หลักของจิตตภาวนาออกจากอภิธรรมทั้งหมด (วิถีของจิต)
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2543 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

หลักของจิตตภาวนาออกจากอภิธรรมทั้งหมด

เอ้า มีอะไรว่ามา

ขอนิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์ไปโปรด อ.นาหว้า จะถวายทองคำครับผม

ไปโปรดนาหว้าเหรอ นาหว้า นาวัว เหล่านี้เราเที่ยวหมดแต่ก่อน (หลวงตาอ่านจดหมายนิมนต์) วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๔๓ คณะวัดป่าหนองแสง บ้านหนองหัววัว ต.นาคูณใหญ่ อ.นาหว้า จ.นครพนม ถวายหลวงตาทองคำหนัก ๑ บาท และปัจจัย ๑๒๐๐ บาท คณะพวกกระผมกราบนมัสการนิมนต์หลวงตาไปรับผ้าป่าช่วยชาติที่วัดป่าหนองแสง คณะลูกหลานชาวอำเภอนาหว้า และอำเภอใกล้เคียง ขอนิมนต์ท่านหลวงตา แล้วแต่ความเมตตา เราจะตอบความเมตตานะ หลวงตาเมตตาให้ทางโน้นเอามาให้ทางนี้ดีกว่าทางนี้จะบึกบึนไป เอาละเข้าใจ เท่านั้นละ ให้เมตตาก็ต้องเมตตาอย่างนั้น เข้าใจแล้วนะ โถ กำลังวังชาเวล่ำเวลาเราไม่พอ ก็มีเท่านั้นละ

เมื่อวานนี้เอาของไปส่งโรงพยาบาลภูหลวง พอกลับออกมาเขาไม่ได้บอกกับเรา พอพ้นโรงพยาบาลออกมา ทีแรกเราก็ถามว่ามีอะไรขัดข้องหรือจำเป็นอะไรบ้าง เขาก็บอกสิ่งที่จำเป็น เราก็ให้เลย แล้วสั่งไปทางหมอโนนสะอาดให้จัดการสั่งมาให้ตามที่เขาต้องการ คือสิ่งนั้นว่างั้นเถอะนะ แล้วออกมา พอพ้นโรงพยาบาลมาพระก็บอกว่าทางโรงพยาบาลถามว่ามีผ้าห่มไหม อ้าว เราอยู่นั้นไม่เห็นพูด เราถามหาความจำเป็นนี่นะก็ไม่เห็นบอกมา บอกแต่เครื่องมือแพทย์ แล้วใครเป็นคนติดต่อมา ว่าพยาบาลถามถึงผ้าห่ม มีผ้าห่มไหม ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว

ดูจะเป็นพยาบาลถามพระหรือถามคนขับรถก็ไม่รู้ ออกมาแล้วทางพระจึงเล่าให้ฟัง พอว่างั้นเราก็รีบคิดเดี๋ยวนั้นเลย เราก็พูดกันเดี๋ยวนั้นตกลงกันเดี๋ยวนั้นเลย ออกจากนี้ไปเราไปติดต่อทางตลาดที่วังสะพุงเลย แล้วเขาขาดกี่ผืนบอกมา ว่าขาด ๔๐ ผืน แสดงว่าเขาบอกชัดเจนแล้ว ผ้าห่มมีไหม แล้วเวลาถามกี่ผืนก็บอกได้ทันทีเลย พระตอบว่าขาด ๔๐ ผืน เราก็เลยพูดกันเดี๋ยวนั้น ถ้างั้นเราไปนี้เข้าตลาด ไปจอดรถที่ตลาดดูร้านที่เขาขายผ้าห่ม แล้วจัดการให้ตามนั้นเลย เช่น ๔๐ ผืน จัดผ้าห่มให้ตามนั้น แล้วให้ทางนี้โทรย้อนกลับไปโรงพยาบาล บอกว่าทางนี้กำลังติดต่อผ้าห่มตามจำนวนที่ต้องการนั้น แล้วได้ร้านไหน เราก็จะติดต่อกับร้านนั้นให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะบอกมาว่าให้ไปเอาของที่ร้านนั้น

เราจัดการปุ๊บปั๊บ ๆ เลย ให้ตามจำนวนนั้นแหละ (ให้เพิ่ม ๕๐ แล้วผ้าขาว ๓ พับ) นั่นละไม่ใช่ ๔๐ เป็น ๕๐ ตรงที่เราจับได้ก็คือว่า ผ้าห่มนี่มันได้เพียง ๔๐ ผืนขาดอีก ๑๐ ผืน เลยให้เขาหาใหม่ให้ มันต่างกันเพียงสี คุณภาพไม่เหมือนกัน ก็เลยเป็นอันว่า ๕๐ ผืน กับผ้าพับผ้าไม้ ๓ ไม้ สั่งเรียบร้อยแล้วก็ให้ทางร้านเขาเก็บอันนี้รอไว้ ทางนี้จะโทรไปบอกทางโรงพยาบาลภูหลวงให้มารับเอา เราก็ผ่านออกมาเลย พอมาถึงนากลาง ระยะเวลาก็กะว่าทางภูหลวงจะมารับของไปเรียบร้อยแล้ว เรากะเวลาพอดี มาถึงประมาณนากลางก็โทรไปถามอีก เขาบอกว่ารับไปเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันว่าหมดปัญหาเมื่อวานนี้

ขาดเท่าไรเราก็จะให้เท่านั้น ขาดเป็นร้อยจะให้เป็นร้อย ถ้าว่าจะให้ ให้เลย นี่ขาดเพียง ๕๐ ผืนก็ให้ไปเลย ก็มีเท่านั้นเมื่อวานนี้ ไปส่งของเท่านั้น เพราะโรงนี้ไม่ได้ไปส่งนาน คือเราจะไปส่งเอง ส่วนมากจะไปทางที่ซอกแซกซิกแซ็ก ที่จำเป็นจริง ๆ ถ้าใกล้ถนนหนทาง การผ่านไปมาสะดวกแก่หยูกแก่ยาหรืออาหารการบริโภคนี้ เราก็ไม่ค่อยจะหนักแน่นในใจมาก จดจ่อมากนักยิ่งกว่าสถานที่เช่นนั้น เรามักจะไปนู่น ภูเรือก็ลึก ๆ ภูหลวงก็ลึก ๆ เราไปเสมอ เอาของไปให้ อย่างภูเรือเราให้เป็นประจำเดือนอีกด้วย ให้พอสมควร ให้ประจำเดือนละหนึ่งหมื่น เป็นอาหารครัวคนไข้

เพราะก่อนที่จะให้แต่ละแห่ง ๆ ให้จำนวนมากน้อยเพียงไร เราจะถามถึงเรื่องคนไข้ที่มาเกี่ยวข้องและประจำอยู่ที่โรงพยาบาลมากน้อยเพียงไร แล้วค่าอาหารวันหนึ่ง ๆ รวมแล้วเดือนหนึ่งเท่าไร ถามเรียบร้อย เพราะฉะนั้นเราจึงให้ตามที่เห็นสมควร บางแห่งให้เดือนละสองหมื่นก็มี หมื่นก็มี คือให้ตามที่เห็นว่าจำเป็น ๆ เราถามก่อนเรียบร้อยแล้วค่อยให้ ๆ อย่างนั้นเรื่อยมา มีเยอะนะโรงพยาบาลที่เราให้ประจำ ให้มาอย่างนี้เป็นประจำหลายปีแล้ว ให้มาเรื่อย ๆ อย่างนี้

เราสงสารคนไข้ เพราะคนไข้เป็นคนจำเป็นมากทีเดียว ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากคนดี มีหมอ พยาบาล เป็นต้น เราถึงได้สนใจจดจ่อมาก ขาดเครื่องมืออะไร ๆ นี้ เราต้องให้ ๆ เพราะเครื่องมือแต่ละเครื่อง ความจำเป็นเกี่ยวโยงกับคนไข้มากน้อยเพียงไร อยู่กับเครื่องมือ ถ้าหากว่าไม่มีเครื่องมือหมอก็ก้าวไม่ออก คนไข้ก็หมดหวัง เราเอาจุดใหญ่ ๆ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นอยู่เรื่อย ติดหนี้ก็ติด เอ้า ติด โห เราพูดขบขันนะ

หลวงตาติดหนี้ไม่เคยมี มันไม่น่าจะมี เฉพาะอย่างยิ่งวัดป่าบ้านตาด หลวงตาบัวนี้พูดให้เต็มศัพท์เต็มแสงก็ว่า เสียงหลวงตาบัว มีแต่เสียงลมนั่นละ ดังอยู่ทั่วประเทศไทย เขาก็ต้องร่ำลือกันว่าหลวงตาบัวเป็นเศรษฐีองค์หนึ่ง เศรษฐีเงิน ทีนี้เวลามาดูตัวจริงแล้ว ทุคตะเข็ญใจอยู่นี้หมดเลย มิหนำซ้ำยังติดหนี้เขาอีก นั่นละเป็นอย่างนั้นนะพี่น้องทั้งหลายทราบเอา ให้ดู นี่ละธรรม เราดำเนินตามธรรม ไม่มีอะไรที่จะมาขัดแย้งกับธรรมได้ ธรรมนี้ทะลุ ๆ

เพราะฉะนั้นธรรมจึงไม่มีคำว่าดุว่าด่าว่าหยาบว่าโลน ว่าดีว่าชั่ว คือเป็นธรรมล้วน ๆ เลย ควรหนัก-หนัก ควรเบา-เบา ไม่หนักไม่ได้ เหตุการณ์บังคับอยู่ต้องให้หนัก เช่น เขาถากไม้ ตรงนี้คดงอมากนี้ นายช่างถากเขาต้องหนักมือ ถ้าเรียบ ๆ เขาก็ถากไปเรียบ ๆ อันนี้คลื่นของกิเลสมันเต็มหัวใจสัตวโลก ที่แสดงออกมาทางกิริยามารยาท ส่วนมากมีแต่เรื่องความสกปรกโสมม กิเลสออกไหนสะอาดไม่มี สะอาดก็สะอาดเพื่อสกปรก ไม่ได้สะอาดเพื่อเกลี้ยงเพื่อเกลา เพื่อสะอาดสะอ้านต่อไปเหมือนธรรม ธรรมนี่เพื่อสะอาดไปเรื่อย ต่างกันอย่างนี้ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอา เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น

นี่เราดำเนินตามธรรม เพราะฉะนั้นเวลาได้ออกสอนประชาชนแล้วจึงเอาธรรมล้วน ๆ ออกเลย จึงไม่เคยมีความสนใจคิดว่าใครจะมาตำหนิติเตียน ชมเชยสรรเสริญอย่างไร ๆ ยิ่งกว่าเหตุผลกลไกที่จะแก้ไขดัดแปลง หรือสั่งสอนไปตามที่ถูกต้องดีงามนั้นเท่านั้น ถ้าควรหนัก-หนัก ควรเบา-เบา ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เรียกว่าธรรม โลกตายใจได้เลย คำว่าธรรมแล้วไปที่ไหนตายใจได้ กิเลสไปที่ไหน โอ๋ย ไม่ได้นะ มีมากมีน้อยไฟจะต้องติดแนบไปเลยกิเลส มันเอาน้ำชุ่ม ๆ สักนิดสักหน่อย เคลือบน้ำตาลวางไว้แนวหน้า ๆ วางเป็นตาข่ายไปเลย ตาข่ายของยาพิษเคลือบน้ำตาล ๆ น้ำตาลเคลือบไปเรื่อย ๆ หลอกสัตวโลกให้ตื่นไป หลงทุกอย่าง

มันเคลือบไว้หมดไม่หลงได้ไง เพราะสิ่งที่เคลือบคือสิ่งที่ทำให้โลกหลง ธรรมนี้จับเห็นหมดจะว่าไง นั่นละธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลก ท่านไม่ได้สอนแบบหลับหูหลับตาเหมือนกิเลสมันลืมตา หูแจ้งตาสว่าง แล้วปิดหูปิดตาสัตวโลก แล้วก็ลากไปถลอกปอกเปิกโดยไม่รู้ตัว นั้นคือกิเลส ธรรมนี้สว่างไปหมด จ้าไปหมด ผิดถูกชั่วดีปิดไม่อยู่ มันจะเห็นกัน

นี่เราก็พูดถึงเรื่องที่ว่า อำนาจแห่งธรรมเป็นอย่างนั้น เราทำทุกวันนี้ก็เรียกว่าเต็มกำลังความสามารถของเรา ที่จะขวนขวายช่วยโลกสงสารได้มากน้อยเพียงไร ทั้งด้านวัตถุและนามธรรม การแนะนำสั่งสอนเราสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีปิดบังลี้ลับในสิ่งที่ไม่ควรปิด สิ่งที่ควรปิดก็ปิด เปิดออกไปแล้วเป็นยังไง ๆ ผลได้ผลเสียเป็นยังไง ถ้าควรเปิดน้อยก็เปิด ควรเปิดมากก็เปิด ควรปิดก็ปิดก็เก็บไว้เสีย ออกไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่ควรนำออก จะนำออกสิ่งที่เป็นประโยชน์มากน้อยเท่านั้น ความพอเหมาะพอดีจะอยู่กับธรรมนั้นหมด

เพราะฉะนั้นเราถึงหมุนติ้วตลอดเวลาช่วยโลกช่วยสงสาร ไม่ได้คำนึงว่าจะสิ้นจะเปลืองมากน้อยเพียงไร เราไม่เคยสนใจ มีตั้งแต่ความเมตตาครอบไว้แล้ว มีแต่จะให้ ๆ จนกระทั่งถึงว่าไม่มีให้ ยังอยากให้อยู่อีก ความอยากให้นี้ไม่ถอยนะ เอาออกมาจากความเมตตาแล้วอยากให้ ไม่คำนึงถึงสิ้นถึงเปลืองอะไรแหละ ถ้าไปคำนึงอย่างนั้นทำไม่ได้นะ คือความตระหนี่มันเข้ายึดแล้วนั่น มันจะหมดไปเท่าไร ๆ ความตระหนี่จะแทรกเข้าไป ๆ ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นพื้นฐาน ความตระหนี่แสดงตัวออกมา แล้วกิริยาของมันคือความยึดเอาไว้ไม่แสดงออกให้โลกได้รับความร่มเย็น เพื่อนฝูงที่เกี่ยวข้องมากน้อยให้ได้รับความสงบร่มเย็น ด้วยการพึ่งพาอาศัยพวกตระหนี่นี้ไม่ได้นะ

คนตระหนี่ไปไหนคับแคบ ไม่ได้ใหญ่โต ไม่ได้กว้างขวาง ไม่ได้ชุ่มเย็น ธรรมไปไหนเย็นไปหมด แม้แต่เด็กก็น่าสงสาร เด็กนี้เด็กดี ฟังซิน่ะ มีธรรมถึงดีได้ ไม่มีธรรมดีไม่ได้นะเด็ก ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ดีหรือชั่วต้องแสดงเป็นเรื่องของธรรมออกมาในตัวเลย ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงเป็นของจำเป็นมาก เฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้องชาวไทยเรา ขอให้ฟังเสียงพุทธศาสนานะ พุทธศาสนานี้เป็นธรรมชั้นเอก เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารไม่ใช่ธรรมดา คู่วัฏจักรวิวัฏจักร อยู่กับธรรมพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์แสดงแบบเดียวกันหมด

เพราะเหตุไรจึงแสดงแบบเดียวกันหมด เพราะทรงรู้ทรงเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ สิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและชั่วเสมอกันหมด เห็นด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเวลานำมาแสดงจึงไม่มีคำว่าผิดว่าเพี้ยน มีอยู่ยังไง พระพุทธเจ้าจะบอกตามความจริงนั้นเลย เห็นอย่างเดียวกันจะสอนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นี่ละจึงว่าเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส รู้แจ้งแทงทะลุไปหมด เห็นกระจายไปหมดเลย ไม่ได้เหมือนศาสนาของคลังกิเลส คลังกิเลสเป็นเจ้าของศาสนาก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แหละ จะผิดอะไรไป

กิเลสอยู่ที่ไหน ความผิดพลาดอยู่ที่นั่น พิษภัยอยู่ที่นั่น ถ้าความสิ้นกิเลสอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าองค์ใดเย็นเหมือนกันหมดเลย ต่างกันอย่างนี้นะ ธรรมกับโลกให้ทราบเสียว่าต่างกันอย่างนี้ คำว่าโลกก็คือโลกกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของธรรม ธรรมเป็นสิ่งชะล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายตลอดมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกชาวพุทธ ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้า เราอย่าเชื่อแต่ตัวของเราเองซึ่งเป็นคลังกิเลสอยู่แล้ว และเป็นข้าศึกต่อตัวตลอดมา นอกจากนั้นยังจะกระจายขยายความรุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เผาไหม้คนอื่นที่เกี่ยวข้องกว้างแคบมากน้อยเพียงไรไปได้โดยลำดับ เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น ให้พากันจำเอาไว้

เรื่องของธรรมมีมากมีน้อยจะเย็นไปหมด ตั้งแต่เด็กขึ้นไปหาผู้ใหญ่ เย็นไปตาม ๆ กันตามขั้นตามภูมิของผู้ทรงธรรมได้มากน้อย ศาสนาจึงเป็นของจำเป็นมากทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น เอานี้เป็นตัวตั้งตัวตีเลยก็ได้ ดีกับชั่วจะอยู่ที่นี่ เอ้ายกตัวอย่างเช่น วัดป่าบ้านตาด ใจกลางของวัดป่าบ้านตาดคือใคร ก็ต้องเป็นหัวหน้า เป็นเจ้าอาวาส เป็นใจกลาง กิ่งแขนงจะแสดงออกไปตามใจกลางของอันนี้แหละ ถ้าหัวหน้าโลเลโลกเลกเหลวไหล ลูกวัดจะโลเลไปตามกันหมด ถ้าหัวหน้าดี ลูกวัดแม้จะเสียก็มีจำนวนน้อย เพราะหลักใหญ่ยังดี และส่วนมากดี เราเทียบอย่างนี้นะ

เช่นวัดนี้ก็มีหลวงตาบัว ถ้าหลวงตาบัวพาเลวก็เลวไปหมด แต่หลวงตาบัวก็พยายามตะเกียกตะกาย ดุด่าว่ากล่าวพระเณรทุกวันนี้ดุเพื่อดีนั่นเอง ไม่ใช่ดุเพื่ออะไร ตีเข้ามาอันไหนที่จะออกแหวกแนวไป ด้วยมีเจตนาไม่มีเจตนาก็ตาม ส่วนมากจะไม่มีเจตนาสำหรับพระที่มาอยู่ในวัดนี้นะ นอกจากผิดพลาดไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีเจตนานั้นผิดได้ด้วยกัน จึงอยู่ได้ด้วยกันเป็นธรรมดา แต่ถ้าผิดด้วยเจตนานี้ไม่ใช่ดุ ไล่เลย เรามีเท่านั้นนะ ไม่เอาไว้ เมื่อเจตนาทำความชั่วได้แล้วเรียกว่า อลชฺชิตา หาความละอายไม่ได้เลย ไม่ควรที่จะอยู่กับหมู่กับเพื่อนที่มีคุณค่ามีราคาให้เสียหายไปตาม ๆ กันหมด ต้องเป็นเนื้อร้ายแล้ว พระองค์นี้เป็นเนื้อร้าย ขับออก อยู่ไม่ได้ ส่วนดีทั้งหลายในวัดนี้จะเสียไปหมดถ้าสงวนเนื้อร้ายนี้ไว้

คนที่เป็นเนื้อร้ายอยู่ในจุดใด ๆ ก็เหมือนกันเช่นนั้น ยิ่งเป็นผู้ใหญ่เป็นเนื้อร้ายด้วยแล้ว เสียหมดทั้งประเทศไทยเรา ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงต้องให้พากันระมัดระวัง เนื้อร้ายไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในบุคคล ในอวัยวะของเรา ก็ทำอวัยวะส่วนใหญ่ให้เสีย เอา คนคนนี้เป็นเนื้อร้ายอยู่ในหมู่บ้านนี้ ทำหมู่บ้านให้เสีย ในครอบครัวทำครอบครัวให้เสีย กระจายออกไปกว้างเท่าไรทำให้เสียไปเรื่อย ๆ เท่านั้น ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ในวงราชการงานเมืองปกครองแผ่นดินเป็นเนื้อร้ายด้วยแล้ว เสียหมดทั้งประเทศเลย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย จึงขอให้พากันพิจารณาให้ถึงใจทุกอย่างนะ

ศาสนาท่านชี้แจงด้วยเหตุผลที่ถูกต้องดีงาม ไม่ผิดพลาด ว่างั้นเลย นี่ละพวกเนื้อร้าย มันเป็นภัยต่อโลก ไม่เคยให้คุณต่อโลกเลย ไม่ว่าจะติดอยู่ที่ตรงไหน มันจะร้าย ๆ ร้ายอยู่นั้นแหละ มีมากมีน้อยแสดงฤทธิ์ของมันออกให้เห็นชัดเจน เพราะฉะนั้นจึงต้องมียามีเครื่องกำกับรักษา เครื่องกำจัดปัดเป่ากันอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นเสียหมด ศาสนาเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร

เราเปิดอกมานี้ได้ ๕๐ ปีแล้วให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คำพูดเช่นนี้เราก็ไม่เคยคิดเคยคาดว่าจะได้เปิดออกมา เพราะเราไม่เคยคิดเคยคาดว่าจะรู้จะเห็นอย่างนั้น การปฏิบัติไปก็ตะเกียกตะกายหลับหูหลับตา ล้มลุกคลุกคลานไปเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ความรู้ความฉลาดจะเอาแปลกโลกมาจากไหน มันก็เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป เขาดีเราดี เขาชั่วเราชั่วได้ตลอดไป เพราะกิเลสตัวทำให้ชั่วมันมี ธรรมะที่แทรกอยู่ในใจที่ทำให้ดีก็มีอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นคนเราจึงมีทั้งอาการดีและอาการชั่ว ด้วยอำนาจแห่งความแทรกซึมของดีของชั่วที่อยู่ภายในจิตใจ

ใจนั้นละเป็นภาชนะอันสำคัญสำหรับบรรจุความดีความชั่วทั้งหลายเอาไว้ ไม่ใช่อื่นใด จะแสดงออกมาทางกิริยามารยาท ออกมาจากหัวใจ ทำอะไร เคลื่อนไหวไปมาอะไร จะบ่งบอกที่หัวใจของผู้ทำ อย่างพูดตะกี้นี้ไม้ถูฟัน ที่ดุด่าหมู่เพื่อน มันอยู่ที่หัวใจ ใจเป็นของสำคัญมากทีเดียว พอพูดไป เราก็หลงไป ๆ ไม่เหมือนแต่ก่อน หลงเงื่อนต้นเงื่อนปลาย บางทีพูดไม่ติดไม่ต่อเลย หลง จึงต้องขออภัยจากพี่น้องทั้งหลายผู้ฟังด้วยนะ ธาตุขันธ์เวลานี้ชำรุดถึงขนาดนั้นแล้ว จะใช้ไปได้สักกี่วันก็ไม่รู้

นี่เราพูดถึงเรื่องความรู้ความเห็นนะ เราได้เปิดมาได้ ๕๑ ปีนี้พูดจริง ๆ คำว่าเปิด ๕๑ ปีนี้ คือเปิดในวงเฉพาะ ๆ มาตั้งแต่เริ่มต้นที่พระเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา แต่ก่อนเราอยู่ในป่าในเขา เวลาปฏิบัติเข้าไป ๆ ธรรมเป็นเครื่องเบิกกว้าง เป็นเครื่องชำระมลทินความมืดตื้อทั้งหลายออกเป็นลำดับลำดาด้วยภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติก็อย่างที่ท่านภาวนานี่ พระก็ทรงศีลทรงธรรมเต็มภูมิของพระ จากนั้นก็สมาธิ ปัญญา ทรงเข้าไป ปฏิบัติบำเพ็ญเข้าไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนน้ำที่สะอาด ชะล้างสิ่งที่สกปรกโสมมทั้งหลาย ชะล้างไปเรื่อย บำเพ็ญไปเรื่อย ค่อยกระจ่างไปเรื่อย มันก็ค่อยเห็นไปเรื่อยล่ะซิ

เพราะของจริงมีอยู่ นอกจากเราไม่เห็นเฉย ๆ ก็ประหนึ่งว่าของจริงทั้งหลายเหล่านั้นทั้งดีและชั่วไม่มี เพราะตาบอด ทีนี้พอเปิดตาออกไปมากน้อย ก็จะเริ่มเห็นของดีของชั่วซึ่งมีอยู่แล้ว พอเปิดออก ๆ ก็เห็นชัดทั้งดีและชั่ว เปิดจ้าออกหมดแล้วก็เห็นหมดจะว่าไง เมื่อเห็นหมดจะให้บอกว่าไม่เห็นได้ยังไง เวลามันมืดก็บอกว่ามันมืด มันรู้อยู่ว่ามันมืดก็บอกว่ามันมืด เวลามันสว่างออกมามากน้อยก็รู้อยู่ว่าสว่างมากน้อย จนกระทั่งมันจ้าออกไปแล้วจะให้พูดว่ายังไง นี่ก็ได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ก็ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง

เริ่มแรกตั้งแต่ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถ ความรู้นี้ค่อยเบิกออก ๆ ด้วยภาคปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นอันดับหนึ่ง อันนี้เป็นเครื่องเบิกกว้างออกไปตลอดจนทะลุปรุโปร่งทั่วโลก ออกจากจิตตภาวนา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา พระสงฆ์สาวกทุก ๆ องค์ เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนาทั้งนั้น มีหลักอย่างที่กล่าวไว้ทุกวันนี้ว่า พระอภิธรรม อภิธรรมคือธรรมอันยอดเยี่ยม ได้แก่หลักของจิตตภาวนา ออกจากอภิธรรมทั้งหมด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยอภิธรรม พระอรหันต์ทั้งหลายตรัสรู้ด้วยอภิธรรม ท่านแจ้งกระจ่าง นี้จึงเป็นธรรมจำเป็นมากสำหรับในวงพุทธศาสนา

พระไตรปิฎกมีสาม พระสุตตันตปิฎก คือเรื่องราวต่าง ๆ ของสัตว์ของบุคคล ที่ทำบาปทำบุญ ทำดีทำชั่ว ไปตกนรกหมกไหม้เป็นเปรตเป็นผีขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ท่านพูดเรื่องราวเหล่านี้ เรียกว่าพระสูตร พระวินัยคือกฎหมายพระ พระวินัยได้แก่กฎหมายพระ ศีล ที่ว่าศีล ๒๒๗ นี้ว่าไว้พอประมาณ ส่วนที่มีมากกว่านั้นทรงตั้งเป็นอนุบัญญัติ บัญญัติทีหลังนี้มากมายก่ายกอง นี้เรียกว่ากฎหมายพระ เรียกว่าพระวินัย เป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกดังที่กล่าวมาตะกี้นี้ แล้วพระอภิธรรมปิฎกนี้ตามวิถีของจิต มันเกิดมันตายมากี่กัปกี่กัลป์ มันเกิดมันตายมาด้วยเหตุผลกลไกอะไร มันจึงต้องเกิดต้องตาย มันจึงไปสูงไปต่ำไปตลอดเวลา สิ่งที่ไหนเขาก็บอกว่าตาย ๆ สัตว์เกิดสัตว์ก็ตาย คนเกิดคนก็ตาย แม้แต่พวกเปรตพวกผีสัตว์นรกอเวจีก็ยังมีเกิดมีตาย คือหมายความว่าเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติมาเรื่อย

แล้วสิ่งที่พาให้ไปเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ ไม่ได้ยินว่าเกิดว่าตาย ติดแนบอยู่ตลอดเวลา ให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากลำบาก โดยที่ว่าไปเกิดที่นั่นไปตายที่นี่คืออะไร คือใจ นี่ละใจดวงนี้ละไม่เคยตาย เรื่องตายคือจิตที่เข้าไปอาศัยร่างใด ร่างนั้นก็เป็นสภาพของสัตว์ของบุคคลขึ้นมา ทีนี้พอสภาพอันนั้นมันหมดไปแล้วจิตดวงนี้ก็ถอนตัวออกแล้วไปก่อภพใหม่ ก่อภพใหม่นี่ภพดีภพชั่ว แล้วแต่กรรมดีกรรมชั่วของตัวเองที่สร้างไว้เวลามีอัตภาพอยู่นั้น ตัวนี้ไม่ตาย ไปเรื่อย ๆ

นี่ละจิตตภาวนาหรืออภิธรรม ท่านตามวิถีจิตอันนี้ แกะรอยจิตตัวพาเกิดพาตายนี้ด้วยจิตตภาวนา ตามเข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางแห่งความเกิดความตาย ได้แก่วิมุตติหลุดพ้น สังหารกิเลสตัวพาเกิดพาตายซึ่งแทรกอยู่ในจิตนั้นออกไปหมดแล้ว เรียกว่าวิมุตติหลุดพ้น ที่นี่ท่านไม่ต้องเกิดต้องตายด้วยภพภูมิต่าง ๆ อีกต่อไปแล้ว จิตนั้นก็กลายเป็นจิตธรรมธาตุขึ้นมา ธรรมธาตุเรียกว่าตายตัวแล้ว เรียกว่าธรรมธาตุ หรือว่านิพพาน หรือว่าวิมุตติ ๓ ประเภทเหล่านี้เรียกเป็นไวพจน์ของกัน ใช้แทนกันได้ นี่ละจิตดวงนี้ นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตามรอยจิตดวงนี้ไปถึงขั้นนั้นด้วยอภิธรรม ไม่มีใครที่จะเว้นอภิธรรมไปได้ที่จะได้ตรัสรู้ธรรม อภิธรรมจึงเป็นธรรมจำเป็นมากในพระไตรปิฎกทั้งสามประเภทนี้

นี่เราก็ได้ยินวี่แววว่า พระอภิธรรมไม่มีในพระไตรปิฎก เราอยากจะไปถามหาโคตรหาแซ่ มันเอาโคตรแซ่มาจากไหนเอามารื้อพระอภิธรรม ซึ่งเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นี้ออกไปไม่ให้มีเหลือ มันจะให้มีเหลือแต่เทวทัตทำลายทั้งชาติทั้งบ้านเมืองไปตาม ๆ กันหมดนั้นเหรอ เราอยากถามว่าอย่างนี้นะ แต่นี้เป็นเพียงว่าได้ยินมาแว่ว ๆ เพราะฉะนั้นเราจึงตอบเพียงแว่ว ๆ เสียก่อน ถ้ามันมาหมดทั้งโคตร เราก็จะยกโคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวขึ้นซัดกันเลย

เอ้าพูดจริง ๆ อย่างนี้ ความจริงหลีกเลี่ยงไปไหน ต้องเอาให้ตรงความจริง ธรรมะเป็นของจริงสะทกสะท้านที่ตรงไหน ของจริงออกมาพูด ของจริงไปไหนต้องจริงตลอด ของปลอมไปไหนปลอมตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในที่ไหน ๆ ปลอมตลอดเวลา ถ้าเงินอันนี้เอาเข้าไปไว้ในอุโมงค์ก็เป็นเงินปลอม เอามาเปิดเผยก็เป็นเงินปลอม ไปที่ไหนมันก็ปลอม ถ้าเป็นเงินจริงอยู่ไหนจริงหมด นั่น ของจริงไปที่ไหนจริง ของปลอมไปที่ไหนปลอมหมด อันนี้ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของจริงจะให้ปลอมไปที่ไหน ก็ออกมาพูดได้อย่างจังๆ ล่ะซิ

นี่ละเรื่องพระไตรปิฎกเป็นของสำคัญ เราพูดอะไรมาเกี่ยวกับเรื่องพระไตรปิฎก เออ พูดเรื่องวิถีของจิต ที่จะตรัสรู้ธรรมที่จะรื้อถอนสิ่งที่พาให้สัตว์ทั้งหลายเกิดตายได้แก่กิเลสเรียกว่า อวิชฺชาปจฺจยาสงฺขารา ถอนออกมาด้วยจิตตภาวนาที่เรียกว่า อภิธรรม ก็ต้องเป็นอภิธรรม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเพราะอภิธรรม พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ขึ้นมาทุกๆ พระองค์เพราะอภิธรรม ถ้าไม่มีอภิธรรมแล้วไม่มีศาสนาว่างั้นเลย ศาสนาหมดโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรเหลือเลย ที่เหลือคือรากแก้วของศาสนาได้แก่อภิธรรมยังมีอยู่ กิ่งก้านสาขาดอกใบ ที่เรียกว่าเปรตว่าผี พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เหล่านี้เป็นกิ่งก้านออกจากธรรมชาตินี้ จึงมีอยู่ทั่วไป เห็นอยู่ทั่วไปอย่างนี้ ออกจากธรรมประเภทนี้ พิจารณาซิ รากใหญ่จริงๆ อยู่ที่อภิธรรมฝังอยู่ในจิต เข้าไปแก้ถอนกันที่จิตนั่นแหละ

ให้พากันเชื่อกันนะศาสนาจะไม่มีเหลือในเมืองไทยเรา เวลานี้ดูอากัปกิริยาไม่ว่าท่านไม่ว่าเรา ไม่ชาวบ้านไม่ว่าชาววัด มันจะแหลกเหลวไปตาม ๆ กันหมดแล้วนะ จะไม่มีที่ยึดที่เกาะนะเวลานี้ คือข้อปฏิบัติตามศาสนธรรมที่ถูกต้องดีงามนั้น ไม่ค่อยมีในผู้นับถือพุทธศาสนา ว่าชาวพุทธ ฆราวาสก็แบบฆราวาสไปเสีย ว่าชาวพระก็แบบพระไปเสีย แบบพระคืออะไร สักแต่ว่าพระว่ากันไปเลย หัวโล้นโกนคิ้วแล้วก็ว่าพระเท่านั้น จะทำผิดทำพลาดไม่คำนึงถึงกฎหมายคือพระวินัย กฎหมายพระไม่ได้คำนึง

ถ้าเป็นผู้มีธรรมมีวินัยก็เรียกว่ามีกฎหมายคุ้มครองตัวเอง สวยงามตลอดไป ตัวเองก็เย็น คนอื่นก็เย็นใครมองดูก็เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่คือผู้รักษากