พระเณรเรามามากขึ้นทุกวัน ๆ ได้ประกาศอยู่เรื่อย ๆ มาอย่ามาเก้ง ๆ ก้าง ๆ มันมีนิสัยอย่างนี้มาด้วยความลืมเนื้อลืมตัว ไม่สำรวมระวังตน กิริยาอันนี้จึงเป็นนิสัยอันธพาลของพระโดยไม่รู้สึกตัวนั้นแล ไปเที่ยวเก้ง ๆ ก้าง ๆ อยู่ในวัดในวา วัดที่ท่านรักษาปฏิบัติศีลธรรมมีอยู่ เวลาเข้าไปนี้ ไอ้เราไม่ได้รักษาอะไรเลยไปนี้ มันไปขวางกันทันที ๆ นะ ผู้หนึ่งรักษาอยู่ ผู้หนึ่งไม่รักษาแล้วก็ทำลาย นี่มันเป็นข้าศึกกันอยู่เวลานี้สำหรับพระผู้ปฏิบัติดีกับผู้ปฏิบัติเลว มันเข้ากันไม่ได้ภายในใจ และกระจายออกมาถึงกิริยา ไม่พอใจที่จะคบค้าสมาคม อยู่ด้วยก็ขวางหูขวางตา นั่นละอันธพาลไปไหน ความเลวไปไหนก่อความเดือดร้อนกระทบกระเทือนผู้ดี ความดีทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ
นี่ก็หลั่งไหลเข้ามาผมก็ไม่ทราบจะทำยังไง ไหลเข้ามาเรื่อย ๆ เวล่ำเวลาที่จะแนะนำสั่งสอนตลอดกำลังวังชาก็ไม่อำนวยแล้ว ดังที่เคยประกาศเรื่อยมานั่นแหละ เพราะฉะนั้นองค์ไหนที่มาให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ หูมีตามี สติปัญญามี ให้สังเกตสอดรู้ทุกอย่างที่จะยึดเอาไปปฏิบัติให้เป็นมงคลแก่ตน สมกับมาศึกษาอบรมกับท่าน อย่ามาเอาชื่อเอานามไปนะ ไอ้ชื่อนามนี้มันเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร
เวลานี้คนกำลังตื่นชื่อตื่นนาม ต่อไปนี้มันจะตื่นนามสกุลนะ จะเปลี่ยนนามสกุล ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษท่านมอบมรดกให้เป็นนามสกุล เชื้อมนุษย์ ๆ ว่างั้นเถอะ ไม่เหมือนสัตว์ มีนามสกุล ท่านมอบให้มันก็สลัดปัดทิ้งไปหมด มันเอานามสกุลจรวดดาวเทียมมาจากโลกไหนก็ไม่รู้แหละ เวลานี้กำลังเป็นบ้าชื่อกัน ตั้งชื่อนี้ โหย หยดย้อย ๆ มองคนอยู่ในถานนั่น คนจมอยู่ในถานคือความชั่วช้าลามกด้วยนิสัยใจคอหยาบโลนนั้นแล มันเหมือนจมอยู่ในถาน แต่ชื่อมาตั้งไว้โน้น ฟากจรวดดาวเทียม พวกบ้าชื่อ
มันไม่ได้ดูตัวเองนี่ซิ ศาสนาท่านให้ดูตัวเอง ไอ้เราไปดูแต่ชื่อแต่นาม ทุกอย่างหยดย้อย ชื่อนี้ โถ ตั้งได้ ๓ กิโลก็ไม่จบ ต้องประดับประดาตกแต่ง ต่อไปนี้มันจะรื้อนามสกุลของปู่ย่าตายายบรรพบุรุษที่ท่านมอบให้เป็นมรดกทิ้งหมด มันจะเอานามสกุลหยดย้อยที่เต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถมาโปะหัวมัน ๆ ทั้งประเทศ จำทุกคนนะ นามสกุลนี้อันหนึ่งมันจะเริ่มนะ ตั้งนามสกุลนี้หยดย้อย พ่อแม่ปู่ย่าตายายมอบให้ไม่สนใจ สนใจเป็นบ้าไปตามลม ๆ แล้ง ๆ อย่างนั้นละ ดูซิชื่อเวลานี้ ตั้งชื่อคนไหน พอว่าชื่อว่ายังไง อย่าฟังตรงนี้ ให้รอไปฟังโน่น จรวดดาวเทียม แต่ดูผู้เป็นเจ้าของชื่อให้ดูในส้วมในถานในนรกอเวจี มันเข้ากันไม่ได้นะ
ผมจริง ๆ ผมสลดสังเวชนะกับหมู่กับเพื่อน ทั้ง ๆ ที่เป็นหมู่เป็นเพื่อนเดียวกัน เป็นพระด้วยกันนั่นแหละ แต่ดูแล้วชั่วกับดีมันเข้ากันไม่ได้ นั้นละทำให้แสลงแทงใจตลอดเวลา คือดีกับชั่วมันรบกันอยู่ในบุคคล ในพระในเณร ในหมู่ในพวกของเรา จึงหาความสงบเย็นใจไม่ได้ ให้พร
หลังจังหัน
วันที่ ๒๖ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๙ บาท ๑๗ สตางค์ ดอลลาร์ ๑๒๖ ดอลล์
เมื่อเช้านี้ก็ออกไปดูอีก ต้นไม้ที่จะควรพิจารณายังไงแถวนั้น ที่เป็นเหตุก็คือศาลาใหญ่จะขึ้นที่นั่น แต่ก่อนเราก็ไม่สนใจกับสิ่งที่ได้เปลี่ยนแปลงไปเวลานี้นะ เปลี่ยนแปลงและกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะศาลาไม่มี ทีนี้พอศาลาขึ้นนี้มันเต็มหมด การเข้าการออกของรถของรา จึงต้องได้พิจารณาของผู้คนทั้งหลาย แถวกลางต้นไม้นั่นก็เลยได้เอาออก ให้รถผ่านมาทางนี้ แล้วทางด้านข้างศาลานี้ ให้รถผ่านมานี้ ต้นไม้นี้ตัดออกเพื่อให้รถพุ่งไป อย่างนั้นแล้ว เพราะศาลาจะยาวถึง ๖๐ เมตร กว้าง ๓๐ เมตร จะขึ้นตรงนั้น เขาถมแล้วนั่น คงจะเป็นไปตามที่เราพูดไว้ทีแรกแล้วว่าประมาณ ๕๐ เซ็นต์ ดูดินที่ถมตรงนั้นก็จะอยู่ในนั้น คือเวลาเราถมเรียบร้อยแล้วก็จะลาดซีเมนต์ รวมทั้งหมดทั้งดินทั้งซีเมนต์ให้อยู่ใน ๕๐ เซ็นต์ เราบอกว่างั้น
แต่ก็มีข้อแม้อันหนึ่งที่เกี่ยวกับท่านปัญญา ท่านปัญญาท่านฉลาด สิ่งเหล่านี้เราโง่มากเราต้องยอมท่าน นี่เห็นไหมคานเหล็กนี่ เอาคานเหล็กมาเอาสีมาทา ทาสีทีแรกเราก็ยังไม่ว่าอะไรเพราะก็เห็นว่าเป็นธรรมดาพวกช่างเขามาทาสี ทาสีทีแรกเราก็ไม่ว่าอะไร พอครั้งที่สองมาทาเข้าอีกทับของเก่าเข้าไปเรื่อย ๆ มาก็ไล่เบี้ยกัน ไล่คนงานแตกฮือหนีหมดเลย มาทำอะไรอย่างนี้ ทาสีสองสีสามสีหาเหตุหาผลไม่ได้มันเป็นยังไง ท่านปัญญาให้ทา พอว่าท่านปัญญาให้ทา หือ ขึ้นทันทีเลยนะ ไปเอาท่านปัญญามาเดี๋ยวนี้ เป็นยังไงว่าซี คือท่านปัญญาท่านเหนือเราทุกอย่างอย่างนี้นะ เราจะยอมทันที
พอท่านปัญญามาพูดว่าทาครั้งแรกเพื่ออันนั้น ครั้งที่สองเพื่ออันนั้น ท่านบอกไปโดยลำดับ เอ้า ถ้าอย่างนั้นคนงานที่ไล่ออกไปนั้นให้คืนมาทำงานเดี๋ยวนี้ อย่างนั้นแหละ ไล่คืนมาทำงานหมด มันจึงเป็นสองชั้นสามชั้น ท่านปัญญาบอกว่าชั้นหนึ่งทาเพื่ออันนั้น ชั้นสองทาเพื่ออันนั้น ดูเหมือนสามสี่ละมั้ง มีเหตุผลทุกอย่างเราถึงได้ยอม อันนี้เราก็ตกลงหรือสั่งไว้อย่างนั้นแหละ แต่ต้องรอฟังท่านปัญญาก่อนนา เราจะพูดกับท่านปัญญา นี่เราก็พูดแล้ว ถ้าหากท่านเห็นสมควรอย่างไรให้ท่านพิจารณาอีกทีนึง ผมเป็นแต่เพียงว่ากำหนดไว้อย่างนั้นไม่ค่อยแน่นอน ความแน่นอนจะอยู่กับท่าน ท่านเห็นสมควรจะดัดแปลงหรือจะเพิ่มให้สูงขึ้นหรือให้ต่ำลง หรือจะขยับขยายไปทางไหนให้เป็นเรื่องของท่านเอง นี่ก็มอบให้ท่านแล้ว คอยฟังเสียงท่านก็แล้วกัน ท่านปัญญาทำอะไรมีเหตุมีผล
นี่ดูว่าความสูงของมันน่าจะเป็นประมาณ ๕๐ เซ็นต์นะดินถมไปแล้ว ทั้งเทซีเมนต์นะ อันนี้ถมแล้วยังไม่ถึง ๕๐ นะ พอเทซีเมนต์แล้วคิดว่าจะอยู่ใน ๕๐ ไปดูเมื่อเช้านี้ ท่านอาจจะเอาขนาดที่ว่านั่นก็ได้ เราเปิดให้หมด จะสูงหรือต่ำอะไรก็แล้วแต่ท่านเห็นสมควร แต่สำหรับความเห็นของผม คิดว่าเพียง ๕๐ เซ็นต์พอแล้ว แล้วก็ทำบันไดรอบด้านเลย บันไดซีเมนต์รอบหมด ใครจะขึ้นทางไหนขึ้นได้หมด บันไดซีเมนต์เป็นขั้น ๆ นี่เราก็พูดไว้อย่างนั้น แต่ท่านปัญญาจะเปลี่ยนแปลงยังไงเป็นเรื่องของท่าน เราไม่ค้านเรายอมตามนั้นเลย
รถเขาบรรทุกอะไรเราก็ไม่ได้ถามดู มันก็น่าจะเป็นเวลาที่เขาควรจะไปภูวัว (ถามแล้วเขายังไม่ได้ไป) มันน่าจะเป็นวันนี้ เพราะจวนสิ้นเดือนแล้ว คือจวนสิ้นเดือนก็ไปเป็นประจำ ๆ เขาจะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๕ ไปละ วันใดวันหนึ่งเขาก็ไปได้ ๒๕-๒๖-๒๗-๒๘ เหล่านี้ เขาจะไปวันไหนก็เขาพิจารณาเอง ส่วนมากเขาจะสั่งซื้อปลาย่างจากเขมรทางโคราชเป็นขาต่อกัน ขามาทางอุดร ขาไปทางเขมร โคราชเป็นจุดศูนย์กลางที่สั่งปลาย่าง เอามาจากเขมร ไปส่งแต่ละครั้งนี้ เขาซื้อเรื่อยมานี้ไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโล คือเราสั่งไว้อย่างต่ำสุดไม่ควรจะให้น้อยกว่า ๖๐ กิโล เว้นแต่ไม่มีจริง ๆ แต่อย่างน้อยไม่ควรจะต่ำกว่า ๖๐ กิโล ที่เหมาะสมแล้วให้สูงกว่านั้นขึ้นไป แล้วเขาก็สั่งมาแบบที่ว่า ๗๐ กว่า เดี๋ยวนี้มีแต่ ๘๐ กว่ากิโล ปลาย่างนะ ปลาย่างดี ๆ มาจากเขมร เพื่อเอามาตำเป็นน้ำพริกหรือท่านจะทำอะไรก็แล้วแต่อยู่ในป่าในเขา
๖๐ กิโลก็ทำวันละ ๒ กิโล ทำอาหารวันละ ๒ กิโล นี่มันตั้ง ๘๐ กว่า นี่เฉพาะปลาย่างนะ อาหารสดถ้าเขาไปวันไหน อาหารสดต้องเอาเต็มเหนี่ยวเลย ทั้งปลา ทั้งเนื้อหมู ไก่ คือเราสั่งกว้าง ๆ เอาไว้เลย เนื้อสดที่เราเคยสั่ง เห็นว่าเหมาะสมแล้ว เช่น เนื้อหมู หรือปลา ไก่ จะเอาเท่าไรให้เอา วันไปต้องเอาให้เต็มเหนี่ยว เพราะฉะนั้นเวลาไปทีไรรถกะบะเต็มเลย ๆ พวกเนื้อหมู พวกปลา พวกไก่ใส่รถเป็นร้อยขึ้นไปเลย นี่พวกอาหารสด พวกอาหารนอกนั้นก็พวกเครื่องกระป๋อง มีหลายชนิดอาหารกระป๋อง แต่ก็ไม่ต่ำกว่า ๗๐ ลังต่อเดือน ๖๐ อย่างน้อยว่างั้นเถอะ นี่หมายถึงอาหารสำเร็จ
นอกจากนั้นพวกกุนเชียงเขาจะหาได้มากเท่าไรให้เขาหา คือคำว่าน้อยไม่เอา ให้เต็มเหนี่ยว ๆ เลย สิ่งใดที่เราไม่สั่งเสียจะหาเอาตามลำพังเจ้าของ เช่น พวกเครื่องทำครัวอะไร ๆ นี้ให้หาเอง ให้เรียกว่ามากทุกอย่างเราว่างั้น เช่นอย่างพวกกุนชงกุนเชียง เราไม่ได้สั่ง พวกวุ้นเส้นหรืออะไร ให้เขาหาเองให้ได้มาก ส่วนที่สั่งตายตัวก็คือ ข้าวสารเหนียว ๓๐ กระสอบ ๆ ละร้อยกิโล ข้าวสารเจ้า ๕ กระสอบ พวกร้อยกิโลทั้งนั้นละ น้ำตาลเดือนละ ๒๕ กระสอบ ๆ ละร้อยกิโล นี่สั่งตายตัวไว้นะ น้ำปลาดูเหมือน ๔๐ ลัง ๆ ละ ๑๒ ขวด น้ำมันพืช ๔๐ ลัง นี่หมายถึงที่เราสั่งแล้ว เขาจะจดไว้ตามนั้นเลย เขาจะปฏิบัติตามนั้น จำไม่ได้นะอันไหนสั่งตายตัวแล้ว เรียกว่าไม่เคลื่อนคลาด นอกจากสิ่งที่ให้เขาหาเอง คือพูดกว้าง ๆ เอาไว้ให้เขาหาเอง แต่ให้ได้มากนะ นี่ประจำ ๆ นี่เป็นระยะที่ควรจะไปส่งแล้ว เพราะฉะนั้นเราถึงถามซี ไปหรือยัง ๆ เขาจะเริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๕-๒๖-๒๗๒๘ ไป ไปภูวัว
เราเอาใจใส่จริง ๆ ตั้งใจจะบำรุงส่งเสริมพระที่มุ่งหน้ามุ่งตาต่ออรรถต่อธรรม เพื่อบุญเพื่อกุศลมรรคผลนิพพานจริง ๆ เราส่งเสริมด้วยความเต็มใจพอใจ ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ด้วย ประหนึ่งว่าเป็นคำสัตย์คำจริง สั่งอะไรลงแล้วเหมือนว่าขาดสะบั้นไปเลย สิ่งที่สั่งเหล่านี้ไม่ให้เคลื่อนคลาด อย่างปลาย่างก็มาจากเขมร เขาตกลงกันเองจวนสิ้นเดือนเขาก็รู้ พอปลาย่างตกมาถึงเขาก็โทรมาบอกทางนี้ หรืออีกอย่างเขาเอามาส่งเลยที่บ้าน ทางนี้ก็เตรียมออกได้ ปลาย่างเป็นสำคัญเป็นประจำ ๆ
ถ้าเราได้ไประยะใดเราก็เอาเป็นอาหารเสริมไป เช่นอย่างเราไปแต่ละครั้งก็รถตู้เอาเต็มเอี้ยดเลย พวกอาหารสดก็ให้ได้พอประมาณ อย่างอื่นที่เป็นกรณีพิเศษของพิเศษก็ให้ได้ เรียกว่าเต็มรถไปเลย ส่วนไหนที่เราสั่งตายตัวแล้ว ส่วนนั้นคือว่าเผื่อไว้เรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องเอาไป เช่น ข้าวสาร น้ำตาล เราไม่เอา พวกน้ำมันพืช น้ำปลา ไม่เอา เพราะเรากะไว้เพียงพอ เผื่อไว้วัดนั้นวัดนี้แถวนั้นด้วย อาหารอย่างอื่นเอาเต็มสองรถไปเลย ถ้าเราไปนะ นอกจากเราไม่ได้ไป เพราะงานเรามีมาก
เราตั้งใจจะส่งเสริมพระเราให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ โห มรรคผลนิพพานนี่ท้าทายอยู่ด้วยความจริงตลอดมานะ พวกชาวพุทธมันเหลวไหลโลเล ไม่ได้เรื่องได้ราวต่อความสัตย์ความจริงความดีเลิศเลอ มันสนใจตั้งแต่เรื่องส้วมเรื่องถานเรื่องมูตรเรื่องคูถ มูตรคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ไม่เรียกว่าขี้เรียกว่าอะไร อย่างนี้ละโลกเราถึงได้ร้อนซิ กิเลสเท่านั้น ว่าเท่านั้นนะทำให้ร้อน ธรรมท่านไม่ได้ร้อน ถึงทุกข์ก็ทุกข์เพื่อสุข ทุกข์ด้วยการวิ่งเต้นขวนขวายทุกข์ แต่เพื่อสุข ๆ แต่กิเลสทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ ดิ้นก็ดิ้นเพื่อทุกข์ เพื่อมหันตทุกข์ ดิ้นมากเท่าไรยิ่งทุกข์มาก จนกลายเป็นมหันตทุกข์ มันต่างกันนะ กิเลสพาดิ้นกับธรรมพาดิ้น ธรรมพาดิ้น-ดิ้นออก กิเลสพาดิ้น-ดิ้นเข้าดิ้นจม ต่างกันมากนะ
เราเทศน์สอนโลกมานี้ที่ออกอย่างเปิดเผยก็จะร่วม ๓ ปีนี้แล้ว การเทศนาว่าการรู้สึกจะมีทุกแง่ทุกมุมทุกขั้นทุกตอนของธรรม ที่นำมาสอนพี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ สอนในฐานะที่มีหลักมีเกณฑ์ เช่น ในครอบครัว ลูก ๆ เด็ก ๆ ต้องอยู่ในความดูแลของพ่อของแม่ นักเรียนนักศึกษาอยู่ในกรอบอยู่ในโอวาทคำสั่งสอนความดูแลรับผิดชอบจากครูจากอาจารย์ แล้วเรื่อยไปจนวงราชการงานเมือง ก็ต้องมีหัวหน้า ๆ ไปเรื่อย ๆ มีผู้รับผิดชอบ ๆ ไปเรื่อย ๆ นี้กฎเกณฑ์ท่านวางไว้อย่างนั้น
แต่ที่มันจะเหลวแหลกแหวกแนวนั้น มันออกของมันเอง อย่างที่เห็นเลอะ ๆ เทอะ ๆ อยู่เวลานี้ เมืองไทยของเรานี้เลอะที่สุด อย่างที่เราพูดแล้ว ในสายตาของธรรมที่เรานำมาสั่งสอนพี่น้องชาวไทยเรา ที่ออกอย่างเปิดเผยร่วม ๓ ปีนี้แล้ว เราไม่ใช่สั่งสอนแบบหลับหูหลับตาสอนนะ พิจารณาทุกอย่าง สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เหมือนพ่อแม่สอนเด็ก ครูสอนพวกนักเรียน อาจารย์สอนนักศึกษา
นี่ครูบาอาจารย์นำศาสนามาก็ในฐานะที่ว่าเป็นพ่อเป็นแม่ของชาติไทยของเราซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ นำศาสนามา เราเป็นผู้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย การแนะนำสั่งสอนจึงมีดุมีด่ามีเด็ดมีดี มีเฉียบขาดมีอ่อนมีโยน ตามขั้นตอนของเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รับฟังทั้งหนักทั้งเบา เราไม่ได้สอนเพื่อเป็นข้าศึกศัตรูต่อผู้หนึ่งผู้ใด สอนในฐานะพ่อแม่กับลูก พุทธศาสนาเป็นพ่อแม่ของพี่น้องชาวไทยเรา เราในฐานะนำศาสนามาก็สอนในฐานะเป็นครูเป็นอาจารย์ของพี่น้องชาวไทยเราทุกคน เพราะเป็นลูกชาวพุทธด้วยกัน ธรรมเหนือทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์ที่นำธรรมเข้ามา จึงเป็นธรรมที่เหนือโลก ๆ เหนือพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกชาวพุทธอยู่ตลอดมา นี่ละการที่เราแนะนำสั่งสอนเราสั่งสอนอย่างนี้ต่างหากนะ ดุด่าว่ากล่าวผิดถูกชั่วดีอะไร ๆ ว่าไปตามเหตุตามผลของผู้เป็นครูเป็นอาจารย์ ที่จะให้เห็นทั้งโทษทั้งคุณไปโดยลำดับ แล้วพยายามแก้ไขดัดแปลงไปเป็นลำดับลำดาเช่นเดียวกัน ไม่ใช่จะมาสั่งสอนมาขู่มาเข็ญดุด่าว่ากล่าว ตีนั้นตีนี้อย่างหาเหตุหาผลไม่ได้ นั้นไม่ใช่ธรรม นั้นไม่ใช่ฐานะของครูอาจารย์ที่นำธรรมอันเป็นหลักเป็นเกณฑ์นั้นมาสอนโลก ต้องเอาธรรมที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์
การสอนต้องมีหลักมีเกณฑ์ ควรเด็ด-เด็ด ควรดุ-ดุ ควรตำหนิต้องตำหนิ ไม่ตำหนิไม่ได้ ผิดธรรม ผิดบอกว่าถูกนี้ได้หรือ ผิดต้องบอกว่าผิด ถูกต้องบอกว่าถูก ผิดมากผิดน้อยบอกเป็นลำดับลำดาไป ในฐานะของครูของอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอนโลกแห่งชาวพุทธเรา ซึ่งเวลานี้รู้สึกจะออกหน้าออกตาก็คือหลวงตาบัว เป็นผู้ทำหน้าที่นำโอวาทมาสอนพี่น้องทั้งหลายซึ่งกำลังยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่เวลานี้ ด้วยความปีนเกลียวกับธรรมกับศาสนานั้นแลจะเป็นเรื่องอื่นใดไป เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาศาสนาตีตะล่อมเข้ามา หรือมาชะมาล้าง ควรชะควรล้างหนักเบามากน้อยเพียงไรก็เป็นเรื่องของศาสนา เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอนจึงมีดุด่าว่ากล่าว ทั้งหนักทั้งเบาเป็นไปตามกัน ตามเหตุแห่งความผิดมากน้อยนั่นแล นี่เราสอนโลกสอนอย่างนี้
พี่น้องทั้งหลายผู้เป็นชาวพุทธ ขอให้ฟังอย่างนี้นะ ให้ฟังสมเจตนาของผู้มาสอน สอนด้วยความเป็นธรรม สอนด้วยความเมตตาสงสาร ชี้บอกทุกสิ่งทุกอย่างผิดถูกชั่วดีประการใดให้รู้เรื่องรู้ราวนี่ต่างหาก ไม่ได้สอนเพื่อความเป็นภัยต่อชาวพุทธเรา คนที่ไม่ได้เคยคิด ดีไม่ดีบอกออกเลยว่า หลวงตาบัวนี้มาดุด่าว่ากล่าวเฆี่ยนตีคนไทยทั้งชาติ ซึ่งพระทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นมาดุมาด่าอย่างหลวงตาบัว ก็พระทั้งหลายก็เป็นพระทั้งหลาย ไม่ใช่หลวงตาบัว ก็จะให้มันเหมือนกันได้ยังไง เข้าใจเหรอ หลวงตาบัวเป็นหลวงตาบัวจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นแบบหลวงตาบัว นำธรรมมายังไง ๆ ควรจะแนะนำสั่งสอนผิดถูกชั่วดี เอาธรรมเป็นเกณฑ์ ๆ ทีเดียว เราสอนโลกเราสอนอย่างนั้นนะ
บางคนอาจจะคิดเห็นว่า เหมือนว่าเป็นข้าศึกศัตรูในการสั่งสอนของเรานี้ เราไม่มี ให้พิจารณาตามอรรถธรรมอย่างนี้ก็อยู่ร่มเย็นเป็นสุข เหมือนพ่อแม่กับลูกดุด่าว่ากล่าว บางทีเฆี่ยนตีกันใช่ไหมล่ะ พ่อแม่กับลูกเขารับผิดชอบของเขาเอง ครูอาจารย์สอนเด็กก็แบบเดียวกัน เป็นระยะ ๆ มีกฎเกณฑ์มีข้อบังคับ นี่ศาสนาก็มีกฎเกณฑ์ แต่ไม่ใช่เป็นแบบโลก มาเฆี่ยนมาตีมาทำอย่างนั้นไม่ได้ศาสนา สอนตามโอวาทชี้บอกผิดถูกดีชั่วประการต่าง ๆ ควรเด็ด-เด็ด ตามเนื้อหาของธรรมและเหตุการณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของธรรม จะหนักเบามากน้อยเพียงไรจะเป็นไปตามนั้นเท่านั้น ที่จะไปบีบบังคับให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ท่านทำไม่ได้ ไม่ใช่ธรรม
เรื่องโลกเป็นอย่างหนึ่ง เรื่องธรรมเป็นอย่างหนึ่ง ต่างกันอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า การแนะนำสั่งสอนเราสั่งสอนแบบนี้แหละ แบบพ่อแม่กับลูก ครูกับนักเรียน และอาจารย์กับบรรดานิสิตนักศึกษา ตลอดวงราชการต่าง ๆ ผู้หัวหน้าควรจะเป็นแบบพิมพ์ที่ดี ๆ มาสั่งสอนผู้น้อย อันนั้นถูกต้องดี ดังศาสนานำแนวทางที่ถูกต้องดีงามมาสอนโลกชาวพุทธเรา ท่านไม่ได้เอามาผิด ๆ พลาด ๆ พระพุทธเจ้าก็เป็นเอกในความถูกต้องดีงามด้วยความบริสุทธิ์ สาวกทั้งหลายก็บริสุทธิ์พุทโธถูกต้องดีงามทุกอย่างในองค์ของท่านแล้ว มาประกาศธรรมเป็นธรรมถูกต้องดีงามทั้งนั้น ท่านไม่ได้สอนแบบคนมีกิเลส มีกฎมีเกณฑ์สะอาดสะอ้านมา แล้วท่านจะมาเป็นข้าศึกต่อโลกได้ยังไง
เรานำธรรมก็นำธรรมที่บริสุทธิ์นั้นมาสอนโลก ผิดตรงไหนก็ต้องบอกว่าผิด บอกอย่างอื่นไปไม่ได้ ถูกบอกว่าถูก ควรตำหนิ-ตำหนิ ควรตำหนิมากน้อยตำหนิตามนั้น จึงเรียกว่าธรรม จึงเรียกว่าครูอาจารย์สอนลูกศิษย์ลูกหาพุทธบริษัท ต้องสอนอย่างนั้น สอนอย่างอื่นไปไม่ได้ กรุณาให้พากันเข้าใจเอานะ เราก็ไม่ได้เตือนคำนี้ เรื่องคิดมันคิดพอ แต่น้ำหนักทางด้านแนะนำสั่งสอน เป็นห่วงเป็นใยพี่น้องชาวไทยนี้ มันหนักเกินกว่าที่เราจะมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า บางทีเขาจะว่าเราดุเราด่า อันนี้ไม่ได้มีอะไร เพราะเราไม่มีอย่างนั้น เป็นข้อคิดของคนต่างหาก น้ำหนักของเราเป็นไปด้วยความเมตตา สอดส่องดูแลผิดถูกชั่วดีประการใด ว่าไปตามเหตุตามผลนั้นเท่านั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบตามนี้ทั่วถึงกัน
เรามาพาพี่น้องทั้งหลายรื้อฟื้นจากตมจากโคลนซึ่งเป็นความผิดพลาดมาดั้งเดิม เป็นนิสัยของชาวไทยเรา ไม่ว่าชาวไหนละกิเลสอยู่ในหัวใจ ชาวผีมันก็เป็นผีมาแล้ว แล้วฟาดกิเลสเพิ่มหัวเข้าไปอีก ชาวเปรตเข้าไปอีก มันก็ยิ่งหนักเข้าไป มันมีอยู่ด้วยกันนั่นแหละสิ่งเหล่านี้ เรามาชำระสะสางอันนี้ออกเพื่อให้พอดูได้ ๆ ขึ้นเป็นลำดับ จึงต้องมีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอน
เวลานี้ก็เรียกว่าเราสอนทั่วประเทศไทย ออกทางวิทยุทุกวัน ๆ ยังออกอีกทางอินเตอร์เน็ต ทางหนังแส่หนังสือ มีแต่อรรถแต่ธรรมเพื่อความถูกต้องดีงามทั้งนั้น อันไหนที่ว่าเป็นภัยต่อพี่น้องทั้งหลายในบรรดาธรรมที่นำมาสอนนี้ไม่เคยมี ขอให้นำไปคิดก็แล้วกันนะ เราถูกที่ตรงไหนพอที่จะไปติเตียนในธรรมแง่ต่าง ๆ ซึ่งนำมาสอนเรา เราผิดถูกประการใดบ้างให้วินิจฉัยตัวเอง ท่านตำหนิตรงไหนให้ดู เรามีไหม ถ้าไม่มีแล้วก็ผ่านไป ถ้ามีให้รีบแก้ไข อันใดที่ท่านส่งเสริม เราดีเรามีแล้วยัง เอา ส่งเสริมเข้า นี่เป็นความถูกต้องดีงามกับอุบายวิธีการสั่งสอนของครูบาอาจารย์และพุทธศาสนาที่ท่านสอนโลกมาอย่างนี้
วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้เสียก่อน เป็นระยะ ๆ ไป เพราะมันเหนื่อยพูดทุกวัน คนมากคนน้อยก็พูด พูดนี่ก็พูดเพื่อประเทศไทยทั้งนั้นแหละ ออกนี้ก็ทั่วประเทศไทยนะนี่ เพียงสองสามคนแต่ผู้ฟังทั่วประเทศไทย นู่นน่ะออกเมืองนอก จึงจำเป็นต้องได้พูดให้ฟัง วันละเล็กละน้อยทุกวัน เพื่อเขาจะได้นำออกประกาศ
มันภาวนาวับๆ แวมๆ ไฟดับๆ เปิดๆ หลับๆ ตื่นๆ ครอกๆ เราอยากเอาค้อนปาเข้าไป เราเดินจงกรมอยู่ในป่านี่มองไปเห็นหมดนะไฟน่ะ เข้าใจไหม เราเดินจงกรมอยู่ในป่า เราไม่เคยมีไฟนะ เดินอยู่งั้นไม่มีใครรู้ละเป็นประจำนิสัยของเรา นี้เวลาเดินจงกรมแล้วก็ส่องไปทางนู้นส่องไปทางนี้ ไฟแวบๆ วับๆ ไฟเปิดๆ ปิดๆ หลับๆ ตื่นๆ คือไฟแถวนี้ บางทีเห็นแวบๆ บางทีเงียบเลย แสดงว่าเจ้าของอย่างน้อยสลบไป มากกว่านั้นตาย หลับครอกๆ เลยก็ได้ใช่ไหมล่ะ โมโหเอาเสียบ้างซิ ตะกี้นี้ก็พูดถึงเรื่องการสอนคน นี่ก็อีกแล้ว จะไม่ให้ว่าได้ยังไงก็มันเป็นอย่างงั้น
หลวงตาเจ้าขา ลูกขออนุญาตกราบเรียนถาม หลวงตาเคยให้ลูกไปหามัชฌิมาของตัวเองมาเจ้าค่ะ จะทราบได้ยังไงว่าเมื่อไรถึงมัชฌิมาแล้ว
เดี๋ยวนี้พบแล้วยัง (ยังเจ้าค่ะ) โฮ้ย เราไม่อยากสอน ไม่ทราบจะสอนว่าไง ก็มันไม่รู้เรื่องจนกระทั่งภาษากันแล้วจะไปสอนกันได้ยังไง มันคนละภาษา สอนภาษาหนึ่งผู้ฟัง-ฟังภาษาหนึ่ง ผู้จะทำหน้าที่แทนมันไปอีกภาษาหนึ่ง เลยเข้ากันไม่ได้ ไม่รู้จะสอนว่าไง คำว่ามัชฌิมาๆ ก็สอนกันทั่วแดนพุทธจักรเรามาอยู่แล้ว ความพอเหมาะพอดีก็บอก อย่าให้อะไรมันเกินๆ เกินไป นี่เป็นศูนย์กลาง เวลาจะเด็ดๆ เวลาจะทุ่มๆ เป็นอีกกรณีหนึ่ง มันหลายขั้นหลายตอน
มัชฌิมาปฏิปทา เดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก อันนี้ใครจะยึดได้ไม่รู้นะ นู่นเวลาเราออกทำงานถึงรู้ได้หมดเลยนะ นี่ละภาคปฏิบัติ ภาคความจำเรียนมาเท่าไร โอ๋ย งมๆ กันอยู่งั้นละ ลูบๆ คลำๆ เรียนมามากมาน้อย เอาหลักเอาเกณฑ์ไม่ได้ พูดจริงๆ เราเรียนมาแล้วนี่นะ เวลาออกทางภาคปฏิบัตินี้ จับปุ๊บแล้วจะเข้าหาความจริง ก็ค่อยเริ่มเจอเข้า เจอเข้าหายสงสัยไปเรื่อยเลย ทีนี้คำว่ามัชฌิมานั้น ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนักนั้นเป็นพื้นฐาน ตรงกลางไปเลย เวลาจะเด็ดก็เด็ดของมันเอง เวลาจะอ่อนก็อ่อนของมัน ก็เป็นมัชฌิมาเอง เข้าใจไหมล่ะ เวลาเด็ดนี้ก็เป็นมัชฌิมาของธรรมขั้นนี้ เวลาจะลดหย่อนผ่อนผันก็เป็นมัชฌิมาของธรรมขั้นนี้ นั่นเข้าใจไหมล่ะ
คำว่ามัชฌิมาๆ ไม่มัชฌิมานอนตายแผ่สองสลึงอยู่กลางเสื่อกลางหมอนนี่นะ กลางเสื่อกลางหมอนมันก็เป็นมัชฌิมา มันหลายแบบ นี้กลางไหน ถามไปถามมามันอดไม่ได้ มันจะตีคนนะ เราต้องเตรียมยาระงับโมโหไว้ก่อน ก่อนจะสอน
ถ้าถึงมัชฌิมาแล้วจะภาวนาสะดวกไหมเจ้าคะ
ไหนว่าไงนะ
ถ้าถึงมัชฌิมาของตัวเองแล้ว คือการภาวนาสะดวกใช่หรือไม่ครับผม
ก็นั่นซีถามตรงไหน มันฟังไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว ไม่ได้ศัพท์ได้แสง ถามมานี้ปั๊บมันรู้แล้วนะ มันขัดต่ออุบายวิธีการสอนไปมากน้อยเพียงไร เป็นยังงั้นนะ เดี๋ยวนี้ได้ภาวนาตามที่สอนนั่นไหม
ทำตามเจ้าค่ะ
ให้อยู่ในวงนี้เข้าใจไหมล่ะ คือคำว่าเราบริกรรมนี่ หาธรรมเป็นเครื่องยึด เช่น พุทโธ เมื่อเราตั้งสติไว้กับพุทโธ ความรู้ของเราจะมารวมจดจ่อสนใจอยู่จุดนี้ ทีนี้เวลาจดจ่ออยู่ในจุดนี้นานเข้า ๆ มันก็สั่งสมกำลังของตัวเองให้ความรู้นี้ค่อยเด่นขึ้น ๆ เมื่อความรู้ค่อยเด่นขึ้น ความสงบเย็นใจจะค่อยปรากฏขึ้น แล้วความยุ่งเหยิงวุ่นวายเหล่านั้นซึ่งเคยกวนใจและเป็นสิ่งไม่ดีเลยนั้น จะค่อยจางไปๆ เพราะอันนี้ไม่เปิดทางให้ได้มีเงื่อนต่อเข้ามา เข้าใจไหม เอาพุทโธปิดเอาไว้ อารมณ์เหล่านั้นมันจะผลักดันออกไป มันไม่ออก ไอ้ที่จะว่าอารมณ์มาจากนู้น อย่าเข้าใจนะ ผิดทั้งนั้นภาคปฏิบัติ ตัวนี้เองตัวผลักดันออกไปให้คิดเรื่องนั้น ให้เสียดายเรื่องนี้ อยากรู้อยากเห็นอยากคิด ตัวนี้ตัวอยากดันออกไป เอาพุทโธตีเข้าไว้ไม่ให้มันออกเข้าใจไหม
ให้อยู่กับพุทโธ ทีนี้เวลาอยู่นานเข้าไป ความรู้นี้จะค่อยอยู่นิ่งๆ ค่อยหล่อเลี้ยงจิตใจ อารมณ์ที่ผลักดันก็ค่อยจางไป เพราะมีอารมณ์คือธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ใจก็อยู่ที่นี่ แล้วไม่วุ่นวาย ครั้นนานเข้าๆ ก็ค่อยสงบๆ แล้วก็ตั้งตัวได้ นั่นน่ะ พอเวลามันสงบแล้วมันเด่นขึ้นๆ ไอ้เรื่องความสบายไม่ต้องบอกมันมาด้วยกันเลย ความผลักดันออกอยากคิดนั้นคิดนี้กับความยุ่งเหยิงวุ่นวาย จะสร้างกองทุกข์นั้นมากขึ้นโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึงได้สอนให้เห็นโทษนะ เอาให้เห็นโทษของมัน บังคับให้ได้
เราจะเด็ดเราก็เด็ดตรงนี้ คือความตั้งใจของเราจะไม่ให้เผลอ พยายามอยู่ตรงนี้ๆ ถึงอ่อนก็ให้อ่อนอยู่ในจุดนี้ แต่อย่าให้มันเป็นแสงทางออกเพื่อฟืนเพื่อไฟเผาเจ้าของ เข้าใจไหม คือธรรมดา พอธรรมอ่อนทางนี้ กิเลสมันจะแข็งทางนั้นนะ มันระวังยาก พอทางนี้เริ่มอ่อนทางนั้นจะเริ่มแข็ง พอทางนี้แข็งเข้าไปทางนั้นจะอ่อนลงมา จนกระทั่งได้รากได้ฐานแล้ว สิ่งทั้งหลายที่เคยผลักดันให้ก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวาย มันระงับลงๆ จนถึงขนาดที่ว่า ไม่อยากคิด นั่นฟังซิน่ะ คือคิดมันกวนใจ นี่คืออำนาจแห่งความสงบเย็นใจมีกำลังมากแล้ว อยู่กับความสงบเย็นใจอยู่ทั้งวันอยู่ได้สบาย ไม่มีอะไรกวนใจเลย ทีนี้มันก็มาเห็นโทษ อ๋อ ที่กวนก็คือตัวอยากคิดอยากปรุงนี้เอง นั่นเป็นอย่างงั้นนะ เมื่อตัวนี้ไม่ดันแล้วมีแต่ความสงบเย็นใจ อยู่ที่ไหนเวลาไหน อยู่ได้ทั้งนั้นละ สบายแสนสบาย
นี่ที่ท่านว่า นักภาวนาติดสมาธิ คือติดอย่างนี้ ติดประจักษ์ในหัวใจ อย่างที่เราเคยพูดให้ฟัง ออกทางหนังแส่หนังสือตลอดถึงอะไร ออกไปหมดนี่นะ ที่ว่าติดสมาธิอยู่ ๕ ปี มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ ไม่อยากยุ่งกับอะไร คิดเรื่องปัญญาเหมือนบังคับให้ทำงาน ไม่อยากตากแดดตากฝน ยกจอบยกเสียมไม่อยากยก สบายอยู่ในนั้น สมาธิกล่อมให้สบายเพลิน นั่นเป็นสมุทัยอยู่ในนั้นรู้ไหมล่ะ เราไม่รู้ นี่ละเวลามันสงบแล้วมันไม่อยาก ความคิดนี้เป็นการกวนใจไม่ใช่ธรรมดานะ พอความสงบมีกำลังมากแล้ว ความคิดความปรุงอะไรนี้เป็นเรื่องกวนใจทั้งนั้น ไม่อยากคิด อยู่อย่างนี้มีแต่ความรู้เด่น สบายนั่น นี่ที่ผู้บำเพ็ญติดสมาธิ ก็เราติดมาแล้ว อยู่ที่ไหนนั่งอยู่ก็ ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือน มีแต่มืดกับแจ้ง ไม่สนใจ เสวยความสุขความสงบเย็นใจของเรานี้ อยู่นั้นทั้งวันสบาย ตลอดนะ
เพราะฉะนั้นจึงว่าเรื่องการอยู่การกินการหลับการนอนอะไรนี้ โอ๋ย ไม่ยุ่งเลย อันนี้พอตัวทุกอย่าง ไม่กังวลกับอะไร ตัวนี้สร้างความพอให้ ตั้งแต่ความสงบเย็นใจเท่านั้นพอแล้วนะ อยู่ได้กินได้นอนได้ไปได้ อะไรง่ายหมดเลย ตัวนี้ง่ายเสียอย่างเดียว ถ้าตัวนี้ยุ่งเสียอย่างเดียวแล้ว โหย เอาสมบัติเงินทองมากองเท่าภูเขาทั้งลูกนั้นก็คือกองฟืนมาเผาหัวเรา มันเป็นอย่างงั้นนะ เข้าใจหรือเปล่าล่ะที่พูดนี่ เพราะฉะนั้นจึงให้พยายามทำพุทโธนะ ให้มันอยู่นี่ จะหนักจะเบาก็ให้มันป้วนเปี้ยนอยู่นี้อย่าให้ออก แล้วต่อไปมันจะค่อยดีขึ้นๆ แล้วพอทางนี้มีความสงบเย็นบ้าง เรื่องความคิดความปรุงต่างๆ ที่มันผลักดันออกไป มันจะเบาตัวลงๆ ต่อไปก็ค่อยตั้งตัวได้ ขอให้จำให้ดี
ที่พูดเหล่านี้เราพูดด้วยความเราผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน เพราะฉะนั้นใครพูดทั้งหลายพอแย็บ มันรู้ทันทีๆ เราผ่านมาหมด มันอยู่ในข่ายแห่งการพิจารณาของเราหมดแล้วนี่ แย็บ มันรู้ๆ ๆ อย่างนั้น ต้องได้ใช้ความพยายาม ก็เคยสั่งแล้วว่า อย่าเสียดายความคิดความปรุง ที่เคยคิดเคยปรุงและเป็นข้าศึกต่อตัวเองมามากต่อมาก นานแสนนานแล้ว นี่ถ้าปล่อยให้มากๆ ไปนี้สติสตังไม่มีแล้วกลายเป็นบ้าไปเลย มีแต่ความคิดพาพุ่งๆๆ หาฟืนหาไฟ สติต้องยับยั้งเอาไว้ มีธรรมเป็นอารมณ์ น้ำดับไฟ เช่น พุทโธ คำบริกรรมคำใดก็ตามให้ยับยั้งอันนี้ แล้วเหล่านั้นก็เหมือนกับว่าเราเหยียบเบรกห้ามล้อ มันจะสงบตัวลงไป เย็นสบายๆ
นี่ละเรื่องจิตสงบ เมื่อสงบเต็มที่ของมันแล้วนี้ มันเป็นความสุขเต็มตัวเหมือนกันนะ เต็มตัวในขั้นสมาธิ นี่ละที่ว่าสมาธิเมื่อพอตัวแล้วก็เหมือนน้ำเต็มแก้วเหมือนกัน เต็มแก้วของสมาธิ มันเต็มตัวของมันแล้ว จะทำให้เลยนั้นไม่เลย อยู่แค่นั้นๆ ให้เลยนั้นไม่เลย ทีนี้เอาโอ่งใหญ่เข้ามาตั้งกึ๊กอีก เพิ่มเข้าอีก ปัญญา เอาปัญญาก็พุ่งเลยที่นี่ ปัญญานี้เป็นเหมือนโอ่งใหญ่ โอ่งใหญ่เอากิเลสเป็นประมาณ ทีนี้ออกไม่ถอยปัญญา แต่ถึงขึ้นพอเหมือนกัน ถ้ากิเลสหมดแล้วธรรมเหล่านี้ก็พอ ไม่ต้องบอกหยุดเลย
คือ สมาธิพอถึงขั้นเต็มแล้ว จะทำยังไงให้เลยนั้นไม่เลย เหมือนน้ำเต็มแก้ว ลงนี้แน่ว ไม่มีอะไรเลยนะ จะเหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดลออสุดขีดของสมาธิแล้วอยู่นั้น นั่นแหละอยู่กับนั้นทั้งวัน ไม่มีอะไรกวน นั่นความสบายเต็มที่ในขั้นสมาธิ อยู่ไหนอยู่ได้หมด ไม่มีกังวลกับอะไรเลย ไม่ว่าการอยู่การกินการใช้สอยการเคลื่อนไหวไปมา เราไม่ได้เป็นกังวลอะไรเลยทั้งนั้นละ อันนี้พอตัว พอตัวอยู่ในขั้นนี้ สบาย นี่ละถ้าไม่มีผู้มาเปิดทางด้านปัญญาเพื่อเลื่อนขึ้นหาน้ำโอ่งใหญ่ว่างั้นเถอะ เพียงโอ่งน้อยๆ นั้นมันก็กินได้จนกระทั่งวันตาย เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีผู้แนะทางด้านปัญญา ติดสมาธิจนกระทั่งวันตาย ไม่มีวันอิ่มพอ
ทีนี้พอทางด้านปัญญามาเปิดปากโอ่งขึ้น โอ่งนี่มันเล็กเอาใส่โอ่งนี้ พอเปิดปากโอ่งใหญ่ปัญญาออกแล้ว พอปัญญาออกนี้ก็พุ่งๆ เริ่มๆ ปัญญาจะออกทีแรกนี้ก็ลำบาก คือมันยังไม่เห็นผลงานของปัญญามันขี้เกียจ เหมือนเด็กยังไม่เห็นผลงานของตัวเอง ผู้ใหญ่ต้องบังคับให้ทำงาน พอผู้ใหญ่เผลอนิดเดียวเด็กเถลไถลไปไหนไม่รู้ อันนี้พอเราเผลอทางด้านปัญญานะ ไสลงไปพิจารณาทางด้านปัญญา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง คือทางเดินของปัญญา กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางเดินของด้านปัญญาทั้งนั้นละที่นี่นะ มันยังไม่เห็นผลอันนี้ มันสู้ความสงบเย็นใจสบายในสมาธิไม่ได้ มันไม่อยากออก อย่างว่าเผลอสติปัญญาบังคับ เหมือนผู้ใหญ่บังคับนะ คำว่าเผลอมันก็เข้าสมาธินี้เสีย มันไม่ไปออกเถลไถล
ไอ้เรื่องอารมณ์ภายนอก โอ๋ย ลากมันก็ไม่ออกนะ จิตที่เป็นสมาธิเต็มตัวแล้วโล่งไม่มีอะไรยุ่งเลย นั่นละท่านจึงเรียกว่าจิตอิ่มตัว จึงควรแก่การเดินทางด้านปัญญา ถ้าจิตกำลังหิวโหยอยากนั้นอยากนี้คิดนั้นคิดนี้ตลอดเวลานี้นะ พอปล่อยออกไปพับมันจะวิ่งถึงเรื่องทางเดินของมันคือสมุทัยล้วนๆ เป็นปัญญาไปไม่ได้ ทีนี้จิตอิ่มตัวไม่เป็นอย่างงั้นนะ อิ่มตัวในสมาธินี้ อิ่มอารมณ์นั่นเอง ไม่อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นอะไรๆ เอ้า ทีนี้ออกทางด้านปัญญาสติจ่อเข้าไปให้พิจารณาอย่างนี้ เป็น ทุกฺขํ อันนี้เป็น อนิจฺจํ อันนี้เป็น อนตฺตา อันนี้เป็น อสุภะอสุภัง อันนี้เป็นเรื่องความเกิดความตาย ซึ่งเป็นเรื่องของกองทุกข์ทั้งนั้น สติปัญญาค่อยหยั่งเข้า ๆ
มันยังไม่เห็นผลนะทีแรก มันจะคอยเข้าสมาธิ มันไม่ออกไปไหนแหละ ต้องบังคับ พอได้เหตุได้ผลแล้ว อ๋อๆ ที่นี่นะ เริ่มแล้วนั่น ทีนี้พอเริ่มแล้วก็ออก ออกๆๆ หนักเข้าๆ ถึงรั้งเอาไว้ ไม่รั้งไม่ได้ เพลินทางด้านปัญญานี้ โหย มันเพลินๆ เพื่อออกเพื่อหลุดเพื่อพ้น ไม่ได้เพลินเพื่อนอนสบายเหมือนสมาธินะ เพลินทางด้านปัญญาเพลินเพื่อจะก้าวให้หลุดให้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงโดยลำดับ นี่ละสติปัญญาขั้นที่ได้เห็นเหตุเห็นผลของการพิจารณาตัวเองแล้วนี้ จึงก้าวเดินไม่มียับมียั้ง อะไรที่ไม่เคยรู้มันรู้ ไม่เคยเห็นมันเห็นซิที่นี่ มันเห็นขึ้นในปัญญา เบิกกว้างออก ๆ
โทษไม่เคยเห็นมันฝังจมมันจะเห็น ธรรมเปิดออก ๆ ให้เห็น นี่งูเห่า นี่งูจงอาง นี่สามเหลี่ยม แล้วถ้าเป็นเรื่องของกิเลสมันบอกว่านี้เสื่อนี้หมอนเข้าใจไหม มันไม่บอกว่าจงอาง สามเหลี่ยม มันบอกว่านี้เสื่อนี้หมอน ลายนี้มันเหมือนลายงูเหลือม โอ๊ย ลายเสื่อลายหมอนเขาถักมาอย่างดี ไปอีกนะเข้าใจไหม ทีนี้พอมันเห็นโทษของกิเลสที่มันปิดตัวของมันไว้ ด้วยปัญญาอันนี้ออกแล้ว นี้ละที่เรียกว่าโอ่งใหญ่ที่นี่นะ ทีนี้เอาประมาณที่ไหนไม่ได้เลย ต้องเอากิเลสเป็นประมาณ ควรที่จะหนักจะเบามากน้อยเพียงไรจะหมุนกันติ้วๆ ฟังให้ชัดนะ นี่ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดให้ฟัง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าอัดอั้นการสอนโลกเราพูดจริง ๆ นะ
แต่ก่อนท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหมคำพูดอย่างนี้ เราก็ไม่เคยเป็นเราไม่เคยรู้ เราจะพูดได้ยังไง ก็เมื่อมันเป็นเต็มหัวใจแล้วไม่พูดได้ยังไง ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม หัวใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว เราเอาใครมาเป็นพยานวะเท่านั้นพอ เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมานี้ สามแดนโลกธาตุสอนได้หมด ฟังซิไปเอาใครมาเป็นพยาน พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายเอาใครมาเป็นพยาน ผึงเดียวเท่านั้นเหมือนกันหมดเลย ธรรมชาติอันนี้แบบเดียวกัน ๆ เหมือนดังว่าจูงเด็กมาดู เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันเล่นแต่น้ำในตุ่มในไห เด็กมันชอบเล่นน้ำใช่ไหม น้ำอยู่ใต้ชายคาบ้าง น้ำสกปรกโสโครกเด็กไม่ได้สนใจ มันเล่นสนุกของมัน
ทีนี้พอว่า เอ้า กูจะพาสูไปดูน้ำมหาสมุทรนะ จูงแขนมันไป ยืนปั๊บนี่น้ำมหาสมุทรจ้า โอ้โห น้ำมหาสมุทรกับน้ำที่เราเล่นต่างกันยังไง มันก็รู้ แล้วไม่ต้องมาถามมันรู้ ทีนี้เวลาในจิตดวงนี้เปิดโล่งเป็นธรรมธาตุเทียบกับมหาสมุทร มหาสมุทรยังมีขอบมีเขต ธรรมธาตุนี่เลยแล้ว แต่ไม่มีอะไรจะเทียบนอกจากมหาสมุทร พอจะเทียบได้ก็เอามาเทียบ พอมองจ้านี้สงสัยที่ไหน หายสงสัยทันที โอ๋ น้ำมหาสมุทรเป็นอย่างนี้เอง นั่น นี้ธรรมชาติเหล่านี้เมื่อเปิดกิเลสออกหมด กิเลสเป็นตัวปิดบังออกหมดโดยสิ้นเชิง แล้วก็จ้ามันก็แบบเดียวกัน อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง
นี่ละเมื่อถึงขั้นนี้แล้วสติปัญญามันจะบอก คือเครื่องมือทำงานเข้าใจไหม สติปัญญา ศรัทธาความเพียรทุกอย่าง เป็นเครื่องหนุนเป็นเครื่องทำงานทั้งหมด ๆ เพื่อฆ่ากิเลสๆ ทีนี้เมื่อเวลาถึงที่สุดจุดหมายปลายทางกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด ไม่มีอะไรจะฆ่าจะสังหารแล้ว เครื่องมือนี้ก็ปล่อยเอง เหมือนงานเราสำเร็จแล้วเครื่องมือก็ปล่อยเอง ปลูกบ้านเครื่องมือก็ปล่อย ปลูกอะไรปล่อยทั้งนั้นแหละเมื่อเสร็จงานแล้ว อันนี้ฆ่ากิเลสเสร็จแล้วปล่อยเองๆ เข้าใจเหรอ นี่เรื่องปัญญาเป็นขั้นๆ อย่างนี้
อันนี้ต้องเอากิเลสเป็นประมาณ กิเลสวัฏจักร เอาวัฏจักรเป็นประมาณ กิเลสวัฏจักรขาดสะบั้นไปหมดแล้ว หมดยุติ เรื่องสติปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวนี้ไม่ต้องบอก เหมือนเขาทำงานเสร็จ ปล่อยเอง ปล่อยเครื่องมือเอง ก็เป็นอย่างนั้น นั่น ท่านเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ การประพฤติพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจการที่ควรทำได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นงานใดที่จะให้ทำยิ่งกว่านี้ไปอีกไม่มี นั่น ท่านเรียกว่าท่านเสร็จกิจในพุทธศาสนา เสร็จกิจการฆ่ากิเลส ถ้าฆ่าไม่ได้ไม่มีเสร็จกิจ กี่กัปกี่กัลป์พาเกิดพาตาย แบกหามกองทุกข์ไปตลอด พอฆ่าจบลงแล้ว ก็เรียกว่ากองทุกข์ทั้งมวล ตั้งแต่ความเกิดแก่เจ็บตายลงไปนี้ขาดสะบั้นไปตามกันหมด นั่นเรื่องของกิเลสขาดลงไปแล้ว ทำงานหาอะไร เข้าใจที่พูดนี่ นี่ว่าจะไม่พูดอะไรฟาดไปถึง ๓ โมงกว่าแล้วนะ มันหากมีคนนั้นมาแหย่ คนนี้มาแหย่ เรื่อย เอาละให้พร
.
ออกอินเตอร์เน็ตเขาจึงได้ฟัง หลวงตาองค์นี้พูดไม่มีฝั่งว่างั้นเถอะ เตลิดเปิดเปิงพูดได้ทุกแบบ นี่ก็บอกว่าเปิดทางให้หมาทำงานด้วย หมาเรากำลังทำงาน
วันนี้พวกอินเตอร์เน็ตมีวาสนาได้ฟังธรรมะเด็ดๆ ชั้นยอด
ชั้นไหนบ้างว่ามาซิ
เทศน์ตะกี้นี้ครับ
อ๋อตะกี้นี้ ก็ใช่ อันนี้เราก็ไม่ได้ตั้งใจพูดให้เต็มเหนี่ยวทะลุไปเลยนะ พูดเป็นวรรคเป็นตอนไปอย่างนั้นแหละ แต่มันก็จับได้เข้าใจไหม จับได้ ขั้นปัญญาไม่รู้จักงาน ต้องถูกบังคับ เหมือนเด็กไม่รู้จักงานก็ต้องถูกบังคับ ทีนี้พอปัญญารู้จักงาน เหมือนผู้ใหญ่รู้จักงาน เขาทำของเขาเอง พอปัญญารู้จักงานแล้วก็เหมือนกัน เตลิดเลย พุ่งๆ โอ๊ย ลงเห็นประจักษ์กับใจแล้ว พูดจริงๆ นะสามแดนโลกธาตุนี้ไม่สนใจจะถามใครเลย ฟังซิน่ะ มันแน่ขนาดไหน ก็เหมือนอย่างที่ว่าเรามองไปมหาสมุทรนี้จ้า จะไปถามใครมันจ้านั้น อันนี้ธรรมธาตุนี้ก็แบบเดียวกัน เทียบกันได้ แต่มหาสมุทรนี้ยังมีขอบมีเขต เพราะอยู่ในฝั่งสมมุติ แต่เรื่องธรรมธาตุนี้ครอบหมด แต่พอเทียบกันได้ก็เอามาเทียบอย่างนี้ นอกนั้นเทียบไม่ได้นะ ไม่มีอะไรเป็นของคู่ควรกัน วันนี้เทศน์ธรรมะสำคัญๆ เหมือนกันนะ ว่าจะไม่เทศน์อะไรเห็นไหมล่ะ เวลามันไปมันก็ไปอย่างนี้แหละ จนยันป้าย เห็นไหม
วันนี้โรงพยาบาลเขามาหรือเปล่า เขามาทุกวันแหละ โรงพยาบาลนี้มาเราไม่อยากว่าแทบทุกวันนะ นาน ๆ จะขาดสักทีนึง นอกนั้นทุกวันๆ วันนึง ๒ โรง ๓ โรง ๔ โรงเป็นประจำ ของขนเข้ามาเต็มเหนี่ยว ๆ เป็นประจำ สงสาร เขามีที่หวังพึ่งเขาก็ต้องมา เราก็ต้องได้ให้เขาเต็มกำลังของเรา ถึงขนาดที่ว่า เอ้า ให้ทานจนกระทั่งไม่มีอะไรจะให้ทาน หมดเนื้อหมดตัวหลวงตาบัวนี้ ไม่มีอะไรติดตัวแล้วให้มันเห็นเสียที นู่นน่ะฟังซิ มันไม่ได้ถอยนะการจะให้ด้วยความเมตตานี่ หมดแล้วยังจะให้ มันไม่ถอยนะเมตตา เหมือนความตระหนี่ ตระหนี่เท่าไรได้เท่าไรยิ่ง เอาๆ ตายเข้าว่าเลยตระหนี่ก็ดี ได้ไม่พอ