมีความเข้มงวดกวดขัน เคารพหลักธรรมหลักวินัย ลูกวัดที่มาจากที่ต่าง ๆ เมื่อมาเห็นหัวหน้าประพฤติตัวดี น่าเกรงขาม น่าเคารพเลื่อมใสแล้ว บรรดาพระเณรทั้งหลายที่เข้ามาก็เคารพเลื่อมใสเอง และตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตัวให้ดีไปเอง ๆ อย่างนั้น นี่หัวหน้าวัดเป็นสำคัญ ไม่ว่าวัดใด วัดบ้าน วัดป่า วัดอะไรก็คือวัดของพระ เราอยู่ในบ้านก็เป็นวัดบ้าน แต่เป็นพระดีในวัดบ้าน เป็นพระดีในวัดป่า ใครไปที่ไหนเขาก็สนิทตายใจ
นี่ละที่โลกเขาอยู่ที่ไหนมีวัดมีวาเต็มบ้านเต็มเมือง ไปสร้างบ้านใหม่เมืองใหม่ที่ไหนไม่พ้นที่จะสร้างวัดสร้างวา เพื่อเป็นขวัญตาขวัญใจกราบไหว้บูชาในโอกาสที่ควรจะไปแสวงหาความสงบร่มเย็น ทำบุญให้ทานเขาก็ไป ด้วยเหตุนี้เองจึงต้องสร้างวัดสร้างวา อยู่ทุกแห่งทุกหน บรรดาชาวพุทธเราเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าภาคไหนเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นเราเป็นเจ้าของวัดของวา จึงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่การงานให้สมเพศของพระ มีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องยืนยันในตัว ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว
เพียงศีลบริสุทธิ์เท่านั้นก็เย็น ยิ่งบำเพ็ญจิตใจให้มีสมาธิ ปัญญา มีวิชชาวิมุตติ เป็นมรรค ผล นิพพาน ขึ้นภายในใจแล้ว อยู่ที่ไหนสง่างามหมด อยู่ในป่าเทวบุตร เทวดาก็เคารพกราบไหว้บูชา มีอยู่อย่างนี้ อยู่ในบ้านก็ประชาชนเคารพเลื่อมใส และเป็นความอบอุ่น เป็นขวัญตาขวัญใจแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั่ว ๆ ไป ตลอดวงราชการงานเมืองก็เคารพนับถือ เรื่องของความเป็นคนดีนี่สำคัญ ฆราวาสเป็นคนดีใครก็นับถือ พระเป็นพระดีใครก็เคารพนับถือ
ยิ่งเป็นพระที่บวชมาด้วยแล้ว ไม่มีอะไรเป็นหน้าที่การงานเป็นภาระให้มากมายก่ายกอง มีตั้งแต่การชำระกิเลส บวชมานั้นเพื่อชำระกิเลส ไม่ใช่เพื่อมาสั่งสมกิเลส บวชมาชำระกิเลส ความโลภเป็นกิเลสชำระมันออกไป ความโกรธเป็นกิเลสชำระมันออกไป ทุกอย่างที่ไม่ดีไม่งามชำระออกไปทั้งหมด บำเพ็ญแต่ความดีงาม ชำระจิตใจ ดังครั้งพุทธกาลท่านแสดงไว้ว่า เดินจงกรม คำว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นั้นคือท่านชำระจิตใจที่กิเลสอยู่กับใจ ชำระออกไปให้จิตมีความสง่างาม มีความสงบเย็นใจ นี่เป็นผู้ที่ใกล้ต่อการทรงมรรคทรงผล และเข้าถึงมรรคถึงผลได้ด้วยจิตตภาวนา
การสำรวมกาย วาจา ใจตามธรรมตามวินัยซึ่งเป็นองค์ศาสดาแทน แล้วมาอยู่ในหัวใจของเราเป็นพระที่มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม สำรวมระวังศีลธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอ นี้เรียกว่าเป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลาทุกอิริยาบถถ้าปราศจากธรรมวินัย ไม่เคารพนับถือธรรมวินัยแล้ว ก็เท่ากับเราไม่มีศาสดาเป็นคนก็เรียกว่าเป็นคนกำพร้า ไม่มีพ่อมีแม่ มีแต่ลูกยั้วเยี้ย ๆ กัดฉีกกันไป ถ้าเป็นพระก็ไม่มีใครเคารพธรรมวินัย ธรรมวินัยคือศาสดาถูกทำลาย หรือเหยียบย่ำไปหมดแล้วก็ไม่มีศาสดาติดตัว ก็มีแต่ความคึกความคะนอง ยั้วเยี้ย ๆ เต็มวัดเต็มวา เต็มบ้านเต็มเมือง พระไปที่ไหนมีแต่ความยั้วเยี้ยด้วยความไม่เป็นมงคลอย่างนี้ นี่คือความไม่ดี
ถ้าความดี พระอยู่ที่ไหนมีความสงบร่มเย็น ประชาชนเคารพนับถือกราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจ ชุ่มเย็นตลอดไป นี่เรียกว่าพระที่ดี อยู่ในบ้านก็ดี อยู่ในป่าก็ดี ท่านแสดงไว้ทั้งสอง คามวาสี อรัญวาสี คามวาสีคือ ผู้อยู่เป็นวัดบ้าน อรัญวาสีคือผู้อยู่ในป่าเป็นวัดป่า ทั้งสองนี้เป็นสถานที่อยู่ของผู้บำเพ็ญศีลธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ศีลก็บริสุทธิ์ จิตก็เร่งภาวนาด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ชำระกิเลสออกจากใจ ไม่ไปกว้านเอากิเลสเข้ามาเผาตัวเอง และเผาคนอื่นให้เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ไม่สมเหตุสมผลกับความเป็นพระ ความเป็นพระต้องเป็นความสงบ ชำระแต่ความชั่วช้าลามกออกจากใจ นี่ไปที่ไหนก็สงบร่มเย็น
ด้วยเหตุนี้เองที่ชาวพุทธเราได้สร้างวัดสร้างวาในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักของใจ เพื่อเป็นที่พึ่งของใจ สมบัติเงินทองข้าวของเขามีพอแล้วตามบ้านตามเรือน เขาไม่จำเป็นกับพระ ที่เขามาสร้างวัดก็สร้างเพื่อความจำเป็นทางด้านจิตใจ ให้มีสรณะภายในจิตใจ ระลึกถึงพระเป็นมงคลแล้ว เมื่อระลึกถึงท่านเป็นมงคลแล้ว เวลาไปพบไปเจอท่านอยู่ที่ไหน ก็เป็นทัสสนานุตตริยะ เป็นความเห็นอันสูงสุดแล้ว สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะเป็นมงคลอันสูงสุดอีกเหมือนกัน นี่ละพระผู้ทรงศีลทางธรรม ผู้ทรงมรรคทรงผลไปที่ไหนมีตั้งแต่ความเป็นสิริมงคลแก่ผู้มาเกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุนี้เองที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาสร้างวัดสร้างวา เพื่อกราบไหว้บูชา เพื่อเป็นหลักใจ สมบัติเงินทองเขามีของเขาแล้ว ส่วนหลักใจเขายังไม่มี เขาต้องเสาะแสวงหาจากพระเจ้าพระสงฆ์ อาศัยพระเจ้าพระสงฆ์เป็นผู้พาบำเพ็ญ เป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้รู้จักดีจักชั่ว และการทำบุญกับพระเจ้าพระสงฆ์ผู้มีศีลธรรมอันสงบร่มเย็นนั้น ก็เป็นมงคลแก่ผู้บำเพ็ญเป็นอย่างมาก เขาถึงได้มีวัดมีวา สำหรับการปฏิบัติของพระนี้มรรค ผล นิพพานเป็นที่ตั้งเลย
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า มรรค ผล นิพพาน คงเส้นคงวาหนาแน่น ไม่มีคำว่าเอนว่าเอียง คำว่าครึล้าสมัยไม่มี ในคำของพระพุทธเจ้าจริง ๆ ไม่มี นอกจากกิเลสมันหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก ว่ามรรค ผล นิพพานไม่มี คือกิเลสมันไม่เคยสร้างมรรค ผล นิพพาน มีแต่มันพาสัตว์ทั้งหลายสร้างแต่บาปแต่กรรม ขนสัตว์ลงนรกไม่มีประมาณเท่านั้น มันจะเอามรรค ผล นิพพานมาท้าทายได้ยังไง ตั้งแต่นรกมันยังปิดได้อีกว่านรกไม่มี แต่หลอกลวงสัตว์ให้ทำความชั่วเพื่อลงนรกอยู่นั้นแล นี่เรื่องกิเลสจะไว้ใจไม่ได้ มีธรรมเท่านั้นเป็นที่ไว้ใจได้
จึงขอให้ทุก ๆ ท่านที่เป็นพระลูกพระหลานนำไปประพฤติปฏิบัติ จะเป็นความสงบร่มเย็นแก่ตน เรื่องมรรค ผล นิพพานขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเรา เฉพาะอาชีพหรือเพศของพระเป็นเพศที่เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว กับมรรค ผล นิพพาน ผู้บวชมาไม่ได้ครองบุญครองกุศล ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพานเรียกว่าด้อยในการบวช ขอให้ได้ปฏิบัติตน อย่างน้อยขอให้มีศีลบริสุทธิ์เราก็ชุ่มเย็นภายในใจ จากนั้นบำเพ็ญจิตให้มีความสงบร่มเย็น นี่ก็เป็นสมบัติ เรียกว่าธรรมสมบัติ
ทีแรกก็ศีลสมบัติ ศีลเป็นสมบัติอันสำคัญของพระ สมาธิสมบัติ ธรรมคือสมาธิธรรมเป็นสมบัติของพระ จากนั้นก็เป็นปัญญาสมบัติ ปัญญาสมบัติแล้วก็มรรค ผล นิพพานก็เป็นสมบัติล้นค่าขึ้นมากับเรานี้แหละผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะพระมีการงานน้อยมากทีเดียว ไม่มีอะไรมารบกวน การอยู่การกินใช้สอยต่าง ๆ นี้ประชาชนเขารับเป็นภาระทั้งหมด จีวรเขาก็ให้ ที่อยู่ที่พักที่อาศัยเขาก็ให้ บิณฑบาตเขาก็ให้ แม้ที่สุดยาแก้โรคแก้ภัยเขาก็ให้ทั้งหมด เรามีแต่หน้าที่ที่จะบำเพ็ญศีลธรรมให้เกิดภายในใจโดยถ่ายเดียวเท่านั้น
จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญศีลธรรมให้เกิดภายในจิตใจของเรา แล้วเป็นผู้นำของประชาชนด้วยความสงบร่มเย็น และยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไป นี่จะเป็นมงคลแก่ชาวพุทธของเรา สมชื่อสมนามว่าชาวไทยเรามีวัดมีวามาก มีพระมีเณรมาก มีความสงบร่มเย็นมาก ก็ขอให้ได้ยินจากสิ่งที่เป็นเครื่องหมายคือ พระผู้ปฏิบัติดีมากนั้นแลพาให้เกิดความสุขมาก ถ้าเราไม่ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม อยู่เฉย ๆ ครองแต่ผ้าเหลืองเฉย ๆ ผ้าเหลืองตามตึกรามบ้านช่องมันมีไปหมดนั้นแหละ ครองกี่ชั้นก็ได้ ถ้าเจ้าของไม่ดีก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเจ้าของดีไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าประชาชน ความดีไม่เลือกหน้า ไม่เลือกเพศเลือกวัย ทำดีด้วยกัน จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติศีลธรรมให้เกิดภายในใจ สมเราเป็นลูกชาวพุทธ
นี้มีตั้งแต่เรื่องภายนอก ความสุขภายในใจไม่ค่อยมีกัน นี่จึงเป็นที่น่าห่วงใยมากทีเดียว หลวงตาพูดตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม เพราะภาษาธรรมต้องพูดเป็นธรรม ชาวพุทธเรารู้สึกว่าด้อย ทางจิตตภาวนานี้ด้อยกันมาก อาจจะเป็นเพราะไม่มีผู้แนะนำสั่งสอนก็ได้ หรือมีผู้แนะนำสั่งสอนแล้วมันก็สร้างความขี้เกียจเทียบเคียงกันไปอย่างนั้นก็ได้ มันจึงไม่สนใจทำจิตให้สงบด้วยการภาวนา ไปทางไหนจึงวุ่นวาย ชาวบ้านชาววัดวุ่นไปตาม ๆ กันหมด ไม่ทราบจะหาเกาะหายึดที่ไหน เลยกลายเป็นเรื่องว้าเหว่ไปด้วยกันทั่วประเทศไทยเรา ทั้ง ๆ ที่มีธรรมเป็นเครื่องเกาะด้วยการปฏิบัติอยู่ มันไม่ปฏิบัติมันก็ไม่ได้เกาะ จึงพากันตั้งอกตั้งใจนะ
การปฏิบัติธรรมเป็นของสำคัญต่อจิตใจของเรา อย่ายุ่งตั้งแต่ภายนอกซึ่งเป็นอาหารของร่างกาย เป็นที่อาศัยของร่างกาย ส่วนจิตใจนี้เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลาทั่วหน้ากัน เพราะจิตใจเดือดร้อนมาก อะไรจะมีก็ตามแต่จิตใจเดือดร้อน เพราะจิตใจไม่มีสิ่งบรรเทา ไม่มีสิ่งรักษา ไม่มีสิ่งบำรุง คือศีลคือธรรม คือบุญคือกุศล คือสมาธิ ปัญญา ใจจึงมีแต่ความเดือดร้อนขุ่นมัวตาม ๆ กัน ถ้าเราได้ปฏิบัติตามศาสนธรรมที่ทรงสอนไว้แล้วนี้ มรรค ผล นิพพานจะไปถามหาที่ไหน ถามกับผู้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสอน สอนลงผู้ปฏิบัติ เช่นอย่าง สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้ความเห็นของธรรม จะรู้เห็นจากผู้ปฏิบัติตัวเองโดยลำดับลำดาไป ผู้ไม่ปฏิบัติไม่มีทางรู้ได้
ดังพระท่านอยู่ในป่าในเขา เราได้คิดหรือไม่ว่า พระอยู่ในป่าในเขาคือพระภาวนา ท่านอยู่ในป่าในเขามีอยู่ทั่วไป เป็นยังไง เราเห็นว่าพระอยู่ในป่าในเขาเป็นธรรมดาเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เหรอ ท่านไม่ได้เป็นธรรมดา ท่านปฏิบัติในศีลในธรรม เพื่อมรรคเพื่อผล ทรงมรรคทรงผลจริง ๆ ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระทั้งหลาย เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่พูดไม่คุย ไม่โอ้ไม่อวด หากว่าพูดท่านก็พูดในวงปฏิบัติด้วยกัน เช่นพระด้วยกัน มาพบกันเจอกันที่ไหน ท่านสนทนาปรารภถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา วิชชาวิมุตตินี้อย่างเต็มปาก พูดอย่างเพลิดเพลินด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน แล้วต่างคนต่างก็ได้คติเครื่องเตือนใจต่อกันเป็นลำดับ ในวงปฏิบัติกรรมฐานด้วยกันท่านปฏิบัติมาอย่างนี้ เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่พูด
ทีนี้เราไปเห็นท่านผ้าเหลือง ๆ มีแก่นขนุนย้อมก็เหมือนกับผ้าขี้ริ้วอันหนึ่งๆ ห่อคนธรรมดานี้ไปเสีย เราไม่ได้คิดซึ้งถึงภายในตามเจตนาและการประพฤติของท่าน ว่าท่านประพฤติเช่นไร ท่านมีเจตนาหนักเบาขนาดไหน ท่านมีเจตนาอย่างแรงกล้าในอรรถในธรรม เฉพาะอย่างยิ่งทางศีล สมาธิ ปัญญา จิตตภาวนา ท่านถือเป็นการเป็นงานจริง ๆ เพราะฉะนั้นในป่าในเขาเราอย่าไปประมาทนะ ว่าพระจะไม่มีผู้ทรงมรรคทรงผลในป่าในเขา มีเหมือนครั้งพุทธกาลเป็นแต่น้อยลง เพราะผู้ปฏิบัติน้อยลงเท่านั้นเอง
ขอให้ปฏิบัติเถอะ เรื่องการปฏิบัติธรรมไม่ลำเอียง ผู้ใดปฏิบัติอยู่ที่ไหน ๆ ต้องเป็นมรรค เป็นผล อย่างพระปฏิบัติในประเทศไทยเรานี้ ถ้าพูดถึงเรื่องมีจำนวนมาก สำหรับผู้ปฏิบัติแล้ว ทางภาคอีสานรู้สึกมีมาก เพราะมีครูมีอาจารย์มาดั้งเดิม คือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แนะนำสั่งสอนในทางที่ถูกที่ดี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาไปศึกษาอบรมกับท่านก็ปรากฏผลเป็นที่พอใจออกมา แล้วกลายเป็นครูเป็นอาจารย์สอนพี่น้องชาวไทยเรื่อยมาจนกว้างขวาง
ทีนี้เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอน ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมอยู่แล้วไปปฏิบัติต้องปรากฏผลขึ้นมา จึงมีเรื่องมรรคเรื่องผล แต่ท่านไม่มาประกาศเหมือนเรานะ ไม่เหมือนโลกเหมือนสงสาร ท่านรู้เท่าไรท่านก็รู้อยู่ในนั้น แต่วงปฏิบัติของท่านนั้นปิดไม่อยู่ ท่านจะสนทนาปราศรัยถึงกันตลอดเวลา ใครมีภูมิจิตภูมิใจเหลื่อมล้ำต่ำสูงขนาดไหน ท่านจะรู้กันในวงปฏิบัติด้วยกัน เพราะท่านคุยกันในวงปฏิบัติ ออกไปจากนั้นแล้วท่านเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนตุ๊กตาไปเสีย ถ้าหากว่าจะผิดจากบรรดาพระกรรมฐานทั้งหลายก็คือ หลวงตาบัว
หลวงตาบัวแต่ก่อนก็อยู่แต่ในป่าในเขา ไม่เคยยุ่งเหยิงวุ่นวายกับใคร อยู่อย่างงั้นตลอดมา จนกระทั่งหมู่เพื่อนมาก็มาหาอย่างสงบ เทศน์อย่างสงบ เทศน์สอนพระนี้เทศน์แต่แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วทั้งนั้น ๆ พุ่ง ๆ เลย เรียนตามหลักความจริงเป็นอย่างนี้ ในวงแคบ ๆ ไม่ได้กว้างขวาง ประหนึ่งว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นของแปลกประหลาดในวงปฏิบัตินี้เลย เราเองก็เคยปฏิบัติอย่างนั้น ไม่เคยพูดว่าได้สำเร็จขั้นนั้นขั้นนี้ ไม่เคยพูด พูดไปหาอะไรไม่เกิดประโยชน์ เมื่อไม่ถึงกาลอันควรที่จะพูด ก็เป็นอยู่โดยดี เงียบ ๆ มาอย่างงั้นตลอด จนมาถึงกาลเวลาที่จำเป็นได้ช่วยพี่น้องทั้งหลาย ธรรมะประเภทต่าง ๆ จะออกตามกาลสถานที่เวล่ำเวลา และบุคคล เริ่มออกเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้เองจึงว่า พระกรรมฐานที่แปลกจากหมู่จากเพื่อนในวงกรรมฐานด้วยกันคือใคร จะว่าหลวงตาบัวก็ไม่ผิด เพราะหลวงตาบัวนี้พูดอย่างเปิดเผยด้วยความเมตตาสงสารแก่พี่น้องทั้งหลาย แต่ก่อนก็ไม่เคยพูดเคยจา เทศนาว่าการอะไร เป็นธรรมดา ๆ แต่เวลาออกสนามนี้แล้วมันก็ต้องได้รบ กิเลสมันเต็มโลกเต็มสงสารไม่ให้รบได้ยังไง ต้องแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวเรื่อยไปในธรรมทุกขั้น ทุกขั้นของกิเลส สอนไปชำระกันไปอย่างนี้ จนกระทั่งถึงฟาดเอาเสียถึงวิมุตติหลุดพ้น แสดงหมดสิ่งเหล่านี้
ถอดออกมาจากหัวใจมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราไม่ได้ปิดบังลี้ลับ เรียกว่าท้าทายอยู่โดยหลักธรรมชาติก็ได้ นี่ละที่ได้มาเปิดเผยธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน พูดแล้วสาธุ ไม่ได้ดูถูกคัมภีร์ คัมภีร์เราก็เรียน แต่เวลาเรียนมาแล้วก็พูดไปตามคัมภีร์ มันรู้สึกว่าผิว ๆ เผิน ๆ และลูบ ๆ คลำ ๆ เพราะจิตใจเจ้าของมันมืดตื้อ ธรรมเป็นของจริง มันก็เลยไม่มีรสมีชาติ แต่เวลามาปฏิบัตินี้ศีลก็บริสุทธิ์อบอุ่นแล้ว สมาธิก็แน่นหนามั่นคงภายในใจ นี่มีกำลังแล้ว รสชาติมีแล้วเต็มสมาธิ ออกทางด้านปัญญาวิชชาวิมุตติ ฟาดเอาเสียจนกระทั่งถึงเต็มหัวใจ
เพราะฉะนั้นการพูดเราจึงไม่มีสะทกสะท้าน ใครจะหาว่าหลวงตาเป็นบ้าเป็นบออะไรก็ตาม หลวงตาไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความเป็นบ้า ปฏิบัติเพื่อครองมรรค ผล นิพพาน จนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ในหัวใจ นำออกมาแจกจ่ายบรรดาพี่น้องทั้งหลายผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม จึงได้เปิดเผยตามความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของผู้มาศึกษา ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็จะเทศน์ไปหาอะไร เมื่อสมควรที่จะเทศน์ เพราะคนมีจำนวนมากมีภูมิจิตภูมิใจ มีอำนาจวาสนา มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง จึงต้องเปิดออกไป ๆ นี่ธรรมทุกขั้นหลวงตาได้แสดงหมดในเวลาที่ออกช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้
แกงหม้อใหญ่ก็เทศน์ ส่วนมากเทศน์แต่แกงหม้อใหญ่นั้นแหละ เพราะไม่มีผู้ปฏิบัติที่เข้ามาเกี่ยวข้อง จะให้เทศน์แกงหม้อเล็กไม่ค่อยเทศน์ ถ้ามีพระปฏิบัติ หรือผู้ปฏิบัติมีธรรมะขั้นภูมิต่าง ๆ กันซึ่งควรจะสงเคราะห์ด้วยธรรมบทใดแล้วก็ออกเอง ๆ เอา จะถึงวิมุตติหลุดพ้นฟาดกันเลย ไหลเลยทันที นี้เรียนตรง ๆ ไม่อัดไม่อั้นเรื่องธรรมทั้งหลาย ขอให้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันเถอะ ไม่มีอะไรเทียบ ท้องฟ้ามหาสมุทรยังมีขอบมีเขต จิตใจนี้ครอบท้องฟ้ามหาสมุทรไปอีก จิตใจที่มีธรรมมันจะรู้ จะเห็น จะเป็นต่าง ๆ
การพูดเทศนาว่าการตามแต่ความหนักเบามากน้อยของผู้มาศึกษา ควรที่จะได้รับผลประโยชน์มากน้อยเพียงไรจะออกทันที ๆ เลย นี่เรื่องธรรม ท่านทั้งหลายว่าธรรมมีหรือไม่มี ให้มันเป็นขึ้นในใจซี มันพูดได้ทั้งนั้นละคนเรา แม้แต่เด็กอมมือเขารู้อะไรเห็นอะไรเขาก็พูดได้ตามความรู้ความเห็นของเขา ไอ้เราแก่จนจะตายขนาดนี้รู้เห็นพูดไม่ได้มีหรือ พระพุทธเจ้าสอนโลกไม่สอนด้วยคำพูดสอนด้วยอะไร รู้แล้วมาสอนโลกผิดที่ตรงไหน สาวกทั้งหลายรู้แล้วมาสอนโลกผิดตรงไหน เอาธรรมของจริงที่รู้ที่เห็นจากความมุ่งมาดปรารถนาของตน ที่ได้บำเพ็ญมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนผลเป็นที่พอใจ นำมาสอนโลกมันจะผิดไปที่ไหน
ใครจะว่าโอ้ว่าอวดว่าอะไร ก็เป็นเรื่องของปากสกปรกเขาต่างหาก เขาไม่ได้เคยภาวนาจะมาให้คะแนนเราได้ยังไง เขาไม่เคยได้มรรคได้ผลแล้วเขาจะมาลบล้างมรรคผล คือความดีงามที่เราปฏิบัติมาแทบล้มแทบตายได้ยังไง อันนี้เป็นสมบัติของเรา อันนั้นเป็นอะไรของเขาก็ไม่ทราบแหละ ที่ตำหนิติเตียนอย่างนั้นท่านั้นท่านี้ นี่เป็นปากสกปรก ปากส้วมปากถานเราไม่มาถือเป็นอารมณ์ เพราะธรรมไม่ใช่ส้วมใช่ถาน ปฏิบัติมายังไง รู้เห็นยังไง พูดตามหลักความจริงที่รู้ที่เห็นมาตามทางของศาสดา
เพราะฉะนั้นจึงได้สอนพี่น้องทั้งหลายเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีความสะทกสะท้านในเรื่องธรรมทั้งหลายทุกขั้นไปเลย เพราะเต็มอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว แต่ก่อนเราไม่เคยเป็น ไปที่ไหนมันก็เป็นอย่างงั้นละเรื่องจิตใจถ้ากิเลสปิดไว้เสีย ความจริงจะมีมากน้อย ความเลิศเลอจะมีขนาดไหนมันก็ไม่รู้ไม่เห็น ถูกกิเลสปิดไว้หมด พอชำระกิเลสด้วยความพากความเพียรมากน้อยหนักเข้า ๆ กิเลสค่อยจางไป ๆ เรื่องอรรถเรื่องธรรมค่อยปรากฏขึ้นภายในใจๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งเปิดกิเลสที่มันปิดบังหุ้มห่อไว้หมด กระจายออกจากหัวใจโดยสิ้นเชิงแล้ว แล้วติดขัดอะไร จิตนี้เวิ้งว้างไปหมด ไม่มีอะไรติดอะไรข้อง เมื่อไม่ติดตัวเองเสียอย่างเดียว
มันสำคัญที่โลกของเรามันติดตัวเอง ติดตัวเองแล้ว จะทำอะไรก็เกรงเขาเกรงเรา จะพูดควรที่ถูกกลายเป็นผิดไป ควรที่ผิดยิ่งผิดใหญ่ไปเลย นี่ความเกรงใจเขาเกรงใจเรา ติดเขาติดเราเป็นอย่างนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ติดใคร เอาความจริงออกพูดล้วน ๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นวิสัยของแต่ละคน ๆ ผู้ควรเป็นประโยชน์ก็ให้เป็นประโยชน์ไป เพราะโลกนี้มีอุปนิสัยเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน แม้แต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านก็แสดงไว้แล้วว่าบุคคลมีหลายประเภท
อุคฆฏิตัญญู ผู้ที่รู้อย่างรวดเร็วก็มี วิปจิตัญญู ผู้ที่รู้รองลงมา ๆ เร็วก็มี เนยยะ ผู้ที่พอแนะนำสั่งสอนได้ พอถากพอเถือพอลากพอเข็นได้ก็มี ปทปรมะ ผู้หมดสาระแล้วทั้ง ๆ ที่ลมหายใจยังมีอยู่ ไม่มีสาระอะไรเลยอย่างนั้นก็มี เทียบกันได้กับคนประเภทนี้ว่า พวก ไอ ซี ยู เข้าไปในโรงพยาบาล คนไข้ทั้งหลายเขาหลั่งไหลไปรักษา เขาออกมาด้วยความหายโรคหายภัย ไม่ล้มไม่ตาย ไอ้ส่วนที่ไอ ซี ยู นี่ ไปรายไหนก็โดดเข้าไปห้องไอ ซี ยู ตายกันทั้งนั้น นี่ประเภทไอ ซี ยู มันจะไม่มองอรรถมองธรรม มองความดิบความดี เหตุผลกลไกอะไรเลย จะมองตั้งแต่ความดื้อด้านของตัวเอง มือตื๋ออยู่ในจิตใจ ไม่ยอมฟังเสียงใคร ทำลงไปส่วนที่เจ้าของต้องการซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟทั้งนั้น เผาไหม้ไปทั้งเป็น ตายแล้วก็จมไปเลย นี่ประเภทปทปรมะ
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงสั่งสอนไว้ในธรรมแก่สัตว์โลกหลายประเภท อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ สี่ประเภท ประเภทที่ควรแนะนำสั่งสอนได้ก็ต้องสอนกันไป เนยยะ พอถูไถกันไปได้ สอนกันไปหลายครั้งหลายหน ถูไถไปมาก็ค่อยถลอกปอกเปิก ค่อยมีเนื้อมีหนังขึ้นมา ไอ้ส่วนปทปรมะนั่นเราก็ปล่อยเสีย พระพุทธเจ้าก็ชักสะพานไม่เล่นด้วย สัตว์ประเภทปทปรมะแล้ว พระพุทธเจ้าแม้เป็นศาสดาองค์เอกก็ไม่ทรงสั่งสอนเลย ปล่อยเลย เพราะประเภทไอ ซี ยู
อย่างที่หมอเข้าไปในโรงพยาบาลห้องไอ ซี ยู แล้ว หมอก็เพียงดูอย่างงั้นแหละ ยาก็อย่างนั้นแหละพอเป็นมารยาท ที่จะมีความหวังว่าคนไข้ปทปรมะห้องไอ ซี ยู.นี้จะหาย ไม่มีทาง อยู่กันไปพอรอลมหายใจเท่านั้น ก็ไปเท่านั้นเอง นี่ประเภทคนที่ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมอะไรเลย ก็ปล่อยให้เป็นไปตามประเภทของไอ ซี ยู ไปเสีย ส่วนที่จะพอฉุดพอลาก ที่จะหายโรคหายภัย ด้วยหยูกด้วยยา ด้วยครูอาจารย์แนะนำสั่งสอนก็สอนกันไป นี่เป็นอย่างนั้น
พวกเรานี้อยู่ในขั้นไหน ให้ไปถามตัวเองนะ เราพูดอันนี้เราพูดเป็นกลาง ๆ ถึงโลกทั่ว ๆ ไป สัตว์ทั่ว ๆ ไป ให้ได้ย่นเข้ามาเพื่อเป็นประโยชน์แก่เรา ตั้งปัญหาถามเรา เราอยู่ในขั้นใด ขั้นวิปจิตัญญู เรื่องนอนเร็วยิ่งกว่าลิงนั่นเหรอ ท่านว่าวิปจิตัญญู คือรู้อรรถรู้ธรรม พ้นทุกข์รวดเร็ว แต่เรากลับมาเป็น อุคฆฏิตัญญู ที่ว่าความขี้เกียจขี้คร้านนั้นหนาแน่นมั่นคงมาก นอนขี้เกียจขี้คร้าน นอนหลับลงหมอนดังครอก ๆ นั้นเร็วยิ่งกว่าลิง จะให้ท่านว่าอย่างงั้นเหรอ
วิปจิตัญญู เราเป็นคนประเภทไหน ให้ถามตัวเองนะ อย่าให้ผู้อื่นคนใดไปถามมันกระทบกระเทือนกัน ให้เราถามเราเอง เวลานี้เราเป็นยังไง ใครเป็นผู้รับผิดชอบเราเวลานี้ นอกจากเราคนเดียวเท่านั้น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนฝูงเต็มแผ่นดินมารับผิดชอบเราไม่ได้นะ เรื่องความดีความชั่วอยู่กับเรา ให้เราคัดเลือกเสียตั้งแต่บัดนี้ นี่คือการตั้งปัญหาถามตัวเอง แล้วก็แก้ไขดัดแปลงตนเองไป เราจะไม่ขาดทุนสูญดอก จะหวังผลเป็นกำไรเรื่อย ๆ ไป ตั้งปัญหาถามตัวเรื่อย นี่สองสามประเภท
เนยยะ คำว่าเนยยะ พอฉุดพอลากไปได้ พอแนะนำสั่งสอนกันไปได้ ถ้ามันขี้เกียจ เอาความขยันหมั่นเพียรไสเข้าไป ขับไล่ความขี้เกียจไป มันก็แก้กันได้ ถ้าว่าความขี้เกียจนอนดีหนาครอกเลย นั่นไม่เป็นท่า นี่ละขึ้นก็ได้ลงก็ได้ ประเภทที่สามนี้นะ ให้ขึ้นดึงขึ้นขึ้นได้ ให้ลงก็ลงได้ ประเภทที่สี่ทำยังไงก็ไม่เป็นอะไร เป็นไอ ซี ยู ๆ เท่านั้น |