วัดป่า วัดบ้าน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ (บ่าย)
เดิมที่จริงนี้เป็นป่าธรรมชาตินะ ป่าไม้มีแต่ไม้ใหญ่ๆ พวกไม้ตะเคียนๆ ใหญ่จริงๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ ไม้ยาง ไม้ตะเคียน ไม้ประดู่ ไม้มะค่า ไม้แดง มีอยู่หมดดงอันนี้ แล้วที่มีเป็นโคก ไม้เต็ง ไม้รัง เวลานี้หมดไม่เหลือเลยนะเหลืออยู่เฉพาะวัดนี้ พอเป็นเชื้อของป่า เวลานี้มีไม่กี่ต้นมองไปเห็นไม้ยาง มองเห็นแล้ว มองเห็นไม่กี่ต้นถูกเขาตัดทำลายหมด เวลานี้กำลังฟื้นฟูปลูกต้นไม้ขึ้นมาอีก ให้เป็นดงเหมือนแต่ก่อน เราก็พยายามปลูก แต่ไม้สักจะรู้สึกว่าไม่เคยมีแต่ก่อนที่นี่ เวลานี้เราปลูกได้มากแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าต้น ทางด้านโน้นสูงกว่าศาลานี้ แล้วก็ไม้ตะเคียนอย่างดี ตะเคียนทองก็ปลูกเต็มไปหมด เพราะแต่ก่อนเป็นดงไม้ตะเคียน ไม้ยาง ไม้ตะบะ นี่พยายามปลูกไว้กุลบุตาสุดท้ายภายหลังด้วย สำหรับไว้เป็นที่ร่มเย็นของวัดนี้ด้วย
ที่วัดนี้มีเนื้อที่ทั้งหมด ๑๖๓ ไร่ กว้างพอประมาณ พระที่อยู่ที่นี่มีทุกภาคในวัดนี้ ภาคกลางมากกว่าเพื่อน ภาคอีสานก็หลายจังหวัดเหมือนกัน แทนที่พระในวัดนี้ภาคอีสานจะมาก กลับเป็นภาคกลางมากกว่าเพื่อน แล้วพวกปริญญาตรี โท เอก มีหมดในนี้มีหมดนั่นแหละ วิศวะปรมาณูก็มี ชาวอังกฤษมาอยู่นี่ต้นแต่ต้นปี ๒๕๐๖ จนกระทั่งป่านนี้ยังอยู่นี่ องค์นี้เก่งมากเป็นวิศวะเรื่องเรือเหาะเรือบิน เครื่องยนต์กลไกทำเป็นหมด แม้กระทั่งจรวด ดาวเทียมทำเป็นหมด องค์นี้นะ เวลาไม่ถามก็เหมือนไม่รู้อะไร เฉย เวลาถามไม่มีอัดมีอั้น เป็นอย่างงั้นนะ มาอยู่นี่ได้ ๒๐ กว่าปี
สำนักนี้เป็นสำนักให้ปฏิบัติโดยเฉพาะ ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนเพื่อสอบ แต่ศึกษาเล่าเรียนได้ธรรมดาอัธยาศัย ไม่ได้สอบ เพราะหนังสือมีครบ พระไตรปิฎกก็มีในวัดนี้ ใครอยากดูเรื่องไหนๆ ก็ได้ แต่ไม่ได้ดูสอบ เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่มี เช่น อย่างไฟฟ้า อันนี้มาทำโก้ๆ เฉยๆ นะ ทำอวดไว้นั้นแหละ เพราะเห็นว่าโลกเขามี เราก็คนๆหนึ่ง มาติดไว้ ความจริงเครื่องฮอนด้า เท่ากำปั้น มันทำมาอวด เขาว่าโลกทั้งโลกมีไฟฟ้า เราไม่มีได้เหรอ ถ้าเขาถามมีไฟฟ้าไหม เราก็บอกว่า ดูเอา ส่วนระลึกจะเปิดไม่เปิด ปีๆ หนึ่งไม่ได้เปิด เราทำไว้โก้ๆ เขามีเราก็ทำโก้ๆ ไว้เพื่ออวด ปีหนึ่งอย่างมากก็ได้เปิดครั้งหนึ่ง เพราะไม่ค่อยใช้ วัดนี้ไม่ค่อยจำเป็น นอกจากเวลามีประชาชนมา ตอนค่ำๆ แล้วก็เปิดซะมั่ง เท่านั้นเอง
ปกติไม่ค่อยได้ใช้ไฟฟ้า ทางบ้านเมืองเขาก็อยากให้มี แต่เราก็อย่างว่า มันก็ไม่หนีจากวาสนาแหละ เราวาสนาอาภัพ มันก็ไม่มีอยู่นั่นแหละ นี่ไฟมาถึงหมู่บ้านตาดนี้ เขาใช้กันหมดแหละหมู่บ้านนี้ ก็ยังไม่มีสักวันหนึ่ง ก็เห็นว่า ในความไม่มีเหมาะกว่าความมี สำหรับวัดป่า ถ้าวัดบ้านก็เป็นอีกอย่างหนึ่งเราไม่ว่า และวัดป่าก็ไม่เห็นมีอะไรจำเป็น เพราะการศึกษาเล่าเรียนที่เกี่ยวกับไฟฟ้าก็ไม่เห็นมี เดินจงกลมท่านก็เดินอยู่ในป่า ไม่จำเป็นต้องเอาไฟฟ้าไปใช้ มีไฟฟ้าก็จะมีอะไรๆ ขึ้นมา หลายด้านนะ
เช่น โทรศัพท์ ในหลวงรับสั่งให้ทางผู้ว่า ให้มาติดตั้งโทรศัพท์ที่นี่ หลายหนแล้ว แต่หลวงตาบัวก็ดื้อแพ่ง ไม่เอา สุดท้ายก็กลับคืน มาติดตั้งโทรศัพท์ เขาจะเอาไฟฟ้าเข้ามานี่หลวงตาบัวก็ดื้อแพ่ง ไม่เอา เขาจะให้ไฟฟ้าก็วาสนาไม่อำนวยจะว่าอย่างไง แล้วก็โบสถ์หลังสวยๆ งามๆ ในหลวงก็จะพระราชทานเงินสร้างโบสถ์ทั้งหลัง คือไม่ต้องไปหาเรี่ยไรเงินที่ไหน ท่านจะให้ทั้งหมดเลยสร้างโบสถ์ ทีนี้วาสนาเราไม่มี ก็ไม่เอาอีกแหละ มันน่าจะได้ก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ มันเป็นอย่างนั้น วาสนาของคน ท่านถึงไม่ให้ดูถูกกัน ธรรมเขาจะว่าอย่างงั้นไม่ให้ดูถูกกัน แม้แต่สัตว์ไม่ให้ดูถูกกัน วาสนามันลึกลับนะ ไม่ใช่จะเอามาแข่งกันได้
สิ่งที่เราพูดถึงเหล่านี้ ถ้าจะเอาทางภาคปฏิบัติ เราก็มีเหตุผล เช่น มาติดตั้งโทรศัพท์ แล้วนานไปเท่าไหร่ คือในหลวงเพื่อความสะดวกเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บของเรา ท่านจะรับสั่งถามมาทางนี้ ถามเข้ามาทางนี้ได้สะดวก หรือท่านจะรับสั่งจากทางโน้น ตรงเข้ามาเลยนี่ก็สะดวก แต่ปีๆ หนึ่งจะหนหนึ่งหรือสองหนเป็นอย่างมาก ไอ้พวกเปรต พวกผี ไม่ว่าผีพระ ไม่ว่าผีโยม เข้าใจไหมล่ะ มันจะมากุมากวน มายุ่ง กริ๊งๆ กรั๊งๆ ทั้งวันทั้งคืน นี่แหละตัวสำคัญเข้าใจไหม นี่ผีตัวนี้เป็นผีตัวสำคัญมากนะ ผีไล่ไม่ออกด้วยนะ เข้าใจไหมนี่ผีไล่ไม่ออกด้วย เพราะว่าอยู่ในวัดจะไล่ไปไหน นั่นนะจำไว้ นี่แหละประโยคหนึ่ง ที่แก้กันประโยคนี้แหละ แต่เราไม่เคยไปพูดที่ไหน พูดจิ๊บๆ กลัวคนจะได้ยินกันหมด เราไม่ให้มี ก็อย่างนี้แหละ ผลเสียมากกว่าผลได้ ผลได้จะมีเพียงเท่านี้ ผลเสียจะเท่าภูเขา
เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจะขี่ช้างจับตั๊กแตนมันสมควรเหรอ ไม่สมควรก็ไม่ทำนี่อันหนึ่ง แล้วก็ไฟฟ้าก็เหมือนกัน เมื่อไฟฟ้ามีเข้ามาแล้ว ความสะดวกทุกสิ่งทุกอย่างมันจะตามเข้ามา ความสะดวกจนกระทั่งเละไปหมดทั้งวัดก็ได้ พอไฟฟ้ามีแล้วอะไรๆ จะตามมานี่ หลวงตาบัวนี่เรียนน้อยด้วย และอยู่ในป่าในเขาด้วย จะทราบเรื่องราวกันในสังคมตลาด เขามีอะไรเกี่ยวกับไฟฟ้า นี่หลวงตาบัวไม่ทราบ แต่เราก็กันไปตามภาษาบ้าของเรานี่แหละ อันนี้เอาก็ไม่ให้มี ถ้ามีขึ้นมามันจะเป็นอย่างไง
โทรทัศน์ เทวทัต โอ้ โทรทัศน์นะ วีดีโอจะมีกันหมด สนามมวย และทุกสิ่งทุกอย่างจะมีกันหมดในวัด ระบำรำโป๊ไปหมดในวัดนี้ นี่แหละไฟฟ้าเป็นเหตุ ถ้ามีแล้วมันจะมา ทีแรกก็มาแบบลับๆ ใช่ไหมละ แอบเข้ามาเป็นตู้เย็นบ้างอะไรบ้าง เข้าไปอยู่ในครัว พรรคพวกที่มากวนฝ่ายหญิงก็มีทางโน้น จะเข้าทางโน้นก่อนแหละ เรื่องข้าศึกจะเขาทางโน้นก่อนด้านผู้หญิงอยู่ทางด้านโน้น ด้านพระอยู่ทางด้านนี้ ผู้ชายทางด้านนี้ มันไม่กล้าเข้ามาง่ายๆ จะต้องเข้าไปทางโน้นก่อนข้าศึก โน้นไปสั่งสมกำลังอยู่โน้น แล้วก็ตีกระจายมาทีนี้แหลกหมด ไม่มีเหลือเลยนั่นแหละเรื่องมัน
การสร้างโบสถ์ก็เหมือนกัน เริ่มตั้งแต่วันตกลงกันเรียบร้อยแล้ว กับช่างที่จะมาสร้างโบสถ์นะ พอตกลงกันแล้วนะ ประตูวัดจะไม่มีทางปิดเลย จะต้องเปิดทั้งคืนทั้งวันตลอด รถจะสวนกันเข้า สวนกันออก อยากมาเวลาไหนก็มา จะเข้าเวลาไหนก็เข้า อิฐก้อนหนึ่งก็ต้องเอารถใส่มา เหล็กเส้นหนึ่งรถต้องใส่เข้ามา อย่าว่าสองสามเส้นไปเลยนะ ตั้งแต่เส้นหนึ่งไปเลย ปูน หิน ทราย เครื่องสัมภาระในการก่อสร้างโบสถ์นี้ ทุกชิ้นจะต้องบรรทุกรถเข้ามา แล้วรถนี่จะประสานกันอยู่ตลอด คนในตลาดเทศบาล เขายังไม่มีรถเข้าไปใช่ไหม อันนี้มันเก่งกว่าตลาดเทศบาลอีก รถเข้ามาได้ทุกเวลา เราไปห้ามเขาได้อย่างไร
ผู้ที่จะมาสร้างโบสถ์นี้เป็นคนมาจากไหน แล้วเรารู้จักกับเขาไหม หนึ่งหัวหน้า เรียกว่านายช่างที่จะมาสร้างโบสถ์ สองคนงานที่จะมา เราติดต่อกันมาจากไหนๆ ไม่รู้ คนเหล่านี้เขารู้จักศีลรู้จักธรรมไหมเขารู้จักกฎระเบียบของพระเณรไหม เขารู้จักวัดป่าเป็นอย่างไร วัดบ้านเป็นอย่างไงไหม เขาไม่เคยสนใจเพราะไม่ใช่เรื่องของเขาจะมาสนใจ แต่เวลาเขามาทำ เขาจะทำตามเรื่องของเขา เอ็ดตะโรโฮเฮขับรำทำเพลงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลูกทั้งแม่มาแตกลูก ออกลูกอยู่ในนี้ อะไรก็ไม่รู้แหละ เราก็เดาๆ ไปอย่างนั้นแหละ ทั้งหญิงทั้งชาย อย่างน้อยสร้างโบสถ์นี้ ต้อง ๓๐ คนขึ้นไป นี่จะเป็นอย่างไร เพียงวาดภาพตามที่เล่าให้ฟังนี้เป็นอย่างไรบ้าง รถนี่ทั้งวันทั้งคืน เพราะพวกนี้จะไม่ใช่พวกสงบ อยากออกเวลาไหนก็ออก อยากเข้าเวลาไหนก็เข้าใช่ไหม อึกทึกครึกโครมตลอด พระเหล่านี้ทั้งๆ ที่ยังหายใจอยู่ก็เหมือนกับพระตายแล้ว
สร้างโบสถ์ทั้งหลัง โบสถ์หลังหนึ่งจะมีเงินสักกี่หมื่นล้านก็ตามเถอะ มันก็ไม่สำเร็จ ภายในสองสามเดือน อย่างน้อยต้องหนึ่งปีถึงจะสำเร็จ การทำลายไม่จำเป็นต้องถึงปีหนึ่ง มันก็แหลกไปได้ พิจารณาซิ ทีนี้การสร้างโบสถ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พระตายแล้วจากศีลจากธรรม จากสมาธิ จากปัญญาวิมุตหลุดพ้น ภาคปฏิบัติทั้งหมดตายไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ ก็จับพระที่มีอยู่ในวัดนี้ ที่ยังเหลือลมหายใจนี้ โยนเข้าไปในโบสถ์เลย เผากันทั้งเป็นนั่นคือเมรุ เข้าใจไหม พิจารณาซิ การพูดครั้งนี้เราไม่ได้ประมาทในทั่วๆไปนะ “คือสถานที่ไม่ควรสร้าง ก็ไม่ควรจะสร้าง สถานที่ควรสร้างก็เห็นด้วยไม่ว่า” แต่สถานที่เช่นนี้ไม่ใช่สถานที่จะมาก่อมาสร้างอะไร หรูหรา วุ่นวายแก่ทางด้านจิตตภาวนา จึงต้องรักต้องสงวนเอาไว้ คิดดูตั้งแต่แม่น้ำมหาสมุทรยังมีเกาะ มีดอน เหตุใดพระพุทธศาสนาจะไม่มีเกาะมีดอนให้พุทธศาสนิกชนหรือพระเณรทั้งหลาย เราได้ปฏิบัติได้รับความสะดวกมีอย่างเหรอ ต้องมี นี่จึงต้องรักสงวน ถ้าว่าเป็นความเห็นผิดแตกต่างจากใครๆ เราก็ยอมรับ แต่ให้เล็งถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมว่า เรื่องศาสนาท่านดำเนินอย่างไร ท่านเป็นไปอย่างไร นี่เป็นของสำคัญมาก
เมื่อสถานที่สงัดการประกอบความเพียรก็ดี ถ้าสถานที่จุ้นจ้านวุ่นวายหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ ก็หาประโยชน์ไม่ได้เหมือนกัน ทีนี้ทั้งพวกญาติโยมประชาชน อยากจะไปเห็นทั้งวัดป่าและวัดบ้าน วัดป่าก็ไม่เห็นเพราะไม่มี ก็มีแต่วัดบ้าน นี่ก็ไม่ดี อยากเห็นวัดป่าก็เห็น อยากเห็นวัดบ้านก็เห็น อยากเห็นพระป่าก็ให้ได้เห็น อยากเห็นพระบ้านก็ให้ได้เห็น อยากเห็นอะไรเป็นสิริมงคลแก่หู แก่ตาให้ได้เห็น ได้ยิน ได้คิด นี่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องสงวนไว้สำหรับกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ประชาชนชาวพุทธเราได้ประพฤติปฏิบัติตาม และได้เป็นคติตัวอย่าง มรดกอันดีเป็นคติตัวอย่างของชาติบ้านเมืองของเรา จึงต้องมีไว้วัดป่าและวัดบ้าน ตามหลักของพระพุทธศาสนามีมาเป็นอย่างนั้น ท่านว่า คามวาสี คือวัดบ้าน อรัญวาสี คือวัดป่า อันนี้มีมาแต่ดั้งเดิมตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเราจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ควรที่จะไปลบล้าง
เพราะฉะนั้น จึงให้มีไว้คู่เคียงกัน แล้วพี่น้องทั้งหลายที่มาวันนี้ก็ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยนะ ที่อุตส่าห์มาแสวงบุญ ไปที่นั่นก็ได้บุญ ไปที่นี่ก็ได้บุญ ใจของเราเป็นบุญไปที่ไหนก็เป็นแต่บุญทั้งนั้น ถ้าใจเป็นบาปอยู่ในบ้านในเรือนก็เป็นบาป ไปอยู่ในวัดก็ไปสร้างบาปถ้าใจเป็นบาป นี่ใจเราเป็นบุญมาเสาะแสวงหาคุณงามความดี มีการให้ทาน เสียสละเป็นประโยชน์แก่วัดวาอาวาส เป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้ทุกข์ไร้เข็ญใจเสียสละไป ศีลเราก็รักษามาตลอด เราไม่ได้ไปทำอะไร เราอยู่ในรถเรามาในรถรักษาศีลมาได้ตลอด ภาวนาก็อยู่ในรถ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคิดถึงบ้านถึงเรือน คิดถึงการถึงงาน ถึงโน่นๆ นี่ๆ คิดถึงแต่พุทโธภายในใจ ใจก็จะเย็นสบาย นี่แหละเรียกว่าเรามาสะสมบุญ
ขอให้พี่น้องทั้งหลายสร้างบุญไปตลอดทาง จนถึงจะกลับบ้านนะ กลับบ้านไปแล้วก็ตาม พุทโธ
ธัมโม สังโฆ อันเป็นองค์ประเสริฐ องค์ธรรมอันประเสริฐนี้อย่าได้ห่างจากใจ อะไรจะเหินห่างก็ให้เหินห่างบ้างเถอะ เรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความกริ้วความโกรธกันนั้นเป็นสิ่งที่ควรให้เหินห่างจากใจ แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมความร่มเย็นเป็นสุข ความเมตตาสงสาร ความเฉลี่ยเผื่อแผ่ ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันนี้ ให้ต่างคนต่างสั่งสมไว้ที่ใจ ให้สนิทอยู่กับธรรมเหล่านี้ โลกทั้งหลายจะมีความร่มเย็นเพราะเห็นแก่ใจกัน ความเมตตาต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน
คนมีธรรมย่อมเห็นใจกัน คนไม่มีธรรมหาความเห็นใจไม่ได้ มีแต่ขูดแต่รีด แต่คดแต่โกง แต่ไถแต่เอารัดเอาเปรียบ นี่หมายถึงคนไม่มีธรรม คนมีธรรมไม่คิดเรื่องเหล่านี้ปัดออกหมด คิดแต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนและเพื่อนฝูงด้วยกันทั้งนั้น นั่นเรียกว่าคนมีธรรม เย็นสบายๆ อยู่ในบ้านก็ให้ระลึกถึงธรรม คำว่าธรรมคืออะไร เป็นธรรมชาติที่โลกทั้งหลายต้องการ ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าธรรม ท่านจึงว่าโลกุตรธรรม แปลว่าอะไร แปลว่าธรรมเหนือโลก ในใจเราก็เหนือโลก อยู่ที่ไหนก็เหนือโลกถ้าธรรมได้ครองใจแล้ว พยายามนึกถึงท่านเสมอนะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นองค์ธรรมอันประเสริฐ
เราเกิดมาในพระพุทธศาสนานี้ เรามีลาภหนึ่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อันที่สองได้นับถือพระพุทธศาสนา เราเกิดมาในโลกนี้มีจำนวนเท่าไหร่ มนุษย์ทั่วโลกเกิดดินแดนนี้ ที่ได้นับถือพระพุทธศาสนา หาได้ยากมากเลยทีเดียว เราเป็นผู้หนึ่งแล้ว ในล้านคนนี่เราหนึ่งคนแล้ว เราเป็นผู้ได้แล้วนะ หนึ่งในล้านนับว่าเราประเสริฐ กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ ความเป็นลาภแห่งการเกิดมนุษย์นี้เราได้แล้ว แล้วยังได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าอีก ก็ได้เป็นลาภอันประเสริฐของพวกเราอีก นี่เป็นลาภอันประเสริฐแล้วสำหรับเรา ฉะนั้นอย่าปล่อยลาภอันประเสริฐคือความเป็นมนุษย์ของตนให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ ได้ปฏิบัติคุณงามความดีตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทรงสั่งสมไว้ ให้ได้บำเพ็ญเสมอ เป็นกับตายก็อย่าได้ลืมศีลลืมธรรม เราจะมีความชุ่มเย็นภายในใจ
นี่เราเกิดมาแล้วเห็นชัดเจนว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ นี่ต่อไปนี้จะเป็นอะไร เราต้องสร้างความดีเอาไว้ อย่างน้อยได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีก มากกว่านี้เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วมากยิ่งกว่านั้นถ้า
บุญญาภิสมภารมากพูนก็เพราะเราสร้างไว้มาก เราก็ได้ถึงโลกุตรธรรมได้แก่พระนิพพานไปเลยทีเดียว ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารให้ทุกข์แล้วทุกข์เล่า ดังที่เคยเป็นมาเหมือนดังสัตว์ทั้งหลายเป็นกัน นี่ก็เพราะอำนาจแห่งบุญ อย่าได้ลืมตน
คำว่าเกิด คำว่าตายนี้มีอยู่ทั่วไป เราอย่าสงสัยว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ มองดูเหล่านี้มีตั้งแต่เกิดแล้วทั้งนั้น เห็นกันชัดๆ สูญไปไหน ตายก็เห็นอยู่ บ้านไหนเมืองไหนมีป่าช้าทั้งนั้นแหละ ไม่มีป่าช้านอกบ้านมันก็มีอยู่ในวัดที่เรียกว่าเมรุ นั่นเราสงสัยที่ไหนเรื่องตาย แล้วเกิดครอบครัวไหนๆ ก็มีเกิดแล้ว ขึ้นมาทั้งนั้นในโลกนี้โลกเกิดโลกตายแล้วจะมาลบล้างว่าตายแล้วสูญ เอาอะไรมาสูญก็มันเกิดมันเห็นต่อหน้าต่อตาอยู่ในโลกนี้ เราเห็นต่อหน้าต่อตาของเราเอง เห็นไหมในบ้านของเรามีไหม มีคนเกิดไหม มีลูกของเราเกิดไหม มีหลานของเราเกิดไหม แล้วมีสัตว์ของเราในบ้านเรือนของเราเกิดไหม นี่เห็นด้วยอยู่ชัดๆ เราไปสงสัยหรือเราไปหลงกลมายาอย่างไงว่าตายแล้วสูญ ทั้งๆที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปว่าตายแล้วเกิดทั้งนั้น เกิดแล้วมันก็ตายนั่น นี่ตายแล้วเกิดๆ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา แต่ตายแล้วสูญไม่มี ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยเห็น มันไม่มีคำว่าตายแล้วสูญ มันมีแต่ตายแล้วเกิด พระองค์จึงสอนว่า ตายแล้วเกิด
เพราะฉะนั้นการเกิดของตนนั้น จงสร้างความดีไว้ให้ดี ถ้าสร้างความดีไว้มากเกิดจะไปเกิดในสถานที่ดี คติที่เหมาะสมเป็นที่พึงหวังของเรา ถ้าไม่สร้างความดีแต่กลับไปสร้างความชั่วช้าลามกแล้ว ตายไปเกิดนะ ไปเกิดเป็นผี เป็นเปรต เป็นผีเป็นสัตว์นรกอเวจีไปได้ นี่ความเกิดมันจึงไม่แน่นอน สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วต่างกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงได้พยายามสร้างความดีไว้เสียตั้งแต่บัดนี้ ไม่ให้เสียท่าเสียที ตายไปแล้วจะไปเกิดที่ไหนข้างหน้าเมื่อบุญมีแล้วไม่ต้องถามเลย บุญจะพาไปเอง ไปเกิดสถานที่มีความสุขความเจริญ สบายหายห่วงนั่นแหละ
ฉะนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายรับธรรมนี้ไว้ เป็นเครื่องเตือนอกเตือนใจที่ได้ประพฤติปฏิบัติตามก็จะได้ประสบพบเห็นความสุขความเจริญ สมความมุ่งหมายโดยทั่วกัน
***
|