ความโหดร้ายไม่มีอะไรเกินกิเลส (ปัญหาพิจารณาเวทนา-กาย)
วันที่ 28 กันยายน 2543 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

ความโหดร้ายไม่มีอะไรเกินกิเลส

(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๗๐๐ คน)

ก่อนจังหัน

ดูซิพระจำนวนเท่าไร ร่วม ๕๐ องค์ ท่านมาฉันจังหันไม่กี่องค์ ท่านฝึกท่านทรมานเพื่อความดี เพื่อเป็นพระดี ท่านทนเห็นไหม พวกเราไม่มีใครอดใครทนให้เห็นบ้างเลย โกโรโกโสทะเหละเกะกะ มองไปทางไหนขวางหูขวางตา ขวางทุกอย่าง เพราะมีแต่กิเลส มันจึงขวางธรรมคือความดีงามตลอดเวลา เราสอนมาจนจะตายแล้วนะ นี่ยิ่งเปิดออก ๆ พี่น้องทั้งหลายทราบหรือยัง หรือจะพากันจมลงในนรกสด ๆ ร้อน ๆ นี้เหรอ เราอยากพูดอย่างนั้นนะ นี่ไม่ได้สอนเล่น ๆ นะสอนพี่น้องทั้งหลาย นรกเดือดพล่าน ๆ มากี่กัปกี่กัลป์ ยังมาปฏิเสธว่านรกไม่มีอยู่เหรอ นี่ลากขึ้นขนาดนั้นนะ มันจ้าอยู่ในหัวใจจะให้ว่ายังไง

พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกทุกพระองค์ ไม่ได้เคลื่อนคลาดจากกันนะ สอนด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริงจริง ๆ ไม่ได้เคลื่อนคลาดนะ โลกวิทู ๆ รู้แจ้งเห็นหมดมาสอนโลก ไม่ได้หลับตามาสอนเหมือนกิเลสหลับตาจูงสัตวโลก มันโง่จะตายกิเลสมันหลับตาจูงก็ได้ ไม่ต้องลืมตาจูง มันขัดกันอย่างนี้นะ ธรรมท่านสอนท่านสอนด้วยหูแจ้งตาสว่าง พวกเราเป็นยังไง มันเลวจริง ๆ อยากพูดให้ฟังอย่างนี้ละนะ เราผู้สอนเราทนไม่ไหวเราก็ลากแรง ๆ บ้าง อันนี้ลากขึ้นแรง ๆ ไม่ได้ทุบได้ตีพี่น้องทั้งหลายให้บอกช้ำ ลากขึ้นแรง ๆ ไม่งั้นมันจะจมนรกทั้งเป็น

กิเลสมันกล่อมไปหมด มันไม่มีอะไรที่ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่เป็นภัยต่อสัตว์มันไม่ให้กลัว สิ่งที่เป็นคุณต่อสัตว์มันให้กลัว ฟังซิน่ะ นี่ละจึงเรียกว่ากิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกัน ๆ จึงมีศาสนามาสอน ไม่งั้นไม่ได้นะจมจริง ๆ นี่ก็สอนเต็มกำลังความสามารถ เวลานี้นำพี่น้องทั้งหลายร่วม ๓ ปีเข้ามาแล้ว ธรรมะนี้เริ่มเปิดออก ๆ เพราะจวนจะตายแล้ว ความสงสารล้นพ้น นี่ละที่ได้อุตส่าห์พยายาม พวกท่านทั้งหลายยังจะหาว่าหลวงตานี้มาดุด่าว่ากล่าว พูดสกปรกโสมม พวกจมอยู่ในกองมูตรกองคูถมันสกปรกหรือไม่สกปรก ลากขึ้นจากกองมูตรกองคูถ ยังหาว่าการลากนี่เป็นความสกปรกโสมม ดุด่าว่ากล่าวอยู่เหรอ เอาไปพิจารณานะ ถึงขนาดนั้นนะเดี๋ยวนี้

โห มันเดือดพล่าน ๆ มากี่กัปกี่กัลป์ เผาสัตว์นรกทั้งหลายที่กิเลสหลอกว่านรกไม่มี ๆ นั้นแหละ ที่ไหนจะอัดแน่นยิ่งกว่าสัตว์นรก เพราะมันชอบทำตั้งแต่ความชั่วกันนั่นซิ เวลาฟังไม่อยากฟัง ยังต่อต้านธรรมอีก ไม่ใช่เล่น ๆ นะ ต่อสู้ธรรม เห็นว่าธรรมเป็นข้าศึก กิเลสเป็นข้าศึกในหัวใจไม่ได้ดูเลย นี่ดูซิพระท่านอุตส่าห์พยายามมาจากภาคไหน นี่ทุกภาคนะ วัดนี้รับไว้ทุกภาคทั่วประเทศไทย ที่ท่านอุตส่าห์พยายามมาบึกบึน เห็นไหมล่ะ ดูเอาซิ เอาเป็นตัวอย่างบ้างซิ เราไม่ได้แบบท่าน เราให้แบบลูกศิษย์มีครูสอนก็ยังดี อย่าโกโรโกโสเลอะ ๆ เทอะ ๆ ถ้าเป็นรถก็ไม่มีเบรก เหยียบแต่คันเร่ง ลงคลอง ๆ จมไป ๆ อย่างนั้นนะเวลานี้ โห มันทุเรศจริง ๆ นะ

ท่านทั้งหลายเห็นว่าเรามาพูดเล่นกับพี่น้องทั้งหลายเหรอ ถึงได้นอนใจ ๆ สอนขนาดนี้แล้วยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่เหรอ หนาขนาดไหนถามเจ้าของบ้างซิ หรือว่าบางขนาดไหนให้ว่างั้นเหรอ นี่ที่มันทุเรศจริง ๆ นะ มองไปที่ไหนมันจะดูไม่ได้นะ นั่นละธรรมดูโลกดูตลอดทั่วถึง ดูละเอียดลออ โลกไม่เห็น ธรรมเห็นหมด พระพุทธเจ้าสอนมานี้ ทั้งโลกเห็น ทั้งโลกไม่เห็น ธรรมสอนหมด โลกมันก็ไม่ยอมฟังเสียงล่ะซิ มันหนาจริง ๆ นะ

หลังจังหัน

ทางเข้ามานี่มันมักจะปิดอยู่ตลอดนะ เพราะใครมาก็ยุ่มย่าม ไม่เคยรู้ว่านี้เป็นทางเพื่ออะไร ใครมาก็ปุ๊บปั๊บมานั่งเสีย เราอยากเอาอีตาขี้เหล้ามานอนอยู่ที่นี่สักหน่อย อีตาขี้เหล้า คือแกกินเหล้าแล้วมาขี้แตกอยู่แถวนี้ มันปิดดี เอาอีตาขี้เหล้ามานอนอยู่ที่นี่สักหน่อย ให้มันแตกฮือหมดเลย อันอื่นเอาปิดไม่อยู่ ถ้าเอาอีตาขี้เหล้ามานี้ โอ๊ย เปิดโล่งเลย อีตาคนนี้มีงานที่ไหนแกต้องเป็นหัวหน้า ซัดเหล้าเสียพอแล้วนอนที่ไหนนอนได้เลย ทุกแห่ง เพราะฉะนั้นจึงว่านี้มันปิดนักหนา เราจะเอาอีตาขี้เหล้ามานอนแถวนี้สักหน่อย ศาลาหลังนี้มันเก่งนัก เอาอีตาขี้เหล้ามานอนที่นี่คนเดียว โอ๋ย แตกฮือเลย แม้แต่หลวงตาเองก็จะทนไม่ไหว หลวงตาก็จะเผ่นเหมือนกัน อย่าว่าแต่ใครเก่งเลย

ก็หลวงตานั่นแหละเอาอยู่หมัดเลยเทียว ตั้งแต่นั้นแล้วฟาดเอาอย่างเต็มเหนี่ยว เทศน์อย่างเด็ดขาด บอกให้กราบลูก ไปเอาลูกทุกคนมา กราบลูก กราบเมียแล้วกราบลูก หมาที่ไหนขึ้นมานี้ก็กราบหมา ขนาดนั้นนะ เราสู้หมาไม่ได้ต้องยอมรับความจริง อะไร ๆ ที่ไหนกราบให้หมด ทำไมมนุษย์ทั้งคนถึงโง่กว่าหมา โง่กว่าสัตว์เหล่านี้ เอามาเทียบกันซิน่ะ เราเลวขนาดไหน ยังทะนงอยู่เหรอ กินขี้ทะลักไปหมดยังไม่รู้ตัวหรือ เด็กเหล่านี้เขาไม่ได้ขี้ทะลักนะ ฟาดลงไปอีก เมียไม่ขี้ทะลัก ลูกไม่ขี้ทะลัก ไปกราบลูกกราบเมีย ขนาบลงไปเลย ถึงได้ยอมขาดสะบั้นเลย

ตั้งแต่วันนั้นไม่แตะเลยนะ แกจริงมาก เพราะทางนี้ก็เด็ดใส่กัน ก็ดูให้เอาเป็ดเอาไก่มาให้กราบหมด หมู หมา เป็ด ไก่ เขาไม่ได้ขี้ทะลัก อันนี้ขี้ไปเรื่อยขี้ดะไปเลย ทำไมมันเลวยิ่งกว่าหมา ยังทะนงตัวอยู่เหรอ ไม่ยอมกราบหมาหรือ เอาขนาดนั้น แล้วหยุด ครับ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปหยุดแล้วที่นี่ จริง ๆ เหรอ เราจะเอาหมามาเป็นพยานนะ ซ้ำอีกนะ ถ้าหากไม่เอาหมามาเป็นพยาน ให้หมาขี้รดหัวมัน ขนาดนั้นละ หยุดเลยนะ ขาดตั้งแต่บัดนั้นไม่แตะเลยนะ แกก็จริงเหมือนกันจนกระทั่งวันตาย หยุดเลย

เห็นไหมล่ะโอวาทสอน เป็นยังไงฟังซิ เอาหมูเอาหมาเอาเป็ดเอาไก่มาให้อีตาคนนี้กราบคนเดียว มันสู้หมาไม่ได้ ออกจากนั้นให้หมาขี้รดหัวมันอีก ก็สะแตกเหล้าแล้วขี้ราด พวกหมู หมา เป็ด ไก่ เขาไม่ได้ขี้ราด สู้พวกเขาไม่ได้ ให้เขามาขี้ใส่หัว สู้เขาไม่ได้ต้องยอมให้เขาซิ เอาขนาดนั้น นั่นละเห็นไหมเรื่องของสกปรกกับของสะอาดชะล้างกัน สกปรกอย่างนั้น น้ำฟาดลงอย่างหนัก แกก็หยุดตั้งแต่บัดนั้น สาปแล้วเรื่องสุรา ไม่แตะเลยนะ ตั้งแต่บัดนั้นต่อไปจนกระทั่งตาย

ฟังเอาซิธรรมะของท่าน มีบทหนักบทเบาอย่างนั้นฟังเอา อย่างที่พูดนี่ ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน น้ำหนักไม่พอกัน ไม่เหนือกันแก้ไม่ตก ท่านไม่ได้คำนึงว่าหยาบว่าโลนว่าดุว่าด่า นั่นเรื่องของกิเลสป้องกันตัวมันต่างหาก ให้รู้กันเสียนะ อุบายวิธีการต่าง ๆ ถ้าพูดอะไรมีดุ ๆ ด่า ๆ บ้าง กิเลสมันป้องกันตัว อุ๊ย ท่านดุ พูดสกปรกโสมมอย่างนั้นอย่างนี้ กิเลสมันป้องกันตัว ตัวกิเลสมันสกปรกที่สุด ธรรมะลงไปที่ว่าหยาบโลนคือน้ำสะอาดซัดลงไปตรงนั้น กิเลสมันปิดมันไม่ให้แตะ มันปิดกั้นมันว่า หาว่าท่านพูดสกปรก ตัวกิเลสมันตัวสกปรกมันกั้นมันกางเอาไว้ไม่ให้น้ำที่สะอาดเข้าไป หาว่าท่านพูดสกปรก

การพูด-พูด คือน้ำที่สะอาดได้แก่ธรรม ชะล้างลงไปตรงนั้น มันไม่ยอมให้แตะ จึงหาเรื่องว่าท่านพูดดุพูดด่า ท่านพูดหยาบพูดโลน ธรรมะไม่เคยคำนึงถึงเรื่องหยาบเรื่องโลนนะ ว่าดุว่าด่า ธรรมะไม่มี เหมือนกับน้ำสะอาดชะล้างที่สกปรก ไม่ได้มีว่ามีเดือดมีแค้นมีดุมีอะไรต่ออะไร ไม่เคยมีเจตนาอย่างนั้น มันสกปรกนี้เทลงไป ๆ ชะลงไปถูไป นั่นละน้ำชะล้างเป็นอย่างนั้น ไม่มาคำนึงถึงเรื่องความสกปรกความสะอาดอะไรแหละ ท่านไม่ได้คำนึง สิ่งที่แก้กันตกคืออะไร เอาตรงนั้น น้ำหนักเป็นของสำคัญ ถ้าน้ำหนักไม่พอกันแก้ไม่ตก ต้องมีน้ำหนักพอกัน เหนือกัน ๆ

อย่างที่ว่าท่านพูดดุพูดด่าพูดอะไร ๆ มีแต่กิเลสป้องกันตัวมัน ให้พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ คือตัวมันตัวสกปรกที่สุด ตัวหยาบโลนที่สุด ตัวดุตัวโหดร้ายที่สุด คือตัวของมัน ธรรมะชำระ แก้อันนี้ลงไป แก้โหดร้ายลงไปให้กลายเป็นคนดี ก็หาว่าทางนี้ดุด่า โหดร้าย แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะกิเลส มันเก่งไหม มันสวมรอย ๆ สวมรอยเลย เราไม่รู้ ธรรมะจ้าไปหมดยังบอกแล้ว มันอยู่ฉากไหนรู้หมด..ธรรม ไม่อย่างนั้นแก้ไม่ตก

อะไรจะสกปรกยิ่งกว่ากิเลส โหดร้ายทารุณ ไม่มีอะไรเกินกิเลส นี่ละหลักใหญ่เป็นอย่างนี้ ทีนี้ธรรมะชะล้างลงไปตรงนั้น ๆ มันก็หาว่าธรรมะนี้โหดร้ายทารุณ เห็นไหมมันสวมรอยทันที หาว่าดุด่าว่ากล่าว หาว่าสกปรกโสมม ธรรมะเป็นของสะอาด สกปรกที่ไหน ตัวกิเลสสกปรกมันไม่ให้แตะมัน เอาธรรมะชะล้างสิ่งสกปรก มันหาว่าธรรมะนี้สกปรก ดูซิน่ะ อย่างนี้มันถึงได้กล่อมโลกโง่ ๆ ตาบอดหูหนวกอย่างพวกเรา มันถึงได้กล่อม

ทีนี้ย่นเข้าไป ที่รวมของสกปรกอยู่ที่ไหน กิเลสมันก็ไม่บอก มันไม่ให้รู้ อยู่ที่ใจ เท่านั้นธรรมะฟาดเข้าไปตรงนั้น อยู่ที่ใจ แก้ใจให้ค่อยมีความสะอาดสะอ้านขึ้นมา แล้วกองทุกข์ก็จางไป ๆ ความสุขความสงบเย็นใจก็ค่อยปรากฏขึ้นมา นั้นคือธรรม ผลของการชำระได้แก่ความสงบเย็นใจ ผลแห่งการสั่งสมความสกปรกได้แก่กองทุกข์ อยู่ที่หัวใจ ๆ ไม่ได้อยู่ที่อื่น แล้วโลกเห็นเมื่อไร โลกไม่เห็น เรื่องของกิเลสเอาชัด ๆ อย่างนี้ละนะ อย่างเราพอรู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก รู้สะอาดรู้สกปรก รู้บุญรู้บาป ท่านก็สอนให้ปฏิบัติสมควรแก่ภูมิของผู้รู้บุญรู้บาป รู้ดีรู้ชั่ว รู้หนักรู้เบา สัตว์ทั้งหลายเขานุ่งซิ่นนุ่งผ้าไหม เขาไม่ได้นุ่ง มนุษย์เรานี้ทำไมจึงต้องนุ่งเสื้อนุ่งผ้าแต่งเนื้อแต่งตัว เพราะอะไร นั่นมีทั้งธรรมมีทั้งกิเลสอยู่ในนั้น

กิเลสก็คือตัวสกปรก มันอยู่เต็มเนื้อเต็มกายของสัตว์มนุษย์เรา จึงต้องปิดต้องป้องเอาไว้พอให้น่าดู แล้วมันก็แยกออกมาเป็นเครื่องประดับตกแต่งให้สวยงาม ให้หรูหราฟู่ฟ่า ให้สนใจกว่านั้นอีก ลืมตัวสกปรก ที่มันเป็นตัวสกปรกนั้นหมด นั่นเห็นไหมล่ะ เอาไปดูซิ ความจริงคือปิดป้องกำบังเอาไว้ หุ้มห่อเอาไว้นี้ คือห่อความสกปรกของกิเลสทั้งมวลพอให้อยู่ได้ แต่นั้นกิเลสมันก็เปิดขึ้นมาอีก ให้ตกแต่งสวยงาม อันนั้นมาประดับเอานี้มาประดา นี่เรื่องของกิเลสออกร้านนะ ทีนี้โลกทั้งหลายก็มามองดูนี้ ลืมดูตัวสกปรก ธรรมจ้าหมดเลย คำเหล่านี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม โลกถึงได้ลืมเนื้อลืมตัว ลืมจนกระทั่งเอายศถาบรรดาศักดิ์มาเหยียบย่ำทำลายกันเพราะอำนาจของกิเลสตัวนี้เอง มันแทรกอยู่ในนั้น

พระพุทธเจ้าท่านเปิดโล่งหมด ให้ความเสมอภาคแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยกัน นั่นเห็นไหมธรรมจ้าไปหมดเลย ถ้าเป็นมนุษย์ก็ไม่มีชั้นวรรณะที่จะมาถือมายึด เพื่อมาดูถูกเหยียดหยามย่ำยีกัน เอากรรมครอบปุ๊บเลย สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาทั่วโลกนี้มีกรรมเป็นแดนเกิด ไม่ได้เกิดมาด้วยความต้องการของตนโดยลำพัง ถ้าตามต้องการแล้วใครไม่อยากต่ำ อยากสูงทุกคน ดีทุกคน แต่นี้มันเป็นไปไม่ได้เพราะกรรมไม่อำนวย ตัวทำไว้ยังไงกรรมต้องเป็นมาอย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ท่านจึงบอกว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น คือไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างกรรมเต็มตัว ๆ กรรมดีกรรมชั่วสับสนปนเป แต่ละสัตว์ละบุคคลเหมือนกันหมด ท่านจึงให้ความเสมอภาค ให้ปฏิบัติตัว อยู่ในฐานะใดก็ทำตัวให้ดี ๆ อย่าดูถูกเหยียดหยาม คนนี้ชั้นนั้นชั้นนี้ คนนี้ยศสูง คนนี้ยศต่ำ มาดูถูกเหยียดหยามกันด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสเหยียบย่ำทำลายหัวใจกัน คนเราไปดูถูกกันมันเป็นยังไง ตั้งแต่เด็กลองไปว่ามันดูซี มันร้องไห้นี่นะ จะว่าอะไรผู้ใหญ่เรา ไม่เสียใจมันร้องไห้หรือเด็ก ไปดูถูกเด็ก อันนี้มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายยิ่งรู้ภาษายิ่งกว่าเด็กเข้าไปอีก

ท่านจึงสอนครอบไปหมด ไม่ให้ดูถูก เมื่อต่างคนต่างไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างยอมรับกรรมดีกรรมชั่ว ซึ่งตนเองเป็นผู้ทำเอง คนอื่นไปตกแต่งไม่ได้ ถ้าตนยอมรับนี้แล้วก็ให้ต่างคนต่างปรับเนื้อปรับตัว ให้อภัยซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกัน มีแก่ใจต่อกัน นั่น ทีนี้โลกก็ประสานกันซิ นี่ละโลกประสานด้วยธรรม

ถ้ากิเลสละแยกส่วนแบ่งส่วนให้แตกกระจัดกระจาย คนนี้ชั้นนั้น ๆ นอกจากว่า นี่ลูกเขา นี้ลูกเรา ยังเอาลูกเรานี้เหยียบลูกเขาอีก ถ้าเห็นแก่ตัวเป็นอย่างนั้นนะ เอามาเหยียบบ้านเขา เอาฐานะเราเหยียบเขา หรือผู้มีฐานะต่ำต้อยกว่า เหยียบกันลงไป ๆ เอาภาคนี้เหยียบภาคนั้น เอาภาคนั้นเหยียบภาคนี้ เรียกว่าทำลายทั่ว ถ้าเราพูดประเทศไทย ทำลายทั่วประเทศไทย คนนี้ไม่ใช่คนสมัครสมาน คือคนทำลายโลก ทำลายประเทศ นี่คือกิเลส กิเลสต้องทำลายตลอด ยกตนข่มท่าน ๆ ไปตลอด ถ้าเป็นธรรมแล้วสมัครสมาน อวัยวะส่วนไหนไม่ดีรีบแก้ไข นั่นถึงถูก มีบกพร่องตรงไหน เป็นแผลเป็นอะไรให้รีบแก้ไขดัดแปลงอวัยวะนี้ ถ้าหากว่าแก้ไขดัดแปลงไม่ได้แล้วจะเสียกันทั้งร่างเลย

อันนี้มนุษย์ ยกตัวอย่าง เช่น ประเทศไทยทั้งประเทศ ส่วนไหนบกพร่องช่วยเหลือกัน มีแก่ใจอุ้มชูกัน เหมือนกับเราบำรุงรักษาธาตุขันธ์ร่างกายของเรานี้ แล้วก็ดีขึ้น ๆ อันนี้ไม่ดีเอามีดไปฟันมันเป็นยังไง ไปตำหนิมันแล้วเอามีดไปฟันตรงที่ไม่ดี ขาดสะบั้นไปหมด คนคนนั้นเลยตาย คนไหนไม่ดีก็ดูถูกเหยียดหยามกันยิ่งแล้ว นี่ละธรรมท่านจึงให้สมาน ๆ อันไหนไม่ดีให้พยายามเยียวยา ถ้าช่วยเหลือกันได้แง่ไหนให้รีบช่วยเหลือกัน

นั่นละท่านว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย คือให้รักกัน ด้วยเป็นผู้มีกรรมด้วยกันทุกคน อย่าดูถูกเหยียดหยามกัน แล้วก็ให้ต่างคนต่างช่วยเหลือ มีแก่ใจต่อกัน ไปไหนสมัครสมานกันได้หมด นั่นคนมีธรรม ไม่ได้มีละ คนนั้นอยู่บ้านนั้น คนนี้อยู่เมืองนี้ ไม่ได้มีละ ทราบเฉย ๆ ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ แต่ไม่นำมาดูถูกเหยียดหยามและยกยอปอปั้นกันโดยหาเหตุผลไม่ได้นะ ให้สมานกันอย่างนั้น

นี่เราพูดถึงเรื่องความสะอาดชะล้างสิ่งสกปรก นี่เป็นกว้าง ๆ นะ ทีนี้เข้ามาวงของแต่ละคน ๆ โลกทั้งหลายหาแต่ความสะดวกสบาย ถ้าว่าทางก็ให้สะดวกสบาย ที่อยู่ที่กินที่หลับที่นอนให้เป็นความสะดวกสบาย เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวให้สะดวกสบาย หรูหราฟู่ฟ่า เป็นความสะดวกสบายเพื่อร่างกายเท่านั้น ใจสกปรกยิ่งกว่านรกทั้งเป็นอยู่นั้น ไม่ได้มองดูกันเลย ดูกันบ้างซิตรงนี้ ใจเป็นยังไง สิ่งเหล่านี้หรูหราฟู่ฟ่า ใจมันหรูหราด้วยอะไร หรูหราด้วยไฟเผาหัวมัน หาความสะดวกไม่ได้คือใจ แต่งให้แต่ร่างกาย ส่วนที่จะแต่งให้จิตให้ใจได้รับความสะดวกสบายโล่งโถงนี้ไม่มี ธรรมพระพุทธเจ้าจึงชะล้างสิ่งสกปรกภายในใจนี้ออก จิตใจก็โล่งโถงสบาย ๆ

นี่ละทำความสะดวกให้ใจ บำรุงรักษาใจ ที่อยู่ก็วิหารธรรม ธรรมเป็นเครื่องอยู่ ความเพียรเป็นเครื่องอุดเครื่องหนุน เพียรเพื่อจะแก้ไขดัดแปลงตนเองให้เป็นคนดี สนับสนุนกันไป ใจก็โล่งไป ๆ สบายไป นี่เรียกว่าตกแต่งที่อยู่ให้ใจ ที่อยู่ที่อาศัยทุกอย่างให้ใจ อย่าตกแต่งเป็นบ้ากันแต่ร่างกายจนเกินไป พากันเข้าใจแล้วยัง จะให้ว่าอย่างไรอีก เอาไม้ตีด้วยหรือ นั่นมันเกินไป ทั้งสอนทั้งไม้ไล่ตี มันเกินไป

มันก็เป็นศาสนาญี่ปุ่นหรือไง นั่งภาวนา ใครนั่งสัปหงกงกงัน อาจารย์เอาไม้ตีเลย ดูว่าอย่างนั้นเขาบอก อันนี้ก็ได้ยินมาแว่ว ๆ นะ เขาโกหกหรือไม่โกหกแต่เราไม่มีเจตนาอะไร เขามาเล่าให้ฟัง เขาเล่าว่าลูกศิษย์ลูกหานั่งภาวนาอยู่นี้ อาจารย์จะเดินกึ๊ก ๆ ไปดู คนไหนมีสัปหงกงกงันเอาไม้หวด ๆ ว่างั้นนะ เราก็เลยนำอันนี้มา ถ้าไม่เป็นความจริงเราก็โกหกคนหนึ่ง แต่ไม่มีเจตนา

ตกแต่งบ้างซี จิตใจมีแต่ความตีบตันอั้นตู้ มีแต่ความทุกข์ความทรมานอยู่ทั่วดินแดนรู้ไหมเวลานี้ เราว่าโลกนี้มันเจริญที่ตรงไหน มันเจริญเกี่ยวกับร่างกายซึ่งเป็นสิ่งพอกพูนของกิเลสหลอกคนต่างหากนะ ส่วนธรรมที่จะแก้ไขปัดหัวกิเลสออก คือเพื่อความสะดวกแก่ทางด้านจิตใจด้วยความดีงามทั้งหลาย ธรรมท่านว่าอย่างนั้นนะ ให้ตกแต่งอันนี้แล้ว ข้างนอกก็ตกแต่งที่นี่ เหมาะสมไปหมด ถ้าภายในใจดีแล้วภายนอกก็ดีไปหมด ตกแต่งยังไง ๆ ภายในใจเป็นผู้บงการเอง ด้วยธรรม ๆ

อันนี้มันด้วยกิเลส ๆ บงการ มันถึงมาตีบตันอั้นตู้ในเจ้าของที่ว่าหรู ๆ หรา ๆ ตกแต่งให้ดี ๆ แล้วตัวทุกข์ใหญ่อยู่ตรงนั้น มหาเศรษฐีไม่สนใจในธรรม นั้นคือไฟนรกเผาหัวมันรู้จักไหมล่ะ ดูให้ชัดซิ นี่ละธรรมสอนโลกท่านสอนอย่างนี้นะ ธรรมนี้จ้าไปหมดเลย ให้พัฒนาจิตใจ สำคัญมากเป็นอันดับหนึ่ง ที่จะพัฒนาร่างกาย สถานที่อยู่อาศัย ต้องพัฒนาทางด้านจิตใจประกอบให้เป็นคู่เคียงหรือเป็นอาจารย์ หรือเป็นครูสอนกันไป ตัวเรานั่นละสอนทางด้านนามธรรมสอนด้านวัตถุ จิตใจคือนามธรรม ปรับปรุงจิตใจให้ดี แก้ไขดัดแปลงอันไหนไม่ดีทางด้านวัตถุ เอ้า แก้ไขกันไป ถ้าแก้ไขโดยธรรมแล้วดีทั้งนั้น อันนี้มันแก้ไขด้วยกิเลส มันพอกพูนด้วยกิเลส เอาไฟเผาตัวไม่รู้ตัวนะ

ให้พากันตกแต่งทั้งภายนอกภายใน จิตใจก็ตกแต่ง ภาวนา ใจมันไม่สงบเพราะมันสกปรก มันสร้างความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา สร้างอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาภายในใจ กวนใจ ๆ ผลก็คือความทุกข์ความทรมาน ทีนี้เวลาเราอบรมจิตใจภาวนานี่ ระงับไม่ให้มันยุ่งภายนอก เอาธรรมที่เป็นโอสถซึ่งจะบำรุงรักษาใจให้ดีให้สงบร่มเย็นนี้เข้าแทนที่ เช่น กำหนด พุทโธก็ดี ธัมโม หรือสังโฆ คำบริกรรมใดก็ดี นี้คืออารมณ์ของธรรม ให้เกาะที่นี่ ที่นี่จะพาสะอาดสะอ้าน ที่นี่จะพาให้มีความสงบร่มเย็น อารมณ์เหล่านั้นภัยทั้งนั้น นั่นธรรมชะล้างกันอย่างนั้น

ทีนี้ใจก็ค่อยเบิกกว้างออก ๆ ก็สงบร่มเย็น ๆ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับเหมือนที่เคยเป็นมา ผู้ได้อบรมธรรมะเห็นประจักษ์อยู่อย่างนี้นะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ถ้ามีแต่กิเลสล้วน ๆ โลกนี้เป็นไฟตลอด มองกันบ้านนี้เจริญ บ้านนั้นเจริญ มันก็เจริญแบบเหยียบย่ำกัน ใครมีอำนาจมากเท่าไรยิ่งสั่งสมอำนาจมากขึ้น ๆ เหยียบย่ำทำลายผู้มีอำนาจน้อย หรือผู้ด้อยอำนาจ ด้อยฐานะต่าง ๆ ด้อยความรู้วิชา พวกนี้เหยียบย่ำทำลาย นี้คือเรื่องของกิเลส ถ้าเรื่องของธรรมกระจายออกมา ตรงไหนบกพร่อง เอ้า ช่วยกัน ๆ อันไหนเป็นที่ลุ่ม เอ้า ถมลงไป ถ้าดินก็ดี อันไหนสูงกวาดลงมาให้สม่ำเสมอกันไป เพื่อความสุขจะได้สม่ำเสมอกันไป นี่เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้นนะ

โลกมันมีแต่โลกกิเลส แล้วทีนี้เวลาหาความสุขนั้นน่ะ ตั้งแต่มหาอำนาจลงมามีความสุขที่ไหนไม่มี มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น ยิ่งใหญ่ยิ่งโตเท่าไรยิ่งรักยิ่งสงวนอำนาจใหญ่โต ควบคุมไว้หมดไม่ให้มีใครมาผ่านได้แหละว่างั้นเลย ทำลายไปเรื่อย กดขี่บังคับกันไปเรื่อย เอาอำนาจเจ้าของกดขี่บังคับเขาถือว่าเป็นความสุข มันไม่ได้สุข กองทุกข์อยู่กับผู้หากวาดหาต้อนนี้มากที่สุดคือผู้นี้เอง นี่หาด้วยความเป็นธรรม ดูด้วยความเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วที่ไหนที่มีความสุขความเจริญในโลกอันนี้ ไม่มีนะถ้าไม่มีธรรม มีแต่โลกเป็นฟืนเป็นไฟ

แต่กิเลสไม่ให้มองฟืนมองไฟ มันให้มองหาตั้งแต่ข้างนอก ไปข้างนอก เพื่อสั่งสมฟืนไฟมาทับถมเผาตัวเองเข้าเรื่อย ๆ อย่างนั้น โลกจึงไม่มีที่สิ้นสุดของวัฏวนแห่งความทุกข์ทั้งหลาย ไฟเผาตลอดเวลา ถ้าธรรมจับเข้าไปปั๊บนี่จะมีวรรคมีตอน นั่นละหาความสุขต้องหาที่ใจหาที่ธรรม พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกใครเสมอเหมือน ไม่มี ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีเหมือนพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ นี่แหละธรรมสอนโลก ท่านสมบูรณ์แบบด้วยความสุข และเอาความสุขมาสอน กำจัดความทุกข์ออก ทุกข์มันมาด้วยเหตุผลกลไกอะไรแก้มันออก ๆ เพื่อความสุขจะเจริญงอกงามขึ้นไป นั่น ท่านสอนธรรมท่านสอนอย่างนั้นนะ ท่านแก้มาอย่างนั้น ท่านได้ผลอย่างนั้น แล้วเอาวิธีการอย่างนั้นมาสอนโลก ท่านไม่สอนสุ่มสี่สุ่มห้า

พวกเรามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซี มองเห็นเขามีเงินมีทองมีข้าวมีของ มีตึกรามบ้านช่อง เครื่องใช้ไม้สอยหรูหราฟู่ฟ่า ว่าบ้านนี้คนนี้เขามีความสุข ฟังซิ นี่แหละกิเลสมันหลอก มันสุขอะไร ? ธรรมจับเข้าไป ไฟกองเท่านั้นแหละ กองเท่าที่มันมีนั้น สมบัติข้าวของเงินทองมากน้อย ถ้าไม่มีธรรมแทรกแล้วเป็นไฟทั้งนั้น ถ้ามีธรรมแทรกเป็นคุณขึ้นมา แยกแยะไปใช้ทางไหนเป็นประโยชน์ ๆ เพราะธรรมพาใช้ ถ้ากิเลสพาใช้เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้ตัวเองและเผาไหม้คนอื่นตลอดไปหมด ให้พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้…

(คณะ ผ.อ.โรงพยาบาลอำเภอนาทม จังหวัดสกลนคร เข้ามากราบ) โรงพยาบาลนาทมนั่นเราก็เคยช่วย จำได้แต่ให้ตึก นาทมเราให้ตึก ดูเหมือน ๒ ชั้น ลืมแล้ว ยังไม่เสร็จดี เราไปดู จากนั้นมาไม่ได้ไปอีก เพราะงานเรามากนะ อะไรอีก วันนี้อย่าขออะไรนะ เราจะตายแล้ว (ไม่ได้ขออะไรครับ) อ้าว มันต้องขู่เรื่อยซิ ไม่ขู่ขอจริง ๆ ทีนี้มันเข็ดก็ขู่เลยซีจะว่าไง(มาขอพรรับตำแหน่งใหม่เฉย ๆ ครับ) เอาละพอใจ ให้ตั้งหน้าปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองนะ ให้สมบูรณ์ทีเดียว

หมอคือพ่อแม่ของคนไข้ทั้งหลาย ตรงนั้นนะ หมอพยาบาลคือพ่อคือแม่ของคนไข้ทั้งหลาย เขาวิ่งเข้าไปนี้หัวใจเขาอยู่กับหมอกับพยาบาล กิริยามารยาทของหมอของพยาบาลเป็นยังไง วางตัวกับคนไข้ยังไงบ้าง นิ่มนวลอ่อนหวานด้วยความเมตตาด้วยแล้ว คนไข้ถูกยาขนานนี้ก่อนแล้ว ขนานมารยาทที่ให้แก่คนไข้นี้ นี้ถูกแล้ว ยานั้นค่อยตามมาทีหลัง เมื่อส่วนใหญ่ถูกคือหัวใจถูกชุ่มเย็นแล้ว ยาก็เสริมกันไปหายเร็ว ถ้าแม้จะไม่หายก็สุดวิสัย คนไข้ก็เห็นใจหมอ เป็นอย่างนั้นนะ ให้พากันจำเอาไว้

หมอกับหมามันใกล้ ๆ กันนะ ระวังให้ดี พอตัดสระ ออ ออกแล้วสระอาเข้าไปปั๊บนี้หมาขึ้นทันที ถ้าขาดก็ขาดหางเท่านั้นแหละ เข้าใจไหม หมอเป็นหมาแต่ไม่มีหาง ขาดพวกนี้ก็ปลอมอีก เข้าใจไหม ใช้ไม่ได้ อย่าเอามาใช้เลย ให้ปฏิบัติอย่างนี้นะ อย่างนี้แหละเข้าหาหมอสอนหมออย่างนี้ เขาเรียกว่า เอาอ้อยไปขายสวน ธรรมเหนืออ้อย นั่นเห็นไหมล่ะ ปั๊บมานี้ออกทันทีเลย พูดจริง ๆ นี้นะ เราเคยพูดลูกศิษย์ลูกหา ที่ไหนโรงพยาบาลไหนมีแต่ลูกศิษย์ทั้งนั้น ศาสตราจารย์ ๆ มีแต่ลูกศิษย์ทั้งนั้น ไปก็สอนลูกศิษย์ ฟาดแต่ ก.ไก่ ก.กา ขึ้นไปเลย

นี่แหละเรื่องของหมอต้องเป็นเหมือนพ่อแม่คนไข้ อบอุ่นเข้าไป คนไข้เท่านั้นมีเหรอ ญาติคนไข้เข้าไปเท่าไร หน้าเหี่ยวหน้าแห้งไป พอไปเห็นทางนั้นกิริยามารยาทนุ่มนวลอ่อนหวานต่อคนไข้แล้ว ก็เริ่มยิ้มแย้มแจ่มใส สำหรับคนไข้เริ่มถูกยาขนานเอกแล้วคือมารยาท นี่แหละเป็นยาขนานเอก เข้าถึงตัวคนไข้ก่อนยาเลยเชียว จากนั้นก็ปฏิบัติรักษากันไป เมื่อสุดวิสัยไม่ว่าที่ไหนมันก็ตาย ยิ่งโรงพยาบาลนั่นแหละเป็นป่าช้ามากยิ่งกว่าที่ไหน ๆ เราเรียกโรงพยาบาลเฉย ๆ ป่าช้าคน รักษาไม่ไหวมันก็ตายเหมือนกันหมด นอกโรงพยาบาลก็ตาย ในโรงพยาบาลก็ตาย นี่มันสุดวิสัย ใครก็รู้ ถ้าไม่สุดวิสัยอย่าให้เป็นไป ให้ปฏิบัติต่อกัน น้ำใจเป็นของสำคัญมากนะ เอาละสอนเท่านั้นแหละพอ ให้พร

นี่โรงพยาบาลเจริญศิลป์ ถ้ามาแล้วเราก็จัดให้ ของให้เต็มรถ ๆ อัตราเท่ากัน จำนวนเท่ากัน ๆ อันนี้ก็นาทม เจริญศิลป์ สองแล้ว วันนี้สองแล้ว ของเต็มโกดัง ขนมา ๆ ซื้อมาเป็นแสน ๆ กว้านเต็มเอี๊ยด ๆ ไม่บกพร่องนะเป็นประจำ เราอยู่ก็ตามไม่อยู่ก็ตามโรงพยาบาลมาต้องได้ไปทุกโรง ตบท้ายก็เติมน้ำมันให้หมด จึงว่าช่วยเต็มเหนี่ยว

รถเดี๋ยวนี้ก็ร้อยกว่าคันนะที่เราช่วยโรงพยาบาล เราไม่ได้บอกให้เขาติด(ป้ายผู้บริจาค)เขาก็ติดของเขา เราไม่สนใจแหละ มีแต่บอกไว้ว่าไม่ต้องเขียนแหละสำหรับเรา เราไม่ต้องการอะไรแล้ว ชื่อหลวงตาบัวมีแล้วแต่วันเกิด แต่เขาก็ไปเขียนอยู่งั้นแหละ เราก็ไม่ว่า มันก็มีประโยชน์อยู่ส่วนหนึ่งเราก็คิด แต่จะคิดเพื่อเรายกยอตนเองไม่มี คิดเพื่อประโยชน์ ถ้าเขาอ่านนี้เขามีความรู้สึกยังไง ๆ นั่น ปลุกใจเขาให้เป็นไปในทางที่ดี เราก็เฉย ๆ เสีย เราว่าไม่ต้องการเรื่องของเรา แต่เขาไปเขียนก็เป็นเรื่องของเขาไป แล้วผลประโยชน์มันมีเราก็เลยไม่ห้าม

ปัญหา

ถาม : กราบขออนุญาตเจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้หนูปฏิบัติมันปวด เจ็บขามาก คิดว่าการปฏิบัติ ตอนตายทุกขเวทนาความเจ็บปวดคงมีมากกว่านี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ จะเอาจิตไว้ตรงไหน ถึงจะไปสู่สุคติ หนูเกิดปัญหาขึ้นมาในใจตัวเองค่ะ ก็ไปเปิดหนังสือชุดเตรียมพร้อมอ่าน ๆ ก็ยังไม่แจ้งในตัว จะทำอย่างไรในเมื่อทุกขเวทนาเป็นอย่างนี้ จะทำยังไงจิตถึงจะไปสู่สุคติได้ เพราะความทุกข์ระทมในความปวดเจ็บนี้มากเหลือเกิน จะแยกออกได้อย่างไร

ตอบ พิจารณาทุกข์ ถามถึงเรื่องทุกข์มันถึงชัดเจน เรื่องไปสู่สุคติไม่สู่สุคติไม่ต้องถาม ให้ดูอันนี้ให้ชัดเจน ทุกข์มันเกิดขึ้นจากอะไร อะไรเป็นทุกข์ หนังเนื้อเอ็นกระดูกนี้หรือเป็นทุกข์ หรือทุกข์มาเป็นหนังเนื้อกระดูก หรือหนังเนื้อกระดูกเป็นทุกข์ ถามกัน หรือใจเป็นทุกข์ ย้อนกันถามกัน เรียกว่าถามหาความจริง ทีนี้เวลาเราซักถามจริง ๆ แล้ว ทุกข์มันสักแต่ว่าทุกข์ มันไม่มีความหมายของมัน มันไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์นะ ทีนี้ใจไปให้ความสำคัญแก่มันว่า มันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์แก่ส่วนใด เช่นเป็นทุกข์แก่กระดูก เช่นปวดหัวเข่ามาก ว่าหัวเข่าเป็นทุกข์ ถ้าคนตายแล้ว เอาหัวเข่าไปเผาไฟ หัวเข่าเป็นทุกข์ไหม หัวเข่าก็ไม่เป็นทุกข์ นั่น เห็นไหมล่ะ ไล่กันไป ไล่กันมา เข่าก็ไม่เป็นทุกข์ ทุกข์ก็ไม่เป็นทุกข์สำหรับมัน มันไม่มีความหมาย แล้วใจนี่ไปให้ความสำคัญเฉย ๆ ใจก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ถ้าใจไม่หลง ย้อนไปย้อนมา มันจะรู้ที่นี่นะ นี่แหละจิตมันจะหดตัวเข้ามาเป็นตัวของตัว

นี่แหละสร้างสวรรค์นิพพานขึ้นที่นี่ เข้าใจไหม พอเห็นอันนี้รอบแล้วจิตจะถอยจากนั้นมาเป็นตัวของตัว แต่ก่อนมันไปยึดอันนั้นว่าเป็นเรานี้เป็นของเรา แข้งเรา ขาเรา ทุกข์ก็เป็นของเรา อะไรเป็นของเราไปหมด มันเลยไปกว้านเอาอันนั้นมาสร้างไฟเผาตัวเอง ทีนี้พอพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ว่าต่างอันต่างจริง หนังเนื้อเอ็นกระดูกเวลาตายแล้วไปเผา เขาไม่เห็นว่าอะไร เวลานี้เป็นทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร ถามอย่างนั้นนะ ครั้นหากว่าทุกข์มาเป็นกายจริง ๆ แล้วทุกข์เกิดแล้วดับไป ทำไมกายยังไม่ดับ ถ้าหากว่าทุกข์มาเป็นกายจริง ๆ แล้ว ทุกข์ต้องตั้งอยู่จนกระทั่งถึงกายดับใช่ไหม ? นี้มันเกิดขึ้นชั่วคราว ดับไปชั่วคราว อันนั้นก็เป็นอันนั้น อันนี้ก็เป็นอันนี้ เข้าใจเหรอ ?

นี่เรียกว่า พิจารณาซักกัน มันทุกข์มากเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนติ้ว ๆๆ แล้วต่อไปมันก็รอบของมัน พอรอบของมัน มันรื้อถอนเข้ามาปุ๊บ เข้ามาหาหัวใจ ใจเป็นตัวมายา เมื่อใจไม่เป็นมายาโกหกเจ้าของเสียอย่างเดียว ใจเป็นใจ สิ่งเหล่านั้น กายก็เป็นกาย ทุกข์ก็เป็นทุกข์ ต่างอันต่างจริง กระทบกันหนักเบามากน้อยเพียงไรไม่หวั่น นั่น เพราะใจรู้เป็นตัวของตัวแล้ว ใจต่างหากเป็นผู้เอนเอียง นี่ให้พิจารณากันอย่างนี้ เมื่อสู้วันนี้ไม่ได้ เอ้า วันหลังพิจารณาอีก แต่อย่าคาดอย่าหมายนะ เอาปัจจุบันเป็นต้นเหตุเลย อย่าไปคาดไปหมาย วันนี้เรารู้อย่างนี้วันหลังจะให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องสร้างความรู้ขึ้นใหม่ ปัจจุบัน ๆ แก้กันในปัจจุบัน เข้าใจเหรอ

อันนี้หลวงตาเล่นมาเสียพอแล้ว พูดให้ฟังนี่นะ ฟังซิว่าก้นแตก นี่ฟัดกันอย่างนี้แหละ ไม่ได้คำนึงถึงก้นแตก ถามหาแต่เหตุกับผลความจริงอย่างว่า สุดท้ายต่างอันต่างจริง มันจะตายเวลานั้นก็ไม่หวั่น เห็นไหมละ ทุกข์ขนาดไหน ทุกข์ก็เป็นเรื่องของทุกข์ กายเป็นเรื่องของกาย จิตเป็นเรื่องของจิต ไม่มีอะไรได้เสียต่อกัน นั่น เวลามันพิจารณาแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่มีใครบอกมันก็รู้ เข้าใจเหรอ นี่เรียกว่า ทุกขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นของจริง จริงอย่างนี้ ไม่กระทบกัน กายก็เป็นอริยสัจ จิตก็เป็นของจริง กายเป็นของจริง ทุกข์ก็เป็นของจริง ต่างอันต่างจริงแล้วไม่กระทบกัน ต่างอันต่างอยู่ นั่น เข้าใจเหรอ ? เอาแค่นั้นก่อนภาวนา

ให้ทราบบ้างซิใจนี่ โถ ! สำคัญมาก ไม่มีใครเรียนได้รู้ได้ มีพุทธศาสนาเท่านั้นเป็นเอกเลย ติดตามร่องรอยของใจที่มันเกิดมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์มาถึงปัจจุบัน แล้วมันยังจะพาเกิดพาตาย ตัวใจเองไม่ตายนะ ออกจากร่างนี้ มันไปเอาร่างใหม่มา เรียกว่าเกิด ร่างนั้นดับเรียกว่าตาย อันนี้มันไม่ตาย มันออกจากร่างนี้ไป ไปตามบุญตามกรรม ถ้ากรรมดี มันก็พาไปสูง ถ้ากรรมต่ำกดลง ให้ตายไม่ตาย ไปจมในนรกก็ไม่ฉิบหาย ใจไม่เคยตาย เพราะฉะนั้นจึงทนทุกข์ทรมานมากน่ะซิ และถึงนิพพานเป็นธรรมธาตุตายที่ไหน นั่นฟังซิ เรียนจนกระทั่งจบถึงขั้นที่ว่า นิพพานธาตุ กิเลสพังลงไปแล้วไม่มีอะไร ในสามแดนโลกธาตุเท่าเส้นผมที่จะมาผ่านให้เป็นความทุกข์ไม่มี มีกิเลสเท่านั้นชี้นิ้วเลย พอกิเลสพังแล้วไม่มีอะไรเลย โล่งหมดเลย

นั่นอย่างนั้นนะท่านพ้นทุกข์ อ๋อพ้นอย่างนี้เอง พ้นทุกข์ ก็อยู่กับธาตุกับขันธ์ไปวันหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย ก็รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ตัวมันเองมันก็ไม่รู้ว่ามันเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปรับทราบมันเฉยๆ แล้วเราไม่ติด เราก็เป็นเรา นั่น เมื่อถึงกาลเวลาแล้วมันก็พังลงไป นี่ก็ดีดออก หมดความรับผิดชอบ นั่น เท่านั้นเอง นี่จิตดวงนี้ตามให้ทันนะ

นี่แหละพุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก สอนตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน คือตัวกิเลสมันจะพาให้เกิดไปอีกกี่กัปกี่กัลป์เหมือนที่เป็นมาแล้ว พอธรรมจับเข้าไปทันตัวมันแล้ว ฆ่าอันนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ตัดหมดอดีตเป็นมาแล้วไม่ยุ่ง ที่เป็นอนาคตไม่มีทางที่จะเป็นไปแล้ว ตัวให้พาเกิดพาตายคือตัวนี้ ฆ่าลงแหลกไม่มีเหลือแล้วดีดผึงเข้าใจไหมล่ะ เอาล่ะพอ

ถาม หลวงตาเจ้าคะหนูขอกราบเรียนถามปัญหาสักข้อ

ตอบ ปัญหาอะไรอีกก็จะไปอยู่แล้วนี่ มันจะตายแล้ว

ถาม หลวงตาเจ้าคะที่ว่าให้หนูไปพิจารณาศพตัวเองนอกทางจงกรม หนูก็ไปพิจารณาแล้วเจ้าค่ะ หนูกำหนดศพตัวเองไว้ข้างทางจงกรม เสร็จแล้วก็ดูไปดูมากวาดไปกวาดมา ก็รู้สึกว่า ศพตัวเองนี่เป็นน้ำเป็นดินและเป็นธรรมธาตุไป เสร็จแล้วก็กลับมาพิจารณาใหม่ เอาศพตัวเองเข้ามาไว้ในจิตเลยค่ะ

ตอบ ถูกต้องแล้วที่พิจารณานี้ เราอย่าคาด อย่าหมาย อย่าหวังจะให้มันเสร็จสิ้น ให้ดูปัจจุบันเลย มันจะพาเสร็จพาสิ้นในปัจจุบัน ไม่ได้พาเสร็จพาสิ้นด้วยการคาดหมายนะ ความคาดหมายเป็นสัญญาอารมณ์เป็นเรื่องของกิเลส เรื่องปัจจุบันเป็นเรื่องของธรรมเป็นยังไงให้ติดตามดู พิจารณาหลายครั้งหลายหนมันคล่องตัวเข้าไป ๆ ต่อจากนั้นไม่ต้องบอกอีกแหละ ที่จะทำคล่องตัวเป็นยังไงรู้อีก ๆ เข้าใจไหม

ถาม: แล้วหนูกำหนดเข้าไว้ในจิต เสร็จแล้วพิจารณามองจากตัวเราจริง ๆ เลย สลับไปมากับศพ พิจารณาจนช่ำชอง พอประมาณเที่ยงคืน มันก็ปุ๊บลงไปปรากฏเป็นทุกข์ขึ้นมาเจ้าค่ะ แล้วมันก็วาบลงไป มันสว่างอยู่อย่างเดียว นั่งอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง แล้วก็ไม่มีอะไร มีแต่ความสุข มีปีติ

ตอบ หือ ไม่มีอะไร แต่อย่าปฏิเสธความรู้นะ ไม่มีอะไร มีแต่ความรู้อันเดียว ยอมรับกัน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ลืมความรู้ของตัวเองอีก

ถาม เสร็จแล้วหนูก็กำหนดตัวผู้รู้ไว้ ทีนี้มาพิจารณาทุกข์ กระดูกที่มันปวดเมื่อยมาก

ตอบ พิจารณาไหนได้ทั้งนั้น เหล่านี้เป็นหินลับปัญญา อริยสัจคือหินลับปัญญาให้คมกล้าเพื่อความพ้นทุกข์

ถาม หนูจับไตรลักษณ์ออกมานี้ได้ไหมคะ

ตอบ ที่พิจารณามานี้ถูกต้องแล้ว ให้พิจารณาให้ละเอียดลออ มันจะช่ำชองของมันเอง อย่าไปคาดคะเนว่า ให้มันเสร็จมันสิ้นอย่างนั้นเวลานั้นเวลานี้เหมือนเราทำงานอย่างอื่นไม่ได้นะ

ทำงานอย่างอื่น เรายังกะให้เสร็จเวลาเท่านั้นเสร็จเวลาเท่านี้ แล้วเร่งงาน อันนี้เป็นเรื่องของโลก เรื่องของธรรมเป็นเรื่องปัจจุบันล้วน ๆ ตัดสินกันในนั้น ที่จะไปคาดอดีตอนาคต ไม่ถูก เข้าใจเหรอ แม้ที่สุดวันนี้เรารู้แล้ว วันหลังเราจะพิจารณาให้รู้อย่างนี้ ไม่ถูก ต้องบุกเบิกใหม่ พิจารณาใหม่ มันจะไปซ้ำของเก่าก็ตาม แต่มันเป็นวงปัจจุบัน ใช้ได้ ๆ เลย ถ้าเรามาคาดปั๊บผิดทันที เข้าใจไหม เอาแค่นั้นก่อน เอาอันนี้เป็นหินลับปัญญา ตั้งขึ้นซิ ตั้งเราแตก ตั้งเขาแตก ตั้งทั่วโลกแตก เกิดแล้วตาย ๆ เราตายโลกเขาก็ตายทั่วขอบเขตจักรวาล เป็นอย่างเดียวกันไปหมด หลงอะไรจิตนี้ มันก็วกเข้ามาหาตัวเองผู้หลง นั่น เข้าใจหรือ นี่เราสรุปความนะ

ฝึกหัดซิ ของดีมีอยู่ไม่เอาชาวพุทธเรา เหลวไหลมากนะ เราจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะพูดด้วยความเมตตา เน้นหนัก ดุเท่าไร เหมือนกับว่าฉุดลากขึ้นอย่างแรง ความหมายว่างั้นนะ นี่เราจวนตาย เราเป็นห่วงมากจริง ๆ เปิดออก ๆ ธรรมะเปิดออก เพื่อให้รู้เนื้อรู้ตัว อย่าตายจม ถ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตายจม ๆ เลย เรื่องกิเลสมันไม่ถอย เรื่องจะโกหกโลก กิเลสมันจะเอาให้จม ๆ ตลอดไป ฟูไม่ให้มีสำหรับกิเลส มีแต่ให้จมท่าเดียว เอาละไป

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก