(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๖๐๐ คน)
(หลวงตากล่าวทักทาย ร.ม.ต.แรงงาน ที่มากราบเยี่ยมเช้าวันนี้) สุขสบายดีนะ (ครับ) หลวงพ่อก็สบายอยู่ แต่เรื่องยุ่งก็ยุ่งอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าก็ยุ่งเหมือนกัน ยุ่งเพื่อช่วยโลก พระสงฆ์สาวกยุ่งทั้งนั้น จะไม่ค่อยยุ่งกับมนุษย์นี้มีเป็นบางองค์ตามนิสัย แต่ส่วนมากมักได้เกี่ยวข้องกับโลกอยู่โดยดีแหละ ก็มีแต่พระอัญญาโกณฑัญญะที่เป็นปฐมสาวกของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์แสดงปฐมเทศนา พระอัญญาโกณฑัญญะในเบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้ ได้ดวงตาเห็นธรรม วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุÿ อุทปาทิ ธรรมที่ปราศจากมลทินทุกอย่าง ได้ปรากฏขึ้นแล้วแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ
องค์นี้สำเร็จทั้ง ๆ ที่เป็นปฐมสาวกด้วยนะ เป็นรัตตัญญู เป็นผู้ผ่านโลกมานานด้วย ผ่านธรรมมานานด้วย แล้วเวลาท่านได้สำเร็จก็เป็นปฐมสาวก สำเร็จก่อนเพื่อน แล้วอยู่ในป่าตลอด ก็มีองค์นี้แหละ นี่หมายถึงว่าไม่ได้เกี่ยวกับประชาชน แต่เรื่องเทวบุตรเทวดา พวกสัตว์พวกช้างนี้ ท่านเกี่ยวตลอดเวลา แน่ะ ถ้าไม่เกี่ยวกับคนก็ไปเกี่ยวกับสัตว์ มีช้าง ช้างนี่เป็นช้างโพธิสัตว์ อุปัฏถัมภ์อุปัฏฐากท่านเหมือนคนอุปถัมภ์อุปัฏฐากทีเดียวนะ ท่านไปอยู่ในฉัททันตสระ ๑๑ ปี ฟังซินานไหม ท่านไปอยู่ในป่ากับโขลงช้าง ช้างเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐาก ช้างเป็นช้างโพธิสัตว์ นี่ละองค์นี้ไม่ค่อยได้เกี่ยวกับประชาชน ดูว่าท่านสอนได้หลานชายคนหนึ่ง คนเดียว พระอัญญาโกณฑัญญะนี้สอนหลานชายได้คนเดียว พระปุณณมันตานีบุตร อันนี้เป็นธรรมกถึกเอก เป็นพระอรหันต์ เป็นธรรมกถึกเอก นักเทศน์เอก เพียงองค์เดียว
พอถึงเวลาจะนิพพานแล้วท่านก็ออกมาเฝ้าทูลลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พวกพระเณรหนุ่มน้อยก็คงเหมือนกับพระเณรวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ตาล็อก ๆ แล็ก ๆ เหมือนตาลิงนี้แหละ ถ้าใครไม่เคยเห็นให้ดูตาพระตาเณรวัดป่าบ้านตาดก็แล้วกัน นี่พระอัญญาโกณฑัญญะท่านมาเข้าทูลลาพระพุทธเจ้า ท่านอยู่ในป่า ผ้าสีแก่นขนุนจึงไม่มี เป็นสีดินแดงหินแดงผสมย้อมผ้า พอออกมาทูลลาพระพุทธเจ้า พวกพระเณรทั้งหลายเห็นแปลกหูแปลกตา ตาลีตาลานว่างั้นเถอะ โอ๊ย ตื่นเต้นออกมาดูท่าน ดูพระอาการพระพุทธเจ้าที่รับสั่งปฏิสันถารกันอะไร ๆ กับพระอัญญาโกณฑัญญะนี้ ผิดกับที่พระเณรทั้งหลายสังเกต ตื่นเต้นกัน นึกว่าพระมาจากไหนไม่รู้เรื่องรู้ราว ลักษณะอย่างนั้นแหละ เขาบอกว่าสีผ้าเหมือนสียักษ์
พอมาทูลลาพระพุทธเจ้า พระเณรก็คอยเฝ้าดูอยู่นั้นแหละ พอพระอัญญาโกณฑัญญะทูลลาพระพุทธเจ้า จะลาไปปรินิพพานนะนั่น ถึงกาลเวลาแล้ว ออกมาจากภูเขา พอท่านผ่านออกไปพระเณรก็รุมมา พระเณรก็เหมือนพระเณรวัดป่าบ้านตาดนี่แหละรุมออกมา นี่หลวงตามาจากไหน ทูลถามพระพุทธเจ้านะ นี่หลวงตาองค์นี้มาจากไหน ดูสีผ้าเหมือนสียักษ์ พระพุทธเจ้าจึงว่า จุ๊ ๆ ๆ อย่าพูดอย่างนั้น ๆ เหมือนกับท่านออกอุทาน โธ่ อย่าพูดอย่างนั้น ๆ นี่รู้ไหมพี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลายน่ะ นี่ละพระอัญญาโกณฑัญญะ
คือพวกนั้นไม่รู้เรื่อง ได้ยินแต่ชื่อพระอัญญาโกณฑัญญะ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมาทูลลาพระพุทธเจ้าจริง ๆ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถึงได้รุมกันมาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า หลวงตาองค์นี้มาจากไหน มองดูสีผ้าเหมือนสียักษ์ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า จุ๊ ๆ ๆ อย่าพูดอย่างนั้น ๆ แต่พระพุทธเจ้ายังดีนะ เพราะท่านเป็นศาสดาองค์เอก เราเป็นแบบหนึ่งเหมือนลิง พอว่าอย่างนั้นเราจะตีปากปั๊วะเลย สูนี่ ทันทีเลยเข้าใจไหม จากนั้นพระองค์ก็สอน รู้ไหม นี่ละพระอัญญาโกณฑัญญะที่เป็นปฐมสาวกของเรา นี้เป็นพี่ชายใหญ่ของพวกเธอทั้งหลาย เวลานี้เธอถึงกาลอายุขัยแล้ว เธอมาลาจะไปปรินิพพานแล้ว
นี่เราพูดถึงเรื่องว่าผู้ไม่มาเกี่ยวข้องกับประชาชน เป็นตามนิสัยวาสนาของท่าน มีพระอัญญาโกณฑัญญะที่เด่นมาก ไม่ค่อยเกี่ยวข้องใคร แต่กับพวกเทวบุตรเทวดาพวกสัตว์นี้เด่นนะ โขลงช้างนี้เต็มไปหมดอุปัฏถัมภ์อุปัฏฐาก เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะไปที่ไหน โขลงช้างตามเฝ้า นี่เป็นอย่างนั้น องค์นี้เด่นในทางเกี่ยวกับพวกสัตว์ สาวกทั้งหลายเหล่านั้นเกี่ยวกับประชาชน มีจำนวนมาก นี่เราพูดถึงเรื่องการยุ่ง มันก็ยุ่งอย่างนี้แหละ โลกมันอยู่ร่วมกัน ความทุกข์สุกดิบอะไรเกี่ยวโยงกันก็ต้องกระเทือนถึงกัน จึงได้พูดให้ฟังอย่างนี้
เราเองก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างแหละวันหนึ่ง ๆ ก็เพราะความเมตตาสงสารได้ช่วยบ้านช่วยเมือง ช่วยตัวเองก็เพียงช่วยธาตุช่วยขันธ์ไปวันหนึ่ง ๆ พอถึงกาลเวลาของมันเท่านั้น เพราะธาตุขันธ์นี้เป็นเครื่องมือ เครื่องมือสำหรับใช้ทำประโยชน์ ถ้าเป็นเครื่องมือของคน สัตว์ทั่ว ๆ ไป คนทั่ว ๆ ไป ก็เป็นเครื่องมือทำลายได้เป็นส่วนมาก จะทำประโยชน์ไม่ค่อยมี ธาตุขันธ์อันนี้ไปทำลายเสียมาก แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เครื่องมืออันนี้ที่เอามาใช้ ใช้เป็นประโยชน์ล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปเลย นี่เราก็ใช้มันไปอย่างนั้นแหละ ถึงกาลเวลาแล้วป่าช้ามีอยู่ทั่วไป เฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่กับตัวของเรา
พาเดินป่าช้าก็เดิน พายืนป่าช้าคือความตายก็ยืน พานั่งป่าช้าก็นั่ง พานอนป่าช้าก็นอน พากินพาขับพาถ่าย โยกย้ายไปไหน ป่าช้าก็เป็นไปตามนั้น ๆ พอถึงกาลเวลาแล้วอันนี้ก็ดับวูบลงไป ถ้าจิตใจของผู้สร้างบาปสร้างกรรม จิตดวงนี้ไม่ตาย ไม่เคยตายมาตั้งแต่กาลไหน ๆ เรียกว่าเป็นอนันตกาล จิตดวงนี้ไม่เคยมีป่าช้า ทีนี้พอร่างสลาย คือร่างกายของสัตว์ของบุคคล ของใคร ๆ ก็ตาม หมดสภาพสลายลงไป จิตดวงนี้ดีดออก แล้วก็ไปสร้างภพใหม่ชาติใหม่ขึ้นมา
ภพใหม่ชาติใหม่นั้นขึ้นอยู่กับเชื้อภายในที่เป็นผู้บงการ คือกรรมดีกรรมชั่ว ถ้าเป็นกรรมชั่วแล้วก็พาหมุนลง ใครมีกรรมชั่วมาก ได้สร้างไว้ตั้งแต่ยังไม่ตาย มีกรรมชั่วมากน้อยเพียงไร นี้ละอำนาจของกรรมนี้จะดันลงไปเลย ถ้ากรรมชั่วมากก็ดันลงมาก มากเท่าไรผึงทันทีเลย ขาดสะบั้นอย่างไม่มีอะไรมากีดมาขวางได้เลย คือผู้ทำชั่วมาก แล้วผู้ทำดีมากก็อีกเหมือนกัน ผึงเลยทันที นี่ละจิตดวงนี้ไม่เคยตาย ตั้งภพตั้งชาติมากี่กัปกี่กัลป์ นี่ถ้าไม่มีความดีเป็นเครื่องพยุง ภพชาติของเรานี้ยังดีนะ เป็นภพชาติมนุษย์ พอขาดจากร่างกายนี้แล้ว อาจจะไปเป็นเปรตเป็นผีลงนรกอเวจีเลยก็ได้ จิตดวงนี้พาไป เพราะกรรมดันไป ถ้ามีกรรมดี จิตดวงนี้ละพาไป ไปตลอดจนกระทั่งถึงนิพพาน
จิตดวงนี้จึงไม่เคยตาย ท่านจึงสอนให้พยายามรักษา เรื่องจิตใจเป็นสำคัญมาก เราอย่าเห็นแต่วัตถุเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์ อันนี้เป็นเครื่องยั่ว หรือเป็นเครื่องหลอกลวง เป็นยาเคลือบน้ำตาลของกิเลสที่มันหลอกสัตว์โลกผู้โง่เขลาเบาปัญญา ไปตามมันแล้วให้พาจม ๆ ท่านเตือนไว้หมด เพราะเหตุไร เพราะกิเลสแหลมคมมากทีเดียว สอนเราให้โง่มากที่สุดเลย ธรรมจึงฉุดขึ้น ๆ
นี่เราพูดถึงเรื่องจิตมันไม่ตาย ทีนี้ผู้มีคุณงามความดีอยู่ภายในจิต ผู้นี้มีหวัง เช่น ภพชาติ เกิดเหมือนกันแต่อำนาจแห่งบุญแห่งกรรมพาไปเกิด เราจะไปเกิดเองโดยลำพังไม่ได้นะ ถ้าจะไปเกิดเองโดยลำพัง ๆ ไม่มีใครตำหนิใครได้ เพราะใครก็ไปเกิดตามความต้องการของตน แต่นี้เกิดมาเป็นยังไง ใครมีแต่ความผิดหวัง ๆ ไม่ค่อยมีคนสมหวัง เพราะกรรมพาให้ไปเกิด แล้วสิ่งที่ไม่สมหวังเป็นสิ่งที่ตนอยากทำ เช่น ความชั่วช้าลามกนี้ จะเป็นผลให้ผิดหวัง ๆ แต่เราอยากทำ ๆ อันนี้คือเครื่องล่อให้เราไป นั่นละเวลาคนเกิดสัตว์เกิดจึงไม่ค่อยจะสมหวังกัน จึงต้องให้สร้างความสมหวังด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดีทุกคน ๆ
ให้เชื่อเถิด พระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด เป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว รู้แจ้งเห็นจริง สอนโลกไม่มีผิดพลาดประการใดเลย ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม คือทางเดินเพื่อมรรคผลนิพพานตรัสไว้ชอบแล้ว ให้พากันก้าวเดินตามนี้ เมื่อผู้บำเพ็ญตามนี้แล้ว คือสร้างความสมหวัง ๆ ให้ตัวเอง ภพชาติจะไปเกิดเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปก็ตาม แต่ภพชาติของผู้มีความดีงามนั้น เป็นภพชาติที่สมหวัง ๆ รื่นเริงบันเทิงไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง ด้วยอำนาจแห่งความดี เรื่องความชั่วมีแต่ให้ผิดหวัง ๆ ผิดหวังมากน้อย ๆ จนจม ให้พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ ไม่พูดมาก
เดี๋ยวนี้เป็นรัฐมนตรีอะไร (ร.ม.ต.แรงงานและสวัสดิการสังคม ครับ) ออกจากตำรวจแล้วก็ไป..(ลาออกจากตำรวจครับ แล้วได้รับโปรดเกล้าเป็น ร.ม.ต.) นั่นละ ไปที่ไหนเราก็ทำงานเพื่อโลก เพื่อแผ่นดินไทยของเรา แผ่นดินไทยของเราจะมีความสงบร่มเย็นยังไง เราเป็นผู้นำให้นำไปเพื่อความสงบร่มเย็นนั้น ๆ นั้นถูกต้องเหมาะสม ใครอยู่ที่ไหนก็ทำงานเพื่อชาติ ๆ โยกย้ายไปไหนก็ไปเพื่อชาติ ชาติมีความเจริญรุ่งเรืองก็เจริญด้วยผู้นำเป็นสำคัญ จะพาจมก็ผู้นำเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นผู้นำท่านจึงสอนไว้เสมอมา อยู่ที่ไหนต้องมีผู้นำ แม้ที่สุดเช่นวัดก็มีผู้นำ หมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านมีผู้นำ ๆ ตลอดถึงที่สุด อยู่โดยลำพังมันปีนเกลียวกัน ต้องให้มีผู้นำจึง
เหมือนเข็ม ด้ายต้องเย็บตามเข็มอย่างนั้นละ
อาหารที่มาใส่บาตรทุกวันนี้ อาหาร ประชา เรานี่นะ ให้ผู้กำกับมาถวายแทน ประชานี่ลูกบุญธรรมหลวงตานะ ลูกโปรดคนหนึ่งนะ ตีได้ ฆ่าได้ เฆี่ยนได้ลูกคนนี้ นี่มอบภาระให้ผู้กำกับการตำรวจอุดรฯ มาถวายจังหันแทน ปิ่นโตนี้เท่าต้นเสานี่ของง่ายเหรอ อ้าว มันใหญ่ก็บอกว่าใหญ่ซี ใหญ่ไปว่าเล็กมันขัดกัน ปิ่นโตนี้เป็นชั้น ๆ เมื่อเช้ามาก็เห็นตั้งอยู่ เราก็ดูเห็นเขียนชื่อเจ้าของไว้บนปิ่นโต มาตั้งกึ๊กนี้เราต้องเอาก่อนใคร ๆ ทั้งนั้นแล้วก็แจก เราเป็นหัวหน้าก็ต้องเอาก่อนใครล่ะซี มาประจำหลายปีแล้วนะ มอบภาระให้ทางผู้กำกับการตำรวจสถานีอุดรฯ เป็นผู้ทำหน้าที่แทน มาจังหันแทน
นี่เห็นไหมล่ะ พ่อกับลูกพูดกัน พอปิ่นโตมานี้ว่าเป็นปิ่นโตประชาเรา เราก็ว่าประชาเราทำอย่าบกบางนะ เอาให้เต็มเหนี่ยว ๆ มาทุกวัน นี่สั่งผู้กำกับนะ เราบอกอย่างนี้นะ ถ้าเป็นประชาเราแล้วอาหารอย่าให้บกบาง เอาให้เต็มเหนี่ยว ๆ ผลจะเต็มเหนี่ยวตลอดไป เราสั่งผู้กำกับ ผู้กำกับก็ทำอย่างนั้น เต็มที่ทุกวัน เราก็บอกเจ้าของด้วย นี้พ่อสั่งเองนะ สั่งให้ทำอาหาร ทางนั้นก็ทำมาเต็มที่อยู่แล้ว เราเพิ่มอีก เลยตกลงล้นทุกวัน ๆ ปิ่นโต เจ้าของไปทำงานทำการอะไรก็ตาม บุญเป็นบุญเป็นกุศลค้ำชูเจ้าของตลอดไป ไม่ว่าจะทำที่ไหนบุญเป็นบุญตลอดเวลา เหมือนกันกับทำบาปอย่างนั้น
(พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หล้า คำชะอี เป็นอย่างไรครับ) เสร็จแล้ว อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุนะ สวยงามมาก ถ้าอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วเรียกว่าตีตราแล้ว นี้คือพระอรหันต์ ในตำราท่านบอกไว้อย่างชัดเจน คืออัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ ต้องเป็นอัฐิของพระอรหันต์เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรานี่รู้สึกว่ากระจายมาก ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง ๆ โอ๊ย หลายองค์นะ เท่าที่พ่อ(คำแทนองค์ท่านที่พูดกับประชา) นับได้บ้างลูกศิษย์ของท่าน ท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์คำดี หลวงปู่พรหม หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ เหล่านี้มีแต่กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อย ๆ แล้ว แต่หลวงปู่แหวนนี้เราไม่ได้ไปเห็น แต่ยังไงก็ตามได้ขึ้นเวทีฟัดกันแล้ว หลวงพ่อกับหลวงปู่แหวนฟัดกันบนเวที อยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋ง คือเตรียมใส่กันว่างั้นเถอะ ทางนั้นท่านก็เกร็งใส่เรา ๆ ก็เกร็งใส่ท่าน (ลูกก็ไปด้วยครับ) หือ ไปด้วยหรือ แต่เวลาไปด้วยพ่อเข้าห้องไม่ได้เข้าด้วยซี เข้าใจไหมล่ะ เวลาเข้าห้องฟัดกันอยู่ในห้องไม่ได้เข้าไปซี ออกมาจึงได้ยินเสียงเอะอะอยู่ข้างนอก ของดีเพิ่นเอาไปกินหมดแล้ว นั่นแหละถึงเชื่อไว้เลย องค์นี้เชื่อไว้เลยตั้งแต่ท่านยังไม่ตาย เชื่อไว้แล้ว ก็บอกว่าเป็นแล้วนะ (หลวงปู่ชอบเป็นยังไงบ้าง) ยังไม่ทราบ หลวงปู่ชอบนี่ยังไม่ทราบ
หลวงปู่ฝั้นนี่ก็แน่ว่าจะเป็น ตอนสนทนาธรรมะนั่น ท่านเข้าช่องแล้ว พูดตรง ๆ อย่างนี้นะ เราพูดตรง ๆ อย่างนี้ นี่แหละภาษาธรรม เวลาท่านพูดของท่าน เราก็ฟัง ว่าจะคุยกับท่านโดยเฉพาะ ยังไม่ค่อยมีเวลา ท่านไม่ค่อยอยู่คนเดียวนะ ไม่เหมือนเรา เรานี่ใครมาศอกงัด ๆ ถ้าว่าจะอยู่คนเดียว ใครมายุ่งไม่ได้นะ ท่านไม่มีอย่างนั้น มีแต่อา ๆ เรื่อย จะคุยธรรมะเฉพาะไม่ได้สักที แต่มาจับเอาแย็บที่ท่านพูดออกมา ท่านเล่าเรื่องจิตของท่านให้ฟัง ๆ นั่น เข้าช่องแล้ว ตอนนั้นปี ๒๕๐๖ พอจำได้ ที่พ่อจะไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา แล้วก็ไปแวะที่วัดภูธรพิทักษ์
ท่านพักอยู่นั้น หมอเขาห้ามไม่ให้รับแขก ท่านไม่รับแขกแต่ท่านรับพระนั่นซี เวลาเราเข้าไป เราจะคุยธรรมะโดยเฉพาะ พระก็อยู่กับท่านเสีย เราเลยไม่ได้คุย จับได้แง่หนึ่ง จับได้จุดนี้เข้าช่องแล้วแน่ เข้าช่องต้องพุ่ง ให้ถอยไม่มี นับวันจะพุ่งอย่างเดียว ถ้าลงได้เข้านี้แล้วปั๊บ ชี้เลยต้องเข้าเรื่อย ๆๆ เป็นอย่างนั้น นี่แหละพระอนาคามี ท่านเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขั้นพระอนาคามี จึงเป็นขั้นที่แน่นอน ที่จะหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวในไม่ช้า นี่ท่านเข้าช่องตรงนั้นแล้วจะพุ่งแหละ เราจึงแน่ใจว่า ถึงยังไม่เป็นก็จะเป็น อาจจะเป็นช้าก็ได้
คืออัฐิกลายเป็นพระธาตุนี่ มีอยู่หลายประเภท หนึ่ง พอผู้สำเร็จแล้วไม่นานนิพพานไปเสีย นี่ก็อัฐิจะนานหน่อยกลายเป็นพระธาตุ ทีนี้อีกข้อหนึ่งที่มารับกันนี้ก็คือว่า ผู้ที่สำเร็จแล้วไม่นานนิพพานไปเสีย ท่านอาจอบรมมาเป็นลำดับลำดาเป็นเวลานานแล้ว พอสำเร็จแล้วนิพพานไปเสีย อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้ง่ายเหมือนกัน เพราะหนุนกันมาอยู่แล้ว ต่างกันอย่างนี้ ถ้าผู้ที่อยู่นาน ๆ สำเร็จแล้วอยู่นาน ๆ อยู่ในธาตุขันธ์นี้ จิตที่บริสุทธิ์นี้ซักฟอกธาตุขันธ์โดยอัตโนมัติของมัน คือจิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์นี้ ขันธ์จะกลายเป็นขันธ์ละเอียดเข้าไป ๆ เพราะฉะนั้นเวลาท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุ คือขันธ์ก็สะอาดเต็มที่ของขันธ์ ในส่วนสมมุติไปอย่างนี้แหละ มีหลายขั้นที่จะสำเร็จไปนี้
ที่จำได้นี้ก็คือ อย่างท่านหล้า (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)นี่ก็เป็นแล้ว ที่อยู่ภูจ้อก้อ นี้ก็สวยงามเหมือนกัน เป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ท่านสิงห์ทองก็เป็น ท่านจวนก็เป็น นี่หลายองค์มีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น นี่แหละที่ว่า โรงงานใหญ่ คือโรงงานผลิตธรรมแก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ให้กระจายออกทั่วประเทศไทยทุกภาคนะ มีแต่ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเราทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าภาคไหนนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ไปอยู่ทุกภาค ๆ เป็นองค์สำคัญ ๆ ไปอยู่ ธรรมะจึงค่อยแน่นอนกระจายออกไป ไม่ค่อยผิดพลาดแหละ ส่วนมากจะไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าออกจากหลวงปู่มั่นจริง ๆ ด้วยความเป็นธรรมเรียบร้อยแล้ว ออกไปสอนจะเป็นธรรมเรื่อย ๆ ไปเลย ถ้าโกโรโกโสก็มีนะ ตั้งแต่ลูกพระพุทธเจ้ายังเป็นเทวทัตก็มีจะว่าไง ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็อาจจะเป็นเทวทัต เทวทัตก็ต้องนับหลวงตาบัวเป็นที่หนึ่ง เทวทัตตีคนไม่รั้งมือ ตีเรื่อยไปเลย เทวทัตตัวนี้เป็นแบบนี้ (หัวเราะ) ปากก็เร็ว ตีก็เร็ว ดุก็เร็ว ตบก็เร็ว นี่มันเทวทัตแบบนี้ เรามันคนละแบบเทวทัต
นี่แหละเท่าที่จำได้นะ เออ หลวงปู่คำดีก็เป็นเรียบร้อยแล้ว นี่แหละท่านที่ว่าเป็นแล้ว ๆ คือตีตราเป็นพระอรหันต์ไว้เรียบร้อยแล้ว คือในตำราท่านบอกอย่างชัดเจนไม่มีข้อแม้เลย อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้ ต้องเป็นอัฐิพระอรหันต์เท่านั้น บอกเท่านั้นเลย นอกนั้นเป็นไม่ได้ ให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com