เหนือแล้วจึงเห็น
วันที่ 1 ตุลาคม 2543 เวลา 8:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

เหนือแล้วจึงเห็น

(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๘๐๐ คน)

สกุลกระทิงแดงเราพูดตามหลักธรรมตามความจริง ชุ่มทั้งภายนอกภายใน ชุ่มเย็น เรียกว่าสกุลที่พร้อม ไม่ลืมตัว การทำบุญให้ทานนี้ยกนิ้วให้เหมือนกันนะ การเฉลี่ยเผื่อแผ่อะไร ๆ ยกนิ้ว ๆ นี่ละน้ำใจชุ่มเย็นและกว้างขวาง ไปไหนไม่จนตรอก คนมีน้ำใจอันกว้างขวาง ถ้าคับแคบตีบตัน ยังไม่ไปก็ตีบตันแล้ว ไปก็หาที่ไปไม่ได้ มีแต่ที่ลง เราเลยวิตกวิจารณ์นะ เราพูดจริง ๆ พูดถอดออกมาจากหัวใจเลย เราไม่เคยคาดเคยฝันว่าจะได้รู้ธรรมประเภทนี้นะ ทั้ง ๆ ที่มุ่งต่อนิพพาน ๆ มุ่งต่อแดนพระอรหันต์ ถึงขนาดสละชีวิตจิตใจ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย หลังจากได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นอย่างถึงใจแล้วก็ถึงจริง ๆ

พอออกมาจากท่านแล้วเป็นยังไงที่นี่ ถามเจ้าของ คือเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมมรรคผลนิพพาน ทั้งที่เรียนมาถึงนิพพาน ยังไปตั้งความสงสัยต่อสู้พระนิพพาน ความสงสัยจะคืบคลานไปทุกแห่งทุกหนที่เรียนไปจำไป ไม่ได้เหมือนการปฏิบัตินะ การปฏิบัติรู้ตรงไหน ๆ มีแต่ยอม อ้อ ๆ ตลอดไปเลยภาคปฏิบัติ นี่หมายถึงที่ว่าลงใจสุดขีดแล้วเรื่องมรรคผลนิพพานจากหลวงปู่มั่น เหมือนกับว่าแบมือ นี่น่ะ ๆ เห็นไหมอยู่อย่างนั้น ท่านไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน ชี้เลย พอถึงใจแล้วออกจากท่านออกมานี้ เอาละที่นี่ถึงใจแล้ว เป็นยังไงเจ้าของจะจริงไหม เราหาของจริง วันนี้มาเจออย่างจัง ๆ แล้ว ทีนี้เราจะจริงไหม ทางนี้ตอบผึงขึ้นมาทันทีเลย ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นฟังซิ เรื่องให้ถอยไม่ถอย นั่นละมันถึงได้ฟัดกัน มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน

นิพพานของคนมีกิเลส อรหันต์ของคนมีกิเลส เป็นนิพพานสงสัย อรหันต์สงสัย อรหันต์คาดคะเน นิพพานคาดคะเน นี่ละถ้ากิเลสไปไหน ถึงนิพพานก็ไปมัวหมองอยู่ในนิพพาน ด้วยความสงสัยของตัวเอง มัวหมองในใจตัวเอง ทีนี้เวลาจ้าขึ้นมานี้นิพพานเป็นยังไง ที่คิดที่คาดไว้เข้ากันไม่ได้เลย คำว่าอรหันต์เป็นยังไง นิพพานเป็นยังไง วิสุทธิธรรมเป็นยังไง ธรรมธาตุเป็นยังไง ไม่ต้องถามใครเลย จ้าแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละธรรมประเภทนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ทีนี้เวลามันเป็นขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว คาดไม่ได้เลยนะ ที่เราคาดผิดหมดทั้งเพเลย เหนือเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะที่คาดเหล่านี้อยู่ในแดนสมมุติทั้งนั้น คาดละเอียดขนาดไหนก็เป็นแดนสมมุติ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่แดนสมมุติ เลยไปหมดแล้วจะคาดถูกได้ยังไง คาดไม่ถูก

นี่ละคนชุ่มเย็นภายนอกพร้อม ภายในพร้อม อยู่ก็พร้อม ไปก็พร้อม ถ้าภายนอกสมบูรณ์แต่ภายในแห้งผากและตีบตันอั้นตู้ ชีวิตไปเกาะอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอชีวิตหาไม่แล้วขาดสะบั้นแล้วหมดหวังเลย อันนี้เป็นสิ่งที่อาศัยภายนอกเวลามีชีวิตอยู่ อันนี้ภายในนี่ตลอด ภายในบุญกุศลนี่ช่วยไปตลอด ตายภพไหน ๆ ก็ตามบุญจะตามหนุนเรื่อย จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ เพราะบุญนี่แหละ เพราะฉะนั้นจึงว่าเปิดทางให้เจ้าของ อย่าให้มีแต่สมบูรณ์ภายนอก ภายในไม่เหลือบมองใช้ไม่ได้

เวลานี้อย่างที่ว่าเมืองไทยเราอดอยากขาดแคลนอัตคัดขัดสน ไม่ได้อัตคัดขัดสน ถ้าเทียบทางด้านหัวใจกับวัตถุที่อาศัยของส่วนร่างกายแล้วผิดกันมากทีเดียว ร่างกายสมบูรณ์ ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน อดอยากที่ไหน เต็มไปหมด นี่เป็นที่อาศัยของร่างกาย ที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัยเครื่องใช้ไม้สอย เต็มไปหมด ไม่มีอะไรบกพร่องในชาติไทยของเรา แต่บกพร่องที่หัวใจชาวพุทธเรานั่นซิ จึงวิตกวิจารณ์มากนะ อันนี้ไม่มีความหมาย ใจหมดความหมาย ใจเป็นบ๋อยของกิเลสตัณหาจะมีความสุขที่ไหน เขาเป็นบ๋อยไปรับใช้ในบ้านในเรือน นั้นเขาไปด้วยความสมัครใจ แล้วนายเขาก็มีอรรถมีธรรม เฉลี่ยเผื่อแผ่เหมือนลูกในบ้านของเขา คนใช้ในบ้านกลายเป็นลูกไปในตัว เพราะความดีเชื่อมโยงกัน เป็นอย่างนั้นนะ

บ๋อยของกิเลสนี้เดือดร้อนมากนะ ผิดกันกับเป็นบ๋อยเป็นคนใช้ของเจ้าของนาย ผิดกันนะ อันนี้จิตใจของเราแห้ง ๆ แห้งผาก นี่ซิสำคัญ วัตถุภายนอกเต็มบ้านเต็มเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่อง แต่หัวใจบกพร่องตลอดเวลา แม้มหาเศรษฐีก็ไม่พ้น นั่นยิ่งบกพร่องมาก คนลืมตัว มีชื่อมีเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ เขายกยอปอปั้นเท่านั้นละเป็นบ้าไปแล้ว จิตใจแห้งผาก ๆ บืนกับกิเลส ลืมตัว ๆ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยก็เพียงอาศัยไปวันหนึ่ง มันไม่รู้นี่ซิ เลยเอาเหล่านั้นมาเป็นตัวของตัว ชีวิตจิตใจฝากเป็นฝากตายกับสมบัติเงินทองข้าวของไปเสียหมด เวลาตายแล้วมันไม่คิดนั่นซิ ไปภูมิใจกับเวลามีชีวิตอยู่ เวลาตายแล้วเป็นยังไง นี่ละจม ๆ

สมบัติให้พร้อมกัน สมบัติภายนอก ร่างกายของเรามีความจำเป็นบกพร่องต้องการสิ่งเยียวยาอยู่ตลอด เราต้องได้ขวนขวายหามาเพื่อมัน ทีนี้จิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของมากขนาดไหนภายในจิตใจด้วยความหิวโหย เพราะนั้นไม่ใช่ที่พึ่งสิ่งเหล่านั้น มีมากมีน้อยใจเหือดแห้ง ๆ ใจหิวโหยตลอดเวลา ไม่ได้อิ่มนะใจ ไม่เหมือนธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมเข้าสู่ใจมีมากมีน้อยนี้จะค่อยอบอุ่นเข้ามา ๆ แน่นหนามั่นคงขึ้นมาเรื่อย ๆ ต่างกันนะ

สมบัติภายในคือธรรม ทาน ศีล ภาวนา คุณงามความดีทั้งหลาย นี้แลคือสมบัติของใจ สมบัติภายในโดยแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ล้านเปอร์เซ็นต์ว่างั้นเลย ไม่เป็นอื่น สิ่งเหล่านั้นใจไม่ยอมรับ เพราะไม่ใช่วิสัยของกันและกัน สิ่งที่เป็นวัตถุก็เป็นวิสัยของวัตถุเกี่ยวกับร่างกาย อาศัยไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น พอชีวิตหาไม่แล้วก็ขาดสะบั้นไปพร้อมกันเลย ร่างกายขาดสะบั้นสมบัติก็ขาดจากกรรมสิทธิ์แบบสะบั้นไปเลย

เพราะจิตใจไม่ตายนั่นซี ต้องดีดต้องดิ้นไปตามบุญตามกรรมของตัวเอง ถ้ามีบุญมีกุศลก็เป็นที่พึ่งไปได้ ติดกันไปเรื่อย หนุนกันไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีเลยนี้จม ๆ พี่น้องชาวไทยเวลานี้รู้สึกว่าบกพร่องมาก ไปที่ไหนจึงไม่พ้นที่จะเทศน์เรื่องเกี่ยวกับทางด้านจิตใจ ให้มีที่พึ่ง ให้มีที่เกาะ อย่างน้อยไปที่ไหนให้มีพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ติดหัวใจ นั่นคือที่พึ่งที่เกาะของใจ แต่ใจมันไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ มันมีแต่เรื่องกิเลสตัณหา จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ยุ่งไปหมด นั้นเรื่องของกิเลสตัณหา คือเรื่องฟืนเรื่องไฟเผาไหม้จิตใจตลอดเวลา หาความสุขได้ที่ไหน ตายแล้วก็หมดหวัง ๆ ทั้งที่หวังอยู่อย่างเต็มใจ ก็หมดหวังอย่างเต็มหัวใจเหมือนกัน ถ้าหวังในทางที่ผิด-ผิดตลอด หวังในทางที่ถูก-ถูกตลอด ทางที่ถูกพระพุทธเจ้าก็สอนไว้แล้ว

อย่าลืมเนื้อลืมตัวนะพี่น้องชาวไทยเรา ไปที่ไหนเราได้เทศนาว่าการเกี่ยวกับทางด้านจิตใจ เพราะไขว่คว้าเอามากทีเดียว มันเป็นบ้าอยู่ภายนอก ไม่ได้เข้ามาสนใจกับอรรถกับธรรมซึ่งเป็นสาระอันสำคัญบ้างเลย มันดิ้น ไม่ว่าเขาว่าเราตำหนิกันไม่ลงนะ เป็นเหมือนกัน อำนาจของกิเลสมันจะต้องพาให้เป็นอย่างนั้น ๆ ไม่รู้ตัว ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องกระตุกแล้วจะไม่รู้ตัวตลอดไป

ธรรมจึงเป็นความดีสำคัญ ๆ ที่คอยกระตุกให้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง ทำไปดีดไปดิ้นไป นี่ก็ดีดไปดิ้นไปขนาดนี้ก็ไม่เห็นได้อะไร ได้ก็ได้มาอย่างนี้แหละ ถ้าผู้มีสติมีธรรม วันไหนจะตายยังไม่รู้อยู่เหรอ เท่านั้นก็เรียกว่ากระตุกตัวเอง รู้ตัว ความโลภ ความโลเล น้ำล้นฝั่งค่อยลดลง ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยมีสติสตัง ค่อยรู้ดีรู้ชั่วบ้าง ถ้ามีแต่เรื่องกิเลสแล้ว ที่ว่ารู้ผิดรู้ถูกไม่มี มีแต่จะเอาท่าเดียวเรื่องกิเลส

จวนจะตายเท่าไรเรายิ่งเร่งธรรมะทางด้านจิตใจให้พี่น้องชาวไทย เพราะเทศน์แบบไม่สงสัยเลย นี่ละที่ว่าธรรมประเภทที่ไม่สงสัย เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะได้รู้ธรรมประเภทนี้ ที่ว่าคาดไม่ถูก ธรรมประเภทนี้คาดไม่ได้ แต่ไม่สงสัย พอเจอเข้า อ๋อ ทันทีเลย ยอมรับ ใครจะมาคาดธรรมชาตินี้คาดไม่ได้ ต้องเป็นเอง รู้เองเห็นเองพอดีเลย จะมาคาดนั้นคาดนี้ อย่างที่ว่า เราก็มุ่งมั่นเต็มที่อยากจะไปนิพพาน คาดนิพพานว่าจะเป็นอย่างนั้น ๆ ทีนี้เวลาไปเป็นเข้าไปแล้ว เจอเข้าไปแล้ว ล้มเหลวไปหมดเลยที่คาดนะ พังทลายเลย นั่นต่างกันยังไงกับความประจักษ์ในใจ ความประจักษ์ในใจลบล้างสิ่งที่สงสัยหรือคาดคะเนด้นเดาทั้งหลายหมดโดยสิ้นเชิง นั่นละธรรมประจักษ์ ๆ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเอง หายสงสัยเอง ขาดสะบั้นไปหมดสิ่งที่คาดคะเนด้นเดาทั้งหลายนั้น

จิตดวงนี้ไม่เคยตาย เคยตายที่ไหนใจดวงนี้ พระพุทธเจ้าท่านทรงพระเมตตา มีความสม่ำเสมอต่อสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่อยู่ในครรภ์ก็ไม่ให้ทำลาย จิตอยู่ในนั้นแล้ว เป็นสัตว์ เป็นมดเป็นแมงเป็นอะไร คือจิตแต่ละดวง ๆ อยู่ในนั้นแล้ว ๆ จึงไม่ให้ทำลายให้เป็นการกระทบกระเทือนกัน เรียกว่าให้ความเสมอภาคเสมอกันไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล ใจเป็นของสำคัญเสมอกันหมด นั่นท่านเอาจุดนั้นนะ

คิดดูซิอย่างที่ท่านรับสั่งมาเลยเทียว ท่านไปถามใครล่ะฟังซิ อย่างพระติสสะ นี่มีในชาดก สกุลอุปัฏฐากมาถวายผ้า ท่านก็ตัดผ้าให้เป็นจีวร แต่ก่อนไม่มีจักร เย็บด้วยมือ ในหลักธรรมวินัยมี การตัดการเย็บการอะไร เย็บด้วยมือทั้งนั้น จักรมาทีหลังเร็ว ๆ นี้ พอตัดเย็บซักย้อมเรียบร้อยแล้วก็ไปตากไว้ที่ราวผ้า พอตกกลางคืนมาเป็นโรคปัจจุบันท้องร่วงเลยตาย พระติสสะองค์นั้น เห็นไหมล่ะทีแรกก็คาดสวรรค์นิพพานเป็นของเลิศของเลอ ครั้นตายแล้วสวรรค์นิพพานไม่มีความหมาย สู้จีวรผืนนี้ไม่ได้ มาเป็นเล็นเกาะอยู่จีวรหึงหวงอยู่นั้น กลัวใครจะมาแย่งมาชิงเอาไปใช้เสีย เจ้าของยังไม่ได้ครอง ตายแล้วเป็นเล็นติดอยู่ในจีวร นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละจิตดวงนี้ แต่ก่อนเป็นพระติสสะ พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไป ออกปั๊บจากนี้เป็นเล็นไปติดจีวรด้วยความห่วงใย ไปเกาะอยู่นั้น หึงหวงอยู่นั้น ใครมาแตะไม่ได้นะจีวรผืนนั้น

พระพุทธเจ้าเสด็จมารับสั่งทันที พระติสสะนี้ก็บำเพ็ญคุณงามความดีมาด้วยดิบด้วยดี เพื่อมรรคผลนิพพาน แต่เวลานี้พระติสสะไม่เห็นมรรคผลนิพพาน สวรรค์ชั้นพรหมอะไร เป็นของดิบของดีเลิศเลอยิ่งกว่าจีวรผืนนี้แล้ว นี่เห็นไหม พระติสสะตายแล้วไปเป็นเล็นเกาะอยู่ในจีวร ใครอย่าไปแตะนะ ถ้าไปแตะแล้วพระติสสะจะเกิดความหงุดหงิดกริ้วโกรธอะไรภายในใจ แล้วจะลงนรก นั่นฟังซิ ออกจากนี้จะลงนรก พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ลงนรก คือไม่ให้พระไปแตะ ตากไว้ยังไงทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ บอกอย่างนั้นเลย อย่าไปแตะนะ บอกถึงขนาดนั้นนะ เวลานี้พระติสสะหวงมากทีเดียว ใครไปแตะนี้จะเกิดความหงุดหงิดเคียดแค้น ตายเวลานั้นจะลงนรก ฟังซิน่ะ นั่นละความชั่วเห็นไหม ลงได้ทันที ท่านรับสั่งไว้ ใครอย่าแตะจนกว่าท่านจะรับสั่งอีก

พอครบ ๗ วันเล็นนั้นตาย เสด็จมาแล้ว เอ้า ทีนี้จีวรนี้จะไปแจกองค์ไหนที่จีวรทุพพลภาพ ให้เอาไปแจกได้ พระติสสะตายแล้วไปสวรรค์แล้ว ฟังซิ สวรรค์มีไหม พระพุทธเจ้าบอก ทีนี้ตายแล้วไปสวรรค์แล้ว นั่นละปัญหาของเล็นนี้ก็หมด นั่นเป็นยังไงความเกี่ยวเกาะของจิตใจ ออกจากเป็นพระติสสะแล้วไปเป็นเล็น ออกจากเป็นเล็นถ้ามีใครไปเอาจีวรไปแตะจีวรนั้นจะลงนรกเพราะความเคียดแค้น นี่ไม่มีใครไปแตะเพราะพระพุทธเจ้ามารับสั่งไว้หมด ห้ามไม่ให้แตะว่างั้นเลย ตากไว้ยังไงทิ้งไว้อย่างนั้นเลย เหมือนของไม่มีเจ้าของ เวลานี้พระติสสะหึงหวงมากทีเดียว รับสั่งขาดตัวเลย ไม่ให้ใครไปแตะ ทิ้งไว้ยังงั้นแหละ บอกอย่างนั้นเลย เหมือนของไม่มีเจ้าของ ให้เล็นตัวนี้มันรักษามันหวงของมันอยู่นั้นแหละ

พอเจ็ดวันผ่านไปแล้ว เล็นนี้ก็ตายไปสวรรค์ นั่น จึงมารับสั่งให้จีวรนี้แจกได้ ใครที่จีวรคร่ำคร่าแล้วก็ให้แจกได้ พระติสสะนี้จากเป็นเล็นนี้ไปสวรรค์แล้ว นั่นเห็นไหม นั่นละความหึงหวงจิตดวงนี้ เวลานี้เป็นพระติสสะ พอตายปั๊บไปเป็นเล็น จากเล็นใครมาแตะ ซึ่งกำลังหึงหวงอยู่เวลานั้นจะลงนรก พระพุทธเจ้ารับสั่งห้ามไปหมด กลัวพระติสสะจะไปลงนรก จนกระทั่งถึงเวลาแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมของท่าน พอตายแล้วก็ไปสวรรค์ ท่านจึงได้มารับสั่ง เอ้า ทีนี้พระติสสะหมดปัญหาแล้วเรื่องจีวร จากเล็นนี้ไปสวรรค์แล้ว จีวรนี้แจกได้ นั่นรับสั่งอย่างชัดเจนมากทีเดียว ไปสวรรค์แล้ว ฟังซิน่ะ

ได้ยินไหมว่า สวรรค์ไม่มี ได้ยินไหม ? ยังมาให้กิเลสปิดหูปิดตาลบล้าง สวรรค์พรหมโลก นิพพาน นรกอเวจี เปรตผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ ได้ตลอดมา กิเลสเก่งมากนะ นี่แหละพระพุทธเจ้ามารับสั่ง ไม่งั้นพระติสสะจะตกนรก นี่แหละใจดวงนี้ ไม่เคยตาย มันอยู่ในร่างนี้ ๆ ออกจากนี้เข้าร่างนั้นไปตามกรรม กรรมดีกรรมชั่ว ควรจะเป็นสัตว์ประเภทใด ตลอดเปรตผีนรกอเวจี กรรมนี้จะไสลงไปเลย เพราะกรรมนี้เหนืออำนาจทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหนืออำนาจของกรรมไปได้ นี่แหละกรรมพาไป ๆ ออกจากร่างนี้ไปร่างนั้น ๆ ไม่มีคำนึงคำนวณ

ไปไหนไปได้หมดจิตดวงนี้แล้วแต่กรรมจะพาให้ไป กรรมก็เจ้าของนั่นแหละสร้างเองทำเอง กรรมดีเจ้าของทำเองเป็นของดี สมบัติที่พึงพอใจของเจ้าของ ถ้ากรรมชั่วก็เป็นไฟแผดเผาเจ้าของเสียเอง ท่านจึงห้ามไม่ให้ทำชั่ว ถ้าเรายังมีความรักความสงวนตัวเราอย่างเต็มใจดังที่เป็นอยู่ในสัตว์ทั้งหลายแล้ว ให้เราระมัดระวัง อันใดจะเป็นภัยต่อการก้าวเดินของเรา ให้ระมัดระวัง ถ้าไปทำความชั่ว การก้าวเดินก็ขัดข้อง ก็ลง ขึ้นไม่ได้ก็ลง ถ้าทำความดีแล้วขึ้น ความดีไม่ต้องบอกแหละ สวรรค์อยู่ไหน พรหมโลกนิพพานอยู่ไหน ไม่ต้องบอก ถึงกันเลย ๆ กรรมพาไปเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอกทางแหละ ทางชั่วทางดี กรรมพาไปเอง

พากันระมัดระวังนะ นี้เราจวนจะตาย สอนอย่างแม่นยำเสียด้วยนะ อย่าง อาจหาญชาญชัย ไม่หาใครมาเป็นสักขีพยาน ถอดออกจากนี้มาเลย..สอน ธรรมะนี้สด ๆ ร้อน ๆ ดังที่ว่านี่ ไม่ได้เคยคาดเคยฝันแต่ได้รู้ได้เห็นขึ้นมาแล้ว รู้เห็นขึ้นมานี้ ก็ไม่ต้องถามใครอีก ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจ ความจริงอยู่กับหัวใจเราทุกอย่าง ถอดออกมาจากความจริง ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้น ดังพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการอบรมสั่งสอนสัตวโลกมา ๔๕ พรรษา ก็เสด็จนิพพาน ก็ยังพาดบันได้ไว้นะ ประทานพระโอวาทไว้ถึง ๕ พันปี นี่แหละให้ไต่เต้าไปตามนี้ เหมือนกับไต่เต้าไปตามศาสดานั่นเอง ท่านก็สอนไว้

เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตัวของเราได้นะ ทุกข์ยากลำบาก อย่าเอามาเป็นอุปสรรค ส่วนมากพอจะทำความดี ความทุกข์ยากลำบากความท้อแท้อ่อนแอ ที่เป็นอุปสรรคมันจะมาทันที กีดขวางเข้ามาทุกที ๆ ทันที ๆ เลย เราต้องบุกต้องเบิกมันไป หนักก็เอาขึ้นชื่อว่าความดีแล้ว มันจะหนักขนาดไหน กิเลสมันหนักมากกว่านี้ พาจมลงในนรกกี่กัปกี่กัลป์ เอามาชั่งน้ำหนักใส่กันดูซิ ความหนักในการประกอบการงานเพื่อความดีของตัวเอง หนักเพียงเท่านี้ จะหนักมากยิ่งกว่าในแดนนรกเหรอ แดนนรกหนักมากกว่านี้ นั่น เอานั้นมาเทียบปั๊บมันก็บืน(ตะเกียกตะกาย)ได้คนเรา ต้องเทียบอย่างนั้นซิ ไม่งั้นไม่มีทางไปนะ อย่าอืดอาด อย่าเป็นบ้ากับกิเลส เวลานี้โลกกำลังเป็นบ้ากับกิเลส ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เราพูดจริง ๆ

เราสลดสังเวช พูดให้มันเต็มหัวอกในหัวใจ ใครจะว่าอะไรก็ตาม ว่าเป็นบ้าก็ตาม เราไม่ได้เป็นบ้า ดูโลกนี้มันงุ่มง่ามต้วมเตี้ยม เหมือนถังขยะ ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูสัตว์ ๆ สัตวโลก สัตตะ แปลว่า ผู้ยังติดยังข้องอยู่ในภพต่าง ๆ ในความสุขความทุกข์ ความทุกข์นั่นมากกว่าความสุข เต็มโลกธาตุนี้ ท่านมองดูสัตวโลก เหนือแล้วมันเห็น จะว่าไง ปิดไว้ไม่อยู่

เพราะสิ่งเหล่านี้มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มีมาแต่กาลไหน เป็นแต่เพียงว่า กิเลสปิดหูปิดตาเอาไว้ ไม่ให้เห็น ประหนึ่งว่า ของเหล่านี้ไม่มีเท่านั้นเอง พอจ้าขึ้นมาแล้ว ปิดได้ยังไง ใครจะมาคัดค้านต้านทาน ไม่สนใจเลย มันจ้าอยู่อย่างนั้นจะให้ว่ายังไง นั่นแหละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก สอนด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจน ไม่ได้สอนด้วยแบบหลับหูหลับตาเหมือนกิเลสสอนคน สอนคนนี้สอนให้หลับตา หลับตาแล้วมันยังปิดหูอีก ยังปิดใจอีก ให้มืดบอดไปตาม ๆ กันหมด จึงเถลไถลไปตามมันตลอดเวลา

ความโลภไม่มีเมืองพอ ไม่มีวันเข็ดหลาบ ความโลภเป็นสายทางที่จะให้มาแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย เมื่อไม่สมใจแล้วก็โกรธ นี่ก็เป็นสายทางแห่งไฟ ราคะตัณหาเป็นเบอร์หนึ่ง ที่พาให้ดีดให้ดิ้น ไม่รู้จักประมาณ สร้างแต่บาปแต่กรรม อยู่ในบ้านในเรือน ถ้าราคะตัณหากำเริบแล้ว ผัวเมียต้องทะเลาะกัน มันหากินไม่พอปากพอท้อง มีเมียแล้วไม่พอไปหามาอีก มีผัวแล้วไม่พอ หาเศษหาเดนหาเก็บหาตกไปทุกแห่งทุกหน นี้คือราคะตัณหา ตัวนี้แหละคือพวกเปรตพวกผีกินไม่อิ่มไม่พอ ให้พากันจำเอานะ ตัวนี้แลตัวสั่งสมฟืนไฟให้ดีดดิ้นมากขึ้น

เวลานี้ก็ดูเอาซิ เราเดินจงกรมอยู่ในนี้ ดูตลอดนะ เมื่อเช้านี้ก็ไล่ขนาบไก่สองตัว มันแย่งตัวเมีย มันเตะมันถีบกัน ไล่ขนาบเข้าไปในป่าโน่น เมื่อเช้านี้ อย่างนั้นแหละ นี่เวลานี้ราคะของไก่นี้กำลังเริ่ม มันสงบมา กรกฎา สิงหา กันยา เราดูตลอด อันนี้มันสงบได้นะ พวกสัตว์นี้ยังมีกาลมีเวลา หมาก็เดือนเก้าเดือนสิบสอง มันคึกมันคะนอง จากนั้นแล้วก็ธรรมดา เรื่องราวก็ไม่ค่อยมี ถ้าราคะตัณหาเกิดขึ้น แสดงว่าเริ่มเรื่องราวฟืนไฟ เริ่มเผาแล้ว ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล

นี่ไก่กำลังเริ่มแล้ว ใครอยู่ในครัว ถ้าไม่ใช่คนตาบอดก็จะเห็นไก่ไล่ตบไล่ตีกันตามครัว เห็นทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ตาบอด เวลานี้มันกำลังเริ่มกำเริบแล้ว พวกนี้กำลังดิ้นกำลังดีด อ๋อ ราคะสงบ สัตว์ทั้งหลายสบาย นับตั้งแต่เดือน กรกฎา สิงหา กันยา ๓ เดือนเต็ม ราคะตัณหาสงบ สัตว์ตัวผู้ตัวเมียพวกไก่พวกอะไรเหล่านี้สงบ อยู่ด้วยกันสบาย ๆ เดี๋ยวนี้กำลังเริ่มนะ ราคะตัณหากำลังเริ่มดีดเริ่มดิ้น เดี๋ยวนี้ทั้งตัวผู้ตัวเมียดีดดิ้นเป็นบ้าไปเลย ทั้งเตะทั้งถีบกันยันกัน เมื่อเช้านี้ไล่ขนาบเข้าในป่า

นี่เอามาสอนคน มันมีอยู่ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ประเภทเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ อยู่ในทุกภพทุกชาตินั่นแหละ ตัวเหล่านี้แหละตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลกอยู่เวลานี้ ธรรมนี้คือน้ำดับไฟ เราละมันไม่ได้ ให้อยู่เหมือนกับไฟหุงต้มภายในเตา อย่าให้ออกนอกเตา ผัวก็เป็นเตาของเมีย เมียเป็นเตาของผัว ให้ต่างคนต่างมีขอบเขต นี้ความพอเหมาะพอดี เมื่อละมันไม่ได้ให้อยู่ในขอบเขตนี้ ครอบครัวเหย้าเรือนจะสงบร่มเย็น ถ้าปีนเขตนี้ไปแล้วเป็นไฟ นั่น ท่านสอนขนาดนั้นนะ

แต่เรามันเก่ง มันเก่งกล้า เจอตั้งแต่ความชั่วช้าลามก เจอแต่ฟืนแต่ไฟ ผัวเมียมาหากันนี้ มีแต่เรื่องทะเลาะกัน ทะเลาะเรื่องอันนี้แหละ เรื่องกินไม่พอนี่แหละ ให้พากันจำ เอาศีลธรรมเข้าไปเป็นกรอบ ศีลธรรมเข้าไปเป็นเบรกห้ามล้อเอาไว้ ให้เป็นเตา เอาศีลธรรมเป็นเตา ให้อยู่ภายในเตา แล้วจะพาสงบร่มเย็น คุณงามความดีจะมีเวลาสร้างคนเรา

ถ้าหากว่ากิเลสเหล่านี้ไม่กำเริบเสิบสาน ไม่ปีนไปตามมันแล้ว การระลึกถึงความดีจะมีทางระลึกได้ ถ้าอันนี้ได้ขึ้นหน้าขึ้นตาแล้ว ตาบอดหูหนวกไปหมด ไม่มีบาปไม่มีบุญไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีทั้งนั้นแหละ ถ้าตัวนี้ได้ขึ้นแล้วเท่ากับไปปิดบาปบุญนรกสวรรค์ทั้งหมด มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความดิ้นล้มดิ้นตายที่จะหมุนตัวลงนรกโดยถ่ายเดียว ทั้ง ๆ ที่ว่านรกไม่มี มันหมุนตัวของมัน ลงสู่นรกหลุมไม่มีนั่นละ หลุมสำคัญ พากันจำเอานะ เอาละพูดเท่านี้แหละวันนี้

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก