เมื่อเช้าลง ๑๗ ครึ่ง เมื่อคืนนี้หนาวบ้าง เมื่อวานนี้ลง ๒๑ หรือไง
สำนักภูสังโฆนี้นับว่าเป็นชั้นเอกของการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นชั้นเอก วัดภูวัว วัดภูสังโฆ วัดดอยธรรมเจดีย์ อย่างนี้ประเภทชั้นเอกแหละ เรียกว่าได้ที่หนึ่งเลย ชั้นเอก หาที่ต้องติไม่ได้แล้ว จากนั้นสำนักต่าง ๆ ก็เป็นรองลำดับกันลงไป เช่นอย่าง วัดดงศรีชมภู เหล่านี้เป็นประเภทไล่เลี่ยกัน ดีทั้งนั้น
พระครั้งพุทธกาล พุทธกาลคือในเวลาที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ แปลแล้วนะ กาล ก็คือเวล่ำเวลา สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ขึ้นต้นก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ สอนพระที่บวช แล้วก็ชี้บอกสถานที่ชั้นเอก ๆ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย แปลให้เต็มศัพท์ก็คือว่า บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูล คือ ร่มไม้ ในป่าในเขา ท่านบรรยายไป ตามถ้ำ เงื้อมผา หรือป่าช้า ป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญสมณธรรม และจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด ฟังซิ ไม่มีคำว่าจืดจางนะ ให้ทำความอุตส่าห์พยายามอย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด
อันดับที่สองก็คือ ปิณฺฑิยา โลปโภชนํ บรรพชาอุปสมบทมาแล้ว บิณฑบาตด้วยปลีแข้งของตน พอยังอัตภาพให้เป็นไป นั่นฟังซิ พวกยาแก้โรคแก้ภัยประหนึ่งว่าแทบจะไม่มีนะ คือท่านบอกไม่ถืออะไรจำเป็นยิ่งกว่าการปฏิบัติธรรม ลงจุดนั้นทั้งนั้นนะ อะไร ๆ ต้องมุ่งธรรม มีธรรมเป็นแหล่งใหญ่ว่างั้นเถอะ เหมือนแม่น้ำจะมาจากสายใดก็ตาม ทำนบใหญ่เป็นที่รับน้ำทั้งหลายไว้ นี่เพื่อธรรม ๆ ธรรมเป็นทำนบใหญ่ รวมความมุ่งหมายของผู้บำเพ็ญทั้งหลายให้ลงจุดนั้นว่างั้นเลย
ถ้าว่าเพื่อธรรมแล้วอะไรสะดวกไปหมดนะ เรามุ่งต่อธรรมนี่ การอยู่การกินการใช้การสอยอะไร ๆ ไม่ยุ่งทั้งนั้น มันพุ่ง ๆ อย่างนั้นนะ พอกิเลสแทรกเข้าไปปั๊บแล้ว เอาแล้วนะขัดแล้ว กิเลสไปไหนขัดที่นั่น ธรรมะไปที่ไหนเปิดโล่งสะดวกสบายทั้งภายนอกภายใน ภายนอกไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ภายในก็ไม่คิดก่อกวนตัวเองด้วยเรื่องต่าง ๆ โอ๋ย ศาสนาเอกเกิดมาไม่ได้พบง่าย ๆ นะพุทธศาสนา ใครจะไปพบได้ง่าย ๆ ศาสนานี้เป็นศาสนาที่ว่า ใครไม่มีวาสนาจะไม่ได้พบ พบแล้วก็ไม่ได้เคารพ ไม่ได้เลื่อมใส ไม่เชื่อฟัง มีแต่กิเลสลากเข็นไปตลอดเวลา
โอ๊ย เราพูดจริง ๆ นะ อย่างที่พูดเมื่อวานนี้หรือวันไหนที่ว่า มหาสมุทรทะเลหลวงกับธรรมธาตุเทียบกันนั่นน่ะฟังเอาซิ เมื่อวานหรือวันไหนเราลืมแล้ว เราไม่เคยเห็นมหาสมุทรทะเลหลวงก็ตาม พอเข้าไปเจอปั๊บเท่านี้ อ๋อ อย่างนี้เหรอมหาสมุทร แล้วสงสัยอะไร มหาสมุทรเป็นยังไง กว้างขวางขนาดไหน ฝั่งมีอยู่ก็มองไม่เห็น มันกว้างขนาดนั้น พอไปเจอมหาสมุทรเท่านั้น แล้วสงสัยอะไรมหาสมุทร น้ำมหาสมุทรกับน้ำในตุ่มในไหต่างกันยังไง นั่นเทียบกันซิ ใครไปเจอเข้าก็หายสงสัย ระหว่างน้ำในตุ่มในไหกับน้ำมหาสมุทร นี่เป็นข้อเทียบเคียง
ธรรมพระพุทธเจ้าเรียกว่าธรรมธาตุ พอเทียบกันได้ ที่เอามหาสมุทรมาเทียบนี่ คือไม่มีอะไรใหญ่กว่ามหาสมุทร จึงเอาอันที่ว่าใหญ่ที่สุดในโลกของเรานี้มาเทียบกันกับธรรมธาตุ ธรรมธาตุครอบโลกธาตุฟังซิ ไม่มีอะไรจะเทียบได้ เพียงเอามหาสมุทรมาเทียบ พระสาวกองค์ใดก็ตาม พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเข้าในแดนธรรมธาตุนี้แล้วท่านไม่สงสัยกันเลย เหมือนเราเดินไปยืนดูมหาสมุทร สงสัยน้ำทั้งหลายอะไร ก็บอกว่าเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันหมดเท่านั้นพอ จะมาจากสายไหน ๆ ก็ตาม บรรดาแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ เข้าสู่มหาสมุทรแล้ว จะรวมลงในคำเดียวกันว่าเป็น แม่น้ำมหาสมุทร เท่านั้น ไม่มีทางสงสัย
อันนี้เหมือนกัน จิตดวงนี้เมื่อได้ถูกกลั่นกรองให้เต็มเหนี่ยว ถึงขั้นเต็มภูมิของหลักธรรมชาติเดิมแท้ของจิตแล้วก็เป็นธรรมธาตุ เท่ากับน้ำมหาสมุทร องค์ใดเจอปั๊บเข้าไปนี้ ไม่ได้มีว่าเพศหญิงเพศชายนี่นะ พูดว่าธรรมธาตุแล้วไม่มีคำว่าหญิงว่าชาย เช่น สาวก สาวิกา ท่านเหล่านี้เหมือนกันหมด เพศนี้เป็นกิริยาของโลกของสมมุติ แต่ธรรมชาตินั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้ ที่เราพูดนี้ ส่วนมากท่านก็ยกเอาฝ่ายผู้ชายให้เป็นศาสดา คือพระพุทธเจ้า ขึ้นสาวกเบื้องต้นก็เป็นฝ่ายผู้ชาย ฝ่ายพระพุทธเจ้าลงมา แล้วจากนั้นทั้งผู้หญิงผู้ชายผสมกันเข้าเป็นธรรมธาตุอันเดียวกัน คือ สาวกสาวิกา ๆ
คำว่า สาวก คือผู้ได้ยินได้ฟังเสียก่อน สาวิกา นั้นแบ่งไปตามเพศเฉย ๆ อุบาสกอุบาสิกานี้ตามหลักภาษาบาลี ไม่จำเป็นต้องแปลมาละ กิเลสไม่ถลอกละไอ้แปลได้เฉย ๆ นั่น แปลเข้าหัวกิเลสซิ ฟาดเข้าหัวกิเลส หญิงใครก็รู้ ชายใครก็รู้ มองดูพับก็รู้ นี่กิเลสด้วยกัน เอ้า แก้วิธีไหนให้สนใจ ต่างคนต่างแก้ก็แก้กันได้ด้วยกัน เมื่อถึงขั้นภูมิเต็มที่แล้ว ก็เข้าลงมหาสมุทรทะเลหลวง คือธรรมธาตุอันเดียวกัน พอเจอปั๊บเท่านั้น จิตดวงนี้พอผางเข้าไปนี้ เหมือนเราไปเจอน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นละ สงสัยที่ไหน ดูซิ มันต่างกับน้ำในตุ่มในไหขนาดไหน
น้ำในตุ่มในไหก็คือพวกคนมีกิเลสตัณหาปัญญาหยาบเป็นราย ๆ ไป ก็ไปรวมลงมหาสมุทรทะเลหลวง ทีนี้จิตของคนผู้สิ้นจากกิเลส ตั้งแต่ขั้นพระโสดาไป กระแสตามเข้าไปแล้ว กระแสตามเข้าไปหาธรรมธาตุแล้ว พอบรรลุผึงขึ้นมาเท่านั้น ถึงแล้ว นั่นเหมือนกันหมดเลย เหมือนเรายืนดูมหาสมุทร มองที่ไหนก็เป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด แล้วสงสัยอะไร จิตอันนี้กับจิตทั้งหลายที่เป็นธรรมธาตุ ก็เป็นอันเดียวกัน แล้วจะสงสัยอะไรที่ไหน ไม่มีทางคำว่าสงสัย เจอเข้าไปรายใดก็รายเดียวกันหมด เหมือนกับเราไปดูมหาสมุทรนั่นแหละ หายสงสัยทันทีเลย นี่น้ำมหาสมุทร นั่นน้ำในตุ่มในไห มันต่างกันยังไง ดูเอาก็รู้
ทีนี้ธรรมธาตุกับธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เต็มภูมิของนั้น มันต่างกันยังไง ๆ ก็จะไหลเข้าไปหาอันเดียวกัน แต่อันนั้นคืออันหนึ่งแล้ว หมดสงสัย องค์ใดเจอเข้าไปปั๊บถึงแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่เคยปรากฏในตำราเลยแม้รายเดียวว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงสงสัย พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมในธรรมชาตินี้แล้ว หายสงสัยเหมือนกันหมด ไม่ถามกัน ดังที่ยกไว้ในตำราว่า พระโยคาวจร พระสงฆ์ท่านบำเพ็ญสมณธรรมถึงขั้นสูง ขั้นสูงนั่นไปไหนเป็นธรรมทั้งนั้น ขั้นกิเลสไปไหนเป็นกิเลสทั้งนั้น จิตใจเรานี้กระดิกพลิกแพลงทางไหนเป็นกิเลส ๆ จูงทั้งนั้น ทีนี้เวลาธรรมเข้าถึงขั้นสูงเหนือกิเลสไปโดยลำดับแล้ว จะเป็นธรรมล้วน ๆ ในหัวใจ นั่นต่างกันนะ
เวลากิเลสครองหัวใจ กระดิกพลิกแพลงไปไหน มีแต่กิเลสลากไปเข็นไป พอธรรมได้รับจากการบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญ ให้เป็นจิตที่เป็นธรรมขึ้นไปโดยลำดับแล้วก็สูงขึ้นไป ๆ ก็ค่อยเหนือกิเลสไปโดยลำดับแล้ว ไปที่ไหนเป็นธรรมไปหมด จะเห็นก็ตาม ได้ยินก็ตาม ไม่เห็นไม่ได้ยินก็ตาม ธรรมเกิดตลอดเวลา กิเลสอยู่ในหัวใจธรรมฟัดกันกับกิเลสตลอดเวลา นั่นท่านเรียกว่าธรรมอัตโนมัติ หรือสติปัญญาเครื่องชำระนี้เป็นอัตโนมัติแล้ว แก้โดยลำดับ ไม่มีวันมีคืน ยืนเดินนั่งนอน เว้นแต่หลับเท่านั้น ตื่นขึ้นมาก็ฟัดกันเลย
ฟังให้ชัดนะ พี่น้องทั้งหลายเคยได้ยินไหมคำนี้ เราถอดออกจากหัวใจมาพูดนะ เราไม่ได้มาพูดเล่น ๆ ถอดออกจากหัวใจมาพูดต่อพี่น้องทั้งหลาย เราถึงเชื่อแน่ในคำพูดของเราทุกบททุกบาท ทั้งเด็ดทั้งเฉียบขาด หรืออ่อนโยนอะไรก็ตาม เป็นธรรมตามประเภทของธรรมไปลำดับ เช่นอย่างพูดธรรมดาดี ๆ นิ่มนวลอ่อนหวานธรรมดา เป็นไปตามกิเลสเป็นขั้น ๆ ถึงขั้นเด็ด เด็ด ขาดขาดไปเลย นั่นธรรมเป็นประเภทนั้น
เมื่อเวลาถึงธรรมขั้นที่เป็นอัตโนมัติแล้วนั้น มีแต่จะเด็ดขาดไปโดยลำดับ ให้อ่อนไม่มี ตายเท่านั้นว่างั้นเลย ให้ถอยไม่มีเลย ที่จะกลับมาให้กิเลสลากคออีกนี้ไม่มีทางว่างั้นเลย นี่ละการเห็นโทษของกิเลสเห็นอย่างนั้นนะ ท่านเห็นเป็นลำดับอย่างนั้น นี่เราเห็นคุณของกิเลสก็เห็นอย่างที่เราเห็นนี่แหละ ลากเข้าทางจงกรม เดี๋ยวยังไม่ได้เอาหมอน ไปเอาหมอนเสียก่อน ได้หมอนแล้ว โอ๊ย เสื่อยัง แคร่ที่พักยังไม่ดี มันเป็นอย่างนั้นนะ เวลากิเลสมันลาก มันลากอย่างนั้นนะ
เวลาธรรมไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ได้จำเป็นอะไรทั้งนั้น อยู่ที่ไหนเป็นธรรมล้วน ๆ เห็นไหมล่ะ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ธรรมฟัดกิเลสตลอดเวลา นี้คือธรรมแก่กล้าแล้ว นี่ละธรรมเมื่อมีอำนาจเหนือกิเลสอย่างนี้ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน แต่กิเลสทำลายสัตวโลกนี้เป็นอัตโนมัติของมัน ทุกหัวใจเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นสัตวโลกเมื่อไม่มีธรรมเข้ามาดึงมาลากแล้ว ยังไงก็จมไปตลอดเวลา ตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่ต้องนับ กี่กัปกี่กัลป์ก็เป็นอยู่อย่างนั้นถ้าไม่มีธรรม เมื่อมีธรรมคือความดีงามที่เราบำเพ็ญมานี้ มีมากเข้า ๆ ก็ค่อยฉุดกันไปลากกันไป
หนักเข้า ๆ ก็ลากคอกิเลสมาฟัดแหลก ๆ ยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับ ไม่มีขณะไหนที่จะมีความพลั้งเผลอต่อกิเลส หมุนติ้ว ๆ นี่ละธรรมเวลามีกำลัง ไม่อย่างนั้นแก้กันไม่ตก ต้องมีกำลังด้วยกัน เวลากิเลสมีกำลังก็ดังที่เราเห็นนี่ละ เมื่อกิเลสมีกำลังเท่าไรความทุกข์ความร้อนวุ่นวายของสัตวโลกนี้นับวันรุนแรง ๆ ขึ้น แล้วกิเลสก็เสริมเข้าไป เคลือบน้ำตาลไปเรื่อย ๆ ความหวังตั้งไว้แล้วว่าจะเจริญ ๆ จะรุ่งเรืองอะไร เห็นเขามีอยากมี เห็นเขาได้อยากได้ เห็นอะไรดิ้นกันไป ว่าชิงดีชิงเด่น มันชิงเลวชิงจม เข้าใจไหม มันไม่ได้ชิงดีชิงเด่น มันชิงเพื่อเลวเพื่อจมทั้งนั้นนี่นะ กิเลสพาชิง-ชิงอย่างนั้นนะ มันหมุนกันไปอย่างนั้น ประเภทของกิเลสจะเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งหมด
ทีนี้พอเป็นประเภทของธรรมตัดตลอดเลย ตัดตลอด ๆ ยืนเดินนั่งนอนถึงเวลาธรรมมีกำลังแล้ว อยู่ที่ไหนเป็นธรรมหมด นี่เราพูดถึงเรื่องสาวกองค์ที่ว่านะ นี่ธรรมท่านเป็นธรรมประเภทนี้แล้ว หมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลา ยังมีข้อข้องใจตรงไหนยังแก้กันไม่ตก คือแก้โดยลำพังตนเองมันเสียเวลา ยังไงก็แก้ได้แน่เรื่องแน่ เป็นแต่เพียงว่าเสียเวลา เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้ายังประทับอยู่ตรงหน้านี่แล้ว จะไปรอให้เสียเวล่ำเวลายังไงคนเรา ก็ต้องวิ่งหาผู้ช่วยปลดช่วยเปลื้องซิ
เข้าไปจะไปทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าในข้อกำลังข้องใจที่แก้ยังไม่ตก พอไปนี้ฝนตก จะขึ้นเฝ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ เลยยืนอยู่ใต้ถุนพระคันธกุฎีนั้นแหละ คันธกุฎีนั้นแปลว่าอะไร ได้ยินว่า พระคันธกุฎี พระ ก็แปลว่าประเสริฐ คันธ แปลว่าหอม กุฎีที่หอมหวนไปด้วยอรรถด้วยธรรม คือกุฎีของพระพุทธเจ้า ฟังเอาเสียนะ ท่านมาพักพระคันธกุฎี ๆ คืออะไร คือความหอมหวนดูดดื่มทุกอย่างอยู่ในกุฏิพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น
ว่าไปอยู่ใต้ถุนพระคันธกุฎีพระพุทธเจ้า ทีนี้เวลาฝนข้างบนตกมาถูกน้ำข้างล่าง น้ำข้างบนกับน้ำข้างล่างกระทบกัน ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา ตั้งแล้วดับ ๆ ฝนตกมาอยู่เรื่อย ท่านพิจารณานี้แล้วเทียบกับจิตนี้ มันเกิดแล้วดับ มันเกิดแล้วดับ นี่ธรรมะขั้นสูง จะมีแต่ความเกิดความดับของสังขารที่ปรุงแย็บ ดีก็ตาม ดับ ชั่วก็ตาม ดับ เกิดดับทั้งนั้น ๆ ไม่มีอะไรที่จะเป็นสาระ ท่านก็พิจารณา ๆ เทียบพับ ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาในที่นั่นเลย ท่านเอาธรรมนั้นละเป็นธรรมเทศนาช่วยภายในของท่าน โดยอาศัยน้ำที่ตกลงมากระทบพื้นเป็นหินลับปัญญา ปัญญาทางนี้ก็ขึ้นแก้กิเลส ขาดสะบั้นลงไป แล้วไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้านะ
พอฝนตกหยุดเท่านั้นกลับเลย เห็นไหมไปทูลถามอะไร ตั้งหน้าตั้งตาจะไปทูลถามอยู่แท้ ๆ ทำไมจึงกลับมาเสีย นี่ปัญหาเหตุการณ์ต่าง ๆ ของกิเลสขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิงแล้วกลับไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าเห็นไหม พระสาวกองค์ใดเหมือนกันหมด ทั้ง ๆ ที่จะไปทูลถาม ดูซิน่ะ พอตรัสรู้เสียใต้ถุนพระคันธกุฎีนั้นแล้วกลับเลย เห็นไหมธรรมนี้ตัดสินขนาดไหน ฟังซิน่ะ นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ชั้นเอก รู้เองเห็นเองประจักษ์เองแล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ทูลถามก็อันเดียวกันนี่
ก็เหมือนอย่างไปหากระโถน ให้คนอื่นเขาหาช่วย พอไปเจอแล้วก็จะให้ใครหาช่วย ก็เจ้าของเจอแล้ว อ๋อ เห็นแล้ว ก็ถือเอามาเท่านั้นเอง นี่ธรรมก็เหมือนกันอย่างนั้น นี่เรียกว่าธรรมที่เลิศเลอ ถึงขั้นมีกำลังแล้วให้พี่น้องทั้งหลายฟังเอาอย่างนี้ ไม่ใช่จะล้มลุกคลุกคลานตลอดเวลานะ ขอให้ใช้ความพยายามบึกบึน กิเลสนี่ต้องฝ่าฝืนตลอดนะ เราอย่าเอาความมักง่าย ขี้เกียจขี้คร้านเข้าไป นั้นคือตัวภัย มันต้องฟัดต้องเหวี่ยงกันเสมอ สุดเหวี่ยงแล้วพักเสียก่อน
เดินจงกรมก็ดี นั่งสมาธิก็ดี มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจะไปไม่รอด เราจะเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่มันยังไม่ถึง เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ต้องพักกลางทางเสียก่อน พอได้กำลังแล้วก็เดินต่อไป ๆ นี่ผู้เดินทางเพื่อถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่จะบึ่งทีเดียวให้ถึงทีเดียว ไม่ถึง ตายก่อน เมื่อถึงระยะใดที่ควรพัก-พักเสียก่อนแล้วก้าวออกเดินใหม่ เอ้า เดินจงกรมเหนื่อย เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็รู้อยู่กับเจ้าของทุกอย่าง สนฺทิฏฺฐิโก มันก็รู้เองเหมือนกันนี่นะ โถ เหนื่อยมากแล้ววันนี้พักเสียก่อน
สมมุติว่าจิตพิจารณามากในทางด้านปัญญา อย่างที่ว่าปัญญาขั้นนี้น่ะ ขั้นนี้จะไม่มีเวลาหยุด ขั้นที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัตินี้จะหมุนตลอด ต้องเอาสมาธิเข้ารั้งไว้ หมุนตลอดคือเดินทางตลอด มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในหัวอกนี้ โถ มันเหนื่อยจนจะเป็นจะตาย แต่ทางนี้มันไม่ถอย มันหมุนของมันเรื่อย ต้องรั้งเข้าสู่สมาธิ เอ้า พักเสียก่อน นี่เรียกว่าพักกลางทาง มันยังไม่ถึง จิตเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้วก็ให้พักเสียก่อน เข้าสู่สมาธิ พักสงบการก้าวเดินไปข้างหน้า คิดอ่านไตร่ตรองพิจารณาแก้ไขนี้ระงับหมด เพื่อเอากำลัง
ถึงไม่ได้อะไรเวลานั้นก็ตาม แต่ก็ได้กำลังที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า นี่ละกำลังออกจากสมาธิ ท่านให้พักสมาธิเสียก่อนพอได้กำลัง สมาธิเมื่อรวมตัวเข้าไปแล้ว ความสงบเย็นใจทุกอย่างจะหมุนเข้าไปหาสมาธิ พักงาน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหายหมด กินข้าวนอนหลับสบาย ตื่นขึ้นมาควรแก่การงานอีก เอ้า ก้าวเดินต่อไป ถึงจะเสียเวล่ำเวลาเพราะการพักนอน สิ้นเปลืองไปเพราะอาหารการกินมากน้อยเท่าไร สิ้นเปลืองไป เสียเวล่ำเวลาไปเพื่อหนุนกำลังข้างหน้าโน้น นั่นความหมายว่างั้น นี่ได้กำลังทางหนึ่ง แล้วทีนี้ก้าวเดินต่อไป เมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพอสมควรแล้วให้พัก นั่นท่านบอกไว้อย่างนั้นในตำรา
ในตำราท่านก็บอกไว้อย่างจริงจัง แต่เวลากิเลสกับธรรมฟัดกัน มันผาดโผนโจนทะยานไม่อยากพัก นั่นเห็นไหมล่ะ ต้องได้รั้งเอาไว้ คือไม่อยากพักก็ต้องพัก รั้งเอาไว้ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดีที่ธรรมแสดงไว้ว่าให้พัก แล้วก็พัก จากนั้นก้าวเดิน ๆ ถึงเวลาแล้วเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมมีกำลังแล้วกิเลสนี้หมอบราบไปหมด เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ความท้อแท้เหลวไหล ความตำหนิติเตียนว่าบุญน้อยวาสนาน้อย เหล่านี้จะหายหน้าไปหมดเลย มีแต่ความพุ่ง ๆ พุ่งเลยทีเดียว จึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้น นั่นเห็นไหมล่ะ
มันรบกัน ๆ อันนี้เหยียบหัวมันไป เราก็รู้ว่ามันเป็นกิเลส เป็นภัยทั้งนั้น ๆ ทีนี้ก้าวเรื่อย ๆ นั่น ฟังให้ดีนะ ธรรมเหล่านี้เราถอดมาจากหัวใจมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง สาธุ เราไม่ได้ประมาทคัมภีร์ เราไม่ได้ไปหาคัมภีร์ที่ไหน เอาคัมภีร์ในนี้เลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้คัมภีร์ใน พระสาวกอรหัตอรหันต์ตรัสรู้คัมภีร์ใน แก้กิเลสคัมภีร์ใน เป็นธรรมทั้งแท่งขึ้นจากคัมภีร์ใน แล้วท่านก็มาจดจารึกไว้ให้คนรุ่นหลังเราได้ดู แบบแปลนแผนผังท่านคือตำรา นั่นละแบบแปลนแผนผังอันดีงาม จดจารึกจากนี้ออกไปไว้ที่ตำรา ก็ไปเรียนที่ตำรา เรียนที่ตำราแล้วก็เพื่อที่จะมาก้าวเดินปฏิบัติงานของเรา
เช่น เอาแปลนออกมากางปลูกบ้านปลูกเรือน นั่น เอาแปลนออกมาคือหมายความว่า แปลนแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่ตำรา อ่านนั้นแล้วเข้าใจนั้นแล้วให้มาดำเนินปฏิบัติบำเพ็ญ เช่น ศีลก็รักษาให้ดี สมาธิทำจิตใจให้สงบ ปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ความเป็นความตาย อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พิจารณาให้แยบคายแล้วมันจะปล่อยของมัน ๆ นี่เรียกว่าเอาแปลนจากปริยัติที่ท่านสอนไว้อย่างนี้มาปฏิบัติ ก็เป็นผลเป็นประโยชน์เรื่อย ๆ ไป แล้วผลก็เป็นของเราที่นี่เวลาปรากฏขึ้นมา นั่นละเรียกคัมภีร์นอก
นี้คัมภีร์ใน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านทรงคัมภีร์ใน แล้วบรรดาปราชญ์ทั้งหลายท่านก็มาจดจารึกเอาจากคัมภีร์ในนี้ไปเป็นตำรา ให้เรียนตำราแล้วเข้ามาปฏิบัติจะเจอธรรมในคัมภีร์ในที่นั่นจากตำรานั้นแล ความหมายว่าอย่างนั้น แต่นี้พวกเราไม่เป็นอย่างนั้นทุกวันนี้ มันเรียนคัมภีร์นอก เลยเอาคัมภีร์นอกเป็นมรรคเป็นผล เอาความจดความจำเป็นมรรคผลนิพพาน มันจะเป็นมาจากที่ไหนประสาความจำ สัญญาเฉย ๆ ต้องเอานั้นออกมาปฏิบัติซิ เรียนแล้วได้ชั้นไหนภูมิใดก็เอาชั้นเอาภูมิมาเป็นมรรคเป็นผล ให้กิเลสหลอกไปเลย ว่าได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นขี้หมาอะไรเราอยากว่าอย่างนี้นะ ชั้นกิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก จำได้เฉย ๆ เอาความจำได้มาเป็นมรรคผลนิพพานมีอย่างเหรอ เรียนอย่างนั้นก็เรียนเพื่อหลงล่ะซิ เรียนเพื่อรู้ จำได้แล้วเอามาปฏิบัติตามสิ่งที่เรียนมารู้มานั้น นั่นถึงถูกต้องนะ
เดี๋ยวนี้มันเป็นหนอนแทะกระดาษไปหมดแล้วนะพวกเรา คัมภีร์หนอนแทะกระดาษ ไม่ว่าในวัดในวา ในบ้านในเรือนก็มีคัมภีร์เต็มบ้านเต็มเมือง แต่มันไม่สนใจ มันเป็นหนอนแทะกระดาษ เอามาก็เอามาโก้ ๆ ไว้อย่างนั้นแหละ มาวางว่าข้าได้คัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้มาไว้ใส่ตู้ใส่หีบ โชว์กันเป็นบ้า ให้กิเลสหลอกหน้าร้านอยู่ตลอดเวลา นี่เห็นไหมกิเลสตามไปเรารู้ไหม เอาคัมภีร์มาอวดโอ้กันอยู่ในบ้านในเรือน ตามกุฏิกุฏะอะไรเต็มไปหมด มีแต่คัมภีร์แต่คนไม่ได้สนใจปฏิบัติ มันก็เป็นหนอนแทะกระดาษล่ะซิ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามที่สอนนั้นแล้ว ไม่เรียกว่าหนอนแทะดาษ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนมาแล้วปฏิบัติ ทำหน้าที่ดำเนินปฏิบัติตามที่สอนไว้นั้น ปฏิเวธคือผลเกิดมากน้อย จะเกิดขึ้นโดยลำดับจากการปฏิบัติที่สืบเนื่องมาจากปริยัติ นี่ธรรมท่านสอนไว้สามประเภทนะ คือปริยัติหนึ่ง ปฏิบัติหนึ่ง ปฏิเวธหนึ่ง ธรรมทั้งสามประเภทนี้เกี่ยวเนื่องกันโดยลำดับ จึงเรียกว่าเป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบ เต็มบาทเต็มเต็ง ถ้ามีแต่ปริยัติเฉย ๆ ไม่ได้เต็มบาทเต็มเต็งอะไร ได้แต่ความจำ เป็นมรรคผลนิพพานที่ไหน ต้องมาปฏิบัติ มาปฏิบัติแล้วผลที่จะเกิดจากปฏิบัติแยกกันไม่ออก นี่ละเกี่ยวโยงกันอย่างนี้ ปริยัติพุทธศาสนาจริง ๆ เป็นอย่างนี้
เราอย่าเป็นบ้าเอาคัมภีร์มาเป็นมรรคผลนิพพาน เรียนมาได้กอไก่กอกา ก็ว่าเป็นมรรคผลนิพพาน ชั้นนั้นชั้นนี้เลยเป็นบ้าไปใหญ่ ให้กิเลสหลอกไปเรื่อย นี่กิเลสสวมรอยรู้ไหม ถ้าตีหัวกิเลส เรียนแล้วต้องมาปฏิบัติตามตีหัวกิเลส ตามธรรมที่ท่านสอนไว้ซิ นี้เรียนมาแล้วเอาความจดความจำมาเป็นมรรคผลนิพพานไปเสีย ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร มันทำให้เสียไปอย่างนี้แหละชาวพุทธเรา ใครคำนึงปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้ามีไหมนี่ มันมีตั้งแต่คัมภีร์
ถ้าพูดอะไรไม่มีใครรู้ยิ่งกว่าพวกคลังกิเลสนะ คลังกิเลสมันจะอวดรู้อวดฉลาดสุดขีดของมัน ให้มันอ่อนข้อมันไม่อ่อนแหละเรื่องกิเลส เขาไปจับยัดใส่คุกใส่ตะรางมันยังถือว่าบริสุทธิ์ ถูกเขาหาเรื่องต่างหากเห็นไหม กิเลสมันยอมเมื่อไร มันลงเมื่อไร มันอยู่ในหัวใจเราเป็นอย่างนั้นแหละนะ
ไม่ได้รู้มันง่าย ๆ นะกิเลส เวลาภาคปฏิบัติ ภาคธรรมะนี้ เอ้า มันปิดตัวมันไว้ที่ไหนธรรมะเปิดออก ๆ นี่ละจึงได้พูดถึงเรื่องว่า ภาษาของกิเลสเป็นภาษาที่ไพเราะเพราะพริ้ง ปิดความสกปรกโสมมไว้อย่างสุดยอดเลย ไม่มีภาษาใดกิริยาใดที่จะนิ่มนวลยิ่งกว่ากิริยาของกิเลสหลอกตาโลกผู้ตาบอด ตาบอดด้วย ถูกหลอกด้วย เวลาธรรมจับเข้าไปนี้ ธรรมเปิดออกมา ทีนี้กิเลสมันก็ปิดป้องล่ะซิ โห ท่านพูดดุด่าว่ากล่าว ท่านพูดหยาบโลน ท่านพูดสกปรก ๆ ตัวกิเลสมันไม่ให้แตะความสกปรกของมัน ธรรมะนี้เป็นน้ำที่สะอาดชะล้างเข้าไป มันหาว่าธรรมะนี้หยาบโลนสกปรกโสมมเห็นไหม ฟังเอาเสียทุกคน ฟังให้ดีนะ นี่ละกิเลสเป็นอย่างนั้น
ธรรมะเข้าตรงไหน กิเลสแตกฮือ ๆ โจมตีธรรม หาว่าธรรมนี้พูดหยาบพูดโลน พูดดุพูดด่า ว่าไปทุกแบบทุกฉบับละกิเลสมันจะหาเรื่อง แต่ธรรมท่านไม่หา ท่านพูดตามความจริง สกปรกตรงไหนเทน้ำที่สะอาดคือธรรมลงตรงนั้น ๆ กิเลสแตกฮือ ๆ จำเอานะ เพราะฉะนั้นภาษาของธรรมกับภาษาของกิเลสจึงไม่ได้เหมือนกัน ภาษาของกิเลสมีแต่ภาษาไพเราะเพราะพริ้งประดับหน้าร้านทั้งนั้น ภาษาธรรมนี้เปิดออกไปหน้าร้าน มันมีอะไรอยู่ในร้านนั่นน่ะ เปิดออกไปก็เห็นล่ะซิ ขี้หมูขี้หมาที่มันเอาผ้าม่านกั้นเอาไว้ ขี้หมูขี้หมาอยู่ข้างใน
ธรรมเปิดผ้าม่านเข้าไปก็เห็นหมดขี้หมูขี้หมา เห็นโทษเห็นกรรมของมัน ที่มันสร้างความสกปรกลามกอย่างลี้ลับไว้ในหัวใจของสัตว์ โดยเอาม่านความสะอาดสวยงามประกาศไว้ข้างหน้าให้คนไปชมข้างหน้า ขี้หมูขี้หมาอยู่ในร้านไม่ให้ชม เวลาธรรมเปิดเข้าไปนี้เห็นหมด นั่นละภาษาธรรมกับภาษากิเลสจึงไม่ได้เหมือนกัน เป็นคนละโลกเลย นี่ละผู้ปฏิบัติธรรมท่านจึงไม่สนใจกับอะไรยิ่งกว่า ความสกปรกอยู่ที่ไหนฟาดเข้าตรงนั้น ๆ
นี่ความขี้เกียจขี้คร้านมันเต็มหัวอก ฟาดมันออกมั่งซิ หรือจะปล่อยให้มันแช่อยู่งั้นเหรอ ความขี้เกียจขี้คร้าน ความอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลมันอยู่ในนี้ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเต็มอยู่ในหัวใจ ธรรมแทรกเข้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นก้าวเข้าหาความเพียรนี้ อย่างน้อยเหมือนจูงหมาใส่ฝนร้องแหง็ก ๆ อยู่ในวัดป่าบ้านตาด เสียงมันลั่นอยู่ โอ๊ย เรารำคาญ ไก่เขาก็ขันเป็นแบบหนึ่งของเขา แต่คนขันแบบบ้าซี แบบขี้เกียจขี้คร้าน วันนี้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันนี้ไม่สบาย ผมมันเจ็บมันปวดที่ไหน วันนี้ปวดหัวมันว่า เอาหัวเข้าไปใส่เลยนะ ผมมันไม่ได้เจ็บปวดละอยู่บนหัวคน แต่มันเอาหัว โอย วันนี้ปวดหัว มันปวดหมดทั้งผมมันนั่นแหละ เข้าใจไหม นั่นละกิเลสมันพอกเอา ๆ ไม่รู้ตัวนะ
พูดแล้วเราสลดสังเวชจริง ๆ นะ ไม่ใช่พูดธรรมดา ถอดออกมาพูดให้เห็นชัด ๆ นี่วะ หลอกไปไหนหลอกโลก มาดูกิเลสกับดูธรรมมันเข้ากันไม่ได้เลย นี่ละพระพุทธเจ้าท้อพระทัย เรียกให้มันชัดก็เรียกว่าจะดูไม่ได้ ท่านก็ทนสั่งสอนสัตวโลก ก็เพราะเห็นยังมีชิ้นดีอยู่ในความสกปรกโสมม มีมากอยู่ ท่านก็คุ้ยเขี่ยขุดค้น เหม็นก็ทนเอาอย่างนั้น อะไรก็ทน ขมก็กลืนไปอย่างนั้นแหละ นี่ก็เป็นอย่างนั้นมันเหมือนกัน สอนพี่น้องทั้งหลายเราหวังอะไร เราไม่ได้หวังอะไรนะ เราพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ในการสอนสอนด้วยความพอทุกอย่าง มีแต่ความเมตตาครอบตลอดเวลาเลย สอนเพื่อให้รู้เนื้อรู้ตัว
ให้ดีดให้ดิ้นนะ กิเลสไม่ใช่ของเล่นนะ มันตีตัวมาเป็นมิตรสหาย ไม่มีใครสนิทติดจมยิ่งกว่ากิเลสกับเราติดกัน มันเอาให้จมขนาดนั้น ไม่ให้รู้ตัวว่ามันเป็นภัยนะ ธรรมจับเข้าปั๊บเห็นหมด ๆ นั่น ตีออก ๆ เราก็แย่งไว้ซิ โอ๋ย วันนี้กำลังเหนื่อย ท่านสอนให้ขยัน จะขยันได้ยังไง คนกำลังจะตาย มันเหนื่อย นั่นเห็นไหม กิเลสมันแย่งมันขัดมันแย้งกันอย่างนั้น ดูเอาอยู่ตามนี้ไม่อดไม่อยากแหละ ถ้าดูไม่เห็นก็มาดูหลวงตาบัว นี่ตัวสำคัญ ที่นำมาพูดกับพี่น้องทั้งหลาย ฟัดกับสิ่งเหล่านี้มาแล้วจึงมาพูด พูดไม่ได้ยังไง
วันที่ ๒๐ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๖๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๕๐ ดอลล์ แล้ววันนี้ได้ทองคำเท่าไร (๑๖ สตางค์ครับผม) หือ (๑๖ สตางค์ครับผม) โห ขนาดนั้นเชียวเหรอ เมื่อวานว่าได้ ๖๓ สตางค์เราก็รู้สึกยังไง ๆ วันนี้ฟาดเข้ามาอีก ๑๖ สตางค์ มันจะตายแน่แล้วนะเมืองไทยเรา ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วตายแน่ ๆ นะ ฟังให้ดี เมื่อวันที่ ๒๐ ได้ ๖๓ สตางค์ วันที่ ๒๑ นี้ได้ ๑๖ สตางค์เหรอ (ครับผม) นั่นฟังซิ ๒ วันนี้มันกำลังเตรียมจะตัดคอชาติไทยเรารู้ไหม ๑๖ สตางค์วันนี้กับ ๖๓ สตางค์เมื่อวานนี้ นี่กำลังคอชาติไทยเราจะขาดนะ เอาละจำให้ดี ถ้าใครเสียดายคอให้รีบหามาเยียวยารักษา ด้วยทองคำเพิ่มเข้าอีกนะ เอาละไป เลิก ๆ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com