กุญแจเปิดโลกธาตุ
วันที่ 27 ตุลาคม 2543 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

กุญแจเปิดโลกธาตุ

โรงพยาบาลน้ำหนาวอยู่ลึก ๆ เข้าไปในเขาเลย เคยไปส่งอาหารบ่อย ๆ ค่อนข้างจะประจำเดือน อยู่ลึกเข้าไป ไปนี้ทางจากชุมแพตัดเข้าไป เลี้ยวเข้าไปทางขวาทางด้านทิศเหนือดูเหมือน ๒๐ กิโล แล้วขึ้นเขา ๆ ตลอดเข้าไปข้างใน อันนี้เราก็เห็นใจเป็นพิเศษอยู่ เป็นแต่ว่าคนไข้ไม่ค่อยมากเท่าไร รวมแล้ววันหนึ่งประมาณสักร้อย หรือ ๗๐-๘๐ เขาบอก ที่อื่น ๆ เป็นร้อย ๆ นะ สามร้อยก็มี สามร้อยกว่าก็มี เช่น อากาศอำนวย และที่เป็นย่านชุมนุมชน อันนี้มันอยู่ในเขา เราไปส่งค่อนข้างจะเดือนละหน บางทีก็เดือนกว่าบ้าง เดือนกับ ๔ วัน ๕ วันบ้าง ๙ วัน ๑๐ วันบ้างไป กับน้ำหนาวที่ทางผ่านไปหล่มสัก อันนี้ประจำมาตั้งแต่เราไปสร้างตึกให้โรงพยาบาลหล่มสัก

เราผ่านไปผ่านมาดูในด่าน ๒ ด่านนี้ ด่านตรวจรักษาป่าไม้อะไร ๆ ทางด้านโน้นด้านนี้ เขตไปทางหล่มสัก กับเขตมาทางน้ำหนาว มี ๒ เขต อันนี้ก็ประจำ รู้สึกจะเป็นเดือนละหน เดือนกว่าก็มี แต่ค่อนข้างจะเดือนละครั้ง ๆ นี่ก็สงสาร เขาก็รักษาสมบัติของแผ่นดิน ถ้าไม่มีใครรักษานี้แหลกหมด นั่นฟังซิน่ะ ไม่ว่าสัตว์ป่า ไม่ว่าต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ที่เรียกว่าเป็นทรัพยากรของชาติ ถ้าไม่มีผู้รักษาก็แหลกหมด นั่นซิพิจารณาซิ เขารักษาในนามของชาติ เราถึงได้เห็นใจอุตส่าห์พยายามช่วยตลอดนะ

เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่อย่างนี้มันจะเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ กับเห็นคนธรรมดาต่างกันนะ เห็นเจ้าหน้าที่มันต่างกัน ต่างกันกับคนธรรมดา เขาก็ระมัดระวังไม่กล้าทำอย่างออกหน้าออกตา ทำก็เป็นแบบขโมยลี้ ๆ ลับ ๆ ไปเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เปิดเผย เมื่อมีผู้เข้มงวดกวดขันมีคนรักษาอยู่นั้น ถ้าไม่มีนั้นก็แหลก ในป่าในภูเขาเมืองไทยเรานี้จะไม่มีอะไรเหลือเลยนะสมบัติของชาติ ให้เป็นเครื่องประดับชาติไทยของเรา คือ ภูเขากับต้นไม้ชุ่มเย็นนี้ จะมีแต่ภูเขาโล้น ๆ นี่ก็เพราะมีเจ้าหน้าที่รักษาอยู่เป็นแห่ง ๆ เราคิดไปหมดเหล่านี้นะนอกจากไม่มาพูด เมื่อมันสัมผัสเราก็พูดออกมา เรื่องความรู้มันรู้อยู่นี่จะว่าไง

นี่เราก็เอาไปส่งให้เป็นประจำ ๒ ด่านนี้เป็นประจำมาตั้งแต่โน้นละ ตั้งแต่เราผ่านไปผ่านมาไปดูเขาสร้างตึกโรงพยาบาลหล่มสัก ตอนที่เราไปนั้นก็ยังไม่ได้ส่งอะไรนัก ผ่านไปผ่านมา เป็นแต่เพียงว่าให้คนรถซื้อของเขา ซื้อแบบนั้นแหละ คือซื้อได้อย่างมากก็เอาสักชิ้นหนึ่ง ให้เขาเป็นร้อย ๆ ไปเลย ผ่านไปผ่านมาสังเกตตลอดจะว่าไง อ้อ นี่ลำบากลำบนเอามากมาย อยู่ในเขาในป่า จะไปที่ไหนก็ไปไม่ได้หน้าที่บังคับ จะไปเหมือนคนทั่ว ๆ ไปก็ไม่ได้ คิด…เรา หลังจากนั้นมาทีนี้ก็สงเคราะห์เลย เป็นประจำมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งบัดนี้

ธรรมดาเขาไม่รู้เรานะ เขามารู้เราตอนเราออกสนามขึ้นเวที เขาดูโทรทัศน์ โอ๊ย หลวงตาองค์นี้เอง มาส่งของตั้งแต่เมื่อไร ๆ ก็เราก็ไม่เคยพูดกับใคร ลงรถก็ไม่ค่อยลงเสียด้วย เพราะไปให้ด้วยความเมตตา ให้คนขนของลงรถ ๆ เสร็จแล้วก็ผ่าน ไปด่านนั้นเสร็จแล้วก็ย้อนกลับ หรือเราจะไปหล่มสักเราก็ไปเลย เขาก็ไม่รู้เรา เพราะเราไม่เคยสนใจว่าชื่อว่าเสียงอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่เคยสนใจเขาจึงไม่รู้ เขามารู้เอาตอนนี้ละ ตอนออกสนามขึ้นเวที ดูโทรทัศน์ล่ะซี เขาเลยว่า โอ๊ย หลวงตาองค์นี้เองไม่ใช่ใคร ก็อย่างนั้นละ

ก็เราไม่มีอะไรกับใครเลยนี่ สามแดนโลกธาตุเราพูดจริง ๆ เราไม่มีอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นเราถึงพูดได้เต็มอรรถเต็มธรรมทุกอย่าง ที่เราพูดเหล่านี้เป็นธรรมทั้งนั้นนะ ที่เราพูดออกไปเหล่านี้จะนอกบัญชีในบัญชี ดังโลกถังขยะมันปักปันเขตแดนเอาไว้ สมมุติอย่างนั้น สมมุติอย่างนี้ มีแต่กิเลสหลอกสัตวโลกให้หลงตาม ธรรมไม่หลอก ใส่ปั๊วะเข้าไป ๆ เลย เขาว่าหลวงตาองค์นี้ เดี๋ยวเทศน์อย่างนี้ เดี๋ยวเทศน์อย่างนี้ พวกบ้ามันอยู่ในถังขยะ มันไม่เห็นโทษของถังขยะบ้าง ธรรมะเป็นน้ำสะอาดมาชะล้างหัวมัน มันตื่นบ้าอะไรอยากว่างั้น

นี่ละพุทธศาสนาของเรา เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามผลจะสม่ำเสมอมาเรื่อย เช่นเดียวกับกิเลสที่ผลสม่ำเสมอและรุนแรงเป็นระยะ ๆ กันไป ที่จะอ่อนมีน้อยมากนะกิเลส ธรรมะนี่มีมากเรื่องอ่อน อ่อนแทบไม่ปรากฏเลย เพราะไม่มีใครรื้อฟื้นขึ้นมาปฏิบัติ ขนตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนจากบาปจากกรรมที่ตนสร้างเองมาเผาตัวเอง อันนี้มีเต็มเกลื่อนโลกธาตุ ฝั่งแห่งธรรมนี้มีน้อยมาก บางทีก็เป็นฝั่งอยู่เฉย ๆ ไม่มีใครมาเกี่ยวข้อง โดดลงนรกอเวจี ๆ ตามฝั่งของกิเลสไปหมดเลย ถ้าพูดเป็นฝั่ง คือความเสมอภาคเสมอกันมาตลอด ฝั่งธรรมก็ให้ผลเสมอภาค ทางโลกทางกิเลสก็ให้ผลเสมอภาค ไม่มีคำว่าลดหย่อนผ่อนผัน แล้วแต่มีผู้ทำมากน้อยเพียงไร ผลจะปรากฏอย่างนั้นตลอดมาและตลอดไป

พุทธศาสนาของเรามีผู้ปฏิบัติ ทีแรกพระพุทธเจ้าทรงค้นพบพระองค์แรก ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นสยัมภู คำว่าสยัมภู คือทรงขวนขวายเอง ไม่ไปศึกษาปรารภกับใคร เช่นอย่างไปศึกษากับฤาษีดาบสก็ไม่ใช่ทางเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็หลบหนี ๆ ไปเรื่อย เวลาเป็นทางจริง ๆ ก็ทางของพระองค์เอง จึงเรียกว่าสยัมภู ทรงแสวงหาเอง ไปศึกษาจากใคร ๆ ก็ไม่ใช่ทาง ๆ ก็ปล่อย ปล่อยไปเรื่อย เวลาจะใช่ทางก็ทางพระองค์ทรงบำเพ็ญเอง ได้ตรัสรู้ขึ้นมา นี่เรียกว่าสยัมภูในทางเหตุ คือทรงขวนขวายเอง ไม่ต้องไปเอาความรู้วิชามาจากคณะหรือครูบาอาจารย์ลัทธิใดศาสนาใด เป็นขึ้นจากพระพุทธเจ้าล้วน ๆ พอปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมานี้เรียกว่า สยัมภู ทรงรู้เองเห็นเองจากการขวนขวายเอง จึงเรียกว่าสยัมภู

นั่นละพี่น้องทั้งหลายฟังซิ ทรงปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้ามานี้ โอ๊ย กระเสือกกระสนกระวนกระวาย ไม่มีใครจะทุกข์มากยิ่งกว่าโพธิสัตว์นะ พระโพธิสัตว์นี้แบกโลกมาตลอด สร้างบารมีก็แบกบริษัทบริวาร สละเป็นสละตายเพื่อบริษัทบริวารมาตลอด ตั้งแต่ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่บริษัทบริวารมีมากตลอดมา นี่ก็ช่วยบริษัทบริวารทุกสิ่งทุกอย่างช่วยมา ไม่เห็นแก่พระองค์เลย ตั้งหน้าจะเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนา ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ก็ทราบแล้วว่านี้คือทางของศาสดา

ก็เหมือนอย่างทางถนนใหญ่เรานี่เห็นไหมล่ะ ทางผู้คนสัญจรไปมา ทางเป็ดทางไก่ทางหมูทางหมา ทางกระจ้อนกระแตเขาไม่มีทาง เขาไปของเขาได้สบาย ๆ ไปแต่ลำพังตัวเขา แต่ทางที่จะเอาประชาชนคนหมู่มากไปเดินนี่ เห็นไหมถนนใหญ่ ทำเลนหนึ่งเลนไม่เสร็จ สองเลนสามเลนเข้าไป เห็นไหมล่ะ นี่ทำยากไหม ทางหมูทางเป็ดทางไก่ก็ไม่ได้ยาก ทางผู้คนสัญจรไปมาอย่างนี้ก็ไม่ยาก แต่ทางคนจำนวนมาก ทางหมู่ชนที่จะร่วมเดินไปด้วยกัน ทางสายนี้เพื่อขนหมู่ชนไปนั่นเอง ก็ต้องทำกว้างขวาง นี่ทางของศาสดาก็ทางรื้อขนสัตว์ทั้งหลายไป ก็ต้องลำบากลำบนอย่างนั้นแหละ

ตอนนั้นพระองค์ก็เรียกว่าเป็นความคาดหมาย เพราะพระองค์ยังไม่ได้เจอด้วยพระทัยของพระองค์เอง ก็ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะเคยได้ยินได้ฟังได้พบได้เห็นมา เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ถึงกับตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เห็นท่านเลิศท่านเลอ ด้วยความเคารพนับถือ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ไม่ว่าศาสดาองค์ใด เหล่านี้เป็นบริษัทบริวารทั้งนั้น เหมือนมนุษย์เราเป็นบริษัทบริวารของท่าน พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เปรตผีประเภทต่าง ๆ ที่ควรจะได้รับส่วนกุศลจากพระองค์ พระองค์ก็รื้อขนทั้งนั้น มากหรือไม่มาก

นี่ก็เห็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านดำเนินมา ก็เกิดความอัศจรรย์อยากเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาขึ้นมา คาดว่าเป็นพระพุทธเจ้าคงจะเป็นอย่างนั้น ๆ ธรรมที่พระพุทธเจ้ามาสอน คือธรรมที่บริสุทธิ์ ธรรมที่เลิศเลอ คงจะเป็นอย่างนั้น ๆ ยังไม่ประจักษ์ในพระทัยเอง มีแต่คงจะหรือเห็นจะเป็นอย่างนั้น ๆ ในส่วนที่ลี้ลับคือธรรมแท้ คาดทั้งนั้นแหละ ทีนี้พอมาเดือนหกเพ็ญ ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น นั่นธรรมแท้แล้วที่นี่ เจอแล้ว เจอประจักษ์พระทัยแล้ว

นั่นละเห็นไหม ตั้งความปรารถนามากี่อสงไขยกี่กัป เวลามาเจออย่างจัง ๆ ด้วยพระทัยเองนี้ แทนที่จะว่า เอ้อ ที่นี่สมใจแล้ว เราได้เป็นศาสดาแล้ว จะรื้อขนสัตว์ขึ้นให้หมดเลย แทนที่จะเป็นอย่างนั้นกลับท้อพระทัย เห็นไหมล่ะ นั่นละธรรมที่เลิศเลอ ขนาดไหน ทั้ง ๆ ที่ปรารถนาจะเอาธรรมเหล่านั้นมาสั่งสอนสัตว์ เมื่อทรงรู้ทรงเห็นแล้ว พอไปรู้เห็นจริง ๆ แล้ว เลยกลับท้อพระทัย

คือธรรมประเภทนั้นถ้าพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่า ไม่ควรแก่สัตวโลกที่อยู่ในส้วมในถานในนรกอเวจีอยู่นี้ทุกภพทุกชาติ เกลื่อนกันอยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้ อย่างน้อยพูดย่อม ๆ ว่าถังขยะนะ แต่กระจายถังขยะออกไปนี้ ถังขยะนี้มีทุกประเภทบรรจุอยู่ในถังขยะ ๆ แต่ละถัง ๆ แล้วมันเต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถ เต็มไปด้วยความทุกข์ความเดือดร้อน เกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้ กับธรรมชาติที่หาความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเลยเท่าเม็ดหินเม็ดทราย ต่างกันอย่างไรบ้างพิจารณาซิ นั่นละถึงได้ท้อพระทัย โถ เป็นอย่างนี้จะสอนได้ยังไง คือธรรมนี้ก็เลิศขนาดนี้ ไม่ควรแก่การที่จะนำมาสั่งสอนสัตว์ที่อยู่ในมูตรในคูถ อันนี้เลย นั่นเห็นไหมล่ะ

เวลาเจอเข้าแล้วต่างกันยังไงบ้าง ธรรมแท้ที่ทรงพบเห็นด้วยพระองค์เอง กับที่คาดคะเน แล้วมาเจออย่างจัง ๆ กับมาเทียบกับสิ่งทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุนี้ เข้ากันไม่ได้ จึงท้อพระทัยจะไม่สั่งสอนสัตว์ นี่ก็มีท้าวมหาพรหมลงมาอาราธนาให้ทรงสั่งสอนสัตวโลก อย่างที่ว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ

กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ

สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา

เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ

คือขอพระองค์ทรงเมตตาแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาให้ทรงพระเมตตาสั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีมลทินเบาบางยังมีอยู่ ไม่ใช่จะมืดหนาสาโหดไปเสียอย่างเดียว ผู้ที่มีมลทินที่จะพอฉุดพอลากได้ยังมีอยู่ พร้อมกับพระองค์ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก มันมืดแปดทิศแปดด้าน มองไปที่ไหนมีแต่มืดตื้อ ๆ จึงได้ทรงพิจารณาว่า มันจะมืดตื้อทุกสิ่งทุกอย่างเสียจริง ๆ เหรอ จึงได้ทรงเล็ง ความมืดตื้อมันก็มีแพรวพราว ๆ แทรกอยู่ในนั้นแสงสว่าง แร่ธาตุที่เป็นสารประโยชน์ คือบุคคลที่มีอุปนิสัยปัจจัยควรแก่อรรถแก่ธรรม ยังแทรกอยู่ในโลกมืดตื้อ ๆ นี้เป็นแห่ง ๆ ไป ไม่ใช่จะมืดตื้อเสียทีเดียว ทรงเล็งญาณดู แล้วก็เข้ากันได้กับท้าวมหาพรหมมาอาราธนา จึงทรงปลงพระทัยสั่งสอนสัตวโลกมา

นี่เราเทียบถึงเรื่องธรรมนะ ฟังซิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และธรรมอันเลิศนั้นมากี่กัปกี่กัลป์ เวลามาเจอเข้าแล้วทรงท้อพระทัย ประหนึ่งว่ามันสุดวิสัย ธรรมชาตินั้นกับอันนี้เข้ากันไม่ได้เลย แต่สิ่งที่แทรกอยู่ในธรรมชาตินี้ที่เข้ากันได้ยังมี มีน้อยมาก ๆ นอกนั้นมีแต่ธรรมชาติที่ยกไม่ขึ้น ๆ ทั้งนั้น นี่ละฟังซิธรรม เลิศขนาดไหน ศาสดาทุกองค์เป็นอย่างนี้ด้วยกัน ทรงธรรมประเภทนี้ด้วยกัน ทรงเล็งญาณดูสัตว์ สั่งสอนสัตวโลกก็อย่างเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าศาสดามีอำนาจวาสนามากน้อยต่างกัน ในการขนสัตวโลกขึ้นจากวัฏวนนี้ ได้จำนวนมากน้อยต่างกัน ท่านก็แสดงเอาไว้ นี่ละเป็นของที่เลิศเลอขนาดไหน ฟังซิ กับพวกถังขยะนี่ ต่างกันขนาดนั้นนะ

นี่ละธรรมอันนี้ เมื่อมีผู้ปฏิบัติอยู่ พระองค์ทรงแสดงก็คือพาดบันไดไว้ให้เดินตามนี้ หรือเปิดทางให้ให้เดินตามนี้ เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ทางนี้ทางเดินเพื่อมรรคเพื่อผลโดยสมบูรณ์ ที่ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องดีแล้ว ไม่มีผิด ให้ก้าวเดินตามนี้ ทุกข์ยากลำบากก็ให้ไปตามนี้ จะผ่านไปได้ไม่สงสัย สอนไว้แล้ว ทีนี้ผู้ปฏิบัติตาม ๆ ก็รู้เห็นตาม ยกขึ้นเบญจวัคคีย์ทั้งห้าในพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานี้

อันนี้พร้อมแล้วนี่ คอยที่จะหลุดพ้น ถ้าเป็นวัวก็รอปากคอกอยู่แล้ว คอยที่จะออกจากปากคอก เมื่อมีผู้มาเปิดคอกนี้ก็ผึงออกเลย ๆ พอทรงเล็งญาณดู ขึ้นต้นก็ดาบสทั้งสองที่พระองค์ไปศึกษาธรรมกับพวกนี้อยู่ ก็ว่า โห น่าเสียดาย ตายเสียเมื่อวานนี้ เล็งญาณดูก็ เอ้อ เบญจวัคคีย์ทั้งห้าพร้อมแล้ว หมุนเข้ามานี้..สอน นี่ละที่แร่ธาตุต่าง ๆ ที่ฝังจมอยู่ในโลกมืดบอดมีอย่างนั้นละ แทรก ๆ อยู่ในนั้น จากนั้นก็แสดงให้ฟัง

เพราะว่าธรรมอันนี้เป็นธรรมอันสำคัญมาก ในโลกนี้ไม่มีใครรู้ใครเห็นได้ พระองค์มาแสดง แม้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าที่มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอยู่แล้วอย่างเต็มใจ ยังไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้าในขั้นเริ่มแรก ยังเอาเรื่องพระองค์ทรมานพระองค์ถึงขั้นสลบไสลก็ไม่ได้ตรัสรู้นั้นมาต้านทานพระพุทธเจ้า ทีนี้เวลามาเสวยพระกระยาหารแล้วก็จะได้ตรัสรู้อะไร เป็นความปรารถนามากแล้วไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดถึงธรรมกับสิ่งเหล่านี้มันต่างกัน การทำนั้นผิดถูกชั่วดีอะไรพวกนั้นก็ไม่ทราบ เอาอย่างนั้นมาเป็นเครื่องวัดมรรคผลทีเดียวก็ไม่ได้ซี พระองค์จึงได้ทรงแสดงว่า

บัดนี้เราได้ตรัสรู้แล้ว ๆ พวกนั้นก็ไม่ยอมเชื่อ เอาสิ่งที่กล่าวเหล่านี้มาต้านทานพระพุทธเจ้า พระองค์ก็รับสั่งย้ำเข้าอีกว่า คำประเภทเหล่านี้ ที่ว่าได้ตรัสรู้แล้ว ๆ แต่ก่อนพวกเธอทั้งหลายติดสอยห้อยตามเรามาเป็นเวลานาน เราเคยพูดให้ฟังไหม เคยได้ยินไหม บอกไม่เคยได้ยิน ถ้าไม่เคยได้ยินก็ให้ฟังบ้างซิ นั่น ทีนี้ก็ตั้งใจจะฟังละ พระองค์ก็แสดง เทฺวเม ภิกฺขเว ขึ้นธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คืออริยสัจ ๔ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ สมุทัย อริยสจฺยํ นิโรธ อริยสจฺจํ มคฺค อริยสจฺจํ อยู่ในอริยสัจนี้หมด ขึ้นนี้เลยเทียว กุญแจเปิดโลกธาตุอยู่ตรงนี้ ขึ้นเรื่อย ๆ เลย

แสดงละเอียดลออนะ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนขั้นสุดท้ายโน้น แสดงไปหมดทุกแง่ทุกมุม ให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าได้ฟังอย่างถึงใจ แล้วก็สรุปผลแห่งธรรมอันเลิศเลอมาให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าได้ฟังว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งมวลของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความเกิดอีกของเราไม่มีอีกแล้ว ความเกิดความตาย ความทุกข์ความทรมานมันไปด้วยกันนั่นแหละ ไม่มีอีกแล้ว

พอพระพุทธเจ้าแสดงอย่างนั้น ท่านก็แสดงอีกว่า อิทมโวจ ภควา อตฺตมนา ปญฺจวคฺคิยา ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทÿ อิมสฺมิญฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน ทีนี้เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาอันแจ่มแจ้งชัดเจนต่อมรรคผลนิพพาน ให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าฟังอยู่นั้น อายสฺมโต โกณฺฑญฺญสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขÿ อุทปาทิ ขึ้นแล้ว เบญจวัคคีย์ทั้งห้ามีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสำคัญ ได้รู้ได้เห็นธรรมที่ปราศจากความมัวหมอง ความสงสัย โดยประการทั้งปวง ได้รู้ขึ้นแล้วก็อุทานขึ้นว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น หาความแน่นอน ตายใจไม่ได้ มีแต่ธรรมที่เริ่มปรากฏเวลานี้เท่านั้น

โสตะ กระแสพระนิพพาน คือความแน่ใจตายใจได้เข้าถึงใจพระอัญญาโกณฑัญญะแล้ว นั่นละท่านแสดง นี่วาระสุดท้าย เบญจวัคคีย์มีความรื่นเริงบันเทิงในธรรมพระพุทธเจ้า เฉพาะอย่างยิ่งพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม คือบรรลุพระโสดา นี่ออกจากธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แสดงให้ฟัง นี่เริ่มรู้แล้วนะที่นี่ ธรรมที่ทรงรู้แล้วและมาแสดงแก่สัตวโลก เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นผู้รับธรรมนั้นในเบื้องต้น จากธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ต่อไปก็แสดงอนัตตลักขณสูตรขึ้นมา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ล้วนแล้วแต่เรื่องอริยสัจทั้งนั้น จากนั้นก็เรื่อย ๆ

นี่ละผู้ปฏิบัติตาม หรือว่าแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีแสงแพรวพราว ๆ จมอยู่ในกองมูตรกองคูถ แสดงตัวขึ้นมาแล้วในที่ต่าง ๆ ไม่มีมากก็ตาม ก็มีอย่างนี้ให้เห็น นั่น เรื่อยไปเลย เราสรุปความเลย นี่เรียกแร่ธาตุที่เป็นสารประโยชน์มหาศาล แทรก ๆ อยู่ในกองมูตรกองคูถกองถังขยะนี้ พระองค์ทรงถอนเอาอันนี้ ถอนออก ๆ ถอนออกไป จากนั้นก็พาดสะพานเอาไว้ วางบันไดเอาไว้ ให้เดินไต่เต้าไปตามนี้ ๆ นี้ทางเพื่อมรรคเพื่อผลล้วน ๆ แหละ แม้ปรินิพพานไปแล้วทางนี้ก็ไม่ได้ทิ้ง แสดงไว้เป็นสวากขาตธรรมเรื่อยมาอยู่

นี่ละที่ว่าธรรมเลิศ ฟังซิเป็นยังไง กับพวกเราทั้งหลายสัตวโลกที่จมอยู่ในกองถังขยะ กองมูตรกองคูถ ความทุกข์ความลำบากลำบนเต็มอยู่ในวัฏจักรนี้ทั้งหมด ไม่มีในพระนิพพาน พระนิพพานผ่านหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจะเข้ากันไม่ได้เลย ที่จะมาสอนพวกจมอยู่ในมูตรในคูถให้ไปนิพพาน มันเป็นไปไม่ได้เลย ลักษณะเป็นอย่างนั้น ไอ้พวกเป็นไปไม่ได้มีจำนวนมาก แต่พวกที่เป็นไปได้ยังมีอยู่ ก็เลยเอาพวกนี้ พวกที่จะเป็นไปได้

จึงว่าศาสนาพุทธของเราคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ นะ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้เลย ท่านจึงเรียกว่า อกาลิโก เอหิปสฺสิโก ท่านจงน้อมจิตของท่านให้เข้ามาสู่ธรรมเหล่านี้ ธรรมอยู่ที่ใจ ท่านสอนว่าอย่างนั้น เรียกว่าธรรมเลิศ

โลกมันยิ่งนับวันนะทุกวันนี้ พูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้แหม มันขยะแขยง มันสะดุด มันตื่นทางผลลบ ๆ ตื่นไปทางนรกอเวจีนั่นแหละ มันไม่อยากได้ยินได้ฟังเลย นี่เห็นไหมกิเลสมันหนาเข้า ๆ สิ่งที่เป็นคุณไม่ยอมรับ แต่สิ่งที่เป็นโทษมันชอบมาก เหมือนคนไข้ชอบแต่ของแสลง หยูกยาหมอแนะนำหมอจะเอามาให้ โอ๋ย ไม่อยากกิน อู๊ย นี้มันขม นี้มันเค็ม นี้มันเจ็บ อันไหนไม่เจ็บ มูตร คูถ มันไม่เจ็บ เข้าใจไหม ว่าให้มันถึงขีดซิ

อย่างนั้นละพวกคนไข้ชอบแต่ของแสลง เป็นอย่างนั้นนะ อันใดจะเป็นบาปเป็นกรรมชอบนักชอบหนา อันใดที่จะเป็นบุญเป็นคุณนี้ ไม่ชอบ ๆ ขยะแขยง ปัดออก ๆ นี่ละมันจะไปสวรรค์ไปนิพพานได้ยังไง ก็มันปัดสวรรค์นิพพานออกจากตัวของมัน แล้วโดดลงนรก จับหางดึงกันไปเรื่อยเลย ไปไม่ทันก็คว้าหางกัน เข้าใจไหม ไอ้พวกสัตว์นรก ไหลลงไปนรก พวกนี้ไปไม่ทันก็ว่า คอยหน่อย ๆ ไปไม่ทัน คว้าหางกันดึงหางกันยาวเหยียดพวกลงนรก หางยาวเหยียด คือดึงคว้าเอาหางกัน ติดเกาะหางกันไปก็เอา ไปเรื่อย ๆ ไปที่ไหนมองดูเห็นแต่หางยาวเหยียด มันคว้าหางกันดึงกันลงในนรก ที่จะคว้าดึงขึ้นไปสวรรค์นิพพานไม่ยอมไป ไม่อยากไป มันขยะแขยง

นี่โลกเวลานี้ โลกกิเลสหนา เห็นความสกปรกโสมม เห็นความเดือดร้อนวุ่นวายเป็นฟืนเป็นไฟนี้เป็นของดิบของดีไปหมด เห็นน้ำเห็นท่าที่จะชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลาย เห็นอรรถเห็นธรรม เป็นของเลวของไม่มีค่าไม่มีราคาไปในขณะเดียวกัน ๆ แล้วพระพุทธเจ้าจะไม่ท้อพระทัยได้ยังไง นี้ก็พูดให้ฟังชัด ๆ เราก็เป็นมาแล้วนี่ นี่ละธรรมอันเดียวกัน แต่เราไม่ได้มุ่งหน้ามุ่งตาที่จะไปสั่งสอนใคร ก็ต่างกันเท่านี้ละ เราก็บำเพ็ญตามเรื่องของเราไป เมื่อแน่ใจในมรรคผลนิพพานว่ามีอยู่แล้วโดยสมบูรณ์ ๆ ยกตัวอย่างใกล้ ๆ คือจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย

เพราะแต่ก่อนเรียนมามากน้อย มันก็แบกความสงสัยสนเท่ห์ไปตามการศึกษาเล่าเรียน เรียนชั้นไหน ชั้นบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก จนกระทั่งถึงนิพพาน ไอ้ความสงสัยนี่คืบคลานถึงกันหมดเลย ถึงนิพพานก็ไปตั้งเวทีต่อยกับนิพพาน เออ นิพพานมีหรือไม่มีน้า นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละการเรียน ฟังซิ มันได้สาระที่ไหน เราเอาตัวของเราพูด ใครก็ต้องเป็นเหมือนกัน เรื่องภาคความจำแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นความแน่นอน

เราจึงประมวลเข้ามา เวลานี้เราอยากพ้นจากทุกข์เหลือประมาณ ในหัวใจอยากพ้นมากทีเดียว แต่เรายังสงสัยว่ามรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่หรือไม่นา เมื่อปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถแล้ว มรรคผลนิพพานซึ่งเป็นผลต้อนรับนั้นไม่มีอยู่แล้ว ก็เสียประโยชน์ เสียกำลังวังชาเปล่า ๆ นี่ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์องค์ใด หรือท่านผู้ใดก็ตาม มาชี้แจงแสดงให้เราฟังด้วยความเป็นที่แน่ใจว่า มรรคผลนิพพานมีอยู่ เราจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์องค์นั้นแล้วทีนี้เอาเลย ตายก็ตายเลย ถ้าลงเชื่อแน่ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ ยังไงก็จะเอาให้ถึง ก็ถึงได้ไปหาหลวงปู่มั่นล่ะซี

ท่านก็เอาเรดาร์จับไว้แล้ว พอไปถึง หือ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ เราลืมเมื่อไรวะ ขึ้นเปรี้ยงเลยนะ หือ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ดินฟ้าอากาศทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ตัวกิเลสจริง ๆ ตัวมรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ ให้ท่านชำระใจของท่านให้ดีนะ นี้ละบ่อเกิดแห่งมรรคผลนิพพานจะอยู่ที่นี่ บ่อเกิดของกิเลสก็อยู่ที่นี่ เอา ชำระสิ่งมัวหมองสกปรกโสมมทั้งหลายออก ให้จิตใจได้สง่างามขึ้นมาโดยลำดับ มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นในจิตดวงนี้ ๆ เอาใหญ่ เปรี้ยง ๆ เลย เราลืมเมื่อไร

นี่ละท่านลบความสงสัยของเราที่สงสัยมรรคผลนิพพานจนกระทั่งหายเงียบ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นปุถุชนนะกิเลสมีอยู่ แต่เรื่องความสงสัยมรรคผลนิพพานนี้ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว มีแต่จะเอาเท่านั้น ๆ นั่นละเรื่องราวเป็นอย่างนั้น

เราก็ไม่เคยจะไปหาสั่งสอนใครนะ เราจะมุ่งเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ ยังไงจะไม่กลับมาเกิดอีก เมื่อแน่ใจแล้วว่ามรรคผลนิพพานมี ต้องเอาตายเข้าว่าเท่านั้น กับหนึ่งต้องได้ สองต้องตาย เพราะฉะนั้นความเพียรมันถึงหนักสำหรับเราเอง หนักจริง ๆ แล้วเวลาปฏิบัติไปเต็มกำลังความสามารถ ตั้งแต่ขั้นตะเกียกตะกาย จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่าฟ้าดินถล่ม พอถึงขั้นฟ้าดินถล่มแล้วนั้น ที่เราคาดมรรคผลนิพพานคาดยังไง ๆ มันก็เป็นไปตามหัวใจ มันก็ด้นก็เดาไปเหมือนเราเรียนมานั่นแหละ แต่พอเวลาไปเจอกันอย่างจัง ๆ นั่นซิ ที่ว่าฟ้าดินถล่ม บอกจนสถานที่เวล่ำเวลาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เอามาโกหกกันหาอะไร

พอมันผางขึ้นมาเท่านั้น โหย อุทานไม่ทราบออกมาจากไหน โถ ๆ ขึ้นเลย นั่นเห็นไหม นั่นละหลักธรรมชาติความจริงที่เรามุ่งต่อธรรมนั้น แต่เราคาดเราด้นเดา มันไม่ได้ตรงกับความจริงที่เป็นอยู่ แต่เวลาความจริง คือใจกับธรรมเป็นความจริงเข้าถึงกันปึ๋งเท่านั้น ไม่ต้องถามใคร โห อย่างนี้เหรอมรรคผลนิพพาน จากนั้นก็อ่อนไปหมดเลย โถ ขนาดนี้ ไม่เคยคาดเคยคิดเคยด้นเคยเดาอะไรเลย แล้วทำไมจึงมาเจอเข้าอย่างจัง ๆ เป็นอย่างนี้แล้ว แล้วเทียบนอกจากนี้ไปมันทำให้เกิดความอ่อนใจท้อใจ จะไปสอนให้ใครได้อย่างนี้ ไปว่าที่ตรงไหนเขาก็จะหาว่าบ้า

นั่นน่ะฟังซิมันขึ้นทีแรกนะ เอามาเทียบกันกับธรรมชาติที่กระจ่างครอบโลกธาตุนี่ แล้วกับมืดดำเต็มโลกธาตุนี้อีกเหมือนกันนะ อันนั้นธรรมครอบโลกธาตุ อันนี้มืดดำเต็มโลกธาตุ เอาธรรมครอบโลกธาตุมาดูโลกธาตุที่มืดดำนี้มันท้อใจ หือ จะสอนไปไหนพูดที่ไหนเขาจะหาว่าบ้ากันทั้งนั้นละ ธรรมประเภทนี้ไม่ควรแก่ใคร ๆ ทั้งนั้น แล้วสุดท้ายก็ เฮ้อ จะทำยังไง พูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เขาก็จะหาว่าบ้า เราอยู่ไปกินไปวันหนึ่งเท่านั้น พอถึงกาลแล้วก็ไปเสียเท่านั้นแหละ นั่นเห็นไหม เคยคาดเคยคิดไว้เมื่อไร เวลาอันนั้นกระจ่างขึ้นมาแล้วความคิดท้อใจขึ้นมา

เราก็เกิดมาในภพชาติที่ธรรมเหล่านั้นท้อใจมานานเท่าไร กี่กัปกี่กัลป์เราไม่เห็นรู้ตัวเลย เราเข็ดเราหลาบที่ไหน เราเกิดมากี่กัปกี่กัลป์เหมือนสัตวโลกทั่ว ๆ ไป เราไม่เห็นมีความเข็ดหลาบ แต่ธรรมอันนี้จ้าขึ้นมาในใจ ทำไมความเข็ดหลาบในการเกิดการตายสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ท้อใจไปเสียหมดล่ะ ฟังซิน่ะ มันต่างกันไหมล่ะ นี่ละเหตุที่จะทำให้เกิดความท้อใจ อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นพอ ไปสอนใครเขาจะหาว่าบ้ากันทั้งโลก ธรรมชาติอันนี้กับโลกมันเข้ากันไม่ได้เลยว่างั้นเลย

จากนั้นมันก็มีวกเวียนนะ การคิดมันไม่ถอยแหละ ที่ว่าท้อใจก็ท้อ ธรรมอย่างนี้รู้ได้ยังไง ใครจะรู้ได้ยังไงรู้ขนาดนี้ แล้วไม่มีใครรู้ได้อะไร ๆ มันก็วกเข้ามาหาตัวเองอีกนะ ถ้าว่าธรรมเหล่านี้เลิศเลอเกินโลกเกินสงสาร ไม่มีใครจะรู้ได้เห็นได้ เราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมถึงรู้ได้ นั่นเห็นไหมมันย้อนลูกศรกัน เราเป็นเทวดามาจากไหนเราทำไมรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด เหตุใดก็คือหมายปฏิปทาเครื่องดำเนินมา เรารู้ได้เพราะเหตุใด อันนี้ก็พิจารณา อ๋อ เราก็ไม่ใช่เทวบุตรเทวดามาจากไหนก็ยังรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด รู้ได้เพราะการปฏิบัตินี้ละ รู้ได้เพราะเหตุใด

คือทางเดิน สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นี่คือทางเดินเข้ามา เราก็เดินเข้ามานี้มาถึงที่นี่ แล้วจะปฏิเสธว่าใครรู้ไม่ได้ได้ยังไง ก็เมื่อมีผู้ปฏิบัติอยู่ มีผู้ก้าวเดินเข้ามาอยู่ ต้องถึงได้รู้ได้เห็นได้ อ๋อ อ่อนลงแล้วที่นี่ อ๋อ รู้ได้ ถึงไม่มากก็รู้ได้เพราะทางเดินมี ทางก้าวเดินเข้ามานี้มี จึงเป็นอันว่าปลงใจลงได้ที่นี่ เอ้า ควรสอนก็สอนไป แต่ไม่ได้ตั้งหน้าว่าจะสอนอย่างนั้น จะสอนอย่างนี้ ควรตีให้ตี ควรฟาดฟาดไปเลย ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ควรจับหางมันดึงไว้ก็จะดึง ถ้าจับหางมันไม่อยู่ ควรจะตีมันฟาดลงกองมูตรกองคูถเสียก็ตีไปเลย ก็ไม่ได้ตั้งใจเอาไว้ แต่ก็ได้สอนอย่างนี้ละเข้าใจไหมล่ะ ทั้งจับหางทั้งจับหูดึงอยู่นี่ ไม่ทราบว่าดึงไปทางไหน

นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้นละ พี่น้องทั้งหลายทราบหนา เกิดมามีวาสนานะ ไม่มีวาสนาจะไม่มีความเคารพเลื่อมใส ไม่มีความเชื่อในอรรถในธรรมในบาปในบุญเลย ตายจมเปล่า ๆ นะ ไอ้ความไม่เชื่อนั้นละคือกิเลสตัวมืดบอดที่สุดจะลากเราลงนรก ให้สร้างความชั่วหนักเข้าไป ๆ จมลงไปเรื่อย ๆ นะ เรามีวาสนา มีความเคารพความเชื่อความเลื่อมใสได้บำเพ็ญตน จะหนักเบามากน้อยก็ตามเถอะ ความดีทั้งนั้น ไม่ได้เป็นความเสียหายใดเลย เอาตรงนี้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อนละนะ

ถาม เมื่อเทอมที่แล้วให้ลูกศิษย์รายงานเรื่องไตรภูมิพระร่วง เวลาเขารายงานเขาไม่รู้เรื่อง เขาอ่านมายังไงเขาก็รายงานอย่างนั้น พอตอนข้าน้อยสรุป ข้าน้อยก็ไม่รู้เรื่องก็สรุปไป อยากจะกราบเรียนถามหลวงตาว่า เวลาที่จะไปอธิบายให้เด็กฟังเรื่อง กามภพ รูปภพ อรูปภพ เราจะพูดสั้น ๆ ย่อ ๆ ให้เด็กพอเข้าใจ กามภพก็พอจะเข้าใจ ที่จิตยังข้องอยู่กับกาม กินถึงไหนคะ สัตว์ มนุษย์ เทวดา แล้วพอรูปภพมันแค่ไหน แล้วอรูปภพมันแค่ไหน ย่อ ๆ ค่ะหลวงตา จะได้จำไปอธิบายให้เด็กฟัง

หลวงตา โอ๊ย อย่าให้อธิบายเถอะนะ จะว่ามันเกินภูมิแก่การศึกษาของเด็กอยู่ก็ไม่ผิดนะ แล้วมันเกินภูมิของอาจารย์(เสียงหัวเราะ) เอาเบา ๆ เท่านั้นพอ หยุดแล้ว เดี๋ยวมันจะหงายไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นจึงรั้งเอาไว้ เอาละพอ

ถาม สรุปอย่างนี้ได้ไหมคะว่า ภพทั้งสามนี้เป็นเรื่องของจิตที่ว่ายังข้องอยู่ในจุดไหน ส่วนรายละเอียด..

หลวงตา กามภพนี่หมายถึงว่า เป็นภพที่เปิดเผยด้วยกามกิเลส อันนั้นก็มีกิเลสเหมือนกันแต่ไม่เปิดเผย ท่านก็ว่ารูปภพ อรูปภพ ไปอย่างนั้นนะ เข้าใจไหม มันมีเหมือนกันแต่ละเอียดกว่ากัน หรือไม่เปิดเผยเหมือนกามภพ เอาแค่นี้ละไม่เอามาก พรหมโลกมานี้มีกามทั้งนั้นว่างี้เลย เว้นแต่พรหมโลก ๕ ชั้น คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา นี้เป็นขั้นที่อยู่ของผู้ขาดจากกามไปแล้ว ๕ ชั้นนี้ไม่มีกาม อันนี้ไม่คืน พวกนี้จะหมุนขึ้นเรื่อย ๆ พื้นฐานแรกของผู้ละกามได้ไปอยู่ อวิหา ถ้าสมมุติว่าตายก็ขั้นนี้ ขั้นพอละจากกามอันเป็นหลักใหญ่มันได้ ไม่ใช่ว่าหมดโดยสิ้นเชิงนะ โอ๊ย อันนี้มันพูดยากนะ มันเป็นในจิตถึงชัด มาพูดมาแจงอย่างนี้ดีไม่ดีทำคนให้สงสัยไปด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าของประจักษ์อยู่อย่างนั้น คำว่ากามจะขาดสะบั้นไปทีเดียวไม่ถูก เราจับได้แต่เพียงว่าไม่ถูก แต่ไม่ถูกเพราะเหตุใด เราอยากถามอีกว่า โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยภาวนาละกามไหม มึงคนหนึ่งได้ ๕ เมีย ๕ ผัวมึงยังจะมาถามกูอยู่เหรอ จะว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม มันละเอียดเข้าไป เข้าใจไหม ตัวใหญ่มันตายหมดแล้ว เรื่องยิบ ๆ แย็บ ๆ มันยังมี นั่นละที่ว่าอวิหา อยู่ในขั้นทีแรกนี้ อตัปปา ชำระอันนี้ละเอียดลงไป เพราะฉะนั้นพระอนาคามีจึงต้องไปเรียงลำดับเป็น ๕ ชั้น เพราะสิ่งที่เรียกว่าบริษัทบริวารเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ไม่ถึงกับจะต้องทำให้จิตกำเริบแหละ แต่มันไม่หมดก็บอกไม่หมด ใช่ไหม นี่ละมันจะค่อยหมดไป ๆ ละเอียดไป เป็นอัตโนมัติของการชำระจิตขั้นนี้ ตั้งแต่ได้ขั้นกามราคะนี้แล้วจิตนี้จะเป็นอัตโนมัติ ชำระของมันอันนี้เองเป็นอัตโนมัติเรื่อย ๆ พุ่งถึงเลย พอถึงอกนิษฐาแล้วก็หมดโดยสิ้นเชิง เรียกว่าราคะประเภทไหนก็ไม่มี ผึงเลย นี่ละเรียกว่าพรหมโลก ๕ ชั้นไม่คืน นอกนั้นยังคืน เข้าใจไหมที่พูดนี่ นอกนั้นคืน จะอยู่กี่หมื่นปีก็ตาม หมายถึงปีทิพย์ ๆ ยังไม่พ้นที่จะกลับคืน แต่อันนี้ไม่คืน ก้าวหน้าเรื่อยเลย พอเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอ

เรื่องที่ว่ากามกิเลสนี้ ผู้ปฏิบัติจะรู้เองในตัวเอง ที่จะพูดสุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่ได้ ให้พูดคนทั้งดุ้นฟังแล้วยิ่งแล้วใหญ่ พูดไปหาอะไร ถ้าผู้จับเงื่อนได้ปั๊บ พออธิบายปั๊บเข้าใจทันที วิ่งตามเหมือนไฟได้เชื้อ ไหม้ลุกลามไปเรื่อย ๆ นี่ละที่ว่ากามกิเลส พอหลักใหญ่มันขาดลงไปปั๊บ ทีนี้เล็กน้อยนั้นก็เหมือนไฟได้เชื้อ เป็นอัตโนมัติ มันชำระของมันไปเอง ๆ เรื่อยไปหมด เอาละให้พร

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก