วัฏจักรนี้คือนรกอเวจี
วันที่ 8 กันยายน 2543 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

วัฏจักรนี้คือนรกอเวจี

(ผู้ฟังเทศน์นักเรียน ร.ร.ค่ายประจักษ์ฯ ๑๐๐ คน ประชาชน ๔๐๐ คน)

โรงพยาบาลสร้างใหม่ หนองบัวลำภู เราไม่เคยได้ไปดูนะ ที่เขาขอเครื่องมือทำฟันมานั้นคงจะเป็นโรงพยาบาลนี้ ยังไม่ได้ไปดู รอไว้ก่อนพิจารณาก่อน เพราะโรงไหนก็บกพร่อง ๆ ไปที่ไหนก็ไปเพื่ออุดหนุนเยียวยาทั้งนั้น จะไปแต่ละโรง ๆ นี้พิจารณาเสียก่อนแล้วค่อยไป ๆ เพราะไปช่วยทุกโรงไปเลย ทางโน้นเขามาติดต่อกับเราเรื่อย ๆ มาเรื่อย ๆ เรายังไม่ได้ไปเพราะมันมากต่อมากโรงพยาบาล เราไปไม่ทั่วถึง

อย่างโรงพยาบาลหนองบัวลำภูนี้ก็ทราบว่าสร้างใหม่ ยังไม่ได้ไปดู แต่โรงเก่าเราช่วยเยอะแล้ว รถยนต์ก็ให้ เครื่องมืออะไรก็ให้ เครื่องทำฟันก็ให้ เอกซเรย์ให้ไป ศรีบุญเรือง ทางนี้เลยไปขอ ศรีบุญเรือง มา แล้วเอาเครื่องเก๊ ๆ ไปให้ ศรีบุญเรือง ว่าเครื่องนั้นกับจังหวัดเหมาะสมกันมาก เครื่องนี้กับอำเภอเหมาะสมกัน เวลาเขาขอกันเขาขออย่างนั้นนะ ตกลงทางโน้นก็ยอมให้ ทางนี้ก็ไปเอามา เครื่องนั้นดีเอกซเรย์เครื่องนี้เราจำได้

เครื่องนี้เราติดหนี้ถึงจำได้นะ นั่นละเงินไม่มี แต่ความจำเป็นของโรงพยาบาลมี จำเป็นที่ควรจะให้ด้วยและควรจะติดหนี้ด้วย เราเลย เอ้าติดหนี้ เอามาเลย แล้วเครื่องดีด้วยเราถึงไม่ลืม เครื่องนี้ติดหนี้ ติดหนี้เรื่อยหลวงตา ติดหนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องช่วยโลกนั่นแหละไม่ใช่ติดหนี้อะไรนะ ติดอยู่เรื่อย เวลาจำเป็นจริง ๆ นี้จะทำยังไง ตาจ้องเข้าแล้ว เอ้า เอาติดเอามาเลย นี่ละที่ติดอยู่เรื่อยเพราะเหตุนี้ คือความจำเป็นมันเหนือหนี้ เพราะฉะนั้นเราถึงยอมติดหนี้ เอาความจำเป็นเข้ามา มีอยู่เรื่อย ๆ

ใครอย่ามาเข้าใจว่าหลวงตาบัวชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศไทย มิหนำซ้ำออกทั่วโลกเวลานี้ แต่ก่อนก็ออกอยู่แล้วทางทีวี เช่นอย่างถ่ายทอดสดนี้ก็ออกทั่วโลก มิหนำซ้ำยังออกอินเตอร์เนทเตอแหนดอีก อันนี้ยิ่งไปไกลนะ อย่างธรรมดาชื่อเสียงมันดังทั่วโลกแล้ว เขาต้องให้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มาแหละ คือดุษฎีกิตติมศักดิ์นี้เป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่ชื่อ แต่ตัวจนยิ่งกว่าหมาตัวหนึ่ง เวลาเขามาดูเราจริง ๆ จะไม่มีใครจนยิ่งกว่าเรา เวลาเขาดูชื่อเสียงเขาจะต้องตั้งชื่อให้เป็นมหาเศรษฐีมาพร้อมเลย เวลามาดูตัวจริงแล้ว เหอขึ้นเลย มันตื่นล่ะซี มหาเศรษฐีอะไรตัวเท่าหนู แล้วหนูก็ไม่มีหนังด้วย มีแต่โครงกระดูก เขาก็จะตื่นตกใจละมาดูเศรษฐี

นี่ก็เรือนจำ วันนี้ว่าจะไปจ่ายเงินสดที่ตกค้างอยู่ให้เรือนจำ พอดีพระมาบอกว่าได้เขียนใบถอนเงินแล้วที่เรือนจำหนองบัวลำภู ตกลงเราก็เลยไม่ไป ทีแรกเราว่าจะไปดูเรือนจำหนองบัวลำภูที่เขาขอมา แล้วเราไปดูเสียก่อน ขอที่หลับที่นอนของนักโทษหญิง ไม่มี จำเป็นจริง ๆ ก็วิ่งมาขอ เราเลยไปดูด้วยเราเอง เข้าไปเรือนจำ “ไหนที่ว่าขัดข้องขาดเขินที่หลับที่นอนของพวกฝ่ายผู้หญิงอยู่ที่ไหน” เขาพาเข้าไปเลย พาไปดูที่นอนยาวเหยียด ๆ ที่ขอไปนั้นว่าขอมาทำตรงนี้ ๆ เวลานี้นักโทษหญิงไม่มีที่หลับที่นอนกันเป็นร้อย ๆ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องไปดูเอง พอดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตกลงให้เขาทำกัน ให้ทำทั้งหมดเลย เราเป็นผู้คอยจ่ายเงิน

เขาจ่ายเข้าใจว่าหมดแล้ว เราก็จ่ายเงินไปแล้ว ทีนี้เมื่อสองวันนี้เขามาอีก เอาใบขอบคุณมาจากกระทรวงมหาดไทยมาให้ แล้วเขาก็มาพูดถึงเรื่องเพิ่มเติมอะไรต่ออะไรเป็นเงินประมาณ ๘ หมื่นกว่าบาท เราก็บอกว่าเราจะให้ วันนี้เรากำลังจะขึ้นรถไปธุระ เราบอกว่าเราจะให้ ให้ติดต่อกับพระไว้ เท่าไร ๆ ก็ติดต่อกับพระ นี่ติดต่อกับพระเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้านี้ถาม เราจะไปจ่ายเป็นเงินสดเลย ถ้าไม่มากนักก็จ่ายเป็นเงินสด คือการจ่ายของเราไม่แน่ ถ้ามากเกินไปก็จ่ายเช็ค ถ้าไม่มากนักก็จ่ายเป็นเงินสด เช่นอย่างขนาดแสนอะไรลงมานี้ หรือสองแสนลงมานี้ก็ยังจ่ายเงินสดอยู่ ถ้ามากกว่านั้นก็จ่ายเช็ค ๆ แต่ไม่แน่ละเราเป็นคนสั่งเองนี่ ควรจะจ่ายสดจ่ายเช็คอะไร เราพิจารณาแล้วเราสั่งเองจ่ายเอง

วันนี้เราก็ว่าจะเอาเงินสดไปจ่ายเขาเลย พอดีพระท่านมาบอกท่านเตรียมเขียนใบถอนไว้เรียบร้อยแล้ว เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็เขียนจ่ายเช็คเลย ตกลงเราก็ไม่ไป จะไปดูที่นั่นอีก วันนี้ไม่ไป ก็มาข้องใจโรงพยาบาลใหม่นี่ละ ที่เขามาขอเครื่องทำฟันวันนั้น เราก็อยากไปดู ไปดูหากว่าบกพร่องตรงไหน ๆ เราก็ช่วย ความหมายว่าอย่างนั้นนะ ถ้าเป็นโรงพยาบาลใหม่ควรจะได้ช่วยเหลือ จึงได้ถาม โรงเก่าเขาอยู่ข้างใน โรงใหม่อยู่ชานเมืองตีนเขา แต่นี้เขาเขียนป้ายไว้พอให้สงสัย เหมือนว่ามีโรงพยาบาลอยู่ทางด้านนี้นะ พึ่งทราบเดี๋ยวนี้ว่าอยู่ทางด้านนี้จริง ๆ ช่วยอย่างนี้ตลอดมาแหละ

อุดรฯ นี้ก็สร้างตึกไว้ให้ อาทิตย์หนึ่งหมอมาทีหนึ่ง มาตึกนี้ สร้างตึกเป็นตึกอนามัยเอาไว้ พวกหยูกพวกยาเครื่องอะไร ๆ เวชภัณฑ์ต่าง ๆ อยู่ในตึกนี้ งบประมาณ ๒ ล้าน สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ให้ นี่หมายถึงเรือนจำอุดรฯ ให้ ๒ ล้าน แต่ทีนี้เวลาทำงานเขาเอานักโทษทำ รายจ่ายจึงทุ่นลงมาก เขาก็มาบอก เงินที่มาของบประมาณ ๒ ล้านนั้นเวลานี้ไม่ถึง ๒ ล้าน จ่ายไปเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเงินอยู่เท่านั้น ๆ เราก็บอกให้มอบเข้าเป็นมูลนิธิในเรือนจำหมดเสีย เป็นเงิน ๒ ล้าน เศษเหลือเท่าไรเรามอบหมด

แล้วก็ลาดยาว ลาดยาวนี้ใหญ่ยาว อันนี้ก็นักโทษหญิงเหมือนกัน ช่วยตึก ๖ ล้านแล้วให้มูลนิธิอีก ๑ ล้าน ให้เงินเป็นค่าหยูกค่ายาแก่พวกคนไข้อีกหลายหมื่นตอนที่เราเข้าไปเยี่ยม เขาพาไปดูซอกแซก เขาขายอะไร ๆ นั้นเราซื้อหมด เป็นพ่อค้าใหญ่เทียว เขาขายของในเรือนจำ ผลรายได้ก็เป็นของเรือนจำว่างั้นเถอะ พวกเจ้าหน้าที่ขายของอยู่ในนั้น ขายแล้วก็เอาผลประโยชน์ให้เป็นของเรือนจำ ๆ เราก็เป็นเสี่ยใหญ่เลยเทียว ชิ้นละกี่พันก็ตาม ให้เลยเป็นหมื่น ๆ ไปเลย เสี่ยใหญ่ไปไหนเป็นอย่างนั้นละ

นี่ละอำนาจความเมตตา เงินไม่มี แต่เมตตานี้เหลือล้นพ้นประมาณ จึงได้สอนพี่น้องทั้งหลาย อยากให้รู้ให้เห็นธรรมพระพุทธเจ้าประจักษ์ในหัวใจจ้านี้แล้ว โหย กราบราบเลย ไม่ทำบาปว่างั้นเลย ถ้าลงได้เห็นประจักษ์แล้วฆ่าก็ตายทิ้งเปล่า ๆ ถ้าไม่ทำบาปประเภทนั้น ๆ แล้วจะฆ่า ให้ฆ่าเลย ที่จะยอมตัวให้สละลงไปเพื่อทำบาปไม่มีทาง นั่นละธรรมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงท้อพระทัยในการสั่งสอนโลกล่ะซี โลกจะไม่เห็นธรรมประเภทนี้ได้นี่นะ

ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลาเท่าไร กี่กัป เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ ๔ อสงไขยแสนมหากัป ปรารถนามา ได้รับความทุกข์ความลำบากยากเย็นเข็ญใจมาตั้งแต่วันเริ่มปรารถนาถึง ๔ อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ถึง ๔ หน อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ แสนมหากัปนี่ก็พิลึก กัปหนึ่งท่านเทียบเอาไว้ อู๊ย อย่างพวกตาบอดหูหนวกเรานี้เชื่อไม่ได้ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น

พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาสมพระทัยหมายแล้ว กลับท้อพระทัยที่จะสั่งสอนสัตวโลก คือตรัสรู้ขึ้นมาเพื่อเป็นศาสดาสอนโลก รื้อขนสัตวโลกออกจากกองทุกข์ พอตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาท้อพระทัย ก็คือว่าสัตวโลกนี้ที่จะรับทราบในกระแสของธรรม ที่พระองค์จะทรงสั่งสอนเป็นลำดับลำดาไปนั้น ประหนึ่งว่าแทบจะไม่มีค้างโลกอันนี้ มีแต่มูตรแต่คูถแต่ส้วมแต่ถานเต็มวัฏจักร เอ้า ฟังให้ชัดนะ มันเป็นอย่างนั้นละ พวกเรานี่พวกส้วมพวกถานทั้งนั้นเต็มวัฏจักร สัตว์ประเภทต่าง ๆ เสวยกรรมกันเต็มอยู่นี้ด้วยหูหนวกตาบอด ๆ ไม่มีช่องทางไป หมุนกันอยู่ในกองทุกข์นี้ทั้งนั้น เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องฉุดลากออก นี่พระองค์ท้อพระทัย โห ทำยังไง ๆ จึงได้ยกข้อเปรียบเทียบ แต่พระองค์ทรงเล็งญาณ

เราไม่มีญาณเราก็เอาข้อเปรียบเทียบยกไว้ในความรู้ของเราที่เป็นขึ้น ที่เราท้อใจเหมือนกันนะ จะว่าแต่พระพุทธเจ้า เราไม่ได้วัดรอย มันเป็นในหัวใจเราก็บอกเป็นในหัวใจ เราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น ก็บึกบึนไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มสติกำลังความสามารถ เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ นี้เป็นเข็มทิศที่แน่นหนามั่นคงมาก ไม่มีอะไรมาทำให้เอนให้เอียงไปได้เลย เพราะฉะนั้นความทุกข์ขนาดไหนจึงทุ่มลง ๆ เพื่ออันนี้เอง เพื่อความมุ่งหมายอันนี้ คือขอให้เป็นพระอรหันต์เท่านั้นในชาตินี้ จะไม่กลับมาเกิดอีก ถึงกิเลสเต็มหัวใจก็จะปัดมันออกให้หมด ด้วยอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรมตามคำสอนพระพุทธเจ้า

เมื่อได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น ชี้ปึ๋งลงไปในจุดเลยเทียว นั่นละท่านสอนเราท่านสอนอย่างนั้น ดังที่เคยพูดแหละ พ่อแม่ครูจารย์มั่นสอนเราไม่เคยสอนธรรมดา คุยกันอยู่ธรรมดานี้เหมือนพ่อกับลูก ความสนิทสนม ความรักความเคารพเทิดทูนนั้นสุดหัวใจ คุยกันธรรมดาเหมือนพ่อกับลูกคุยกัน พอหันเข้ามาธรรมะปั๊บนี้ปึ๋งขึ้นเลย อย่างนั้นทุกครั้งกับเรา ท่านไม่เคยพูดธรรมดา ๆ กับเรา สอนเราต้องสอนแบบตั้งตัวไม่ทันว่างั้นเถอะ ปึ๋งเลยทันที ทุกครั้งไม่มีพลาด นี่ท่านสอนเรา เมื่อมันเข้าถึงใจทุกอย่าง ๆ ตามที่ท่านสอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว มันก็ถึงใจในเรื่องมรรคผลนิพพาน เอ้า สมบูรณ์เต็มที่แล้วที่นี่ เราได้สักขีพยานแล้วจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น

คิดดูซิเราเรียนมาขนาดไหน มันยังสงสัยมรรคผลนิพพานได้ ฟังซิน่ะที่เรียนมาน่ะ เราไม่ได้ประมาทการเรียน มันความจำมาเฉย ๆ ไม่ได้เห็นตัวจริง ท่านผู้มาแสดงท่านเอาตัวจริงมาแสดงกับเรา เราทำไมถึงไม่ยอม เราหาของจริงอยู่แล้วนี่นะ โห เราไม่ลืมนะ ขึ้นไป หือ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ขึ้นเลย เปรี้ยงอย่างนี้เลย ก็เราหาอย่างเต็มใจนี่ เป็นแต่เพียงว่าความสงสัยมันคัดมันค้านต้านทาน ทางเดินของเราไม่สะดวก ให้สงสัยนั้นสงสัยนี้อยู่

พอท่านเปิดทางให้เท่านั้น หือ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ท้องฟ้าอากาศ มหาสมุทรทะเลหลวง เหล่านี้เป็นสิ่งเหล่านั้นทั้งนั้น ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้ กิเลสแท้ อยู่ที่หัวใจ ว่าอย่างนั้นเลยนะ เหล่านั้นอย่าไปคิด ไม่มีความหมายอะไร ธรรมแท้ กิเลสแท้ อยู่ที่หัวใจ เอ้า ฟาดลงที่หัวใจ เอาลงที่หัวใจ เปิดอันนี้ออกเบิกกว้างแล้วมันจะเห็นหมดนั่นแหละ เราไม่ได้ลืมนะ สิ่งที่มันปิดมันบังคือกิเลสตัวนั้นปิดไว้ไม่ให้เห็น อะไร ๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ในวัฏจักรนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ พวกประเภทสัตว์ทั้งหลาย แต่ต้นไม้ ภูเขา เราไม่นับ นับสัตวโลก สัตวโลกที่เสวยกรรมเต็มท้องฟ้ามหาสมุทรสุดวัฏจักรนั่นแหละ เต็มไปหมดเลย เปิดออกแล้วมันจะเห็นหมด กิเลสเท่านั้นปิดไว้ไม่ให้เห็น ท่านว่าเราไม่ลืมนะ เอ้า เปิดออก

ท่านเทศน์เน้นหนัก ๆ เปรี้ยง ๆ เลย สมเจตนาที่เราไปหาท่าน แล้วท่านก็มีหย่อนลงมาหน่อยหนึ่ง เอ้อ นี่ท่านมหาก็เรียนมามากพอสมควร ถึงขนาดได้เป็นมหา แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ คือเวลานี้การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนั้นยังไม่เป็นประโยชน์ ให้ท่านยกธรรมที่ท่านเรียนมาทั้งหมดบูชาไว้ก่อน ให้ท่านเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา เอาให้เน้นหนักทีเดียว แล้วทีนี้เวลาทางด้านปฏิบัติกับด้านปริยัติวิ่งประสานกันแล้ว เอาไว้ไม่อยู่

เวลานี้ไม่อยากให้ท่านเกี่ยวข้องกับทางปริยัติ มันจะมาเป็นสัญญาอารมณ์กีดขวางทางเดินไม่สะดวก เดี๋ยวจะไปคิดคัมภีร์นั้นบาลีนี้อะไรเข้ามาเทียบเคียงกัน จะมากีดขวางกับทางด้านปฏิบัติ การดำเนินทางด้านจิตตภาวนาจะไม่สะดวก เพราะฉะนั้นให้ปล่อยให้หมด ท่านเรียนมามากน้อยให้ปล่อยให้หมด ให้ท่านมุ่งทางด้านปฏิบัติจิตตภาวนาโดยถ่ายเดียว เมื่อทางนี้ปรากฏผลขึ้นมาแล้ว ทางด้านปริยัติกับด้านปฏิบัติวิ่งประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่

อันนี้เราก็ไม่ลืม เอาไว้ไม่อยู่ มันถึงจริง ๆ เป็นจริง ๆ เวลาทางด้านปฏิบัติออกรับกันแล้วมันจะวิ่งถึงปริยัติล่ะซี ปฏิบัติเกิดขึ้นอย่างนี้ รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ หรือสงสัยอย่างนี้ แล้วทางปริยัติท่านว่ายังไง ทางความรู้มันเต็มหัวใจแล้วเป็นอย่างนี้ อันไหนที่ยังข้อข้องใจ เอาปริยัติมาเทียบ ๆ หรือติดข้องตรงไหน ปริยัติท่านว่ายังไง มันก็วิ่งประสานกัน นี่เอาไว้ไม่อยู่ ถึงขั้นปัญญาเดินเป็นอย่างนั้น ขั้นนี้เป็นขั้นปัญญาก้าวเดินแล้ว จะต้องวิ่งตลอดเวลา หมุนตลอดเวลา เราไม่ลืม แล้วก็เป็นจริง ๆ ด้วย มีปาฏิโมกข์พกเล่มเดียวติดย่ามไป ปาฏิโมกข์เล่มเดียวเท่านั้นแหละ

เรียนมาขนเข้าใส่ในหัวใจนี้หมด เพราะเราค้นพระไตรปิฎกของเล่นเมื่อไร ค้นนี่ไม่ใช่ค้นเพื่อโอ้เพื่ออวด ค้นเพื่อหาหลักหาเกณฑ์มาจะออกปฏิบัติ คราวนี้จะหาหลักหาเกณฑ์จากทางด้านปริยัติเข้าสู่จิตใจหมดแล้ว จะไปตั้งแต่เฉพาะตัวของเรา ไม่เอาอะไรติดตัวไปด้วยเลย เพราะฉะนั้นจึงมีปาฏิโมกข์ติดตัว ก็พอดีกับที่ท่านว่า ปริยัติที่ท่านเรียนมาทั้งหมดให้ยกบูชาไว้ก่อน อย่าเอาเข้ามายุ่งกันนะ ทางด้านปฏิบัติจะไม่สะดวก ให้ท่านเร่งทางด้านจิตตภาวนา เมื่อทางด้านจิตตภาวนามีผลปรากฏขึ้นแล้ว ซึ่งจะควรวิ่งรับกันกับทางปริยัติแล้วเอาไว้ไม่อยู่ ท่านว่าอย่างนั้น แล้วเป็นจริง ๆ วิ่งประสานกันตลอดเวลาเลย นั่นเห็นไหม ท่านผู้รู้ไปแล้วท่านพูดผิดที่ตรงไหน เราไม่ลืมทุกกิทุกกี พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดไม่มีผิดเลย

ทีนี้ก็ฟัดกันอย่างที่ว่าแหละ เอาเป็นเอาตาย ตกนรกทั้งเป็นเรา ตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวทีฟัดกับกิเลส พรรษา ๗ ล่วงแล้วนั่นละ พรรษา ๘ ก็ฟัดกันเลยตั้งแต่นั้นถึงพรรษา ๑๖ ตกนรกทั้งเป็นตลอดไปเลย ความทุกข์ในการฝึกทรมานพูดให้ใครฟังไม่อยากมีใครเชื่อ เพราะเขาไม่ได้ทำอย่างเรา ก็เราทำอย่างนั้นเราจะเชื่อเขาพวกหมอนแตกได้ยังไงใช่ไหม เราจะเอาให้กิเลสแตกกับหมอนแตกมันต่างกัน ทีนี้ก็ซัดกันใหญ่เลย นี่ละที่นี่บทเวลามันจ้าขึ้นมา เอาสุดยอดเลยนะ ทีนี้เวลามันจ้าขึ้นมาจนยกโคตรยกแซ่มา ฟังซิ โถ ความรู้ประเภทนี้เราเกิดมาตั้งกี่กัปกี่กัลป์แล้ว ไม่เคยรู้เคยเห็น แม้แต่โคตรพ่อโคตรแม่ของเราก็ไม่เคยรู้เคยเห็น เราทำไมถึงได้มาเห็นอย่างนี้ อย่างผิดคาดผิดหมาย มันจ้าไปหมดเลย โถ เป็นอย่างนี้ละเหรอ

มันมีอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ไหน ถูกกิเลสปิดไม่ให้เห็น จึงเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี นั่นความหมายว่าอย่างนั้นนะ พอมันเปิดจ้าแล้วปฏิเสธได้ยังไง อันไหนมีมันก็ยอมรับกันว่ามีซิ อย่างนี้ ๆ อะไรมีก็ยอมรับกันว่ามี ก็มันเห็นนี่จะไปปฏิเสธกันได้ยังไง เรายอมรับความเห็นของเรา แล้วความเห็นความรู้สิ่งที่เรารู้นี้ ใครเป็นคนสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว เห็นก่อนเรารู้ ก่อนนำมาสอนเรา เราจะทะนงตัวอยู่ได้ยังไง ก็หมอบราบล่ะซี

จึงดูละที่นี่เรื่องของโลกที่ไม่เคยเปิดมันเปิดขึ้นมาแล้วที่นี่ โห พูดให้มันเต็มยศ ภาษาธรรมพูดอย่างนี้ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามอะไร พูดตามหลักความจริง จึงว่ามันเหมือนถังขยะ นรกอเวจีของสัตวโลก วัฏจักรนี้คือนรกอเวจี ถังขยะทั้งนั้น ว่าอย่างนั้นเลย ทำไมทีนี้มันจะไม่ท้อใจ เมื่อธรรมชาตินั้นกับมาเทียบกับอันนี้ ซึ่งเราเกิดตายมากี่กัปกี่กัลป์ในวัฏจักรนี้ เราเคยเกิดเคยตายเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร แต่เวลามันจ้าขึ้นมาแล้ว มันเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นฟืนเป็นไฟ อย่างน้อยเป็นถังขยะไปหมด มากกว่านั้นเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แล้วมารู้มาเห็นเสียเวลานั้นแล้วเป็นยังไง นี่ละที่ท้อใจ สอนใคร-ใครจะไปรู้ได้ เขาก็จะหาว่าเราเป็นบ้าไปหมด โอ๋ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่ง ๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้นถึงเวลาก็ไปเท่านั้น จะสอนอะไรไม่เกิดประโยชน์ มันอ่อนใจ ท้อ ไม่ได้เคยคิดว่าจะท้อ เพราะมันเห็นธรรมชาตินี้กับอันนี้เทียบกันแล้ว มันท้อใจในการที่จะฉุดลากขึ้นมา เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้นนะ

ความคิดอันนี้มันไม่ได้หยุดนะ ถึงว่าท้อใจก็ท้อ แต่ความคิดมันคิดตลอด พิจารณา สักเดี๋ยวก็สะดุดกึ๊กขึ้น เอ้า ถ้าว่าเป็นสิ่งที่สุดวิสัยที่โลกทั้งหลายจะรู้ได้ เราเป็นเทวดามาจากไหน นั่นมันย้อนเข้ามา เราทำไมรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด พอว่าเพราะเหตุใดมันก็เดินตามสายทางเข้ามาล่ะซี มาถึงที่นี่มันมีทางเข้ามา ก็ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสายทางเดิน ให้ปฏิบัติตามนี้ ๆ จะเข้ามาสู่จุดนี้ อ๋อ ยอมรับนะ อ๋อ ได้ ถึงไม่มากก็ได้ เพราะมีสายทางมา มีผู้ปฏิบัติมา เดินตามมานี้จะถึงจะเห็นได้ ถึงไม่มากก็รู้ได้ ยอม ทีนี้พอใจที่จะสั่งสอนตามกำลังความสามารถของการสั่งสอนและผู้รับธรรม จากนั้นก็ค่อยเริ่มสอนมาธรรมดา ๆ เรื่อย ๆ มา ไม่ได้นึกว่าจะได้ขึ้นเวทีใหญ่หลวงทั่วประเทศไทยและตลอดทั่วโลกอย่างทุกวันนี้นะ มันก็ออกเสียแล้ว

อันนี้ถ้าหากว่าเราไม่ได้ออกช่วยโลกนี้ ธรรมะประเภทที่เราสอนทั่วประเทศไทยที่ผ่านมานี้ จะไม่ออกเลย จะตายไปด้วยกันเลย จะได้เฉพาะพระที่ได้ยินได้ฟังจากวัดป่าบ้านตาดเราที่สอนแบบแกงหม้อเล็ก แกงหม้อจิ๋ว มุ่งทางด้านปฏิบัติมรรคผลนิพพานล้วน ๆ เท่านั้น นอกนั้นก็จะไม่ได้ยิน แต่นี้ก็เทศน์หมดแล้วจะว่าไง เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถ

นี่ละที่พูดถึงเรื่องความหนาแน่นของกิเลสตัณหาของสัตวโลก คือกิเลสมันปิดไว้หมด มีเท่าไรมันก็ลบล้างบอกว่าไม่มี คือมันไม่ให้เห็น ก็ต้องยอมรับมันซิ เมื่อไม่เห็นแล้วจะบอกว่ามีได้ยังไง ก็ต้องยอมรับว่าไม่มี ๆ พอเปิดจ้า ไม่มียังไงตาบอดเหรอ เดี๋ยวตีหน้าผาก นั่นพอดีกัน กับมันปิดตาสัตวโลก ตาใจสัตวโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มันไม่ยอมให้เห็น บาป บุญ นรก สวรรค์ มีมาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ มันปิดไว้หมด สัตวโลกไม่เห็นสัตวโลกก็ยอมเชื่อมัน ลบล้างพระพุทธเจ้าล่ะซี

ลบล้างพระพุทธเจ้าก็เท่ากับลบล้างคุณค่าของตัวเอง สาระของตัวเองให้ฉิบหายหมดไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละการปฏิเสธความจริงที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนแบบเดียวกันนี้ว่าเป็นของมีของจริง แล้วลบล้างบอกไม่มีไม่จริง นี้ฆ่าตัวเองทำลายตัวเองอย่างฉิบหายป่นปี้เลย

ใครอย่าฆ่าตัวเองนะ นี่พอเดินไปนี้หย็อก ๆ ยังไม่ถึงครัว ยังไม่ได้จัดอาหารใส่ครัวที่จะรับประทาน เอ๊ย หิวนอน-นอนพักผ่อนเสียก่อน ค่อยมากินเมื่อไรก็ได้ มันไปอย่างนั้นนะ เห็นไหมมันลากลงหมอนก่อน มันไม่ได้เห็นอาหารหวานคาวว่าสำคัญ กินเมื่อไรก็ได้ เวลานี้กำลังง่วง นอนเสียก่อน นั่นกิเลสลากลงไปแล้ว นี่ละเวลามันปิดเป็นอย่างนี้ กิเลสปิดตาสัตวโลก มันให้มืดให้บอดให้พอใจกับมันตลอดเวลา ไม่ว่าจะออกแง่ใดมุมใด มันจะมีเคลือบน้ำตาลไว้ในยาพิษ ๆ ทั้งหมดเลย มันเคลือบน้ำตาลไว้ เพราะฉะนั้นสัตวโลกจึงติดทุกแง่ทุกมุมที่กิเลสหลอกออกมา พอธรรมจับเข้าไป ๆ นี้ ชะล้างยาพิษที่เคลือบน้ำตาลออก ก็เห็นแต่ยาพิษ ๆ ทีนี้ก็ปัดออก ๆ เรื่อย เบิกออกเรื่อย ๆ พุ่งเลย นั่น

เพราะฉะนั้นให้เชื่อพระพุทธเจ้า ไอ้เรื่องกิเลสมันหมดโคตรหมดแซ่มาตั้งกัปตั้งกัลป์ มีแต่โคตรแซ่ต้มตุ๋นโลกทั้งนั้น ไม่มีโคตรแซ่ใดที่จะเอาความจริงมาสอนโลกนะ มีแต่จอมปลอมทั้งหมดเลย ฟังแต่ว่าทั้งหมด เรื่องธรรมนี่จริงทั้งหมด มันแก้กันอย่างนี้ ลบล้างกันอย่างนี้ คนละฝั่ง ฝั่งจริงทั้งหมดอยู่ฝั่งนี้ ฝั่งปลอมทั้งหมดคือฝั่งกิเลสอยู่ฝั่งนั้น มันลบกันมาตลอดนะ แล้วก็ลบอยู่ในหัวใจเรานั่นแหละ

ครั้นว่าจะทำความดีแล้วมันก็ลบแหละ ถ้าว่าจะทำความดีกิเลสเข้าลบทันที ๆ ในหัวใจเราดูเอา เวลาเบิกกว้างออกไป ๆ สิ่งที่มันลบมันจะค่อยเบาไป ๆ ธรรมมีกำลังแล้วก็เบิกกว้างออกเรื่อย ๆ ต่อไปก็หมุนติ้วเลย มีแต่ธรรม กิเลสหมอบราบ ๆ สุดท้ายความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ตำหนิติเตียนนิสัยวาสนาของตน ล้มไปหมดเลย มีแต่จะเอาให้ได้ ๆ พุ่ง ๆ เลย นี่ธรรมมีกำลังเป็นอย่างนั้นนะ

นี่ได้เป็นในหัวใจเจ้าของ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการเราจึงพูดอย่างเต็มหัวใจเรา เราไม่เคยสะทกสะท้านกับแดนใดในสามแดนโลกธาตุนี้ เพราะธรรมเหนือหมดแล้ว แล้วไปที่ว่าลูบหน้าปะจมูกหรือไปกลัวนั้นไปกล้านี้ ไม่มีในธรรมที่มีอยู่ในหัวใจเรานี้ เพราะเหนือทุกอย่างแล้ว ควรสอนหนักเบามากน้อยเท่าไรก็ว่าไปตามเรื่อง ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ธรรมเป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าหลบไปเป็นกิเลส คือผิดบอกว่าถูก เป็นกิเลสแล้วไม่ใช่ธรรม ไว้ใจตายใจไม่ได้แล้ว ธรรมต้องเป็นธรรม พูดแบบเป็นธรรมไปเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก บอกตรงไปตรงมาจึงเรียกว่าธรรม

เพราะฉะนั้นภาษาของธรรมที่หลวงตานำมาเทศน์นี้จึงแสลงหูกิเลส พวกถังขยะว่างั้นเลย ว่าเทศน์หยาบเทศน์โลน เทศน์ดุเทศน์ด่า บางทีมันยกโคตรมาใส่เราก็มี เขาคงจะคิดว่าเราเป็นพระอรหันต์ โอ๊ย เป็นพระอรหันต์ทำไมถึงดุเก่งนักล่ะ เขาว่าอย่างนั้น โคตรมึงเคยได้เป็นพระอรหันต์เหรอ มึงมาอวดกูทำไม มันตอบกันเข้าใจไหม ถ้าโคตรมึงยังไม่เคยเป็นพระอรหันต์ ตัวมึงไม่เป็นพระอรหันต์ มึงอย่ามาอวดกูนะ นู่นน่ะเห็นไหม ตอบกันตอบอย่างนั้นละ นี่ละธรรมตอบกิเลส กิเลสมันบอกว่า โอ๊ย เป็นพระอรหันต์ทำไมดุด่าว่ากล่าวเก่งนักล่ะ ทางนี้ก็ตอบรับว่า โคตรมึงเคยเป็นพระอรหันต์ไหม มึงมาอวดกูทำไม นั่นธรรมะตอบกิเลสตอบง่ายนิดเดียว ปึ๋งเดียวหงายเลย ๆ

กิริยาท่าทางมันเอามาเป็นกิเลส ส่วนกิเลสส่วนธรรมมันไม่เห็นว่าเป็นธรรมไม่เห็นว่าเป็นกิเลส มันหลงไปทั้งสองด้านเลย ท่านนำ-ท่านนำธรรมออกมา กิเลสท่านรู้ว่ากิเลส ธรรมเป็นธรรม กิเลสเป็นกิเลส ดุเป็นธรรมท่านก็รู้ ดุเป็นกิเลสท่านก็รู้ ทำไมท่านสอนโลกไม่ได้…พระพุทธเจ้า ใครจะรอบคอบยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าวะ

นี่พูดถึงเรื่องความท้อพระทัยพระพุทธเจ้า สัตวโลกมันหนาขนาดนั้น แล้วก็มาเป็นในหัวใจเราอีก เราพูดจริง ๆ ก็มันไม่เคยเป็นเราก็บอกไม่เคยเป็น เวลามันเป็นจ้าขึ้นมานี้มันท้อก็บอกว่ามันท้อ ถึงขนาดที่จะไม่สอนใคร อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอถึงวันแล้วก็ไปเสียเท่านั้นแหละ จะไปสอนทำไม ไปสอนที่ไหนก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์ นอกจากเขาจะมาโจมตีแล้วสร้างบาปสร้างกรรมใส่หัวเขา เขาจะหาว่าเราเป็นบ้ากันทั้งโลก เราก็ไม่ได้เป็นบ้าจะว่าไง ก็จะไปสอนให้เขาว่าเราเป็นบ้า ให้เขายิ่งเพิ่มบ้าขึ้นอีกไปหาอะไร

นี่ละถึงได้เปิดออกมาเรื่อย ๆ การสอนโลกคราวนี้เราไม่ได้สอนด้วยความสะทกสะท้าน เราไม่ได้สอนด้วยแบบลูบ ๆ คลำ ๆ สาธุ ไม่ได้ประมาทตำรับตำรา เราเรียนมาในตำรา แต่เวลาจะสอน เอาความจริงที่เต็มอยู่ในหัวใจนี้ออกสอน ๆ ไม่เคยเอาในตำรานะ ตำราท่านสอนเข้ามาหาความจริงนี่ท่านสอนไปไหน ตำราท่านก็สอนเข้ามาหาความจริง เราเอาความจริงถอดออกมาสอนเลยจะผิดไปไหนวะ จะขัดแย้งกับตำราที่ไหน ไม่ขัดแย้ง ตำราก็สอนเข้ามาหาความจริง เราก็เอาความจริงออกสอนโลกจะผิดไปไหน

พระพุทธเจ้าทรงความจริง พระอรหันต์ท่านทรงความจริงไว้ทั้งนั้น เราเอาความจริงออกสอน เราจึงไม่สะทกสะท้านกับการสั่งสอนคน จะว่ากล้าอย่างนั้น ว่ากล้าอย่างนี้ ไม่มีในหัวใจเรา ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้ เอ้ามาว่างั้นเลย เราไม่ได้พูดเฉย ๆ เรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ที่พวกตาบอดหูหนวกมันลบล้างว่าไม่มี ๆ มันลบล้างพระพุทธเจ้าด้วย เพราะอันนี้อยู่ในโอวาทของพระพุทธเจ้า ในศาสนาของพระพุทธเจ้าโดยตรง เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เปรตผีประเภทต่าง ๆ อยู่ในพระโอวาททั้งหมด เป็นองค์ของศาสนาโดยแท้ แต่มันมาลบล้างว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี นี่พวกทำลายศาสนา เอ้ามาว่างั้นเลย ฟังซิน่ะ

แต่การเทศน์สอนเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่ใช่ภาษามนุษย์ เอามายุ่งกันทำไม ตั้งแต่สอนมนุษย์ขี้เหม็นก็จะตายแล้ว เราก็ขี้เหม็น เขาก็ขี้เหม็น สอนกันพวกขี้เหม็น เอาขี้โปะหน้ากันมีตั้งแต่ขี้ จะเอาเทวดามาพูดหาอะไร เข้าใจหรือเปล่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ที่ตรงไหนค้านได้เมื่อไร ขอให้เห็นซิ มันจ้า อะไรจะไปมากยิ่งกว่าเทวดาชั้นหนึ่ง มนุษย์เราว่ามีกี่ร้อยกี่พันล้านอย่าเอามาเทียบ เท่ากำปั้นนี่ กับเพียงเทวดาชั้นหนึ่ง ๆ เท่านั้นก็มากยิ่งกว่ามนุษย์นี้เป็นไหน ๆ แล้วเทวดามีกี่ชั้นถ้าจะพูดถึงเรื่องชั้น ก็เทวดาถึง ๖ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น นี่ละพวกทวยเทพทั้งหลายท่านอยู่กันอย่างนี้

แล้วพวกเปรตพวกผีมีมากขนาดไหนเอามาเทียบอีก มนุษย์นี้ โอ๊ย ว่าเท่ากำปั้นมันยังใหญ่ยังโตไปนะ มันเล็กกว่านั้นอีก แล้วมันยังมาอวดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี ทั้ง ๆ ที่ตัวมันเท่ากำปั้น สิ่งเหล่านั้นครอบโลกธาตุ มีหรือไม่มี แล้วมันก็ไปลบล้างว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี เห็นไหมกิเลสเก่งไหม เพราะฉะนั้นการสอนโลกเราจึงไม่สะทกสะท้านการสอน ถ้าควรจะเป็นประโยชน์เมื่อไร ฉุดขึ้นทันทีเลย เอาทันทีเลย ถ้าไม่เป็นประโยชน์ดึงออกก็ไม่ออก…ธรรม ออกไปหาอะไร เอายาไปรักษาคนตาย เพราะหมอไม่ใช่หมอบ้านี่ หมอเขารักษาคนไข้คนป่วยต่างหาก เขาไม่ใช่หมอไปรักษาคนตาย

อันนี้ธรรมพระพุทธเจ้าก็รักษาคนเป็นโรคเป็นภัยด้วยกิเลสตัณหาต่างหาก ไม่ได้รักษาคนที่หมดคุณค่าไปแล้ว ไปสอนมันอะไรคนหมดคุณค่าแล้ว วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก่อน เทศน์ไปเทศน์มามันก็เหนื่อย ไม่ทราบว่าไปไหน ๆ เดี๋ยวนี้ถ้าได้ออกมันไปอย่างนั้นนะ คัมภีร์ไม่มีถ้าลงได้ออก เอ้ามาว่างั้นเลย มาเท่าไรมันจะแตกกระจายออกไปเลยทันที หัวใจเป็นธรรม ธรรมเป็นหัวใจเป็นอันเดียวกันแล้ว ครอบโลกธาตุ จนตรอกที่ตรงไหน ว่างั้นเลยนะ นี่ที่พูดให้โลกฟังโลกไม่ยอมเชื่อ ก็อย่างนี้เอง ท่านจึงท้อพระทัยพระพุทธเจ้า เอ้าให้พร….

เป็นยังไงล่ะฟังเทศน์วันนี้ พากันฟังเทศน์วันนี้เป็นยังไงน่ะ เปิดออกเป็นระยะ ๆ มันจวนตายแล้ว ให้โลกได้เห็นธรรมพระพุทธเจ้า สด ๆ ร้อน ๆ มีแต่ในตำรับตำรา ก็เลยกลายเป็นศาสนาตำรา หัวใจไม่มีคุณค่า มันไม่ได้เชื่อธรรม เมื่อมันเจอในหัวใจแล้วไม่เชื่อได้เหรอ เท่านั้นพอ สด ๆ ร้อน ๆ ทีเดียว นี่น่า ๆ เลยเทียว

โฮ้ ลืมอ่านอันนี้ อ่านโน้นอ่านนี้อ่านไม่ทั่วถึง โธ้ พอมองเห็นขีดนี้สลบเลยเรา ทองคำได้..ขีดไว้เลย ไม่มีสักสตางค์ หมดท่า แต่ดอลลาร์เมื่อวานนี้ วันที่ ๗ ได้ ๑,๐๑๐ ดอลลาร์ ดอลลาร์ได้มาแต่เมื่อวานมาอ่านวันนี้ได้ ๑,๐๑๐ ดอลล์ ทั้งหมดทองคำเราได้แล้วเวลานี้ ๒,๑๑๔ กิโลครึ่ง ยังขาดอีก ๑,๘๘๕ กิโลครึ่งจะครบจำนวนสี่พันกิโล จำเอาไว้เท่านี้ก็แล้วกัน ไปละ วันนี้จะไปหนองบัวลำภู ไปดูโรงพยาบาล หากบกพร่องอะไรจะเพิ่มเติมเราก็จะให้ เขาขอเครื่องทำฟันมา ๒ เครื่อง เราให้เครื่องหนึ่งเสียก่อน แล้ววันนี้จะไปดู สมควรเพิ่มเติมอะไรค่อยพิจารณากันตอนที่ไปเจอแล้วนะ ไปละ

โน่นพวกเด็ก สูอย่าไปลบนรกอเวจีนะสูน่ะ ไอ้เสื้อแดง ๆ น่ะเข้าใจไหม สูแต่งเสื้อแดง ๆ เป็นยักษ์ใหญ่ไปลบนรกอเวจี สูจมนะจะว่ากูไม่บอก เท่านั้นพอ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก