(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๑,๐๐๐ คน)
คนแน่นอยู่ทุกวัน วันนี้คนไม่ใช่น้อย ๆ วันใดก็เหมือนกัน ได้เทศน์ทุกวัน ๆ ไม่เคยขาดเลย ไปกรุงเทพก็เหมือนกันตอนเช้าเทศน์ทุกเช้า มานี่ก็เทศน์ทุกเช้าเหมือนกันเลย ไม่มีวันว่างที่ไม่ได้เทศน์ เทศน์ทุกเช้า ๆ แล้วเวลานี้เขายังออกอินเตอร์เน็ตอีก ทั่วโลกนู่น จากนี้ก็ออกทางวิทยุ สถานีอุดรฯ ๙ สถานีออกทุกสถานี เป็นแต่เพียงไม่ซ้ำเวลากัน ออกทุกสถานี จากนั้นก็กรุงเทพ นอกจากนั้นยังอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตนี้ออกทั่วไปหมดเลย
เดี๋ยวนี้เลยมีแต่เทศน์หลวงตาบัว ป.๓ เดี๋ยวนี้จะเรียกว่าทั่วโลกก็ได้แล้ว เพราะอินเตอร์เน็ตออกแล้ว กลายเป็นทั่วโลก ทีแรกเทศน์เรียกว่าทั่วประเทศไทย เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นทั่วโลกไปแล้ว อินเตอร์เน็ตไปแล้ว เทศน์ทุกเช้า ๆ วันหนึ่งก็ไม่มาก ประมาณวันละ ๒๐ อย่างน้อยก็ ๑๕ นาทีมีทุกเช้า ส่วนมากจะอยู่ในราว ๒๐ ถ้ามีเหตุการณ์บ้างก็เพิ่มอีก เข้มข้นเข้าอีก ถ้าธรรมดาก็อยู่ในราว ๑๕ หรือ ๒๐ นาที
เราพูดจริง ๆ เต็มหัวใจเราที่เราออกช่วยโลกนี้ เราออกด้วยความเมตตาเป็นพื้นฐานเลยนะ เพราะฉะนั้นทำทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากภาษาโลกเขาเรียกว่าเจาะจงทุกอย่าง ไม่เหลาะแหละ ไม่เหลวไหล เจาะจงจี้เข้าไป จี้ไปตรงไหนจี้เข้า ๆ เป็นความจริงล้วน ๆ ด้วยเจตนาเจาะจง ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ที่ว่าพาดพีด ๆ ไป อย่างมีเจตนาบ้างไม่มีเจตนาบ้าง อันนี้มีเจตนาเต็มสัดเต็มส่วน การแนะนำสั่งสอนพี่น้องชาวไทยเรา คราวนี้เป็นคราวที่มากทีเดียว ร่วม ๓ ปีแล้วนะ แต่สำหรับสอนโลกทั่ว ๆ ไปนี้ก็เริ่มมาตั้งแต่โน้นแหละ พูดให้เต็มยศก็คือว่า เริ่มแต่วันลงจากเวที ตอนอยู่บนเวทีก็เพื่อนฝูงนั่นแหละตามติดตามเกาะตลอด สลัดเรื่อยนะ คือหลบหลีกปลีกตัวตลอดเวลา เพื่อความเพียรให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา ซึ่งในย่านนั้นเป็นย่านที่ใครมายุ่งไม่ได้เลย จะอยู่เพียงองค์เดียว
อิริยาบถทั้งสี่อยู่เพียงองค์เดียวเท่านั้น ด้วยความพากเพียรทางอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัติคือเป็นไปเอง ความเพียรเป็นไปเอง เหมือนกิเลสที่มันเป็นอัตโนมัติของมัน มันหมุนหัวใจสัตวโลกไปเอง ๆ ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์ ไม่มีคร่ำคร่าชรา ไม่มีวัย คือกิเลส ธรรมเมื่อเวลาได้เตรียมพร้อม สั่งสมตัวขึ้นมากเข้า ๆ เริ่มแรกก็ถูไถ ลากเข้าทางจงกรม ฟังเสียงร้องห่มร้องไห้ ฟังเสียงหอนเหมือนเสียงหมาหอน คือความขี้เกียจมันไม่อยากเข้า เข้าไปเดินจงกรมเสียงร้องว้อด ๆ เสียงอะไร เรานึกว่าเป็นเสียงไฟมันแสดง แต่เป็นเสียงความขี้เกียจ มันร้องแอ้ ๆ เหมือนหมาร้อง นี่เวลากิเลสมีอำนาจมาก เทียบกันนะ
ท่านทั้งหลายอย่ามาคิดเอาเรื่องของเราว่าเป็นคำหยาบคำโลนนะ เหล่านี้ไม่มีในธรรม ธรรมเป็นของสะอาดล้วน ๆ ชำระสิ่งที่สกปรก สิ่งที่สกปรกนั่นละมันต้านทาน หาว่าท่านพูดหยาบพูดโลน คือไม่ให้อยากเข้าไปแตะมัน มันเป็นตัวหยาบโลนอยู่แล้ว ชะล้างด้วยธรรม ธรรมเป็นของสะอาด มันหาว่าธรรมหยาบโลน เห็นไหมกิเลส เวลามันมีอำนาจมากเป็นอย่างนั้น เราจะเคลื่อนไหวไปยังไงมันจะต้องบีบต้องบังคับตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าจะทำความดีแล้วจะเป็นเหมือนผู้ต้องหานะ กิเลสเป็นเจ้าอำนาจใหญ่โตบีบบังคับภายในจิตของเรานั้นแหละ
ทีนี้ค่อยฟัดค่อยเหวี่ยงกันไปหลายครั้งหลายหนไม่หยุดไม่ถอย กำลังทางด้านธรรมคือความดีงามก็ค่อยเพิ่มขึ้น ๆ เพิ่มขึ้นทีนี้เห็นผล เมื่อเห็นผลแล้วความดึงดูดทางด้านธรรมะเป็นไปเอง ความพากความเพียรจะมาเอง เพราะผลประจักษ์ภายในใจ แล้วดูดดื่มเข้าเรื่อย ความเพียรหนักแน่นเข้าเรื่อย อุบายวิธีการที่จะแก้กิเลสซึ่งเป็นตัวภัยก็ออกมาเรื่อย ๆ แก้กันเรื่อย เพราะเห็นโทษของกิเลสหนักเข้า ๆ เห็นคุณค่าของธรรมหนักเข้า
ทีนี้เราสรุปความลงเลย จากนั้นก็เป็นความเพียรอัตโนมัติ เป็นการบำเพ็ญความดีเพื่อแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ๆ เริ่มเป็นอัตโนมัติไปละที่นี่ สติปัญญาหมุนตัวไปเอง คือไม่ต้องบีบไม่ต้องบังคับ เป็นไปเอง ๆ เริ่มแรก เรียกว่าเริ่มเป็นไปเอง หลังจากนั้นก็เรียกว่าได้รั้งเอาไว้ ๆ คำว่าความเพียรนี้ไม่อยากพูดนะ ถ้าว่าความเพียรกล้าเพื่อความพ้นทุกข์ เอาความพ้นทุกข์ไว้ข้างหน้า ทีนี้ความเพียรนี้กล้า ยอมรับ แต่ที่จะให้เป็นความเพียรถูไถใส่การประกอบความดีนี้ไม่มี ต้องรั้งเอาไว้ ๆ มันจะเลยเถิด เรียกว่าธรรมมีกำลัง นั่นละมันเสมอกัน
กิเลสกับธรรมเสมอกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีฝ่ายใดยิ่งหย่อน ไม่มีวัยด้วยกัน ธรรมก็ไม่มีวัย กิเลสก็ไม่มีวัย พยายามทางด้านธรรมะเมื่อไร เป็นธรรมขึ้นที่ใจ ธรรมขึ้นที่กายที่วาจา ออกจากใจเป็นพื้นฐานเรื่อย ๆ พอถึงขั้นสติอัตโนมัติขึ้นเต็มหัวใจแล้ว ทีนี้ความเพียรจะเป็นอัตโนมัติไปตลอด ๆ ที่นี่ฟัดเหวี่ยงกันละ มองเห็นพระนิพพานแย็บ ๆ แล้วนะ ต่อจากนั้นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ ถ้าลงนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม นั่นละมันจะไม่หลับไม่นอน ความเพียรเป็นเองหมุนติ้ว ๆ ๆ ต้องบังคับให้พัก บังคับให้นอน บังคับเข้าสู่สมาธิ เพราะมันหมุนตัวเป็นปัญญา
ปัญญาเมื่อเลยความพอดีแล้ว สมุทัยสัญญาอารมณ์แทรกเข้าไป ไม่เป็นความเพียรเป็นปัญญาแท้ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พักผ่อนให้พอเหมาะพอดี เพื่อเป็นความเพียรที่ชอบธรรม ควรจะเข้าสมาธิ เวลาจิตมันหมุนติ้วไปทางนั้นแล้วจะไม่ยอมเข้าสมาธิ เพราะเห็นโทษแห่งกิเลสทั้งหลายมากเข้า ๆ จะหมุนติ้ว ๆ เลย ต้องให้พักสมาธิ เดินทางยังไม่ถึงจุดหมาย เราจะวิ่งให้ถึงจุดหมายทีเดียวไม่ได้ ควรพักตรงไหนพักเสียก่อน เอา วันนี้พักย่านนี้ ไปวันหน้าพักย่านหน้า หรือชั่วโมงนี้พักระยะนี้
เช่นอย่างเราขับรถไปเมื่อเครื่องร้อนต้องพัก ไม่ถึงก็ต้องพักเสียก่อน นี่เมื่อเครื่องร้อนคือการดำเนินความพากเพียร เวลามันหมุน-หมุนจริง ๆ นะ พระพุทธเจ้าแสดงไว้หมดแล้ว ใครออกมาแสดง นำออกมาได้ธรรมประเภทเหล่านี้ เราเองก็เรียนผ่านมา ท่านว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ ฟังซิว่าล้วน ๆ ไม่มีอะไรแทรกเลย นี่อ่านเข้าไปแล้วงง
ที่ท่านว่าปัญญาเกิด ๓ ประเภท ๑) เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง มาคิดอ่านไตร่ตรองก็เกิดปัญญาได้ ๒) เกิดขึ้นจากการคิดอ่านไตร่ตรองธรรมดาของสามัญชนทั่ว ๆ ไป ก็เกิดสติปัญญาไปได้ อันนี้พอคาดได้พอเดาได้ พอเข้าใจกัน แต่ว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาประเภทที่สามนี้ ท่านบอกว่าปัญญาเกิดขึ้นจากการาภาวนาล้วน ๆ นี้งงเลยนะ เพราะมันไม่เกิดในใจ งงเลย
เวลาปฏิบัติเข้าไป ก้าวเข้าสู่จุดนี้แล้วพุ่ง นี่ละที่นี่เอาละ อ๋อ อย่างนี้เอง ภาวนามยปัญญา ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดมาสัมผัสสัมพันธ์ให้กระตุ้นเตือนจิตใจให้เกิดสติปัญญาพิจารณาสิ่งเหล่านั้นก็ได้ มีสิ่งเหล่านั้นมาสัมผัสก็ได้ เกิดปัญญาได้ทั้งสองทาง พอได้ยินได้เห็นสิ่งใดแล้วเกิดปัญญาขึ้นมา ด้วยเอาอันนั้นเป็นเหตุอย่างนี้ก็ได้ อย่างหนึ่งไม่ต้องอาศัยอะไร เหตุผลกลไกระหว่างกิเลสกับธรรมมันอยู่ด้วยกันนี้แล้ว สัมผัสสัมพันธ์ก็อยู่ภายในใจตลอดเวลา ฟัดกันตลอดเวลา นี้ก็เป็นปัญญา ภาวนามยปัญญา คือไม่ต้องอาศัยอะไรมาสัมผัส มีแต่ระหว่างกิเลสกับธรรมสัมผัสกันภายในใจฟัดเหวี่ยงกันไปในใจนี้ก็พอแล้ว
นี่จึงเรียกว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ อ๋อ ชัดเข้า ๆ ชัดเข้าจนกระทั่ง อ๋อ อย่างนี้เอง เห็นไหมไม่สงสัย ตั้งแต่เรียนงง เอ๊ ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ เกิดยังไงน้า ๆ ไม่รู้นะ เราเองเป็นผู้เรียนมา เราเองเป็นผู้เป็น งงมาอย่างนั้นเป็น ทีนี้เวลามาถึงขั้นนี้เราเองเป็นที่นี่นะ เรื่องขั้นภาวนามยปัญญา เวลาได้หมุนแล้ว โถ มันจะเอาให้เตลิดเปิดเปิง มันจะเลยเถิด เพราะฉะนั้นจึงต้องรั้งเข้าสู่สมาธิ เรียกว่าพักกลางทางเสียก่อน จุดหมายที่เราจะไปนั้น เป็นระยะทางใกล้ไกลขนาดไหน เวลานี้ยังไม่ถึงมันอ่อนเพลียแล้ว ถ้าเป็นรถก็เครื่องร้อนแล้ว เอา พักกลางทางเสียก่อน
เช่น พักรับประทานอาหารหรือฉันจังหัน หรือพักผ่อนนอนหลับ และพักสมาธิ ทั้งสามประเภทนี้เป็นการพักธาตุขันธ์เหมือนกัน แล้วก็พักจิตด้วยไม่ให้ไปยุ่งเรื่องทางด้านปัญญา ให้เข้าสู่ความสงบ พักเครื่อง พอออกจากนี้แล้วหมุนติ้วเลยที่นี่ ไม่ต้องห่วงใยเรื่องการพักการผ่อน มุ่งต่อการเดินทางอย่างเดียว ได้แก่สติปัญญาก้าวเดินตลอด ทีนี้พอเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วพักอีกเหมือนกัน นี้เป็นความสม่ำเสมอสำหรับผู้เดินทางเพื่อความพ้นทุกข์ ด้วยความราบรื่นดีงาม เป็นอย่างนี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้
การพูดนี้เราสาธุ เราเรียนมาเหมือนกัน แต่เวลาภาคปฏิบัติกับการเรียนมันเป็นยังไงก็พูดให้ฟัง ทีนี้เอาตัวจริงออกมาเลย จากภาคปฏิบัตินี้เป็นตัวจริง การเรียนมาเป็นแบบแปลนแผนผังมา พอเอาแบบแปลนแผนผังจี้เข้ามาหาตัวจริง ได้แก่ให้มาปฏิบัติ ตำรับตำราท่านชี้เข้ามาที่นี่ เราก็เดินตามแปลนเข้ามา มาปฏิบัติ ทีนี้ก็เจอละที่นี่ เจอเรื่องนั้นเรื่องนี้ภายในภายนอก จะเจอไปเรื่อย ๆ นะ กิเลสภายในใจของเจ้าของมีมากมีน้อย ก็มันมีอยู่นั้นแล้วเป็นแต่เพียงไม่มีสติปัญญาก็ไม่พบไม่เจอ แก้กันไม่ได้ ทีนี้พอมันเจอแล้วจะไว้กันได้ยังไง ก็มันหาสิ่งนั้นอยู่แล้วหาข้าศึก มันก็ฟัดกัน ๆ
เรื่องภายนอกภายในอะไรที่จะมาสัมผัสสัมพันธ์นั้นมาเรื่อย ๆ แหละ แต่เหล่านั้นเป็นเรื่องแก้กิเลสไม่แก้กิเลสมันก็รู้ในตัวเอง อันไหนเป็นฝ่ายแก้กิเลสมันจะหนักแน่นในทางนั้น ไม่ยุ่งกับสิ่งภายนอก นี่ละที่ว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาประเภทนี้เป็นตัวของตัวขึ้นมาแล้วที่นี่นะ นี่ทางก้าวเดินเพื่อความพ้นทุกข์จะเปิดโล่ง ๆ ไปเรื่อย ๆ ความพากเพียรนี้เสียงหมูร้องจี้กแจ้ก ๆ อยู่ตามทางจงกรมมันวิ่งเผ่นลงข้ามกำแพงวัดป่าบ้านตาดไปหมดแหละ ถ้าจิตดวงใดเป็นอย่างนี้นะ ไอ้ร้องแหง็ก ๆ หงัก ๆ ที่ลากเข้าไปทางจงกรม มันร้องเหมือนเสียงหมานั่น โอ๋ย หายหมดเลย มีแต่หมุนติ้ว ๆ เลย นี่เรียกว่าความเพียรกล้า
ทีนี้จวนเข้าไป ความเบิกกว้าง ความเห็นโทษของกิเลสนี้ยิ่งหนักเข้าทุกวันนะ แต่ก่อนคลุกเคล้ากันอยู่กี่กัปกี่กัลป์ เป็นของเพลิดของเพลิน ความทุกข์ความสุขไปตามกัน ไม่เห็นโทษของกันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พอก้าวเข้าสู่ปัญญาขั้นนี้แล้วจะเห็นโดยลำดับ เห็นเป็นลำดับ เห็นแล้วหนักเข้า ๆ นั่นละที่ว่าอยู่ไม่ได้นะ หมุนติ้วเลย พุ่ง ๆ ๆ นี่ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ เป็นอย่างนี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอา
ที่ว่าปัญญาเกิดในการภาวนา ๆ ปัญญาคาดคิดธรรมดาไม่เรียกว่าเป็นปัญญาประเภทนี้ ปัญญาต้องเกิดเอง ระหว่างกิเลสกับธรรมสัมผัสกันอยู่ตลอดเวลา นั่นละปัญญาเกิดขึ้นตรงนั้น พุ่งกันตรงนั้น คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาตัวข้าศึกคือกิเลสประเภทใดบ้าง สติปัญญาประเภทนี้จะไม่มีคำว่านอนใจ จะหมุนติ้ว ๆ คุ้ยเขี่ยขุดค้น ๆ เข้าไป ตามกันไปเรื่อย เป็นเองภายในนี้ ใครไม่เป็นไม่รู้ นี่เราเพียงพูดเอาเงื่อนมาให้ผู้ปฏิบัติฟังต่างหากนะ แต่เวลาไปเจอแล้วมันจะเป็นเองรู้เอง หมุนติ้ว ๆ เลย
นี่ท่านเรียกว่าธรรมเป็นอัตโนมัติละที่นี่ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตน เหมือนกิเลสทำลายสัตวโลก คิดออกแง่ไหนมุมใดมีแต่กิเลสทำลายโลก ๆ ทั้งนั้น พอสติปัญญาขั้นนี้ขึ้นแล้ว มีตั้งแต่ธรรมนี้ฆ่ากิเลสภายในใจตลอด ๆ เรื่อย มีหลายประเภทเครื่องมือ สติปัญญาที่ใช้ออกมาในการวางพื้นฐานทีแรกนี้เป็นขั้นหนึ่ง ขั้นที่สองสติปัญญาเริ่มเห็นโทษกิเลสทั้งหลาย นี่เป็นอันดับที่สอง อันดับที่สาม สติปัญญาเห็นโทษ แล้วเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ นี่เป็นอันดับที่สามไปแล้ว อันดับที่สี่เป็นมหาสติมหาปัญญา อันนี้เชื่อมโยงกันเอง
มหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงไปจากสติปัญญาอัตโนมัติที่มีกำลังแก่กล้า แล้วก็เข้าสู่ความละเอียด กลายเป็นมหาสติมหาปัญญา มหาสติมหาปัญญานี่เป็นสติปัญญาที่ซึมซาบ ไม่ได้เป็นกิ๊ก ๆ แก๊ก ๆ หมุนนั้นหมุนนี้ คือสติปัญญาอัตโนมัติซึ่งใช้สังขารยิบ ๆ แย็บ ๆ ปรุง สังขารธรรมนะ สังขารฝ่ายมรรค มันปรุงฆ่ากิเลส กิเลสเป็นประเภทใดออกมามันจะรับกัน ๆ พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วนี้จะซึมซาบเลย เพราะเชื้อไฟนี้เรียกว่าละเอียดแล้ว ไฟจะลุกลามไปตามเชื้อไฟ ละเอียดมากน้อยเพียงไร ไฟจะติดตามไหม้ เผาไหม้ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นมหาสติมหาปัญญา จนกระทั่งเชื้อไฟละเอียดขนาดไหนไม่มีเหลือ ไฟก็ยุติเอง จะไหม้อะไรก็ไม่มีอะไรไหม้ เชื้อหมดแล้ว
นี่มหาสติมหาปัญญาก็ยุติเวลาสังหารกิเลสสุดสิ้นลงไปไม่มีอะไรเหลือแล้วยุติเอง หมุนเป็นธรรมจักรก็ยุติเองไม่ต้องบอก ไม่มีใครมาบอก หากรู้เอง เหมือนเราทำงาน ทำอันนี้เสร็จแล้วเครื่องมือเราปล่อยเองวางเอง เวลายังไม่เสร็จ เครื่องมือกับงานก็ต้องใส่กันเปรี้ยงปร้าง ๆ พองานอันใดเสร็จแล้วก็ปล่อยเอง ๆ พอเสร็จสิ้นแล้วทิ้งเครื่องมือ อันนี้เหล่านี้เป็นเครื่องมือทั้งนั้น เป็นฝ่ายมรรค ตั้งแต่มรรคส่วนหยาบ กลาง ละเอียด ถึงมหาสติมหาปัญญาแล้วเรียกว่าละเอียดสุดยอด นี่ฝ่ายมรรค เรียกว่าเครื่องมือสังหารกิเลสทั้งนั้น เหล่านี้เป็นมรรค พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว คำว่าเครื่องมือเหล่านี้ก็หมดหน้าที่ไป นั่นละให้มันรู้ประจักษ์ในหัวใจซิ
นี่เราสอนโลกเราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาอย่างนี้นะ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ปฏิบัติตัวเอง ปัดหมู่เพื่อนนี่ก็ปัด ขโมย อู๊ย พรรณนาไม่จบนะที่เราหลบหลีกหมู่เพื่อน คือมันไม่ได้ทำงานเต็มกำลังของตัวเอง สติปัญญาขั้นนี้ตั้งแต่ก่อนมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไปคนเดียว ๆ ด้วยความเด็ดเดี่ยวเพื่อความเพียร แต่พอก้าวเข้าสู่สติปัญญาขั้นนี้แล้วยิ่งใครมายุ่งไม่ได้เลย มาไม่ได้จริง ๆ คือมันเสียเวลา ถ้าเราเขียนหนังสืออยู่นี้มีแขกคนมาหา อย่างน้อยเราก็ต้องจับปากกาไว้ ไม่เขียนก็ต้องจับปากกาไว้ นี่ขาดงานแล้ว พอเขาหนีปั๊บ เขียนปั๊บ ๆ ๆ นี่สติปัญญาประเภทนี้ยับยั้งตัวเองไว้สำหรับเกี่ยวข้องกับคน เหมือนเราจับปากกาไว้ ไม่ได้วางปากกาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เขียน ชะลอไว้ พอเรื่องราวผ่านไปปั๊บก็เขียน ทีนี้มันก็ทำงานของมันเอง นี่ละถึงว่าใครยุ่งไม่ได้เลย
ถึงขั้นนี้พอตื่นขึ้นมาจับกันแล้ว ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันตลอด จนกระทั่งหลับหรือเข้าสู่สมาธิ เบิกกว้าง ๆ เบิกกว้างออกไป นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า คงเส้นคงวาหนาแน่นแก่ผู้ปฏิบัติ ถ้าใครปฏิบัติให้เป็นธรรมเป็นธรรมไปตลอดอย่างนี้ ผู้ที่ทำให้เป็นกิเลสเป็นกิเลสไปตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์ เป็นธรรมมีเมืองพอนะ พอถึงที่สุดยุติแล้ว ที่ว่าตั้งกัปตั้งกัลป์ก็คืออนันตกาล ได้แก่นิพพานเที่ยงนั่นเอง พอแล้วเที่ยง นิพพานเที่ยง เป็นอย่างนั้นนะ ให้พากันจำเอา
นี่เรายิ่งเฒ่ายิ่งแก่มาแล้วสงสารมากนะ บ้านเมืองก็ อู๊ย ทุกวันนี้กิเลสตีตลาดลาดเล เราพูดจริง ๆ ในสายตาของธรรม ที่เรามาช่วยโลกนี้ ทั้งมาจับมาดมนะพวกมูตรพวกคูถ มันสกปรกสุดยอดคือกิเลส กิริยาท่าทางที่แสดงอย่างจะทำให้เมืองไทยเราจมเวลานี้ก็คือกิเลสทำงาน ไม่ใช่ธรรมทำงานนะ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มันทำงาน ทำงานตามกำลังความสามารถของผู้จะทำได้ เป็นความสมัครใจในหัวใจทุกดวง ๆ ไม่ต้องบังคับ เรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไม่ต้องบังคับ ต้องรั้งเอาไว้
ถ้าหากว่ากิเลสราคะตัณหา ความโลภเหล่านี้มีหางเหมือนหางหมานี่ หมาตัวไหนไม่มีหางเหลือเลย หางขาดหมด รั้งเอาไว้มันไม่อยู่ จนหางขาด มันยังบืนใส่ความโลภ บืนใส่ความโกรธ บืนใส่ราคะตัณหา จับหางดึงเอาไว้นี้หางขาด ๆ มองดูหมาตัวไหนมีแต่หมาหางขาด เพราะความโลภ ราคะตัณหาลากไป หางไม่ได้คำนึง ขาดช่างมันขอให้ได้ไปก็แล้วกัน นี่ละเวลามันรุนแรง นี่ละทำลายโลกเวลานี้
พี่น้องทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าธรรมทำลายโลก ธรรมเข้ามาช่วยโลก หาว่าธรรมมายุ่งเหยิงวุ่นวายกับการบ้านการเมือง ฟังซิกิเลสเห็นว่าจะไปทำลายพุงมัน จะหาว่าอะไรก็แล้วแต่ อย่างหลวงตาบัวนี้ก็เหมือนกัน ว่าหลวงตาเข้าไปยุ่งกับการบ้านการเมือง มันไม่ได้สะแตกถนัดปากถนัดท้องมันนั่นเองมันถึงว่า นั่นละกิเลสกินบ้านกินเมือง มันกินไม่ถอยนะ พวกนี้กินไม่ถอย ท้องเป้ง ๆ อำนาจมาก ๆ ดินเหนียวติดหัวว่าตัวมีอำนาจควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง การเงินการทอง ไม่มีอะไรให้อยู่ในเงื้อมมือเจ้าของ พากันกินพากันกลืนเลี้ยงโต๊ะกันตลอดเวลา นี้คือข้าศึกใหญ่ของชาติไทยเรา ได้แก่กิเลสตัวใหญ่ ๆ ที่ว่า โลภไม่พอ หลงยศ หลงลาภ หลงรายได้รายร่ำรายรวย ไม่พอ เมียผัวก็ดี กี่คนก็ช่างมัน ได้ทั้งนั้นดะไปตาม ๆ กันเลย นี่กิเลสกินอย่างนี้
เวลาธรรมไปแตะบ้างไม่ได้นะ หาว่ามายุ่งกับการบ้านการเมือง เห็นไหมกิเลสมันหวงซากมัน หวงซากอันสกปรกของมัน ฟังเอานะ เราพูดเพียงเอาไม้มาทั้งดุ้นให้ไปจาระไนเอา นี่ละบ้านเมืองเวลานี้กำลังจะล่มจะจมเพราะกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะธรรมเลยนะ ธรรมนี่เพื่อฟื้นฟู อย่างที่นำสมบัติเงินทองเข้าสู่ชาติไทยของเรา ก็เพื่อไปหนุนสิ่งที่รั่วไหลแตกซึมไปโดยประเภทต่าง ๆ จะลงทะเลทั้งหมด ยับยั้งกันเอาไว้บ้าง ก็ถูกคัดค้านต้านทานทุกแบบทุกฉบับด้วยมหาโจรมหาภัยในชาติไทยของเรา ในผู้มีอำนาจบาตรหลวงของกิเลสครอบหัวมันนั่นเอง
ถ้าธรรมครอบหัวแล้วจะมีเมตตาเต็มสัดเต็มส่วน ประชาชนจน รัฐบาลยอมจน นี่จึงเรียกว่าพ่อแม่กับลูกนะ เอ้า มันจะจนก็ให้จนไปเราเข้าช่วยชาติบ้านเมือง บ้านเมืองหาความสุขไม่ได้เราเป็นผู้นำจะหาความสุขมาจากไหน เราต้องดิ้นต้องดีดยิ่งกว่าประชาชน นั่นถึงถูกต้องกับผู้นำ ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ของชาติบ้านเมือง อันนี้มีแต่กอบแต่โกยแต่โกงแต่กินแต่กลืนกัน ตั้งโต๊ะตรงไหนมีแต่โต๊ะกินโต๊ะกลืน มันกินชาติบ้านเมืองไปแบบนี้นะ มันน่าทุเรศ ธรรมจับเข้าไปจนดูไม่ได้
เราอุตส่าห์พยายามมาช่วยชาติบ้านเมือง เหมือนกองมูตรกองคูถนั่นแหละกองเหล่านี้นะ กองความโลภ ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ร่ำแก่รวย เห็นแก่ความตะกละตะกลาม นี้คือกองมูตรกองคูถ ธรรมเข้ามาปัดออกบ้าง อย่ากินเกินไป ตับเขาตับเรามีเหมือนกัน ใครก็เสียดายตับเสียดายพุงของใครด้วยกัน อยู่ด้วยกันด้วยความสามัคคี ด้วยความรักกัน ด้วยความพร้อมเพรียงกัน ด้วยความรักสงวนสมบัติของชาติด้วยกัน อย่างนี้เป็นธรรม แต่มันไม่ยอม ตับใครก็ตามขอให้มาเป็นตับเราคนเดียวพอ
นี่ละที่โลกมันร้อนอยู่เวลานี้ เดือดร้อนมาก เพราะกินมากกลืนมาก ตั้งเข้ามามีแต่มากินมากลืน เอาธรรมจับเข้าไปเห็นหมดจะว่าไง ใครจะว่าเราบ้าเราไม่ได้เป็นบ้า เราเห็นจริง ๆ จะว่าไง นอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น ความสกปรกและเลวร้ายทั้งหลายของกิเลสนี้เป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิม เวลานี้กำลังกระพือปีกเต็มบ้านเต็มเมือง มันจะเอาชาติไทยของเราให้จมหมดจริง ๆ ด้วยอำนาจของกิเลสตัวตะกละตะกลาม อำนาจลือนามเลยนะ
สองสามคนเท่านั้นมันจะเอาอำนาจนี้ครอบประเทศไทยทั้งประเทศ ให้คนไทยทั้งชาติเป็นหมูเป็นหมา อยู่ใต้อำนาจของที่มันเสกสรรตัวว่าเป็นเทวดาสองสามคนเท่านั้นนะ มันเทวดาแบบไหน พิจารณาซิ นี่เปรตผีในร่างเทวดานั่นเอง พวกยักษ์พวกผีกินบ้านกินเมืองในร่างของเทวดา ร่างผู้มีอำนาจ ร่างของผู้ทรงศักดิ์ ร่างของเจ้าหน้าที่ใหญ่นายโต มันเอามาเป็นร่างอย่างนั้นนะ ตัวมันจริง ๆ คือเปรตคือผี นรกเต็มอยู่ในหัวใจของมันนั่น รอแต่ลมหายใจขาดเท่านั้น
เวลานี้มันกำลังโอ่อ่าฟู่ฟ่า อวดตนอวดตัว ดินเหนียวติดหัวว่าเก่งกล้าสามารถ ไม่ได้คำนึงถึงว่ากรรมกำลังจะบีบคอมันอยู่ พอลมหายใจสิ้นปึ๊บ ผึงเลย ไม่ต้องถาม นรกให้มันปฏิเสธหมดทั้งโคตรทั้งแซ่มันก็ตาม ว่านรกไม่มี พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้ขึ้นมาใครลบล้างนรกนี้ได้ เคยมีไหม ลบล้างสวรรค์ไม่มี ลบล้างนิพพานไม่มี ลบล้างประเภทของเปรตของผีที่สร้างด้วยกรรมของตนนี้ว่าไม่มี เป็นไปไม่ได้เลย นี่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้อย่างนี้ ปากมันเพียงปากของกิเลสตัณหา ปากหูหนวกตาบอด ปากตะกละตะกลาม ปากไม่รู้บาปรู้กรรม มันจะไปลบนรกได้ยังไง นี่ละตัวมันสำคัญ คอยรอแต่ลมหายใจเท่านั้น พูดอย่างจัง ๆ เลย เราหมอบราบกับพระพุทธเจ้า
ว่านรกไม่มี ๆ เอ้า ให้สร้างไปว่างั้นเลย ถ้าเก่งจริง ๆ เอ้าสร้างไป จะได้รู้กัน เวลานี้รอตัดสินกัน ภายในก็รู้แล้ว คือประเภทนี้มันจะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ในหัวใจมันตลอดสด ๆ ร้อน ๆ คนอื่นไม่รู้ พอออกไปหาคนอื่นแต่งตัวฟู่ฟ่า ๆ โก้เก๋ฟู่ฟ่า ทรงอำนาจใหญ่โต เสียงดังอวดอาด ๆ เจ้านายใหญ่ออกไปตรวจราชการ ตรวจพวกเหยื่อนั่นแหละอยู่ตามบ้านตามเรือนราษฎร ไปตรวจล่ะซิ ตัวภายในมันเผาอยู่ไม่มีใครรู้ รู้แต่มันคนเดียว พอลมหายใจขาดสะบั้นแล้วปึ๋งเลยเทียว นี่ละยันไว้เลย
เหมือนพระพุทธเจ้าทรงทำนายพระเจ้าสุปปพุทธะนั่นแหละ ว่าอีก ๗ วันพระเจ้าตาของเรานี้จะถูกแผ่นดินสูบ ทางนั้นก็ท้าทาย จะสูบได้ยังไง เราจะขึ้นไปอยู่หอปราสาทชั้น ๗ ก็มีคนมาทูลพระพุทธเจ้าว่าเขาไปอยู่บนหอปราสาทชั้น ๗ โอ๋ย อย่าว่าแต่ชั้น ๗ ให้ขึ้นอยู่ชั้นดาวดึงส์ก็ไปเถอะ อย่างไรพระเจ้าตาของเราจะต้องลงนรกวันคำรบ ๗ ไม่เป็นอื่น เห็นไหมล่ะ พอถึงกาลเวลาแล้ว บันดลบันดาลขึ้นมาเลย ไอ้ม้าตัวมงคลก็กลายเป็นม้าเทวทัตทำลายเจ้าของ คึกคะนองอยู่ท้องพระโรงนี่เสียงลั่นไปเลยทีเดียว เอ้อ ม้านี้ก็ชอบกลนะ แต่ก่อนก็ไม่เห็นมีอะไร ทีนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เอานักหนา ถ้าเจ้าของไปลูบคลำหลังม้านี้จะสงบ แต่วันนั้นจะลูบคลำอะไรได้ ก็อยู่บนหอปราสาทชั้น ๗ เตรียมพร้อมไว้ต่อสู้พระพุทธเจ้า ต่อสู้นรก
ทีนี้มันทนไม่ไหวซิอำนาจแห่งกรรมหนักเข้า ๆ ม้าก็คึกคะนองอย่างเต็มเหนี่ยวเลย เอ้อ มันเป็นยังไงม้านี่วันนี้ โผล่ออกมาหน้าต่างเท่านั้นละ ผึงเดียวลงเลย บอกว่าเชิงบันไดก็ลงเชิงบันได เวลาเท่านั้นก็เวลาเท่านั้น เป็นยังไงพระวาจาพระพุทธเจ้าผิดไปไหน นี่ละพระญาณหยั่งทราบใครจะมาลบล้างไม่ได้ ถ้าลงประกาศออกมาแล้วเป็นความจริง เอกนามกึ คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ไม่มีสองว่างั้นเลย นี่ก็ลงผึงเลยวันนั้นเป็นยังไง
อันนี้พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เสียด้วยนะไม่ใช่เพียงพระองค์เดียวประกาศลั่น ยอมรับเรื่องนรก สวรรค์ ทุกประเภท จนกระทั่งถึงนิพพาน เปรตผีประเภทต่าง ๆ ประกาศยอมรับเป็นเสียงเดียวกันหมด ใครจะได้ปากเพชรมาจากไหนเลยปากพระพุทธเจ้าไป ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี เราเป็นผู้เหนือบาปเหนือกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ใครเก่งอำนาจอันนี้ รอฟังอยู่ตั้งแต่ลมหายใจของมันเท่านั้น พอลมหายใจขาดแล้วผึงเลย ให้พากันจำเอานะ
ถ้าใครเชื่อศาสนาให้เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยต้มโลกสงสาร แต่กิเลสต้มตลอดเวลา อย่างมันต้มเจ้าของมันอยู่เวลานี้แหละ มันกำลังต้มว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี ใครจะไปสอนมันไม่ยอมฟัง มันจะฟังแต่เสียงนรกอเวจีของมัน คือกิเลสตัณหาตัวมืดดำสาหัสที่สุดไม่มีใครโปรดได้นั้นแหละ มันเชื่ออันนี้แหละ รอแต่วันเวลาเท่านั้นที่มันจะโดดผึงลงไป ไม่มีใครตัดสินได้ กรรมของเจ้าของเป็นผู้ตัดสินเจ้าของเอง ใครจะไปปฏิเสธไปตำหนิติเตียนไม่ได้นะ เจ้าของทำเอง ไม่ว่าดีว่าชั่วเป็นของเจ้าของทุกคน กมฺมํ สตฺเต วิภชติ กรรมจำแนกแจกสัตว์ให้เป็นประเภทต่าง ๆ กัน กรรมก็คือการกระทำของตัวเองนั่นเอง พากันเข้าใจนะ นี่ก็สายแล้ว พูดไปพูดมาว่าจะไม่พูดมากไปใหญ่แล้ว เอาละพอ เหนื่อยแล้ว
เราก็จะไปทำประโยชน์ให้โลกดังที่พูดตะกี้นี้แหละ ว่าเราบึกบึนนะ เราฝืนนะ ไปจับไปแตะไปต้อง จับตรงไหนนี้ก็กองมูตร นี้กองคูถ จับแล้วก็เปื้อนมือ จากนั้นก็มาเปื้อนจมูก ได้ดมกลิ่นเหม็นคลุ้งไปหมด นี่ละเราพูดจริง ๆ เราไม่ได้อาจหาญท้าทาย เอาหลักความจริงมาพูดเลย เราฝืนนะช่วยโลกนี่ เพราะมันสกปรกสุดยอดแล้ว แต่ที่สารประโยชน์มันยังแทรกอยู่ในกองสกปรก ก็ต้องไปคุ้ยไปเขี่ยหามาอยู่นั่นเอง อย่างนั้นที่มันลำบากอยู่เวลานี้
สำหรับเราเองเราไม่มีอะไรแล้ว เราก็บอกว่าเราไม่มีอะไร เราพอทุกอย่างแล้ว รอแต่ขันธ์ที่มันดีดมันดิ้นอยู่ในหัวใจ รับผิดชอบเฉพาะขันธ์ วันหนึ่ง ๆ ยืนเดินนั่งนอนขับถ่ายอะไร ๆ นี้มีแต่เรื่องขันธ์กวน ๆ ทำตามขันธ์ มันอยู่ด้วยกันรับผิดชอบกันก็ต้องดูแลกันไปด้วยสัญชาตญาณ พออันนี้ขาดปึ๋งแล้วก็หมด ไม่มีอะไรละ พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ นี่พูดไม่มีสองเหมือนกัน เราพูดอย่างยันเลยไม่ต้องไปทูลพระพุทธเจ้าว่างั้นเถอะ พูดอย่างยันเลยด้วย สนฺทิฏฺฐิโก เอาละพอ
ปัญหา
ถาม ในขบวนการพัฒนาปัญญาต้องเริ่มจาก สุตมยปัญญา คือการฟัง พอฟังแล้วเอามาคิดเป็น จินตามยปัญญา แล้วพอคิดบ่อย ๆ เราภาวนาไปด้วยก็จะขึ้นเป็น ภาวนามยปัญญา คำถามก็คือว่า ภาวนามยปัญญา จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเข้าขั้นนี้แล้ว เกณฑ์ที่จะตัดสินว่าเราเข้าขั้นนี้แล้ว คือรู้จักทุกข์ รู้วิธีแก้ทุกข์ และเราแก้ทุกข์ได้ ใช่ไหมคะที่จะเข้าภาวนามยปัญญา แล้ว ภาวนามยปัญญาตัวนี้เป็นตัวที่ฆ่ากามกิเลส พอฆ่ากามกิเลสได้แล้วจะขึ้นเป็นมหาสติมหาปัญญา
ตอบ ภาวนามยปัญญานี้ผ่านจากการฆ่ากามกิเลสก่อนนะ ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น ภาวนามยปัญญานี้เป็นภาคฆ่ากามกิเลสนี้ไปแล้ว ฆ่ากามกิเลสไม่อยากพูดภาวนามยปัญญา คือเป็นภาคชุลมุนของมันเอง
ถาม เป็นภาวนามยปัญญา
ตอบ ยังไม่ใช่ มันหากเป็นของมันเองในเฉพาะขั้นนี้ มันจะหมุนอยู่ในวงกามกิเลส เข้าใจไหม พิจารณาถึงเรื่องอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เกี่ยวกับเรื่องร่างกาย มันจะเป็นเข้าวงในของมัน จะเรียกว่าภาวนามยปัญญาไม่ได้ หากเป็นปัญญาประเภทหนึ่งของมัน เราจึงไม่นำมาพูด อันนี้หมุนตัวเต็มที่แล้ว กามกิเลสนี้พังลงไปแล้วถึงจะขยายตัวออกไปเป็นภาวนามยปัญญา ทีนี้ไปเตลิด นี่พระอนาคามีพอจากนี้แล้วไปเรื่อย ๆ คือภาคภาวนามยปัญญาไปเรื่อย ๆ ส่วนกามกิเลสนี้เป็นเพียงขั้นชุลมุนยังหาจุดหมายปลายทางไม่ได้ จะก้าวไปเองนี้ก็ไม่ได้ ต้องฟัดอันนี้เสียก่อน
ถาม หมายถึงต้องฆ่ากามกิเลสแล้ว จึงจะเริ่มเป็นภาวนามยปัญญา
ตอบ นี้หลักปฏิบัติเป็นอย่างนั้นนะ คือ ปัญญาประเภทนี้เป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมากที่สุด ไม่มีสติปัญญาขั้นใดที่จะผาดโผนโจนทะยานยิ่งกว่าสติปัญญาขั้นฆ่ากามกิเลส หากเป็นในผู้ปฏิบัติเอง หมุนติ้วๆ ไปแบบหนึ่งเหมือนกัน แต่เวลามันสิ้นอันนี้แล้วมันจะมีพักของมัน แล้วก็ก้าวเข้าไปอีกทางสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ไม่พักอันนี้หมุนเรื่อย ๆ ไปเรื่อยติดต่อกันไปเรื่อย อันนี้มันขาดวรรคขาดตอน พออันนี้สิ้นสุดลงไปแล้ว อันนั้นจึงจะค่อยไปทีหลัง อันนั้นเป็นฝ่ายนามธรรมแล้วนะ
คือภาวนามยปัญญานี้ส่วนมากจะเป็นฝ่ายนามธรรมไปแล้ว ส่วนปัญญาฆ่ากิเลสนี้เป็นฝ่ายรูปธรรมส่วนรูปส่วนกาย เพราะฉะนั้นสติปัญญาขั้นนี้จึงผาดโผนโจนทะยานมาก ถ้าเป็นน้ำก็ไหลโจนลงมาจากภูเขาเสียงดังซ่าๆๆ สนั่นหวั่นไหวบางทีกายไหวก็มี คือสติปัญญาทำงาน มันเป็นของมันเองนะ นั่นละมันเป็นอย่างนี้พูดออกมามันก็ได้ ควรค้านก็ค้านกันได้อย่างนี้ ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ นี่เราพูดถึงเรื่องความเพียรนี้ สติปัญญาไม่มีขั้นใดจะผาดโผนโจนทะยานยิ่งกว่ากามกิเลส เพราะฉะนั้นจึงว่าตัวนี้จึงรุนแรงมาก ลากสัตว์ทั้งหลายให้จมก็คือตัวนี้เอง พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ก็เป็นพื้นฐานที่จะก้าวเดินต่อไป คำว่ากามกิเลสขาด ไม่ใช่จะขาดโดยสิ้นเชิงนะ ขาดเป็นพื้นฐานไว้แล้ว จากนั้นก็มียิบ ๆ แย็บ ๆ มีกิ่งก้านสาขาดอกใบของมัน มันจะค่อยระงับดับกันไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นผู้เป็นพระอนาคามี พอสำเร็จขั้นกามกิเลสแล้วก็สำเร็จเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีจึงมีหลายชั้นไว้สำหรับขั้นฆ่ากามกิเลส พอกามกิเลสส่วนใหญ่ขาดไป อันนี้ก็จะอยู่ในขั้นนี้ ถ้าตายเวลานั้นก็จะอยู่ในขั้นอวิหา และละเอียดเข้าไปอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา คือปัญญาประเภทนี้จะเที่ยวเก็บกวาดกามกิเลสให้สิ้นซากลงไป ๆ โดยลำดับ ส่วนใหญ่มันฆ่าไปแล้ว เพราะฉะนั้นสุทธาวาสจึงมี ๕ ชั้นสำหรับรองรับพระอนาคามี ที่เริ่มสอบได้แล้ว ๕๐ เปอร์เซ็นต์ นี่เริ่มได้ จากนั้นก็เก็บกวาดที่มันเป็นฝุ่นเป็นฝอยไปตามนี้เผากันไปเรื่อย ๆ จนละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ จากอวิหา ก็อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ตามขั้นของธรรม ตามขั้นของภูมิไปเรื่อย ๆ อกนิฏฐานี้ก็สุดยอดแล้ว พอขาดสะบั้นลงไปนี้เรียกว่านิพพาน
ถาม คำว่า กามกิเลสนี่ แสดงว่าข้าน้อยตีความผิด ขั้นอนาคามีก็ยังมีกามอีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์แต่ก็ค่อย ๆ ฆ่าไป
ตอบ ใช่ คือสอบได้เรียกว่าขั้นกามตัวใหญ่มันตายแล้ว ว่างั้นเถอะ ไม่เป็นอื่นแล้ว แต่ที่ย่อย ๆ เช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่แล้ว ลูกมันยังมีเอามาฟาดให้มันหมด ความหมายว่างั้น อ้าวหลานมันยังมีเอาหลานมันมาอีก ฆ่ามันจนหมดทั้งลูกทั้งหลานหมด นี่แหละท่านถึงมีลำดับไว้ อนาคามีตายแล้วจะไปเกิดในสุทธาวาส ๕ ชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็คือชั้นตามภูมิของใจนั่นเอง พอได้ระดับปั๊บสอบได้แล้วนี้ เวลาตายขณะนั้นจะเข้าขั้นอวิหา มีชีวิตอยู่ชำระตัวเองมันจะค่อยละเอียดเข้าไป ๆ อวิหาแล้วก็อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ไปเรื่อย ๆๆ จนกระทั่งหมดขีดแล้วก็พุ่งขั้นที่ ๕ อกนิฏฐาอันนี้เรียกว่าเต็มภูมิแล้วดีดผึงหมด อันนั้นหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปเกิดในพรหมโลกใน ๕ ชั้นนี้จึงไม่กลับ นอกนั้นกลับทั้งนั้น ๕ ชั้นนี้ไม่กลับ จะก้าวขึ้นเรื่อย ๆ เลย แล้วที่พูดนี้เป็นยังไง ขัดตรงไหนเอ้าว่ามา
ตอบ ไม่ขัดค่ะ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวไปสรุปใหม่ค่ะ
หลวงตา นั่นซี ก็ไปหาอ่านในคัมภีร์แล้วมาพูด คนหนึ่งฟาดต่อหน้าต่อตาเลย ไม่ต้องคัมภีร์ นี่คัมภีร์กำปั้น ฟาดเลยมันต้องยังงั้นซี เข้าใจแล้วนะ คำว่าอนาคา ไม่ใช่ขาดทีเดียวนะ
ถาม ภาวนามยปัญญานี่ ต้องเป็นอนาคามีถึงจะได้ใช่ไหมเจ้าคะ
ตอบ เราไม่กำหนด หากจะรู้ในผู้นั้นเองเราขี้เกียจพูดนะ ก็ฟังซิว่ากามกิเลสนี้แล้วจากนั้นไปก็เป็นภาวนามยปัญญา เท่านี้ก็เข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอ ยังจะต้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม สันพร้า จะว่างี้ ถ้าให้ตอบก็ตอบสันพร้านี่ เอาอะไรไม่เอา ไม่เอาก็เอาสันพร้าซิ( ยังไม่เข้าใจเจ้าค่ะ) จะเข้าใจอะไร มันอยากหาผัว ๕ คนโน่น (หัวเราะ)
ถาม แล้วมีอะไรอีกไหม
ตอบ ไม่มีค่ะ จะขอพรหลวงตาค่ะ
หลวงตา ก็ให้ไปแล้ว จะเอาอะไรพร เอาสันพร้าเหรอ
ลูกศิษย์ อันนี้พรทางโลกค่ะ พอดีเขาแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า ก็เลยมีความขัดแย้งนิด ๆ เพราะว่าพอปฏิบัติธรรม ความอยากได้อยากดีก็ไม่มี ไม่รู้จะเอาธรรมะข้อไหนไปทำงานหัวหน้าให้ได้ผล
หลวงตา ก็อย่างพระพุทธเจ้าสอนโลกนั่นแหละ เอาเมตตาธรรมสอนไป พระพุทธเจ้าไม่เอาอะไรจากโลก ความเมตตาเป็นพื้นฐาน สอนโลกด้วยความเมตตา เอาละ เข้ากันได้ เข้ากันได้แล้ว (หัวเราะ) เข้าใจแล้วนะเรื่องอนาคา เรื่องอนาคา เรื่องกามกิเลสกับขันธ์นี้พิสดารมากแต่ไม่พูด พูดไม่ได้ผู้เป็นจะรู้เอง ระหว่างขันธ์กับกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว ขันธ์ยังมีอะไร ๆ แทรกอยู่ในนั้น เป็นเรื่องของขันธ์ล้วน ๆ นี้ผู้นั้นรู้เอง อันนี้ไม่จำเป็นต้องพูด ผู้ปฏิบัติจะรู้เอง คือพูดออกไปไม่เกิดประโยชน์ อันใดที่พูดออกไปก็ให้เป็นประโยชน์ อันใดที่เป็นเฉพาะท่าน ท่านไม่พูด
คือจะพูดออกไปต้องเล็งประโยชน์ สิ่งที่จะให้รู้โดยเฉพาะเอง มอบให้เจ้าของเอง นั่น เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก สิ้นไปแล้วอะไรยังมีเหลืออยู่ ๆ ท่านรู้ของท่านเอง พูดไปพูดมานี่ ๓ โมงแล้วเห็นไหม นาฬิกาเขาไม่ได้สนใจกับใครเขาเดินของเขาเรื่อย พวกเรานี้บ๊งเบ๊ง ๆ เข้าใจหรือยังนี่ (ลูกศิษย์ : นิดหน่อยเจ้าค่ะ ก็ยังไม่ถึงไหน) อ้าว จริง ๆ แล้วเรื่องธรรมนี่ เรายังพูดแล้วว่า เอ้าถามมา โน่น ฟังซิ เคยได้ยินไหมพี่น้องทั้งหลาย เราเองก็ไม่เคยเป็น แต่เวลานี้มันจ้าครอบโลกธาตุ ถึงว่า เอ้าถามมา จะตอบ พอถามมาปั๊บ ปั๊วะทันทีแหลกเลย ๆ ก็กิเลสวัฏจักรมันเท่ากำปั้น ธรรมครอบโลกธาตุ จะไปจนตรอกจนมุมเขาที่ไหน นอกจากสมควรตอบหรือไม่สมควรตอบ ถ้าไม่สมควรตอบดึงก็ไม่ออก ถ้าสมควรแล้วผางทันทีออกเลย ๆ เข้าใจหรือเปล่า
ลูกศิษย์ เข้าใจค่ะ แต่ยังไปไม่ถึง
หลวงตา อย่าไป นอนตายอยู่ที่นี่แหละ (เสียงหัวเราะ) ก็จะให้ว่าไงใช่ไหม ก็ต้องตอบให้อย่างนั้นซี ต้องเสริมให้ด้วย.. สายแล้วนะ เราจะไปไกลนะวันนี้ นี่ก็ไปช่วยโลกนั่นแหละ จะไปโรงพยาบาล ไกลวันนี้ อุตส่าห์ไปอย่างนั้นแหละจะทำยังไง นี่แหละที่ว่าเมตตาฟังไว้ นี่แหละช่วยด้วยเมตตาก็อย่างนี้ ฐานะที่เมตตาจะลงได้ตรงไหน ๆ ก็ลงตรงนั้น ๆ วันนี้จะไปไกล ช่วยโรงพยาบาล ช่วยทุกแห่งทุกหน เอาจนกระทั่งตาย ตายแล้วทิ้งปั๊วะไปเลย อย่านิมนต์พระมากุสลาให้ยุ่งนะ เราบอกตรง ๆ อย่างนี้เลย เราพอทุกอย่างแล้ว ดีไม่ดีพระมาอย่างนี้ เราจะกุสลาให้ด้วย เวลาเราตายแล้วเราจะกุสลา เป็นบ้าหายบ้าหรือยังเราจะว่าอย่างนั้น กุสลาให้พระ พระจะไปกุสลาให้เรา เราก็จะกุสลาให้พระเป็นบ้าหรือมากุสลาให้เราหาอะไร ว่างั้นเข้าใจหรือเปล่า ไปละ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com