ปทปรมะกับความรู้ขุยไม้ไผ่ (เทวดา-พุทธกิจ 5)
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2543 เวลา 8:10 น. ความยาว 22.48 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

ปทปรมะกับความรู้ขุยไม้ไผ่

ก่อนจังหัน

พระที่มาอยู่วัดป่าบ้านตาดนี้มีทุกภาค ทั่วประเทศไทยมารวมอยู่จุดนี้หมด เราก็พยายามอุตส่าห์บึกบึนรับพระรับเณร ไม่ว่ารายไหนมาส่วนมากมักจะเป็นซุงทั้งท่อน ๆ เพราะขาดการศึกษา ความสนใจเป็นสำคัญนะ มันถึงเก้งก้าง ๆ พระเรานี้เก้งก้างไม่ได้เหมือนสัตว์เก้งก้างนะ ไม่เหมือนคนเก้งก้าง ความเก้งก้างของพระนี้เป็นภัยต่อตา หู จิตใจของประชาชนมาก เพราะเป็นหลักใหญ่ เป็นที่ตายใจของประชาชนคือพุทธศาสนา พระเราเก้งก้างดูไม่ได้นะ เด็ก ประชาชนทั่ว ๆ ไปเป็นอีกประเภทหนึ่ง ๆ แล้วพระเก้งก้างใช้ไม่ได้นะ

นี่ผมพยายามปฏิบัติกับหมู่กับเพื่อนหนักมากอยู่นะ แล้วผู้ที่อยู่ก่อนอยู่ที่นี่ผู้หนัก-หนักมากนะ ผู้ไม่ได้เอาไหน ๆ นั้นมันก็แทรกเข้ามา ๆ อย่างนี้ ทำความเสียหายแก่วัด แก่วงส่วนรวมคือจุดใหญ่ เช่นวัดอย่างนี้ ให้พิจารณากันให้มากนะ วันนี้ผมจะพูดแบบบรรจง วันนี้จะพูดแบบบรรจง หลวงตาบัวเกิดมาอาจจะเป็นในสกุลของลิงก็ได้ กัดก็เร็ว เห่าก็เร็ว ดุก็เร็ว ดีก็เร็ว วันนี้จึงพูดแบบบรรจง ให้พากันพิจารณา ฟังเสียงแบบบรรจง พิจารณาละเอียดลออนะ เรียกว่าบรรจง พิจารณาทุกอย่างละเอียดลออ

พระเราเป็นหลักหัวใจของประชาชน ทั้งประเทศไทยเรานี้อย่างน้อย ๘๐% พุทธศาสนาของเรา ขอให้ทำตัว… ดูจิตใจนั้นละสำคัญ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี จะไปรวมอยู่ที่จิตใจ ความผิดถูกชั่วดีอยู่ที่จิตใจ ให้ตั้งสติเข้าไปอยู่นั้นติดประจำตัวเอง นี้ละคือเรื่องของพระ สติและปัญญาพินิจพิจารณาใคร่ครวญ พระประเภทที่ว่าสุขุมคือสุขุมที่หัวใจ พระพุทธเจ้าสุขุมที่หัวใจ ให้จำอันนี้ให้ดีทุก ๆ องค์ ผมน่ะสงสารจริง ๆ รับหมู่รับเพื่อนน่ะ รับด้วยเจตนาอยากจะให้ได้เป็นสารประโยชน์

เช่นอย่างอยู่ภาคใด ๆ นี้ ส่วนมากพอศึกษาเล่าเรียนพอประมาณแล้ว มักจะกลับไปถิ่นฐานบ้านเรือนของตน เราจึงคิดอันนี้มากทีเดียว เพื่อจะได้สาระสำคัญ ๆ ไปสู่ถิ่นฐานบ้านเรือนของตน จึงต้องรับทั่วหน้ากันหมด เพราะส่วนมากพระเราไม่ว่าอยู่ภาคไหน มันหากเป็นในหลักธรรมชาติ พอศึกษาเล่าเรียนได้พอสมควรแล้ว มักจะไปสู่ถิ่นฐานบ้านเรือน พ่อแม่พี่น้องญาติมิตรของตน ก็ขอให้ได้ของดี คือธรรมพระพุทธเจ้านี้ติดหัวใจไป กิริยามารยาทความประพฤติให้ติดไป อันนี้สมเจตนาของธรรมด้วย ของหัวหน้าคือสำหรับผมเองเป็นผู้รับท่านทั้งหลายไว้ด้วย รับไว้อย่างนั้นนะ ขอให้หายึดเอาสิ่งที่ดีงามทั้งหลายนี้

วันนี้เตือนแบบบรรจง ให้ฟังอย่างบรรจง ด้วยความพินิจพิจารณาฝังใจทุก ๆ องค์นะ

หลังจังหัน

วันที่ ๒๑ ทองคำได้ ๑๖ สตางค์ แต่ก็ยังดีเราไปภูสังโฆเมื่อวานนี้ ได้ทองคำมา ๑๑ บาท ภูสังโฆดึงไว้นะ วัดป่าบ้านตาดมันจะจม มันจะพาบริษัทบริวารจมหมด มาคนเต็มศาลา หลวงตาบัวจะพาคนทั้งศาลานี้จมหมด ทางภูสังโฆดึงเอาไว้เมื่อวานนี้ ได้ทองคำ ๑๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๒๐ ดอลล์ ส่วนดอลลาร์ของเราได้ ๒๓ ดอลล์ นี่ค่อยยังชั่วพอพยุงกันไป ส่วนทองคำภูสังโฆลากขึ้น วัดป่าบ้านตาดจะจม

วันนี้ ๔ โรงนะ หนองหาน เจริญศิลป์ แวงใหญ่ ภูเรือ มีเป็นประจำ ๆ ที่มานี้ให้เสมอกันหมดนะ ไม่ได้มีลดหย่อนต่างกันเลย เราเป็นคนสั่งเอง กำหนดจำนวนเท่าไร อันนั้นเท่าไร ๆ แล้วพระก็ปฏิบัติตามนั้น เราอยู่หรือไม่อยู่ไม่สำคัญ เช่นอย่างเราไปกรุงเทพนี้ก็จัดอยู่อย่างนั้นตลอด รถทางโรงพยาบาลไหนมาก็เหมือนกับเราอยู่ เพราะได้สั่งเสียไว้เรียบร้อยแล้ว ขาดตกบกพร่องไม่ได้ ไปหามาให้เต็มตลอด นี่ปฏิบัติมาอย่างนั้นไม่ทราบว่ากี่ปี ปฏิบัติมาอย่างนั้นเป็นประจำ ๆ รู้สึกค่อนข้างจะเป็นประจำละ วันละสองโรงสามโรง วันละหนึ่งโรงมีน้อย อาทิตย์หนึ่งจะขาดวันหนึ่งก็ทั้งยากนะ ไม่ค่อยขาด วันละสองโรงสามโรงนี้เป็นประจำ ๆ สี่โรงห้าโรงนาน ๆ มีที

นี่ก็จะไปส่งของเขา เพราะเราคิดแล้วนี้มันเดือนกว่ามาแล้วนะ ๒๙ ครอบครัว สองด่านนะ อันนี้เขาก็ยากจน ใครไม่ยากจนไม่ค่อยมีนะ มีแต่คนยากจนทั้งนั้นแหละ พอถูไถกันไปได้ก็ถูไถกันไป แล้วก็ช่วยกันไปอย่างนี้ นี่เราก็ช่วยมานานแล้ว ตั้งแต่ไปสร้างตึกโรงพยาบาลหล่มสัก เพราะมันผ่านด่าน ด่านแรกแล้วด่านทางด้านโน้น

สร้างตึกโรงพยาบาลหล่มสัก เราไปมาเรื่อยไปดู แล้วสังเกตไปเรื่อย คอยซื้ออะไร ๆ บ้าง ให้คนรถซื้อเพื่ออุดหนุนเขา ฝ่ายผู้หญิงเขาไปขายของ ฝ่ายผู้ชายก็ตรวจด่าน ฝ่ายผู้หญิงที่มาขายของเขาก็ประจำ ๆ ด่าน เราดู แล้วต่อไปก็สั่งให้ซื้อโน้นซื้อนี้ ซื้อแล้วไม่เอาของบ้างอะไรบ้าง เอาบ้างเล็กน้อย ผ่านไปผ่านมา ทีนี้ตกลงเลยตั้งใจสงเคราะห์เลยนะ ในย่านสร้างตึกนั้นทำอย่างนั้นก่อน

พอหลังจากสร้างตึกแล้ว ทีนี้ไปส่งเองเลย เอาของไปลง ถามว่าจุดนี้มีกี่ครอบครัว ๆ ถามจนชัดเจนแล้วเอาของไปแจกให้ทั่วถึงหมดเลย เวลานี้มี ๒๙ ครอบครัว เราก็สงเคราะห์ตั้งแต่นั้นเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ แล้วพวกนี้ก็ไม่ทราบเราด้วยว่าเป็นใคร เราก็ไม่สนใจจะให้ใครทราบ เขาก็เห็นเป็นธรรมดา เราไปส่งของนั้นก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นใคร ส่วนมากไม่ลงรถนะ ให้คนรถบอกเขามาขนลงช่วย แล้วนับจำนวนเท่านั้น ๆ พอเสร็จแล้วบึ่งเลย ไปถึงโน้นก็เหมือนกัน ส่วนมากเราไม่ค่อยลงรถนะ นั่งอยู่ข้างบน ส่งของเสร็จแล้วกลับ ๆ

เขาไปเจอเอาตอนที่ออกทีวีล่ะซี ขึ้นสนามขึ้นเวที เขาว่า โอ๋ย หลวงตาองค์นี้เอง ขึ้นแล้วที่นี่ แต่ก่อนพวกเจ้าเป็นบ้าบ่ บอกอย่างนั้นแหละเฮา ตาบอดบ่ฮู้จัก โอ๊ย บ่ฮู้จัก เพิ่งเห็น นั่นละจึงรู้ตั้งแต่นั้นมา พวกฝ่ายผู้ชายเจ้าหน้าที่ก็เริ่มสนใจ สนไม่สนเราก็เท่าเดิม ทีแรกเขาก็ธรรมดา เขาเห็นไปส่งก็คงคิดว่าจะเป็นหลวงพ่อมาจากไหน จนกระทั่งออกทางทีวีขึ้นเวทีแล้วเขาจึงรู้ เขาดูทีวี มีสองด่าน นี่ก็เดือนกว่าแล้วยังไม่ได้ไป คือแบ่งไปทางโน้นบ้าง แบ่งไปทางนี้บ้าง วันหนึ่ง ๆ เราไม่ค่อยมีเวลาว่างดังที่เห็นนั่นแหละ แยกไปโน้น แยกไปนี้อยู่อย่างนั้น

ความเมตตานี่เหมือนกับว่าดึงตลอดนะ อยู่ภายในนี้ ดึงตลอด ให้สอดให้ส่องให้คิด จุดไหนหนักเบามากน้อยเพียงไรมันก็คิดของมันเป็นของมันเอง วันนี้ไปทางนั้น วันนั้นไปทางนั้น อยู่อย่างนั้น อำนาจความเมตตานี้พูดให้ใครฟังไม่ได้ พูดได้ว่า ตั้งแต่ที่จะพูดให้รวมเลยก็บอกว่า ความเมตตานี้เต็มหัวใจเลยไม่มีบกพร่อง สมบัติเงินทองข้าวของที่ช่วยนี้ เอ้า หมดไป ๆ แต่เมตตาไม่หมด หมดไปแล้วยังอยากให้ ไม่มีอะไรก็ยังอยากให้อยู่ นั่นเมตตาเป็นอย่างนั้น เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ท่านว่า

แล้วก็มีธรรมบทหนึ่งอีก โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ ความโลภเป็นภัยต่อโลก ฟังซิ ความเมตตาเป็นคุณต่อโลก ความเมตตา คือ การให้ การเสียสละ ๆ กระจายไปไหนเป็นสุข เย็นไปหมดเลย ต่างกันนะ ความโลภไปที่ไหนมีแต่จะกว้านเอา ๆ ไปที่ไหนก็เดือดร้อน ๆ นั่นเห็นไหมธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้ อย่าง โลโภ ธมฺมานํ ปริปนฺโถ ความโลภเป็นอันตรายต่อธรรมทั้งหลายด้วย ธรรมอยู่กับโลก อยู่กับคน มันก็เป็นอันตรายต่อโลก แต่ความเมตตานี้เป็นคุณต่อโลกมากมาย เป็นคู่ปรับกันอย่างนี้ คือเป็นคู่ปรับกันมาเป็นเวลานาน เรื่องกัปเรื่องกัลป์อันนี้มันนาน ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์ ขนานกันต้านทานกันมาตลอด ทีนี้สัตวโลกมันตาบอดไม่เห็นนั่นซี สอนเท่าไรมันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

กิเลสมันก็ดึงของมันไปเรื่อย โอ๋ย แหลมคมมากนะกิเลส ให้เอาธรรมจับมันถึงได้รู้ชัดนะ กิเลสนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากธรรมเท่านั้นจะรู้กิเลสได้ ไม่มีอะไรในโลกนี้ เพราะเป็นโลกของกิเลสทั้งหมด เป็นโลกที่มืดบอดทั้งหมด คือกิเลสนั้นทำสัตว์ให้มืดบอด ส่วนกิเลสมันฉลาดแหลมคม จึงเป็นคู่แข่งกับธรรมตลอดมา ทีนี้ธรรมเหนือกิเลสอีก ถึงจะแข่งขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังมีธรรมอยู่แล้วมีทางต่อสู้ พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป ถ้าหากว่าธรรมมีมาก ก็เอาทางนั้นอ่อนลง ๆ ฟาดจนกระทั่งพินาศฉิบหายไปกลายเป็นศาสดาองค์เอกขึ้นมา นั่นละผู้ชนะกิเลสตัวเป็นภัยได้โดยสิ้นเชิง กับพระอรหันต์ท่าน เหล่านี้เรียกว่ากิเลสราบหมด

นี่ละตัวเป็นภัยต่อโลก มันเป็นภัยทุก ๆ เม็ดหินเม็ดทรายนะกิเลสนี่ จิตวิญญาณอยู่ตรงไหน นั่นละกิเลสจะอยู่ในนั้น ๆ แล้วธรรมก็มีแทรกอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงว่าโลกสกปรกโสมมอย่างที่ว่านี่นะ เราพูดจริง ๆ เรามาช่วยโลกเราช่วยด้วยความบึกบึนความฝ่าฝืน เพราะอำนาจแห่งเมตตานะ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไม่ยุ่งกับมันได้เลย มองดูเฉย ๆ จนมองดูไม่ได้ว่างั้นเลย มันสกปรกขนาดไหน มันโหดร้ายทารุณขนาดไหน กิเลสมันไม่เคยให้ความดีแก่ผู้ใดเลย ธรรมจับเข้าไปมันเห็นหมดว่าไง ปิดไม่อยู่

เมื่อมีแต่กองมูตรกองคูถอย่างนี้แล้วจะไปขยี้ขยำมันหาอะไร อยู่ ๆ ก็ไปหาขยี้ขยำกองมูตรกองคูถมีอย่างเหรอ ทีนี้จึงได้เทียบให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า กองมูตรกองคูถนั้น ถ้ามีแต่กองมูตรกองคูถจริง ๆ แล้ว ธรรมนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปเกี่ยวข้องเลย แต่นี้กองมูตรกองคูถมันมีแร่ธาตุ หรือว่ามีสาระสำคัญ ๆ อันดีอยู่ในนั้น คือ คนชั่วคนมืดคนบอดเหมือนกับกองมูตรกองคูถ คนที่ดีมีอุปนิสัยปัจจัย อยู่ในจิตนะไม่ได้อยู่ที่อื่นที่ใด ทั้งกิเลสทั้งธรรมอยู่ในจิตดวงเดียวนั่นแหละ

ทีนี้จิตดวงนี้เป็นจิตที่มีอุปนิสัย มีเชื้อแห่งธรรมฝังอยู่นั้น ๆ ตลอดถึงเป็นจิตที่มีอุปนิสัยปัจจัย จนกระทั่งถึงจะหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ มันก็แทรกอยู่ในกองมูตรกองคูถนั้น นั่นละที่พระพุทธเจ้าคุ้ยเขี่ยขุดค้นสั่งสอนสัตวโลกแทบเป็นแทบตายตลอดมานี้ถึง ๔๕ พรรษา ถึงปรินิพพาน ยังพาดบันไดหรือวางเอาน้ำไว้ คือธรรมที่สะอาดสำหรับชะล้างสิ่งเหล่านี้ห้าพันปีนี้ เหมือนว่าสายทางเดินอันหนึ่ง เหมือนกับน้ำสำหรับชะล้างสิ่งสกปรกหรือน้ำดับไฟหนึ่ง เอาไว้เป็นประจำ ประจำแก่ผู้ที่มีอุปนิสัยอย่างนี้ยังมี ที่มันสับมันปนอยู่ในมูตรในคูถนั่น

คนดีมี ไม่ใช่ว่าจะเป็นกองมูตรกองคูถไปด้วยกันหมด ถ้ามีแต่นั้นแล้วก็จะสอนหาอะไร เรียกว่าธรรมก็ไม่มีความหมายแล้วแก่โลกหาสารประโยชน์ไม่ได้ แต่นี้มันมีแทรกอยู่ ๆ ท่านจึงค่อยพยายามบึกบึนสอน อันนี้มันชัดขนาดนั้นนะ มันเห็นขนาดนั้นจะให้ว่าไง ว่ากองมูตรกองคูถ ที่ดีมันยังมี เอ้า จำเป็นจะต้องคุ้ยเขี่ยขุดค้น เหม็นก็ยอมดม ขมก็ยอมกลืนไปอย่างนั้นแหละจะว่าไง เพราะจะเอาอันที่ดีมันยังมีอยู่ ๆ นั้น นี่ละบึกบึน เป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้โลกไม่เห็นล่ะซี พระพุทธเจ้าผู้มาสอนโลก ไม่รู้สอนได้ยังไง ไม่ฉลาดเหนือกิเลสสอนโลกให้แก้กิเลสได้ยังไง นั่นละท่านพาบึกพาบึนสอนสัตวโลก

ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ปัจฉิมยามแล้วเล็งญาณดูสัตวโลกเป็นประจำ นี่เรียกว่าพุทธกิจ ๕ งานของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะมี ๕ อย่าง ขาดไม่ได้เลย

ตั้งแต่บ่าย ๔ โมงไปแล้วเทศน์สอนประชาชน นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมาถึงพ่อค้าประชาชนคนธรรมดาทั่วไป นี่เป็นข้อหนึ่งแล้วนะ บ่าย ๔ โมง

ข้อที่สอง พอตกค่ำเข้ามา พระสงฆ์ทั้งหลายมุ่งมั่นต่อการได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้าตลอดเวลาแล้วรออยู่ตลอด พอตกค่ำเข้ามาก็ประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องมรรคผลนิพพาน เรื่องกองทุกข์ทั้งหลาย ให้เห็นทั้งโทษทั้งคุณ สอนวิธีบุกเบิกเลิกถอนมันไปเรื่อย ๆ

จากนั้นก็ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ เป็นข้อที่สาม นี่ฟังให้ดีนะ เวลานี้กำลังมีเทวทัตอันใหญ่หลวงแทรกอยู่ในวงศาสนา มันหลับตาหลอกประชาชน ประชาชนที่หลงตามก็จะมีมากนี่นะ ว่าเทวดาไม่มี อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ นี่พระโอวาทคำนี้ เป็นงานของพระพุทธเจ้าที่ทำต่อเทวดามาเป็นประจำองค์ศาสดาด้วยกัน ๕ ข้อ นี่เป็นข้อที่สาม ฟังให้ดี อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตั้งแต่หกทุ่มไปแล้วทรงแก้ปัญหาเทวดา อบรมสั่งสอนพวกเทวดา

คำว่าเทวดาเป็นคำรวมของเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา จนกระทั่งถึงภูมิเทวดา อากาสาเทวดา รุกขเทวดา เหล่านี้เป็นเทวดาแต่ละประเภท ๆ เหมือนสัตวโลกเรา กับหมูกับหมากับเป็ดกับไก่มันอยู่ด้วยกันอย่างนี้ สัตว์ประเภทต่าง ๆ มีอยู่อย่างนี้ อย่างอยู่ในวัดนี้มีประเภทเดียวเมื่อไร เห็นไหม ไปที่นั่นเห็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ๆ อันนี้ก็เหมือนกัน พวกเทพทั้งหลายประเภทต่าง ๆ กันอย่างนี้ จนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหมลงมา เรียกว่า อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ พอหกทุ่มล่วงไปแล้วทรงแก้ปัญหาและเทศนาสั่งสอนพวกเทพทั้งหลาย นี่เป็นข้อที่สาม

เป็นยังไง พระพุทธเจ้าทรงทำหน้าที่เอง แล้วประวัติก็สอนมาอย่างนี้เอง แล้วมันได้ความรู้ที่วิเศษมาจากไหน พวกปู่พวกย่าเทวทัตโคตรเทวทัตมาจากไหน มาทำลายศาสนา ว่าเทวดาไม่มี ฟังซิ มันเอาอันไหนมาอวดมาอ้าง เอาตาบอดมาอวดมาอ้าง พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนตาบอดนี่นะ สอนโลกเพื่อความตาดี พระองค์ตาสว่างแล้ว โลกวิทู ว่าไง รู้แจ้งเห็นจริงหมด อันนี้มันไปเอา โลกมืดตื้อเท่านั้น มันจะเอาโลกวิทูมาจากไหนโลกมืดบอด มันยังมาอวดตัวอวดตนว่าเทวดาไม่มี ๆ ขายตัวเองแล้วยังไม่แล้ว ยังทำลายชาวพุทธเราให้เสีย ทำลายพุทธศาสนาให้เสียอีกมากมายนะ นี่เป็นข้อที่สาม

แล้ว ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ อีก พอปัจฉิมยามค่อน ๆ คืนไปแล้วทรงเล็งญาณดูสัตวโลกที่จมอยู่ในกองมูตรกองคูถที่ว่านี่นะ รายไหนที่ควรที่จะฉุดจะลากไปได้อย่างรวดเร็ว มีอุปนิสัยปัจจัยที่จะหลุดพ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่มีอันจะเป็นไปในชีวิตอย่างรวดเร็ว ก็ต้องเสด็จไปโปรดคนนั้นก่อน นอกจากนั้นก็เสด็จไปโปรดทั่ว ๆ ไปตามผู้ที่มีอุปนิสัยอย่างนี้ ผู้ที่รอ เช่น วัวอยู่ปากคอกจะออกอยู่แล้ว พอเปิดประตูปั๊บมันจะออกทันที ๆ แล้วก็หนุนกันออก ๆ

มีอยู่จำนวนมากอยู่ในคอก คอกมูตรคอกคูถเข้าใจไหมล่ะ จมอยู่ในคอกมูตรคอกคูถเต็มไปหมด ตัวที่จะออกมันยังมีก็ต้องไปเปิดประตูไล่ออก ส่วนผู้ที่รออยู่แล้วไม่ต้องไล่ พอเปิดปั๊บออกเลย ๆ เพราะอยากออกอยู่แล้ว แล้วก็หนุนกันไปเรื่อย ๆ พวกที่ไล่ออกก็มี ทั้งจะออกทั้งจะเข้าก็มี อย่างพวกเราอยู่ใต้ถุนศาลานี่แหละ ทั้งจะออกทั้งจะเข้าไม่ทราบว่าไง จะออกจะเข้ารบกันในคนคนเดียวนั่นละ อันหนึ่งจะขี้เกียจ อันหนึ่งจะขยัน ซัดกันไปซัดกันมา ตัวหนึ่งจะง่วงนอน ตัวหนึ่งต้องสู้ นี่ละฟัดกันไปฟัดกันมา นี่ประเภทที่สาม

ประเภทที่สี่ อยู่ก้นคอก ใครอย่าไปยุ่งพวกประเภทก้นคอกถ้าไม่อยากให้มันไล่ชนเอา ไปปลุกมันไม่ได้มันไล่ชนเอาเลย ดีไม่ดีผู้ที่ไปไล่ออกจากก้นคอก โอ๋ย ป่าเลิกไปเลย มันไล่ขวิดเอา ประเภทนี้ประเภทที่สี่อยู่กองมูตรกองคูถโดยแท้ อันนั้นท่านไม่ยุ่งนะ ปล่อยเลย มันมีสามสี่ประเภทกำลังฉุดลาก นี่พระพุทธเจ้าคุ้ยเขี่ยอันนี้เอง อยู่ในคอกนี้ คอกมูตรคอกคูถ คอกวัฏจักร คอกวัฏวน คอกวัฏทุกข์ อยู่ในนี้หมด นี่เรียกว่าคอกวัฏจักร คือคอกของสัตวโลกที่ถูกกิเลสขังเอาไว้ พระพุทธเจ้ามาเปิดประตูดึงออกๆ ตามประเภทของสัตว์มีอยู่ ๔ ประเภทด้วยกันประเภทที่รอที่จะออกอยู่แล้วมี พอเปิดออก ตัวที่สองหนุนกันไปออก

พวกประเภทที่สามนี้ไล่ออกแล้วก็ออก ๆ ทั้งไล่ทั้งฝืนนั่นละ ท่านจึงว่าประเภทเนยยะ เนยยะ แปลว่าเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนหรือลากจูงไปได้ แปลว่างั้นบาลี

ประเภทที่สี่ปทปรมะ อย่ายุ่งความหมายว่างั้นนะ ประเภทปทปรมะนี่ เรียกว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย เขาบอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเขา ประเภทนี้หมดสารคุณ รูปร่างเหมือนคนเหมือนสัตว์นั่นแหละ หัวใจมันดำ ดำจนไม่มีอะไรที่จะส่องแสงเข้าไปถึงเลย อรรถธรรมส่องแสงเข้าไม่ถึง ประเภทนี้หนามากที่สุด เราอย่าไปดูรูปร่างของสัตว์ประเภทนี้ ดูไม่ได้ ต้องเอาธรรมจับดูหัวใจ ถ้ามันแสดงหยาบกว่านั้นมา ก็แสดงเป็นการปล้นการจี้การสะดมรีดไถ การคดการโกง ประเภทนี้ประเภทไม่ฟังเสียงใครเลย มีแต่จะกิน ๆ ตั้งแต่น้อยถึงมาก กินไปจนจะกินกันได้ทั้งบ้านทั้งเมือง เอา เฉพาะอย่างยิ่งจะเอาให้ชาติไทยของเราจมก็ได้ ถ้าเรายกเข้ามาประเภทนี้มาอยู่ในเมืองไทยเรา เมืองไทยเราจะต้องล่มจมจากประเภทเหล่านี้

ประเภทปทปรมะไม่ยอมฟังเสียงบุญเสียงบาป เสียงอรรถเสียงธรรม แม้จะเป็นลูกศิษย์พระอยู่ในวัดในวา ศึกษาปรารภอบรมสั่งสอนจากพระก็ตาม ไปเรียนหนังแส่หนังสืออยู่ตามโรงร่ำโรงเรียน ได้ความรู้มาแล้วกลับเป็นขุยไม้ไผ่ ไปทำลายแม่ตัวเองพ่อตัวเอง ทำลายวัดทำลายวาทำลายศาสนาไปได้ จากคนประเภทขุยไม้ไผ่ ขุยไม้ไผ่เกิดขึ้นมาแล้วฆ่าพ่อแม่ตัวเอง เช่นอย่างปลีกล้วยอย่างนี้เหมือนกัน ปลีกล้วยเป็นยังไง พอมันออกปลีออกลูกมาแล้วแม่มันต้องตาย นี่ขุยไม้ไผ่ถ้ามันเกิดขุยแล้ว กอไผ่กอนั้นต้องตายหมด ความรู้ของคนทำโลกพินาศนี้เกิดขึ้นมามากน้อยนี้ ทำความพินาศแก่โลกแก่สงสาร แก่ครูแก่อาจารย์แก่วัดแก่วา ไปศึกษาเล่าเรียนมาจากวัดจากวา เป็นลูกศิษย์วัดออกมาก็เป็นเทวทัตทำลายชาติศาสนา ทำลายประชาชนได้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะความมืดบอดตัวนี้เอง เข้าใจไหม

แต่งเนื้อแต่งตัวนี้ โอ๋ย หรูหร่าฟู่ฟ่านะพวกนี้ เหมือนไอ้ปุ๊ดไอ้ปื๊ดอยู่ในกรุงเทพฯ เรานี่ อันนี้ก็ท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านเล่าให้ฟัง น่าฟังนะ ไอ้สองคนนี้รูปลักษณะเหมือนกัน แต่งตัวนี้ผึ่งผาย ไม่มีเจ้าหน้าที่พวกตำรวจไม่กล้าไปตรวจเขานะ สองคนนี้ถือไม้ตะพด ถือไม้ตะพดกึกๆ ไปอยู่สถานที่ชุมนุมชน เช่นสถานีรถไฟบ้าง หรือสถานที่ชุมนุมชนตรงไหน เขาจะทำท่าใหญ่โตเขาจะไปที่นั่น ท่านอาจารย์มหาทองสุกเล่าให้ฟัง คือไอ้ปื๊ดกับไอ้ปุ๊ดสองตัวนี่ ไปที่ไหนนี่ไม่มีใครกล้า ทีนี้เวลาเขาไป มันบังเอิญขึ้นรถคนละคัน รถสามล้อ แต่ก่อนมีแต่สามล้อ

เวลาขึ้นรถไปมันปวด ปวดอะไร ปวดขี้นั่นเอง ว่าปวดหนักปวดเบามันไม่ถึงขีดถึงแดนถึงเหตุถึงผลของมัน มันปวดขี้มันก็จ้างเอาสามล้อเขา ขึ้นสามล้อ พอสามล้อเขาวิ่งไปแล้วมันก็ขี้ฟาดใส่ถังมันเสร็จ พอขี้สุดเรียบร้อยแล้วมันก็ เออเอาละเท่านี้พอ มันก็ลงรถไป จ่ายเงิน ขี้มันฟาดใส่ในนั้นแล้ว มันไปเล่าให้หมู่เพื่อน ท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย สองคนนี้ก็อยู่ที่นั่น ไปเล่าให้ฟังว่าขี้ใส่สามล้อเขา พอขี้สุดแล้วก็จ่ายเงินให้เขาแล้วก็เอาละเท่านี้พอ ไอ้นั้นมันคงจะแช่งเอาเต็มเหนี่ยว จนกระทั่งป่านนี้มันหยุดแช่งหรือยัง ให้ไปหาถามดูทีน่ะ เขาแช่งไอ้ปื๊ดไอ้ปุ๊ดน่ะ

พวกนี้มันแต่งตัวโก้หรู ทำหน้าที่การงานลักษณะผึ่งผายลายตา น่ากลัวน่าเกรงขามมาก ยักษ์ใหญ่ตัวนี้น่ะ แล้วยิ่งเป็นตัวราชการด้วยแล้วยิ่งหรูหราฟู่ฟ่านะแต่งตัว นี้คือยักษ์ใหญ่กินชาติกินบ้านกินเมือง กินตับกินปอดประชาชนด้วยความมืดบอดสุดยอด ไม่ยอมฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ ไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ไม่ยอมฟังเสียงประชาชนคนทั้งแผ่นดิน มันจะเอาท่าเดียว มีแต่จะกินจะกลืนท่าเดียว อำนาจบาตรหลวงสูงจรดเมฆจรดฟ้า หลงยศอำนาจตัวเองเลยเป็นยักษ์เป็นผีกินบ้านกินเมืองได้ นี่ประเภทที่มืดที่สุด มันไม่ยอมอะไรเลย จะเอาท่าเดียวๆ

อยู่ในเมืองไทยเราก็มี อยู่ที่ไหนก็มี เพราะสัตว์มีกิเลสมีการทำดีทำชั่วได้ด้วยกัน จึงมีได้ทุกแห่งไป อยู่ในวัดในวาเรานี้ก็มี ตามประเภทๆ เรานี้ อยู่ใต้ถุนศาลาเรานี้มีแต่คลังอันนี้ทั้งนั้นละนะ หลวงตาบัวเป็นผู้อำนวยการคลัง คลังกิเลสตัณหากิเลสตัวมืดบอด ไม่มากก็เอา เอาซิที่ว่าต่อสู้กับความขยันเพื่อความเพียรด้วยความขี้เกียจเท่านี้ก็พอ เต็มแล้วศาลาเรานี้ ไม่อดไม่อยากนะเต็มไปหมด เพราะเหตุไร เพราะหลวงตาก็เคยเป็นตัวขี้เกียจมาแล้ว เดี๋ยวนี้ยังไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นตัวขยันนะ ถ้าขยันก็ขยันกัดคนบ้างเห่าบ้าง เห่าไม่ค่อยเห่าอะไรมากนัก กัดมันไปพร้อมๆ กัน เห่าว้อกกัดปั๊บเลยเหมือนไอ้กี้ ไอ้หยองนั่นแหละ

กิเลสตัวนี้ตัวสำคัญมากนะ ตัวนี้จะไม่ยอมออกปากคอก ดึงเท่าไรไม่ยอมออก ใครจะบอกจะกล่าวว่าไงไม่ยอมออก มีแต่หน้าด้านท่าเดียว จะเอาให้ได้อย่างใจท่าเดียว นี่ละทำโลกให้ฉิบหายด้วยการทำให้สมกับใจตัวเอง หรือให้สะใจว่างั้นเถอะ กิเลสมีแต่เอาให้สะใจๆ เจ้าของ คนอื่นพินาศฉิบหายไปมากมายเพราะความสะใจนี้ กิเลสพอใจแล้วกิเลสของคนประเภทนี้ พี่น้องทั้งหลายจำเอา มันมีอยู่ทุกแห่งทุกหน

นี่เราพูดถึงคน ๔ ประเภท พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ประเภท ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ใครมีอุปนิสัยปัจจัยที่จะควรลากเข็นไปได้แค่ไหน พระองค์ก็ทรงเมตตาสงสาร นี่ละเท่ากับคุ้ยเขี่ยกองมูตรกองคูถ

พอตื่นเช้ามาก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตวโลกทั้งหลาย เขาได้เห็นได้ยินได้ฟังชั่วแย็บๆ เท่านั้น เป็นมหามงคลแก่เขาอย่างยิ่งจากพระพุทธเจ้า ฟังซิ นี่ท่านบิณฑบาตโปรดสัตว์ ท่านโปรดอย่างนั้นจริงๆ ไอ้พวกเราเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นสัตว์โปรดพระแล้วนะ ไปที่ไหนบิณฑบาต พูดแล้วเราเห็นด้วยตาของเรา ไม่ทราบทั้งเขาทั้งเราก็แย่งกันเหมือนกันก็ไม่รู้นะ หลวงตาบัวก็ไม่ได้รับรอง หลวงตาบัวอาจเข้าแย่งขันข้าวเขาก็ได้ ที่เขามาใส่บาตรอยู่ตามถนนหนทาง รุมกัน พระนั้นเหมือนหมานี่ รุมกัน นี่เป็นเรื่องว่าสัตว์โปรดพระแล้วนะ ไม่ใช่พระไปโปรดสัตวโลกนะ ทางพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนี้ นี่ทางเทวทัตทางหมากัดกัน ทางหมาแย่งอาหารกัน ไม่มีธรรมในหัวใจเลย เห็นแก่ลิ้นแก่ปาก ความอยากความทะเยอทะยานอย่างเดียว ได้ข้าวเต็มบาตรมาก็พอ ไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม

เวลานี้มันเปลี่ยนมาอย่างนี้แล้วนะ มีหรือไม่มีไปหาดูเอา ถ้าเป็นเรื่องว่าเราอุตริ เราเห็นด้วยตาของเราแล้ว เราพูดจริง ๆ เราเข้านอกออกในได้ ในกรุงนอกกรุง บ้านในบ้านนอกเราไปหมด ไปที่ไหนจึงเห็นล่ะซิเรื่องราวมันมี เมื่อนำเอาสิ่งที่มีมาพูดผิดไปที่ไหน ผู้ที่เป็นยังเป็นได้ ความเป็นมันเป็นความหยาบโลนและความเสียหายที่สุด การพูดถึงเรื่องความเป็นเพื่อแก้เพื่อไขเพื่อได้สติสตัง ผิดตรงไหนเสียหายตรงไหน พิจารณาซิ เราไม่ได้พูดเพื่อความเสียหาย ผู้ทำต่างหากเสียหาย ผู้ทำชั่วอย่างนั้นต่างหากเสียหาย ถ้าเป็นพระ-พระต่างหากเสียหาย ถ้ากลายเป็นหมาก็หมากัดกันในวงของพระเท่านั้นเอง ในเพศของพระก็จะผิดอะไรไป

นี่ละเรื่องกิเลสมันหยาบขึ้นทุกวันเปลี่ยนแปลงมาทุกวัน นี่พูดถึงเรื่องว่าเทวบุตรเทวดาไม่มี มันเป็นยังไงค้านกันไหม นี่ละเรื่องทำลายศาสนาเวลานี้ ทำลายทุกแบบ พระก็ทำลายอยู่ในแบบของพระ ประชาชนทำลายได้แบบของประชาชน รวมแล้วต่างคนต่างทำลายตัวเองและส่วนรวม ให้เป็นตมเป็นโคลนไปตามๆ กันหมดนั่นแหละ ให้พากันมีสติสตังนะ ธรรมท่านเตือนท่านบอก อันใดที่ไม่ดีให้หลบให้หลีก ให้ปลีกเนื้อปลีกตัวออกจากมัน อย่าไปกล้าหาญกับมันถ้าไม่อยากจม นี่วันนี้พูดถึงเรื่องอะไรเลยลืมไปแล้วละ ต้นกับปลายมันจำไม่ได้นะหลงหน้าหลงหลังนะเวลานี้ เหอ พูดว่าไงต้องมาถามอีก ขึ้นเทศน์ใหม่ซิ (พุทธกิจ ๕ ครับ)

เออ เรื่องพระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นหมดความหมายว่างั้นนะ ความมืดความบอดกิเลสมันจะซุกจะซ่อนอยู่ที่ไหนนี้ เห็นหมดเลย จึงเรียกว่า โลกวิทู ไม่อย่างนั้นแก้ไม่ตก มันอยู่ในพระทัยพระพุทธเจ้าฟาดขาดสะบั้นลงไปหมด แล้วจิตสว่างจ้าเพราะกิเลสตัวมืดมิดปิดบังมันปิดพระทัยปิดใจพระพุทธเจ้า พอฟาดอันนี้ขาดสะบั้นลงไป ใจนี้จ้าอยู่แล้ว เปิดจ้าเลย ทีนี้ท่านก็เห็นหมดล่ะซี มาสอนพวกเรา เรายังจะไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้าผู้หูแจ้งตาสว่าง แล้วจะไปกอดคอกันกับคนตาบอดจูงกันไป ๆ แล้วต่อสู้พระพุทธเจ้าอย่างงั้นเหรอ พวกเรานี่พวกตาบอดต่อสู้คนตาดี ตาบอดคือบอดทางใจ คนตาดีได้แก่พระพุทธเจ้า สว่างจ้าภายใน จะไปต่อสู้กับครูแล้วจมนะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ ไม่พูดมากละ เหนื่อยแล้ว พูดไปๆ เลยไปใหญ่เลย ถึงขนาดหมากัดกันในวงพระ ให้พร

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก