วันที่ ๑๙ พฤศจิกา ทองคำได้ ๑๑ บาท ๑๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๗๕ ดอลล์ ค่อยขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ พักเครื่อง ติดเครื่อง เร่งเครื่องไปเรื่อย ๆ ทองคำที่ขาด ๔ พันกิโลอยู่ เวลานี้ขาด ๑,๗๓๒ กิโลครึ่ง ต่อไปก็ถึง ๔ พัน แล้วคืบหน้าไปเรื่อย ๆ นะ ต่อไปจะคืบหน้าไปเรื่อย ๆ แหละ ให้ถอยไม่ถอย ต้องคืบหน้าไปเรื่อย ๆ ทีเดียว เราคิดว่าไปกรุงเทพคราวนี้อาจจะได้หลอมทองคำ ที่จำนวน ๔๐๐ กิโลแล้วเราจะหลอมทีนึง ถ้าทองคำได้น้ำหนักถึง ๔๐๐ กิโลแล้วก็หลอมเสียทีนึง ๆ นี่ก็ได้ ๒๐๕ กิโลแล้ว ถ้าได้ถึง ๔๐๐ กิโลเราก็หลอมในครั้งนี้ ครั้งที่ไปกรุงเทพต่อไปนี้ ถ้าได้ถึง ๔๐๐ กิโลก็จะหลอมแหละ ถ้ายังไม่พอก็รอ ๆ ไปเสียก่อน เป็นจังหวะ ๆ นะ
เดือนมีนาฯ นี้ก็คงจะได้ลงไปกรุงเทพอีก ตั้งแต่ต้นมีนาฯ ไปวันใดวันหนึ่งอาจจะได้ลงกรุงเทพ ธันวาฯ ไปนี้ก็กะว่าจะได้ลงกรุงเทพ นี่ก็เป็นพักหนึ่ง ถ้าครั้งนี้ทองคำยังไม่ถึง ๔๐๐ กิโล ก็อาจจะเป็นพักหน้า พักมีนาฯ ขึ้นไป เป็นสองพัก นี่ก็ได้ถึง ๒๐๐ กว่าแล้ว ไปกรุงเทพคราวนี้ถ้าหากพอเราก็จะหลอมในระยะนี้เลย ถ้าไม่พอก็กะต่อไประยะประมาณเดือนมีนาฯ
เดือนมีนาฯ เจ้าคณะจังหวัดหนองคายก็มานิมนต์มาติดต่อที่โรงเรียนซึ่งเราเคยไปเทศน์แล้ว มันโรงเรียนจุฑาภรณ์หรือไง คล้ายกับว่าเป็นวันเวลาเดียวกันกับปีนี้นะ พวกคณะครูอะไร ๆ ก็จะมารวมที่นั่น มานิมนต์ทาบทามเอาไว้ ถ้าได้รับคำจากเราแล้วก็จะไปบอกว่างั้น ให้เจ้าคณะจังหวัดหนองคายนี้แหละเป็นหัวหน้าอยู่ทางโน้น ปีนี้แหละตอนเดือนมีนาฯ
ทองคำที่เราคาดไว้นี้คิดว่าอย่างน้อยจะไม่ต่ำกว่า ๖ ตัน เช่นอย่างทองคำในจำนวนเงิน ๘๐๐ ล้านนี้ก็จะพออยู่แล้วนะ แล้วยังอีกสองบัญชีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทั้งสองธนาคารนี้เพื่อกฐินทองคำ สองบัญชีนี้ไม่ต่ำกว่า ๖ ล้านนะ สองบัญชีนี้จะเข้าในทองคำทั้งหมด เราเป็นคนกะเอง เพราะเราหนักแน่นในทองคำมาก อย่างอื่นอย่างใดที่พอถูไถเราก็ถูไถไป หากจำเป็นจริง ๆ ก็แยกให้เสีย นอกนั้นก็จ่ออยู่ที่ทองคำ ๆ นะ เราต้องการทองคำมากทีเดียวในคราวนี้ ให้สมกับชาติไทยของเรากำลังอัตคัดขัดสน เป็นจุดสำคัญเสียด้วย จุดที่อัตคัดขัดสน มีทองคำเป็นสำคัญที่จะเป็นพื้นฐานอันมั่นคงของชาติไทยเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหนักแน่นในจุดนี้
อะไร ๆ พออยู่พอกินพอเป็นพอไป เอ้า ถูไถกันไปเสียก่อน ขอให้ต้นลำมันดีว่างั้นเลย เราถึงหมุนเข้าในจุดนี้ การที่เราได้เกริ่น ๆ ไว้กับพี่น้องทั้งหลาย คือ พูดมาเป็นระยะ ๆ แล้วก็เกริ่นไปเรื่อย เกริ่นไปเรื่อย ๆ พูดเป็นระยะ ตั้งแต่เริ่มช่วยทองคำไม่ได้บอกว่าจำนวนเท่าไร ทำไปกำหนดไปพิจารณาไปเรื่อย ไม่ใช่ทำเฉย ๆ นะ ทางนี้จะหมุนติ้วตลอดเวลา ไม่ใช่พาพี่น้องทำเฉย ๆ อย่างเฉย ๆ เมย ๆ เราไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นกิริยาที่แสดงออกพี่น้องทั้งหลายเห็น จึงเข้มข้นทั้งนั้น ออกจากความเข้มข้นของใจที่จริงจังมากทีเดียว ตามธรรมที่เป็นของจริงอยู่แล้ว เราทำอย่างนั้น
เราเป็นห่วงพี่น้องชาวไทยเรามาก ก็เป็นวาระเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเรากำลังนำพี่น้องทั้งหลายอยู่เวลานี้ เราก็อยากให้มีเป็นที่ระลึกแห่งชาติไทยของเรา คือความแน่นหนามั่งคงต่อชาติไทยรู้สึกกระเตื้องขึ้นมา มีทองคำเป็นหลักประกันว่างั้นเลย คราวนี้เราต้องการอย่างมากทีเดียวทองคำคราวนี้ ทีนี้ก็ออกสนามแล้ว เด็ดแล้วที่นี่ เรียกว่ายังไงก็ไม่ถอยถ้าลงได้ถึงขั้นออกประกาศแล้วว่า ทองคำเราในการช่วยชาติคราวนี้จะให้ได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๔ พันกิโล มิหนำซ้ำยังย้ำเข้าไปอีกว่า ๔ พันกิโลนี้จะขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้เลย นั่นฟังซิ เวลาเด็ดต้องเด็ดอย่างนั้นซิ
สตางค์หนึ่งนี้ละจะเป็นภัยต่อชาติไทยของเรา หัวชาติไทยทั้งชาตินับแต่หัวหลวงตาบัวลงไปจะขาดสะบั้นลงไป ถ้าทองคำนี้ได้ขาดไปหนึ่งสตางค์ ไม่ครบจำนวน ๔ พันกิโลว่างั้นเลย เพราะฉะนั้นจะขาดไปไม่ได้ เราเห็นทองคำขาดไปหนึ่งสตางค์นี้กับเห็นคอคน อันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน เทียบเข้าซิ ทองคำนี้เพราะความอ่อนแอของเราขาดเพียงสตางค์หนึ่งเท่านั้น ความอ่อนแอนี้ทำพิษให้ชาติไทยของเราขนาดไหน ถึงคนทั้งชาติตลอดถึงหัวหน้าผู้นำก็คอขาดไปตาม ๆ กัน
นี่โทษแห่งความอ่อนแอ โทษแห่งความไม่เอาไหน เพียงทองคำสตางค์นึงก็ไม่เอาไหน ถึงขนาดสละคอตัวเองไปได้ไม่เสียดายมีอย่างเหรอ พิจารณาซิพี่น้องชาวไทยเรา ต้องฟัดขาดสะบั้นไปเลยซิ ยิ่งเข้าใจจุดนี้ว่าสตางค์นึงนี้ละตัวสำคัญให้ว่างั้น เข้าใจไหมพี่น้องทั้งหลาย สตางค์นี้ละที่ตัวสำคัญมาก มันจะตัดคอชาติไทยของเรา หัวหน้ามันก็ไม่ได้ถอยละ คอหลวงตาบัวนี้ขาดไปเลย นี่เห็นไหมภัยของมัน เพียงขาดสตางค์หนึ่งเท่านั้นทองคำ ไม่ครบจำนวน ๔ พัน ต้องขยับเข้าไป
ใครจะไปเห็นทองคำ ๑ บาทมีน้ำหนักมากยิ่งกว่าคอคนทั้งชาติวะ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็ผึงล่ะซี ขาดสะบั้นไปเลย เอา เอามา ๑๐ บาทก็เอามาเถอะน่า ดีไม่ดี ๑๐ ตันก็มา เมืองไทยของเราจะฟาดมันขาดหมดเลยทองคำว่างั้น ขาดนี้ขึ้นคลังหลวงเข้าใจไหม ไม่ได้ขาดลงทะเลนะ ขาดขึ้นคลังหลวง คอเราตั้งได้เลยสง่างามทั่วประเทศ ตลอดถึงเมืองนอกดัง ความแน่นหนามั่นคงเราสมชื่อสมนาม ทองคำก็ได้ตามความมุ่งหมาย และชาติไทยของเราแน่นหนามั่นคง ชื่อเสียงของชาติไทยเราเด่นออกขนาดไหน
เราทำทุกอย่างเพื่อ ๆ รอบไว้หมดนะ เราไม่ได้มาพูดเฉย ๆ ทำเพื่อพี่น้องชาวไทย เพราะฉะนั้นถึงคราวเด็ดจึงเด็ด ไม่เด็ดไม่ได้ เด็ดด้วยเหตุด้วยผลด้วยอรรถด้วยธรรม เอ้า เด็ดไปเถอะว่างั้นเลย ไม่มีอะไรเสียหาย เด็ดเท่าไรยิ่งดียิ่งเลิศเพราะเด็ดด้วยธรรม ถ้าเด็ดด้วยกิเลสขาดสะบั้นไปเลยนะ เด็ดเท่าไรก็ไม่ดี ฟังแต่ว่ากิเลสไม่เคยทำความดีงามให้แก่ผู้ใด มันกัดมัน..โอ๊ย อะไรพูดไม่ถูกนะ มันซึมมันซาบมันกัดมันกินมันแทะอยู่ในนั้นละ เราไม่รู้ แต่ธรรมเห็นหมดจะว่าไง
ผู้มันเปิดนี่นะ โห กิเลสตัวนี้แม้เพียงเม็ดหินเม็ดทรายก็แสดงพิษขนาดนั้น แสดงพิษขึ้นมาจากเม็ดหินเม็ดทรายของกิเลสนั่นแหละ ถ้ายิ่งมากกว่านั้นมันจะแสดงมากขนาดไหน ๆ พระพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิ ทุกพระองค์ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชมเชยกิเลส และฆ่ากิเลสตายขาดสะบั้นลงไปด้วยกันทุกพระองค์ จึงประกาศพระองค์เป็นศาสดาเอกของโลกขึ้นมา กิเลสจึงเป็นตัวเลวร้ายที่สุด มันอยู่คนละฝั่ง กิเลสฝั่งหนึ่ง ฝั่งนี้ฝั่งทำลาย ธรรมเป็นฝั่งต้านทานและฝั่งบำรุงส่งเสริม กิเลสเป็นฝั่งที่คอยกัดคอยแทะคอยทำลาย คอยสังหาร เป็นขั้น ๆ ลงไปเหมือนกัน
ทั้งสองอย่างนี้เราอย่าเข้าใจว่ามีมาเร็ว ๆ นะ คือมีมากี่กัปกี่กัลป์ เป็นมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหลักธรรมชาติ เช่นเดียวกับกิเลสเป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งของฝ่ายวัฏจักร พระพุทธเจ้าเป็นฝ่ายวิวัฏจักร จึงต้องมีมาต้านทานกันตลอด หลักความจริงเป็นอย่างนี้ ใครจะลบล้างยังไงไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เราถึงกล้าพูดได้เลยว่า เพียงนับจำนวนพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันเราเกิดมาจนกระทั่งถึงวันเราตาย หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ไปได้จำนวนเท่าไร ยังไม่ครบพระพุทธเจ้า เราตายไปเสียก่อน
เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้ามากกว่ามาก เพราะเหตุใดอีกล่ะ เพราะโลกอันนี้มีมากี่กัปกี่กัลป์ คือนับกัปนับกัลป์ไม่ได้ เงื่อนต้นเงื่อนปลายของกัปกัลป์นี้ก็ไม่มี ไม่มีใครนับได้ ถึงจะมีก็เรานับไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็อุบัติมาเรื่อย ๆ ถึงจะช้าก็ตาม เช่น วันหนึ่งเป็นหนึ่ง วันสองเป็นสอง ๓๐ วันก็นับเป็นจำนวน ๓๐ แล้ว นี่พระพุทธเจ้าถึงจะตรัสรู้มาช้าก็นับมาตลอดอย่างนี้ แล้วนับมากี่กัปกี่กัลป์จะไม่มากได้ยังไง
ฟาดจนจิตสว่างจ้าเป็นธรรมธาตุด้วยกันแล้ว กระเทือนถึงกันหมด ไม่ต้องไปพูดถึงว่าขอบอยู่ที่ไหนมหาสมุทรทะเลหลวง พอมองเห็นเท่านั้นใครก็ทราบแล้ว โห นี่มหาสมุทร น้ำมหาสมุทรเป็นอย่างนี้ มันยังมีขอบมีฝั่งอยู่นะมหาสมุทร มหาสมมุติมหานิยมไม่มีฝั่ง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาที่เป็นธรรมธาตุนี้ก็ไม่มีขอบมีเขต ครอบพวกนี้อีก นั่นฟังซิ แล้วเราจะไปนับได้ยังไงว่ามีกี่องค์ ๆ
อย่างที่ท่านแสดงไว้ใน สมฺพุทฺเธ อฏฺฐวีสญฺจ ทฺวาทสญฺจ สหสฺสเก นั้นท่านพูดไว้พอประมาณ ก็จอมปราชญ์หรือนักปราชญ์รุ่น ๆ ต่อมานี้ท่านแสดง ไหว้พระพุทธเจ้าตั้งแต่ ๑๘ พระองค์ขึ้นไปถึงกี่ร้อยพระองค์ แล้วก็หนึ่งล้าน ล้านขึ้นไป ท่านกล่าวไว้พอประมาณ มิหนำซ้ำยังไปเห็นผู้ที่ไปจัดพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม เรายังไม่ลืมนะ ปักหัวใจเราตลอด ถึงขั้น สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเต อฏฺฐจตฺตาฬีสสหสฺสเก ที่ขาดร้อยอยู่หนึ่งองค์ จะครบจำนวน
เราลืมเสีย แปลก็แปลได้ อ่านมาก็อ่านได้ บาลีก็จำได้ แต่จำว่ามันขาดร้อยของที่เท่าไร ของล้านหรืออะไรไม่ได้ แล้วเขาก็เขียนฟุตโน้ตจากอันนั้นมาลงไว้ข้างล่าง เขาบอกว่าเหลือเชื่อ โอ๊ย ตาบอดมันมาอวดทำไม มันขึ้นทันทีเลยนะ
เพียง ๒,๐๐๐ องค์เท่านี้เขาก็เหลือเชื่อแล้ว ฟังซิ เพราะฉะนั้นคนคนนี้จึงว่ามันมีพุทโธสักองค์เดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้ในหัวใจของมัน มันจึงไม่กล้าเชื่อ มันกลืนไม่ลง ว่าพระพุทธเจ้ามีถึงสองพันสามพันมีได้ยังไงว่าอย่างนั้น ก็จะมีได้ยังไง ก็เราตั้งแต่พุทโธคำเดียวเท่านี้ยังไม่เห็นมีได้ นี่หมายถึงว่า แล้วมันจะมีได้ยังไงในพุทโธตั้งล้าน ๆ ได้ยังไงหัวใจดวงนี้น่ะ ถ้าหัวใจดวงเป็นธรรมแล้วมีเท่าไรรับหมด
เช่น อย่างเรามองไปในน้ำมหาสมุทรปั๊บนี้ โอ้ นี่มันน้ำมหาสมุทร น้ำมากน้อยขนาดไหนใครจะไปนับน้ำได้ไหม นั่นซิฟังซิเท่านี้ เทียบกับธรรมธาตุที่มีประจำโลกมานาน นี้เป็นธรรมคุ้มครอง เป็นธรรมพื้นฐาน เป็นธรรมธาตุ ให้ท่านทั้งหลายฟัง มันจ้าอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ อาจหาญไหมผู้นำพี่น้องทั้งหลาย ฟังซิ เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวไม่เคยมี เราก็พูดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน พูดแบบสด ๆ ร้อน ๆ พูดด้วยความแม่นยำเสียด้วยนะ
เหมือนเราไปมองดูน้ำมหาสมุทร พอมองลงไปนี้มองไม่เห็นฝั่งเลย ทั้ง ๆ ที่มันมีฝั่งอยู่เราก็มองไม่เห็น มากไหม อันนี้ธรรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาสักเท่าไร ๆ มานั้นจนกระทั่งถึงป่านนี้เป็นธรรมธาตุครอบ ยังมากยิ่งกว่าน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอีกนะ มหาสมมุติมหานิยม อันนั้นมหาวิมุตติมหานิพพาน ธรรมธาตุครอบอีก
ท่านจึงว่าโลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก โลกวัฏจักรนี้เอง ไม่ได้อยู่ใต้โลกนะเหนือ มากกว่าทุกอย่าง เลิศเลอกว่าทุกอย่าง ๆ สั่งสอนสัตว์ทั้งหลายเรื่อยมาก็เพราะธรรมเหล่านี้ที่ออก ออกมา ผู้ได้บรรลุธรรมก็เอาอันนี้ออกมา ดึงออกมาสอนโลกไปเรื่อย ๆ อันนี้เป็นพื้นฐานดั้งเดิม เป็นอยู่อย่างนั้น ธรรมมีอยู่อย่างนั้นตลอดอนันตกาลมาเลย
โห อยากให้รู้ให้เห็น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงอ่อนพระทัยล่ะซี เราพูดจริง ๆ ตั้งแต่เราตัวเท่าหนูมันก็เป็น เป็นในหัวใจ เป็นขึ้นในขณะนั้นเลยนะ ไม่ใช่เป็นมาจากที่ไหน ไปศึกษาเล่าเรียนหรือได้คาดคะเนไว้ ไม่ได้คาด
ความรู้ความเห็นของเรา มีแต่จะบึกบึนให้หลุดให้พ้น แต่เรื่องอันนี้เด่นมาก เรื่องความบึกบึนให้หลุดให้พ้น เรียกว่าเข็มทิศนี้มุ่งมั่นเลยเทียว ไม่มีอ่อน อันนี้เราได้ชมอยู่ ตอนเรียนหนังสืออยู่ก็มีความเชื่อความเลื่อมใสในมรรคผลนิพพาน แต่ยังมีอะไรคอยกัดคอยแทรกคอยแซงคอยกินอยู่ เอ๊ มรรคผลนิพพานจะมีหรือไม่มีน้า ทั้ง ๆ ที่เราอยากได้มรรคผลนิพพาน จะมีหรือไม่มีน้า เรียนหนังสืออยู่ก็สนใจปฏิบัติอยู่แล้วอย่างนั้น ตามนิสัย มันหากเป็นของมันเอง
ตั้งแต่วันก้าวเข้าไปบวชพลิกใหม่หมด ความรู้สึกอะไร ๆ นี้ เฉพาะอย่างยิ่งที่โยมแม่ที่มานั่งใกล้ ๆ ว่าแม่จะบอกหนา นี่โถ ถึงใจจริง ๆ นะ แม่จะบอกนะ ไม่ได้ว่าสอนนะ มานั่งปั๊บลงนี้เราเตรียมจะออกไปวัดแล้ว เตรียมแล้ว อยู่ ๆ แม่ก็เดินเข้ามานั่งปั๊บใกล้ ๆ นี้ นี่แม่จะบอกหนา แม่ขอพูดว่าอย่างอื่นอย่างใดที่เป็นมานั้น แม่หาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ไม่ว่าหน้าที่การงานความประพฤติทุกอย่าง แม่ไว้ใจได้ทุกอย่างเลย แต่..ตรงนี้ซิ ยกขึ้นแล้วจะทุ่มลง แต่สำคัญที่การนอนนะลูก การนอนนี้เหมือนตายเลย ที่แม่เป็นห่วงมากที่สุดคือการนอนเหมือนตาย ก็ยกพี่ชายขึ้นมา เราไม่ลืม มันสด ๆ ร้อน ๆ นี่นะ
