เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบ
(มาจากอเมริกาครับ) ว่ามาจากอเมริกาอย่าพูดเสียงดังนัก นี่คนไทยทั้งประเทศเขาจะหัวเราะเอาละนะ ประสาอเมริกามาคนเดียวมาอวดโลกเขา นี่เมืองไทยเราเห็นไหมเต็มนี่ เขาจะหัวเราะเอานะ เข้าใจหรือยังละ มันหมั่นไส้ว่ะเรา เราเที่ยวครอบโลกธาตุ เที่ยวครอบโลกธาตุ อเมริกาเท่านั้นมาคุย เที่ยวครอบโลกธาตุกระจ่างแจ้งหมด เราไม่พูดเฉยๆ กระจ่างขนาดนั้น หายสงสัย เราจะเกิดในชาติเดียวนี้เท่านั้น จะไม่กลับมาเกิดอีก คือกระจ่างขนาดนั้นละ ไม่ต้องถามใคร จ้าขึ้นนี่ครอบหมด เรื่องธรรมะเป็นอย่างนั้นละ
ฝนหยุดแล้ว เมื่อเช้าฝนตก เราไปนู้น ไปทางนู้นน้ำกำลังมาทางนู้น ขากลับลงมาเห็นน้ำกำลัง..สีเขียวๆ กำลังขาว ไม่มากละ น้ำไม่มาก ถึงมากมายก็ไม่มากนัก เมื่อเช้าก็ฝนตก เปียก พวกบิณฑบาตเปียกหมด เราไม่เปียก เราไปทางนี้กลับมาพอดีฝนตกหนักบ้างนิดหน่อย เราเข้าวัด ปล่อยให้มันตกใส่พวกใส่บาตร ทำไมมันเซ่อนัก ที่เขามุงไม่อยู่ มันออกไปตากแดดกัน มันเซ่อนัก
สร้างความดีให้เข้ามาเต็มหัวใจ ความดีเข้ามาๆ เต็มๆ แล้วเย็นหมด ถ้าสร้างความชั่วแล้วเป็นไฟในหัวอก เจ้าของไม่ตายก็เหมือนกับคนตายแล้ว มันหมดค่าหมดราคา มันเป็นอยู่ในจิตนะ ได้สร้างความดีให้เต็มที่แล้วมันเย็นทั้งหมดเลย เจ้าของไม่ตายก็เหมือนกับว่าไปสวรรค์นิพพานก่อนแล้ว เป็นอย่างนั้น ใครพูดได้แม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าให้มาแข่งกันทั่วประเทศไทย ต่างคนต่างเป็นชาวพุทธแล้วมาคุยอวดกันว่าใครที่แม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกพระพุทธเจ้าของเรา นั่นละเป็นครูสอนโลก สฺวากฺขาโต หรือสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมด ไม่มีผิดมีพลาด พวกเรานี้ผิดกันทั้งนั้น ลูกศิษย์ตถาคตผิดกันทั้งหมด เราอยากว่าทั้งหมด คือทั้งหมดเราลืมเว้นตถาคตองค์เดียว ตถาคตแม่นยำๆ เป็นครูสอนโลก พวกเราวิ่งตามแล้วแฉลบนั้นแฉลบนี้ มันไม่ค่อยตรงตามแถวตามแนว
ในโลกทางสอนศีลธรรมนี้มันค่อยซึ้งเข้าไปนะ การอบรมสั่งสอนศีลธรรมเข้าสู่ใจมันค่อยซึ้งเข้าไป ซึ้งเข้าไป ซึมซาบเข้าไป พวกที่ทำบาปก็เหมือนกัน วันหนึ่งไม่ได้ทำเหมือนว่าหัวจะแตกต้องไปหายาทันใจมากิน ปวดหัววันนี้ไม่ได้ทำบาป ผู้ที่ทำบุญไม่ได้ทำบุญก็ปวดหัวเหมือนกัน มันต่างกันอยู่นะ จิตใจมันดื่มอยู่กับทางธรรม ถ้าทางชั่วมันดึงไปทางชั่ว ดึงลงๆๆ ถ้าทางดีแล้วดึงขึ้นๆ
พอพูดเรื่องนี้เราก็เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ธัมมิกอุบาสกคนหนึ่งแกเป็นนักใจบุญ ไปที่ไหนต้องแกนั่นละเป็นหัวหน้างาน เขามาเชิญไปในงาน เขามีงานเขามาเชิญแกไปไปเป็นหัวหน้างาน เพราะแกใจบุญขนาดนั้น ใจบุญมากทีเดียว เวลาแกตายจริงๆ เหมือนว่าบอกอยู่ในจิตหมด บอกว่าเออ..ลูกเอ้ยพ่อนี่เห็นจะไม่นานละ จะไปเร็วๆ นี้แหละ นู่นพวกรถทิพมาเต็มอยู่ท้องฟ้า บอกลูกฟังนะ พ่อจะไปแล้ว เขารู้ก่อนเราแล้วว่าจะไป แต่ทางนั้นเขามาก่อนแล้ว สวรรค์ ๖ ชั้นควรแก่อุบาสกคนนี้ทุกชั้นเลย เพราะฉะนั้นบนท้องฟ้าจึงมีตั้งแต่รถทิพมาถึง ๖ ชั้น จะขึ้นชั้นไหนรถทิพคันใดที่จะไปในสวรรค์ชั้นใดๆ มาพร้อมหมด อุบาสกคนนี้ควรแก่สวรรค์ ๖ ชั้น จะไปชั้นไหนได้หมด
ทีนี้พอจวนตัวเข้ามารถทิพมาเต็มอยู่บนท้องฟ้า คนนั้นก็เชิญไปรถคันของตนๆ รถทิพไป คันนั้นก็เชิญ คันนี้ก็เชิญ สวรรค์ ๖ ชั้นรถทิพมาทุกชั้น ทางนี้กำลังให้พระมาสวดธรรมให้ฟัง พ่อจะไปแล้วนะให้รีบนิมนต์พระท่านมาสวดอรรถสวดธรรมให้พ่อฟัง เป็นเครื่องกล่อมใจในวาระสุดท้ายที่พ่อจะตายเร็วๆ นี้ ลูกก็ไปนิมนต์พระมา มาสวดธรรมให้ฟัง อุบาสกคนนั้นก็สงบใจ พอสงบใจจิตมันออกรู้ชาวสวรรค์ที่มารออยู่บนท้องฟ้า รถทิพเต็มไปหมด ทีนี้ฟังไปๆ เพลินไปจิตมันเลยไปเห็นพวกรถทิพของชาวสวรรค์ ๖ ชั้นมาทุกชั้นเลย คืออุบาสกคนนั้นควรแก่สวรรค์ ๖ ชั้นทุกชั้นเลย จะไปชั้นไหนได้ทั้งนั้น คนนั้นก็เชิญไปรถทิพของตนๆ
ทางนี้แกฟังธรรมเพลินในธรรม แล้วพอดีพวกเทพทั้งหลายมาเชิญให้ไปสวรรค์ชั้นของตนนั่นละ แกก็เลยบอกว่าให้รอก่อน ให้รอก่อน คืออุบาสกคนนี้บอกพวกชาวสวรรค์ เพราะรถทิพมาเต็มอยู่บนท้องฟ้า ให้รอเสียก่อนกำลังฟังธรรม แต่ไม่ได้บอกว่าฟังธรรมซี บอกว่าให้รอก่อน พระก็จะเป็นแบบพระหลวงตาบัวนี่ นิมนต์เรามาสวดมนต์ยังไม่จบไล่เรากลับวัดแล้วอย่างไรกันนี่ ขายหน้าเหลือเกินแล้วพากันเผ่นไป พระไปสวดธรรมให้อุบาสกคนนั้นฟัง พอจิตสงบปั๊บพระเงียบหมด พระไปแล้ว ว่าให้รอก่อน เหมือนกับว่าให้พระที่สวดนั้นรอก่อน ยังไม่ให้สวดความหมายว่าอย่างนั้น ความจริงบอกพวกชาวสวรรค์ให้รอก่อนกำลังฟังธรรมเพลิน แต่ไม่ได้พูดคำนี้ละซิ
พระก็เลยเผ่นไปวัด ถูกพระพุทธเจ้าขนาบใหญ่เลย อ้าวมาอย่างไรเขานิมนต์ไปสวดอรรถสวดธรรมให้เขาฟังในวาระสุดท้าย อุบาสกคนนี้เป็นคนสำคัญนะ ให้เขาได้ฟังเต็มหัวใจเขาเวลาสุดท้ายนี้ละ แล้วมานี่ทำไม อุบาสกท่านบอกว่าให้รอก่อน นึกว่าท่านให้หยุดสวดก็พากันมา เขาไม่ได้ให้พระรอนะ เขาบอกพวกเทพทั้งหลาย รถทิพทั้งหลายรอต่างหาก เดี๋ยวนี้กำลังฟังธรรม แต่ไม่ได้บอกว่าอย่างนั้น บอกว่าให้รอก่อน ให้พวกเทพทั้งหลายรอ ทางนี้นึกว่าให้ตนกำลังสวดมนต์อยู่รอ ก็เลยพากันเปิด พระพุทธเจ้าไล่กลับมาอีก
พอแกฟื้นขึ้นมาแล้วแกถามพระคุณเจ้าไปไหนหมดละ ให้ท่านกลับท่านก็กลับ ไม่ได้ให้กลับ พระพุทธเจ้าเลยขนาบพระให้รีบไปเดี๋ยวนี้ เขาบอกว่าให้พวกเทพทั้งหลายรอก่อนกำลังเพลินฟังธรรม สวดธรรมอยู่กำลังเพลิน ให้คืนไปเดี๋ยวนี้ พอดีพระกลับมาแล้วอุบาสกคนนั้นฟื้นตัวขึ้นมาพระคุณเจ้าไปไหนหมด ให้ท่านกลับท่านก็กลับละซี พ่อไม่ได้ให้กลับ ให้บอกเทวดาทั้งหลายรอเสียก่อน กำลังเพลินฟังธรรมอยู่ คือให้รอเสียก่อน นึกว่าทางนี้ให้รอสวดมนต์ พระเลยกลับวัด ทีนี้ถึงนู้นพระพุทธเจ้าไล่กลับมาอีก แล้วทางนู้นก็เหมือนกันให้กลับมาฟังเทศน์อีกทั้งสองด้าน ฟังเทศน์เพลินเป็นอย่างนั้นละ
รถทิพเต็มบนท้องฟ้า สวรรค์ ๖ ชั้นควรแก่อุบาสกคนนั้นทุกชั้นเลย นี่ท่านแสดงไว้ชัดเจนมากทีเดียว ว่าให้รอก่อน พวกนั้นเชิญอุบาสกคนนี้ไปสวรรค์ รถทิพมาเต็มอยู่บนท้องฟ้า ทางนี้ก็บอกทางนู้นว่าให้รอก่อน คือบอกพวกชาวสวรรค์รถทิพชาวสวรรค์ต่างหาก ไม่ได้บอกให้พระรอก่อนนะ รอก่อนๆ พระนึกว่าอุบาสกคนนั้นให้ตัวหยุดสวดนต์แล้วรอก่อน พากันเปิด พระพุทธเจ้าไล่กลับมาอีก ทางนี้พอฟื้นตัวขึ้นมาก็ไล่ลูกเต้าไปเอาพระมาอีก ไปเจอกันกลางทางก็เลยมาด้วยกัน พระพุทธเจ้าไล่มาให้ไปสวดต่อ ทางนี้พวกลูกหลานถูกพระเหล่านั้นบอกอีกว่าท่านไล่เราให้กลับไปฟังเทศน์ต่างหากนะ ไม่ได้ไล่ให้ว่ากลับนะ ให้รอก่อน คือพวกเทพทั้งหลายอยู่ข้างบนเขาให้ไปรถทิพเขา ทางนี้ให้รอก่อนๆ ทางนี้เลยมาบอกตามเรื่องราว
เรื่องมันเป็นอย่างนั้น เห็นชัดๆ อยู่อย่างนั้น ทีนี้มันเป็นอย่างไรละลูกศิษย์หลวงตาบัววัดป่าบ้านตาด มันมีตั้งแต่ให้รอก่อนๆ ถ้าชวนไปวัดไปวาให้รอก่อนๆ ถ้าจะไปหาปูหาปลาหนองนั้นหนองนี้ กินเหล้าเมายาสูบฝิ่นกินกัญชาอย่างนั้น โอ้ย ขาหนึ่งขาดขาหนึ่งยังไป ขาสองขาดคลานไป เข้าใจไหม อยากให้มันสมใจ มันต่างกันอย่างนั้นนะ เป็นอย่างไรนี่ใครขาขาดบ้าง ท่านเล่าให้ฟังในตำรา คือพวกอุบาสกญาติโยมพระเณรก็ดี ผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านจิตใจมองเห็นพวกเทพพวกอะไรอย่างนี้รู้หมด พระก็เหมือนกัน ฆราวาสด้วยกันมองเห็นกันรู้กัน
คำสอนที่ท่านสอนไว้นั้นน่ะให้พากันจำเอานะ ถูกต้องทุกบททุกบาททุกแง่ทุกมุม ท่านจึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม แปลว่าธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีบกพร่อง ให้ตายใจเลย ท่านว่าสวากขาตธรรมคือตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ตายใจเลยปฏิบัติตามนั้น สำหรับเราเองมันหลอกแต่เจ้าของ มันตายใจไม่ได้นะ ว่าจะไปวัดไปวาฟังอรรถฟังธรรมเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนามันโดดลงน้ำหาปูหาปลา มันเป็นอย่างนั้นนะ จำเอานะ
ธรรมพระพุทธเจ้าย่นย่อเข้ามาว่าสวากขาตธรรม สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ย่นลงนี้ถูกต้องหมด เข้าใจไหม ให้พากันจำเอาไปปฏิบัติ เวลามันหนาหนาจริงๆ นะ มันไม่อยากเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล โยมคนหนึ่งแกมาพูดให้ฟัง ตัวแดงขึ้นนะ แกโมโหให้ตัวเองนั่นแหละ คือแต่ก่อนแกไม่พอใจในการไปวัดไปวา เขามาชวนก็เคียดโกรธแค้นให้เขา ถ้าหากว่าชวนไปทางอื่นแล้วฆ่าเลย แกจะตามฆ่าเลยแกว่าอย่างนี้นะ เวลานี้จิตแกลงแล้วเห็นจิตใจคนอื่น โยมคนนี้นะอยู่ที่สถานีทดลอง เราเคยจำพรรษาที่นั่น แกมาเล่าให้ฟัง เห็นใจคนใครๆ แกก็เห็น เวลามันกำลังเมาหมัดกิเลสอยู่เขามาชวนไปวัดโกรธให้เขาทั้งวัน ว่าอย่างนั้นนะแกพูด พูดแล้วดูตัวแกตัวแดงขึ้น แกโมโหให้แกเอง ไม่ได้โมโหให้ใครละ โมโหให้ตัวเอง แหม เวลามันหนามันหนาขนาดนั้น คือเวลานี้วางแล้วมองเห็นจิตคนอื่น
พอพูดอย่างนี้มันก็ไปสัมผัสกับอะไร จะว่ายกว่ายอว่าเตะว่าถีบอะไรก็แล้วแต่ มันไปสัมผัสก็เลยเล่าให้ฟัง ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ พูดถึงเรื่องรู้จิตใครต่อใคร ท่านคงคันฟันนะท่า อยากให้เขาถามแก เขาไม่ถามแกก็เลย..ส่วนจิตของอาตมาพ้นหรือยัง คือแกรู้จริงๆ จิตท่านยังไม่พ้นแต่ละเอียดมากสุด ไม่เหมือนท่านอาจารย์นี่พ้นแล้ว บอกชัดๆ เลย แกพูดหน้าตาเฉย ท่านสิงห์ทองหน้าซีด ไอ้เราจะหน้าบานหรือหน้าบึ้งก็ไม่รู้ละ แกว่าอย่างนั้นละแกเล่าให้ฟัง ท่านละเอียดมากแต่ยังไม่สิ้น ไม่เหมือนท่านอาจารย์สิ้นแล้ว แกพูดตรงๆ เฉย
ครั้นเวลาแกยอมไปที่วัดแกสั่งเสียลูกแกหมด สูอย่าถามหากูนะ ถ้าท่านอาจารย์ยังอยู่วัดกูไม่มา ถ้าท่านอาจารย์กลับแล้วกูมาเอง คือบอกไม่ให้ไปถามหากู กูจะไปวัด เวลาจิตใจแกผ่องใสแกเห็นจริงๆ เห็นจิตใจคนอื่นเห็นจริงๆ ท่านสิงห์ทอง..ใจอาตมาเป็นอย่างไรพ้นหรือยัง ยัง ท่านยังไม่พ้น ละเอียด แต่ละเอียดมาก จากนั้นก็พาดมานี้ละหาเรา หน้าซีด เดี๋ยวนี้พ้นแล้ว คือหลังจากนั้นมาพ้นแล้วท่านสิงห์ทอง นี่ท่านก็มาถามเรา มาถามและมาสารภาพ ไม่ทราบเป็นอย่างไรจิตผมละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป เดี๋ยวนี้เลยไม่ทราบว่าจิตสิ้นหรือยัง แต่ไม่สงสัย ถ้าว่ามีกิเลสตัวใดก็ไม่มี แต่มันไม่บอกขณะ ท่านว่าอย่างนั้น
เรื่องขณะเป็นอีกอันหนึ่ง คือองค์นั้นบรรลุธรรมอยู่ที่นั่นๆๆ มีบอก เช่นอย่างพระอานนท์บรรลุธรรมอิริยาบถสี่ใช่ไหมละ ส่วนมากจะบอกองค์ใดบรรลุธรรมอยู่ที่เช่นไรๆ อิริยาบถยืนเดินนั่งนอนบรรลุอยู่ในอิริยาบถใดส่วนมากบอก แต่ที่ท่านสิงห์ทองท่านบอกว่าไม่บอก พิจารณาๆ ไป หมดไปๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือเดี๋ยวนี้ จิตไม่มีปรากฏกิเลสเลย จะว่าหมดเมื่อไรก็ไม่เห็นบอก ท่านว่าอย่างนั้นนะ นี่มันขัดข้องตรงนี้ แต่ไม่ได้ขัดข้องว่าเจ้าของมีกิเลสนะ มันขัดข้องครูบาอาจารย์และสาวกทั้งหลายท่านบรรลุธรรมอยู่ในอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน อันนี้ท่านรู้หมด แต่ผมไม่รู้ แต่มันหายสงสัยแล้ว เรื่องกิเลสนี้ไม่มี หายเงียบไปเลย
พอว่าอย่างนั้น เออ..นี่อรหันต์มี ๔ เราบอก ให้ท่านเทียบก็แล้วกันนะ สุกขวิปัสสโก ผู้รู้อย่างเรียบไปเลยก็มี อย่างท่านไม่รู้เลย แต่ว่ากิเลสมีในใจไม่มี หมด แต่ไม่ได้บอกขณะใด เรียกว่าเรียบไปเลย ท่านอาจจะอยู่ในสุกขวิปัสสโกก็ได้ เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต อรหันต์มีหลายประเภท องค์หนึ่งแสดงฤทธิ์อย่างนั้น องค์หนึ่งแสดงอย่างนี้ องค์หนึ่งเงียบไปเลยอย่างท่านสิงห์ทองท่านว่าเงียบไปเลย สงสัยว่าเจ้าของมีกิลเสก็ไม่สงสัย หายสงสัย แต่ไม่บอกขณะ เวลาท่านตายแล้วอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุนะท่านสิงห์ทอง คือไม่บอกขณะ สิ้นไปเลย ส่วนมากมี สุกขวิปัสสโกไม่บอกขณะไปอย่างเรียบๆ เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี้บอกขณะๆๆ อรหันต์ ๔ ให้พร
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|