พี่ชายเขาบอกแม่ว่า วันพรุ่งนี้เช้าให้ปลุกแต่เช้าด้วยนะแม่ คือเขาจะไปธุระแต่เช้า ถ้าเขายังไม่ตื่นก็ให้แม่ไปปลุกเขา เขาจะไป ทีนี้บางทีไม่ได้ปลุก เขาไปก่อนแล้ว พอถึงเวลาเขาไปแล้ว ตื่นแล้วไปแล้ว ไอ้ลูกคนนี้ไม่เคยมีเลย ว่าอย่างนี้นะ พอว่าแม่ปลุกหน่อยนะตอนเช้า วันพรุ่งนี้จะไปตั้งแต่เช้า แล้วตายเลย ไม่เคยได้ลุกโดยลำพังตัวเอง นี่ที่แม่เป็นห่วงมาก ทีนี้เวลาไปบวชแล้ว จะไปหลับครอก ๆ อยู่ในวัด พระท่านออกบิณฑบาตบ้านไหนเมืองใดจนกลับมาแล้ว ไปปลุกท่านบัวมาฉันจังหัน ยังนอนหลับครอก ๆ อู๊ย อย่าให้แม่ได้ยินนะลูก ว่าอย่างนี้นะ นี่ที่แม่เป็นห่วงมากที่สุด มีอันนี้นะลูก ย้ำลงไปทีเดียวนะ อย่างอื่นแม่ไม่ได้วิตกวิจารณ์
ทางนี้ก็ฟัง โห มันเอาจริงนะ ไม่ตอบแม่สักคำ ฟัง คือแม่ไม่รู้ความในใจของเรา คือความในใจของเราว่า ทอดธุระ เข้าใจไหม ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง ล้มแล้วปล่อยเลย พอถึงเวลาแม่ก็มาสะกิดนิ้วเท้าเท่านั้น ลุกพึบไปเลย ไม่ต้องว่าปลุกอย่างนั้นอย่างนี้ สะกิดปั๊บลุกพึบเลย ทีนี้ความตายใจของเราคือว่า ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง ทีนี้ก็ปล่อยเลยทุกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าลุก แม่จึงบอกไม่เคยมีนะลูกนะ แม่ต้องปลุกทุกครั้ง นี่ที่แม่วิตกวิจารณ์มาก
พอออกจากบ้านไปแล้ว ทำความเข้าใจ ทำจริง ๆ นะ เอาหนาที่นี่ แม่ไม่ได้ตามปลุกนะ เราต้องเป็นตัวของเราทุกอย่างตั้งแต่บัดนี้ต่อไป ออกมาจากบ้านแล้วทางบ้านจะไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา เป็นเรื่องของเราแล้วที่นี่ เราต้องเป็นตัวของเรา ทีนี้การนอนก็เด่นเหมือนกันนะ เด่นทางตื่น เอ้า จะเอาเวลาไหน พับ ๆ ได้เลยไม่มีเคลื่อนคลาด เห็นไหมความตั้งใจ จริงจัง นี่ละความจริงจังได้สัดได้ส่วนทุกอย่างไม่มีที่ต้องติ นอนกี่ชั่วโมง บางทีตีสี่ล้มนอน ดูหนังสือซิ ดูหนังสือแล้วก็ภาวนา พอถึงเวลานอนตีสี่ สว่างจะตื่นให้ไปทันทำวัตรเช้าแต่เช้า ไม่เคยพลาดนะ นั่นเห็นไหม การนอนตั้งใจเอาไว้ กะถึงระยะนั้นจะลุก พอถึงนั้นดีดผึง ๆ
เพราะการนอนของเราไม่เคยลุกขึ้นธรรมดา ตั้งแต่วันเข้านาคมา เพราะเปลี่ยนหมดแล้ว บอกว่าต้องเป็นตัวของตัวเอง ถึงเวลาลุกนี้ผึงเลยทันที เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพรานนะ ดีดผึงเลย ถ้าหมู่เพื่อนนอนอยู่ด้วยนี้หมู่เพื่อนอาจจะตื่นนอนก็ได้ เพราะขณะที่เราลุก ลุกด้วยความตื่นเต้นเป็นประจำ จนเป็นนิสัยเลย ไม่ต้องตั้งใจมันเป็นของมันเอง เมื่อเป็นนิสัยแล้วผึงทันที ๆ เลย ไม่เคยพลาด
ความมุ่งมั่นมรรคผลนิพพานมันมีมาตั้งแต่โน้น แต่ไม่ได้มุ่งมั่นอะไรมากนัก หากมีอยากไป ทีแรกบวชมาก็อยากไปสวรรค์ ต่อมาอยากสูงขึ้นไป แต่พออ่านหนังสือเข้าอยากไปนิพพาน พออยากไปนิพพานทีนี้ความอยากก็มีมาก ความคิดก็มีมาก ความสงสัยมันก็แทรกเข้าไป ๆ เอ๊อ มรรคผลนิพพานจะมีหรือไม่น้าสมัยปัจจุบันนี้ ต่อจากนั้นแล้วก็ควานหาครูบาอาจารย์ องค์ไหนใครก็ตาม ถ้ามาชี้บอกมรรคผลนิพพานอย่างประจักษ์ใจหายสงสัย ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่ เราจะมอบกายถวายตัวต่อผู้นั้นและครูบาอาจารย์องค์นั้น แล้วจะเอาตายเข้าว่าเลย
ชื่อเสียงโด่งดังมาเท่าไรพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่นะ เข้ามาถึงท่าน โหย ท่านเอาเรดาร์จับไว้เลยนะ ร้อยทั้งร้อยไม่ผิดพลาดเลย เข้ามาก็จี้เลย เหอ ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลยนะนั่นน่ะฟังซิ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ต้นไม้ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ไล่ไปหมดเลย แดนโลกธาตุนี่ไม่มีอะไรเป็นกิเลส ไม่มีอะไรเป็นมรรคผลนิพพาน ที่เป็นกิเลสที่เป็นมรรคผลนิพพาน เป็นอยู่ที่ใจ ทั้งมรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ ธรรมอยู่ที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ ให้ชำระล้างเข้าตรงนี้ ท่านไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพาน เวลานี้กิเลสปิดบังมรรคผลนิพพานไว้ไม่ให้เห็น ปิดอยู่ที่ใจนั้นแล
เทศน์นี่ย้ำลง ๆ ทางนี้มันฟังเอาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โหย โล่งไปหมดเลย เอาละ นั่นเห็นไหมพอออกมาแล้ว ทีนี้เป็นที่แน่ใจแล้วว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีนั้นหายสงสัยแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีกิเลสอยู่ก็ไม่ได้สงสัยแล้วมรรคผลนิพพาน เอานะ ทีนี้เราจะจริงไหม ต้องจริง นู่นน่ะฟังซิมันตอบรับกัน ของเล่นเมื่อไร ตอบภายในใจเป็นอุทานขึ้นมาเลย ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น อย่าให้อยู่หนักโลกต่อไปเลย
ตั้งแต่วันนั้นมาจึงได้ขึ้นฟัดกับกิเลส เป็นกิริยาอันใหม่หมด เปลี่ยนไปหมดเลยทุกอย่าง เป็นตัวของตัวทั้งนั้น ๆ เลยการปฏิบัติตัว นี่เรื่องมรรคผลนิพพาน เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่ามรรคผลนิพพานจะเป็นยังไง ทั้ง ๆ ที่เราก็มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน นิพพานเห็นจะเป็นอย่างนี้ ๆ แล้วก็คาดไปตามประสาของคนนั่นแหละ แต่ยังไงความมุ่งต่อมรรคผลนิพพานเชื่อแน่แล้วว่ามันมุ่งตลอด
นี่ก็ปฏิบัติไป ๆ อันที่ท่านว่ากิเลสอยู่ที่ใจ ธรรมะอยู่ที่ใจก็ค่อยกระจ่างขึ้นมาล่ะซิ ปฏิบัติเข้าไป ๆ จิตใจก็ค่อยเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจากความมืดตื้อ หรือความที่ว่าน้ำตาร่วงนั่นแหละ น้ำตาร่วงที่ว่ามืดตื้อที่สุด สู้มันไม่ได้ ถึงกูถึงมึง นี่แหละภาษาธรรมท่านทั้งหลายฟังเอา เราพูดนี้เราพูดแบบโลก ๆ นี่เราไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยที่จะพูดนะ เพราะธรรมเต็มหัวใจอยู่นี้ เราเอาโลกมาเหยียบธรรมนี่มันไม่อยากเหยียบ คือไม่อยากจะพูดแบบโลก ๆ ที่เขาพูดกันไพเราะเพราะพริ้งนิ่มนวลอ่อนหวาน แล้วเอาไฟเผากันทั่วโลกดินแดนนี้ นี่ภาษาของกิเลสคือไฟเผาโลก
หลอกโลกไปตลอดเวลานะ มีแต่ความนิ่มนวลอ่อนหวาน โอ๊ย ไพเราะเพราะพริ้ง เห็นกันประจบประแจงเลียแข้งเลียขา เลียไปทุกอย่างแหละ เลียก้นก็อาจได้เรื่องของกิเลสมันหลอกคนนะ คือตายใจถึงขนาดเลียก้นกันได้นั่นละ เพราะเชื่อกิเลส กิเลสพาเป็นไป นี่ละกิริยาของกิเลสที่มันใช้กับโลกอยู่เวลานี้ ทำให้โลกรุ่มร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา นี้คือภาษาของกิเลส พากันทราบเสียถ้ายังไม่ทราบ เราเปิดหัวอกเรามา เราฟังไม่ได้นะภาษาเหล่านี้
แต่เราก็ค่อยหย่อนยานลงมา เพราะโลกเขามีสมมุติจะทำยังไง ก็เมื่อเป็นยังงั้นแล้ว ก็ต้องแบ่งสัดแบ่งส่วนให้กันบ้าง แยกให้เขาบ้างแยกให้เราบ้าง บางทีมันโมโหก็ตีเอาเสียทีหนึ่งเข้าใจไหม มันโมโห ความจริงมีอยู่ไม่ให้พูดไปได้ไง ก็เห็นอยู่นี่น่ะ แล้วจะเอากิเลสสกปรกมาปิดบังไม่ให้ความจริงออกนี้มีอย่างเหรอ บางทีมันก็ตีเอาเสียบ้างซิ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เช่นยกตัวอย่างอย่างที่เคยพูดนี่ละ นี่ละภาษาธรรมออกรับภาษากิเลส ไม่ต้องไปคิดไปคาดมาจากไหน มันออกกันเองรับกันเองอย่างนี้แหละ แล้วอยู่ ๆ ฟังให้ดีทุกคนนะ เราเคยพูดมา นี่มันสด ๆ ร้อน ๆ อย่างนี้แหละนะ เรื่องของกิเลสมันเป็นอย่างนี้จะว่ายังไง
แล้วอยู่ ๆ คนมาก ๆ นะเต็มศาลาคนไปงาน บ้านแพงเรานี้จะเป็นที่ไหน เป็นบ้านแพง (อ.บ้านแพง จ.นครพนม) เราไปงานกฐินบ้านแพง แล้วทำไมมันไม่อายคน คนคนนี้น่ะ นั่นซีที่มันรับกันตรงนั้นเข้าใจไหม มันไม่เห็นอาย คนเต็มศาลาทั้งนอกศาลาเต็มไปหมด อยู่ ๆ ก็มีผัวแล้วไม่มีลูก อยากได้ลูก มาขอลูกกับเรา มีผัวมานานแล้วก็ไม่มีลูก อยากได้ลูกสักคน ทางนี้ก็ตอบกันทันที โอ๋ย ถ้าอยากได้ลูกต้องไปหาผัวมาอีกสัก ๑๐ คน หาผัวมาแต่ละคนไปดูเสียก่อนว่า คนนี้มันมีกี่ควย แล้วเลือกดูควยมันว่าควยไหนมันจะมีลูกได้ ให้เอาคนนั้นนะมาเป็นผัว เห็นไหมมันออกเข้าใจไหม ก็มันหยาบมาอย่างนั้น ทางนี้ไม่หนักรับกันไม่ได้เข้าใจไหม เปรี้ยงลงไปตรงนั้นเลย คนหัวเราะเสียงลั่นไปหมดเลย นี่ละภาษาธรรมเข้าใจเหรอ
ก็มันคันฟันนี่นะ มาถามนี่ กิเลสมันแบบหน้าด้านเข้ามา ธรรมก็ต้องมีธรรมหน้าด้านสำหรับกิเลสนะ ไม่ใช่หน้าด้านของธรรม เป็นธรรมหน้าด้านสำหรับกิเลส ก็ฟาดลง ก็ไปหาผัวมาสัก ๑๐ ผัวซิ หาผัวคนนี้มาต้องเปิดดูควยมันเสียก่อน ควยนี้จะมีลูกไหม ไอ้นี้มันมีกี่ควย เอาอีกหลายควยนะ มันควรจะมีลูกได้ไหม ซัดทางนี้ โอ๋ย (หัวเราะ)คนแตกโก้ก ผู้หญิงคนนั้นมันเผ่นไปไหน หรือไม่เผ่น มันยังหน้าด้านรอเราอยู่ก็ไม่รู้นะ เวลาไปเดี๋ยวมันจะถามอีก นี่ยังไม่มีลูกนะ ก็จะเอาอีก นี่ลูกยังไม่มี มันจะขึ้นอีกนะ ปั๊บทีนี้เอาหลงทิศไปเลย
อย่าเข้าใจว่าธรรมจะจนตรอกนะ พอแพล็บมา พับเลย ๆ ถ้าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งหลายให้เป็นคติ ถ้าไม่เป็นคติดึงก็ไม่ออกนะ การพูดนี่ไม่ได้พูดเพื่อความเสียหาย พูดเพื่อเป็นคติทั้งนั้น ไม่ว่าหนักว่าเบาเพื่อเป็นคติทั้งนั้น ธรรมไม่มีความเสียหายแก่ผู้ใด พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้นะ ภาษาธรรมต้องตรงไปตรงมา ไม่งั้นฆ่ากิเลสไม่ได้ กิเลสมันซอกแซกซิกแซ็กหลบนั้นหลีกนี้อยู่งั้น อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ โอ๊ยดูซิ
เราดูโลกเวลานี้ เอาธรรมจับให้มันเห็นชัด ๆ โลกนี้เหมือนว่าเป็นเทวบุตรเทวดาไปหมดนั่นแหละ นับแต่ที่อยู่ที่กินที่หลับที่นอนที่อยู่ที่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย ไปมารถไม่รู้กี่คัน ถนนหนทางราบเรียบทุกสิ่งทุกอย่าง ตึกรามบ้านช่องกี่ห้องกี่หับแล้วยังไม่พอ ๆ ประดับตกแต่งกันเรื่อย ๆ นี่โลกก็ตื่นเป็นบ้าไปด้วยกัน เมื่อเห็นเขาเป็นอย่างนั้นแล้วเราก็อยากได้อยากเป็นอยากมีอย่างเขาบ้าง ก็ต่างคนต่างดิ้น ความดิ้นความดีดนั้นเป็นทุกข์ขนาดไหนมันดูไหม นั่นละธรรมจับเข้าไปเลย นี่ตัวสาเหตุที่จะให้มันดิ้นมันดีด ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ๆ
ดิ้นเท่าไรความทุกข์ยิ่งเกิด ๆ ทุกผู้ทุกคนดิ้นดีดไปตามโลกตามสงสารเต็มไปหมด มีแต่พวกดิ้นพวกดีด เอาความสุขมาจากไหน มันมีแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร บ้านไหนเจริญ ที่ไหนเจริญคือฟืนคือไฟเต็มหัวใจของโลก ด้วยความดีดความดิ้นทั้งนั้น เอาความสุขมาจากไหน ธรรมจับปุ๊บ ธรรมได้ความสุขมาแล้ว ธรรมทรงความสุขไว้แล้ว สนุกดูถ้าว่าจะสนุกดูเรื่องโลกเรื่องสงสาร แต่ท่านไม่ใช่บ้านะนักปราชญ์ท่าน ผู้มีอรรถมีธรรมท่านไม่พูด ถึงกาลเวลาที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อยแล้วก็พูดไปอย่างนั้น ท่านไม่มีความหิวโหยอยากพูด การดูถูกเหยียดหยามนี้ท่านไม่มีในหัวใจ ท่านจะพูดด้วยความเมตตาสงสาร พูดตามหลักความเป็นจริงเท่านั้น
อันนี้เป็นยังไงโลกเรา ยังพากันตื่นบ้ากันอยู่เหรอ ไม่มองเห็นธรรมบ้างเหรอ มองหาธรรมบ้างซิ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าในจิต ให้จิตอยู่กับพุทโธ ธัมโม สังโฆ ชั่วระยะเวลาเท่านั้น จิตจะค่อยสงบเข้ามา ๆ ยิ่งมีความรักใคร่ใฝ่ธรรมเข้าไปมากเท่าไร จิตกับธรรมค่อยสนิทกันเข้า จิตนี้ก็จะได้มีอาหารอันโอชารส คือธรรมเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจ จิตจะปราศจากหรือเบาบางในเรื่องความวุ่นวายทั้งหลาย ที่ดีดที่ดิ้นเต็มโลกเต็มสงสารนั้นเข้ามาสู่ความสงบ แล้วตั้งตัวได้ที่จิต จิตมีธรรมจิตตั้งตัวได้ จิตมีธรรมจิตมีที่หลบที่ซ่อนที่ผ่อนคลายตัวเองได้
ถ้าไม่มีธรรมแล้ว ใครจะมีอะไรขนาดไหนก็ตามเถอะ ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีใครจะที่ได้เป็นสาระของตน เศรษฐีก็ตายอยู่ในกองสมบัตินั่นแหละเวลาตาย แล้วกระดูกก็ไม่ได้เอาไปนะ ก็ทิ้งไปเหมือนกระดูกของสัตว์ของคนทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ ตัวมันเองไม่มีสารประโยชน์อะไร เพราะดิ้นตั้งแต่ภายนอกวัตถุต่างๆ แล้วมันก็ไปจมของมัน ๆ ตัวที่มันไปจมไม่มีใครรู้ พระพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายเห็นหมด เข้าใจไหม พวกเรานี้พวกจมนะ
อย่าพากันดีดกันดิ้นเป็นบ้ากันเกินไปนะ เวลานี้โลกเมืองไทยเรามันเป็นบ้าอยู่เวลานี้ กำลังเอาฟืนเอาไฟเผากันทั่วประเทศนี้ ก็เพราะความโลภในด้านวัตถุ ความโลภตื่นลาภตื่นยศนั่นเอง ตื่นความโลภความโลเล ตื่นอำนาจของตัวเอง ลืมอำนาจของตัวเอง จนเหมือนว่าเรานี้ใหญ่คับฟ้า โลกสงสารเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเราเหมือนมีแต่หนูเท่านั้น นี้เป็นเจ้ามหาอำนาจบาตรหลวง ด้วยความหลงเพลินตัวของมันเป็นบ้า มันกำลังเอาไฟเผาหัวอกมัน แล้วมันก็จะเผาหัวอกคนทั้งชาติเข้าไปอีก นี่คือเรื่องกิเลสเผาโลกฟังซิ
ธรรมท่านไม่เผา ท่านรู้เนื้อรู้ตัว ยศเขาตั้งให้เฉยๆ ประสาลมปาก มันยากอะไร ตั้งฟาดขึ้นฟากจรวดดาวเทียมก็ตั้งได้นี่นะ เขาตั้งให้เป็นอย่างนี้ สมมติว่าเอาให้เป็นนายก ฟาดเลยนายกขึ้นไปอีกนู่นก็ได้นี่นะ เขาตั้งเลยขึ้นไปอีกก็ได้ประสาลมปาก มันยากอะไร มันยากที่การปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนดีขึ้นมานั่นซิ มันยากตรงนี้ ปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น จึงท้อพระทัย ท้อพระทัยในการที่จะดัดแปลงสัตวโลกให้มีความสงบร่มเย็นด้วยศีลด้วยธรรม สัตวโลกไม่ยอมรับนะ
เวลานี้พากันดิ้นแต่เรื่องเหล่านี้นะ โลกอันนี้มันจึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ มาจากประเทศไหนเมืองใดก็ตาม อย่าเอามาอวดกันว่างั้นเลย ธรรมครอบไว้หมดแล้ว ธรรมไม่ได้สงสัยอะไรเลย อย่ามาหลอกกัน มาจากเมืองนั้นเมืองนี้ เมืองนั้นเขาเจริญๆ เจริญขี้หมาอะไรเราอยากตอบว่าอย่างนั้น นี่ภาษาธรรมเข้าใจไหม ธรรมเห็นหมดแล้วจะมาหลอกยังไง คนตาบอดมาหลอกคนตาดีจะเชื่อกันได้ยังไง เข้าใจเหรอ มีแต่คนตาบอดหูหนวกคับโลกคับสงสาร คนตาดีคือธรรม คือพระพุทธเจ้าและผู้ทรงธรรมท่านตาดี ท่านเห็นหมดท่านจะไปหลงอะไรกับสิ่งเหล่านี้
มีแต่พวกบ้าเรานี่ ครั้นมาเจอกันไม่ลืมตานะเอาหัวชนกันเลย หัวชนกัน หือใครนี่น่ะ คนนั้นบอกว่าฉันชื่อนายบู้ คนนี้ชื่อนายบี้ มาจากไหน ๆ ตายังไม่เห็นกันนะ ถามข่าวถามคราวกัน คือตามันบอดหัวใจมันบอด ไม่รู้จักบาปจักบุญ ไม่รู้จักคุณจักโทษ ไม่รู้จักสูงจักต่ำ มันด้นเด้าพูดไปอย่างงั้นแหละ เรื่องของโลกเป็นอย่างงั้นนะ แต่ท่านผู้ตาดีท่านเห็น มองเห็นพับ โอ๋ คนนี้ชื่อว่างั้นๆ มาจากที่ไหนก็รู้กันทันที คนตาบอดเอาหัวชนกันมันก็ไม่รู้
นี้กิเลสกับคนฟัดกันก็เป็นอย่างงั้น กิเลสตีเอาๆ หัวคะมำๆ ว่าคืนนี้นอนหลับดีนะ พุทโธไม่มีติดตัวสักคำมันว่านอนหลับดีวันนั้น เข้าใจไหม ถ้ามีพุทโธวันนั้นมีอะไรกวนใจเข้าใจเหรอ วันนี้ภาวนาไม่ดีเลย มันหารู้ไม่ว่าไม่ดีเพราะอะไร เพราะกิเลสเหยียบหัวมันไม่ได้ว่านะ ไปเข้าใจว่าพุทโธเหยียบหัวมัน สุดท้ายก็กลัวพุทโธละซิ ไม่อยากว่าพุทโธ พอว่าพุทโธแล้วเหมือนกับเสือร้ายตัวหนึ่ง แล้วอะไรดี หมอนดี จุดตะเกียงก็มิบๆ แม็บๆ ตื่นก็ค่อยไปเขี่ยตะเกียงเสียทีนึง หลับไปครอกๆ ตื่นขึ้นมา โอ๊ย ตะเกียงดับไปเขี่ยตะเกียงเสียทีนึง หลับครอกๆ แหม เมื่อคืนนี้นอนหลับดี แต่ตะเกียงกวนหน่อย ได้เขี่ยตะเกียง ฟังซิ พวกบ้าเป็นอย่างงั้นนะ โอ๊ย มันสลดสังเวช ดูมันดูจริงๆ นะ
พูดจริงๆ นะ พี่น้องทั้งหลายว่าเรามาพูดเล่นเหรอ เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวมันไม่ได้เห็นมันไม่รู้ มันจ้าขึ้นมาอย่างนี้จะให้ว่ายังไง ใครในสามแดนโลกธาตุนี้จะมาให้เราหวั่น ไม่มีว่างั้นเลย มีแต่สูนี่เท่านั้นละเข้าใจไหม คือมันปลงธรรมสังเวช ไม่มีที่ปลงแล้ว จะว่าอะไรมันก็จะเลยเถิดเลยแดน ก็เอาแต่เพียงแค่ว่า สูนี่ แล้วพอ ต่อไปนี้พอสูนี่แล้วฟาดพร้อมนะ เดี๋ยวนี้มีแต่เพียงสูนี่เฉยๆ ยังไม่ได้ฟาดพร้อม เอาละให้พร
ต่อไปนี้เขาจะตั้งศาลาใหญ่ขึ้นมาที่หน้ากำแพง เราอนุญาตแล้ว ประจวบกันกับเราพิจารณาเรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุการณ์มันประดังเข้ามาเรื่อยๆ มีแต่ความลำบากลำบนของประชาชนที่มาในงานนี้ เวลาฟ้าลมฝนตกนี้หาที่พักที่อยู่ที่นั่งไม่ได้เลย เราก็คิดมาเรื่อยๆ เพราะเรามาห้ามตลอด จะมาสร้างอะไรก็ตามในวัดนี้ เราห้ามมาตลอดตัดขาดมาตลอด ไม่ให้ด้านวัตถุเข้ามายุ่งด้านศีลธรรม ครั้นอยู่ๆ มันก็อย่างนี้ละ เกี่ยวข้องกับการช่วยชาติบ้านเมือง เมื่อเอื้อมมือไปแล้วคนนั้นมาเกาะคนนี้มาเกาะ เรื่องมันก็ยุ่งมากขึ้น ตกลงก็เลยคิดถึงเรื่องศาลา
เขารออยู่แล้ว เขาซื้อไม้มาตั้ง ๒ ปีแล้วนะ ซื้อไม้จะมาสร้าง แต่เขาไม่กล้า มาทีไรก็ถูกตีเอาหลงทิศไป มาคราวนี้ยกขบวนใหญ่มาเลย กระทิงแดงก็มาพร้อมครอบครัวหมด แล้วกิมก่าย มีแต่พวกเศรษฐีทั้งนั้นมาขอ แล้วแสดงเหตุผลให้ทราบเรื่องราว เราก็ตอบรับว่า เออ เราเข้าใจแล้วแหละ เราได้พิจารณาแล้ว คราวนี้เราเลยต้องอนุญาตให้เขาสร้างศาลา แต่สร้างนั้นเราให้เป็นศาลาโล่งไปหมดเลย ไม่ให้มีชั้นนั้นชั้นนี้มีห้องมีหับ จะเป็นการกีดการขวาง ไม่สะดวกแก่การนั่งการอยู่การหลับการนอน การทำหน้าที่การงานในวงงานคนมาก เราเลยจะทำอันนี้ให้โล่งไปหมดเลย ศาลาหลังนี้เรียกว่ามีพื้นอย่างนี้เลย(ลาดซีเมนต์แบบศาลาปัจจุบัน) ความสูงของมันอย่างมากก็เรียกว่าเทคอนกรีตอะไรเรียบร้อยให้อยู่ในระดับ ๕๐ เซ็นต์ คือถมดินขึ้นมาแล้วก็ปูพื้นด้วยคอนกรีต ให้ได้อย่างสูงสุดเพียงแค่ ๕๐ เซ็นต์นี่ละ แล้วก็ปลูก
ศาลานี้โล่งไปหมดเลยไม่ให้มีห้องมีหับ ไม่ให้มีปูพื้นที่ไหนเลย ลาดซีเมนต์ไปเลย นี่เราสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว ความกว้างความยาวเขาพูดผ่อน ๆ เอาไว้ พอรับแล้วเราก็เปิดขึ้นอีกเลย ความกว้าง ๑๕ เมตรความยาว ๕๕ เมตรเราบอกแคบไป นั่นเห็นไหมบทเวลาจะเอา เอา เรากะว่าพอดีเราคิดแล้วว่า เมรุอยู่ทางนี้ทางเข้าทางนี้ แล้วทางวนเวียนไปมาหาเมรุนี้ก็อยู่ที่นี่ อยู่ในช่วงว่างนี้เป็นศาลา กะว่าสะดวกทั้งสามสี่ด้าน เอาความยาว ๖๐ เมตร ความกว้าง ๓๐ เมตรเลย พอดีเราว่า เขาก็สาธุขึ้นทันที ก็ตกลงว่าจะเป็นความกว้าง ๓๐ ความยาว ๖๐ ไม่นานก็จะขึ้นแหละ
ส่วนไม้เขาบอกว่าจะทำยังไง ทำไงก็แล้วแต่เถอะ เวลาสั่งมาไม่เห็นมาถามเรานี่นะเราก็ว่างั้น ไปงั้นนะ จะเอาทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ เขาบอกว่าเขาจะเอามาทำเครื่องข้างบน อะไรก็แล้วแต่เถอะเราไม่ยุ่ง เราบอกแต่ที่จำเป็นเท่านั้น ให้ศาลาหลังนี้โล่งพอ ไม้มันจะเศษจะเหลือเท่าไรก็ค่อยพิจารณากันไปตามความจำเป็นของมันแหละ ว่าเท่านั้นพอแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ศาลานี้จะขึ้น พอเขาทำนากันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มขึ้น ไม่นานละพวกเศรษฐีทำ พุบพับๆ คงไม่นาน เครื่องไม้เครื่องมืออะไรเขาจะเตรียมจากนู้นเลย เขาจะตั้งโรงงานที่หนองคาย อะไร ๆ เขาจะจัดทำกันทางนู้นเสร็จแล้วยกส่วนที่ทำสำเร็จ เช่น ต้นเสาเช่นอะไร เขายกมาลงเลยๆ เขาไม่ต้องมาตั้งโรงงานที่นี่เขาบอกว่างั้น
วันนี้ได้ทองคำเท่าไรล่ะ (วันนี้ได้ทองคำ ๖๓ สตางค์ครับผม) โธ่ๆ ๖๓ สต. ไม่ใช่เล่นนะวันนี้ฟาดเสีย ๖๓ สตางค์ ยังดีกว่าเมื่อวานซืนนี้ขีดไปเลยนะ เอาพักเครื่องว่างั้นเถอะ ติดเครื่อง เร่งเครื่อง ได้ไปทุกวัน ๆ เงินสดเราอยู่ในธนาคารเวลานี้ เงินสดกฐินทองคำเพื่อชาติให้ต่ำกว่า ๖ ล้านไม่ต่ำ บัญชีทางนี้ก็ดูว่า ๓ ล้านกว่า ทางโน้น(กรุงเทพ) ก็ ๓ ล้านกว่า บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์เดียวกัน บัญชีทั้งสองประเภทนี้เราจะเข้าทองคำทั้งหมดนะ ไม่ให้ไปไหนเลย เราเป็นคนสั่งเอง กับจำนวน ๘๐๐ ล้านจะเข้าทองคำทั้งหมดเลย ส่วนมันเศษมันเหลืออะไร ก็ค่อยว่ากันไปพิจารณากันไปอย่างนี้แหละ
ช่วยโลกเราก็จะอกแตกนะ ไม่ใช่เล่น โอ๋ย หมุนมาหาเราทุกด้านทุกทางนะ มีแต่คนจนๆ ทั้งนั้นมาหาเรา เราเลยจะตาย เหมือนหนึ่งว่าเราเป็นเศรษฐีคนเดียว ทั้งๆ ที่เราก็เป็นคนจนเหมือนกัน จนไม่มีอะไรจะให้เขา เขาก็ยังมาขอเราอยู่ตลอด โห จึงได้เห็นความทุกข์ยากลำบากของประชาชน ไม่มีอะไรจะให้ ได้มาๆ ได้มาเท่าไรผึงเดียวหมดเลย เวลาจ่ายเป็นแสนๆ ล้านๆ นั่นซิ ได้มาพันๆ หมื่นๆ กี่วันมันถึงจะได้แสน กี่วันมันถึงจะล้าน ฟาดทีเดียวเป็นแสนๆ ล้านๆ หมดไปเลยเรียบวุธๆ เพราะเราจ่ายตามอัตรา เช่น บิลมา ความจำเป็นมาเท่าไรๆ จ่ายตามนั้นๆ ของตกมามากน้อยมันก็ค่อยมาของมันเอง เวลาจ่ายเอาความจำเป็นเข้าว่าเลย การจ่ายมันมากจริงๆ จนมองไม่ทัน
อะไรอีก โฮ้ ยุ่งตลอดนะ มาจากวัดไหน (ลูกศิษย์กราบเรียนว่าเป็นคนอินโดนีเซีย) เป็นคนไทยหรือเป็นคนอินโดนีเซีย
คนอินโดนีเซียครับ
พูดภาษาไทยได้ไหมล่ะ
ได้ครับ แต่ยังไม่คล่อง
เอาละดีกว่าผม ที่ไม่ได้อินโดนีเซียเลย มันดีกว่ากันตรงนี้ละ
บวชที่เมืองไทย วัดบวรฯ ครับ
บวชที่ไหนก็พระนั่นแหละ แทงกิ้ว ๆ
เรางัดออกมาทุกมุม พูดยังไงงัดออกมา ถ้าว่าเจ๊กก็ซัดเจ๊กออกไปเลย ว่าญวนก็ฟาดญวนเลย พอพูดถึงเรื่องญวนนี่เรายังขบขันอยู่ไม่แล้วนะ พวกญวน คือเวลาเราไปพักอยู่ทางริมแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตกับคนญวนเขา โห เวลาใส่บาตรไม่ใช่เล่นนะ โดดเข้าไปในสวนมันไปลากเอาผักกาดหรือผักอะไรใหญ่ๆ มัดเอามาให้เรา เราก็ไม่รู้จะทำไง ให้คนเขามารับ จากนั้นก็จะเอาเงินมาใส่บาตร เราบอกคงเดือกๆ เราว่างั้น เออๆ คงเดือกๆ ประกาศกันลั่นหมด คงเดือกคือว่าไม่ได้ ได้เท่านั้นละภาษา เขาจะเอาเงินมาใส่บาตร คงเดือกๆ เราว่าได้เท่านั้นแหละ ฮู้ย ญาคูท่านรู้ภาษาของเรา ท่านรู้ภาษาของเราได้ดีนะ
อยู่ห้วยทรายก็เหมือนกัน ฉันจังหันเสร็จแล้วเราก็ลุกออกไปกุฏิเรา เขาก็รับเศษอาหารของพระ พอเสร็จแล้วเขาก็ไปทางกุฏิเรา ไม่ใช่ทางจะไปคำชะอี เขาจะไปทางโน้นโดดเข้าไปหากุฏิเราในป่านู่น พอมานี้ผ่านปุ๊บๆ เข้าไปทางจงกรมแล้ว นี้คงเดือก นี้คงเดือก โอ๊ย คงเดือกๆ วิ่งมา มานั่ง ญาคูนี้ท่านพูดภาษาเราเก่งนะ ก็เราบอกว่าคงเดือก ได้เท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้นทางไหนมางัดออกเลย ๆ พองัดออกแล้วเปิดเลย เดี๋ยวเขาถามมาตอบเขาไม่ได้เสียหน้า ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไปๆ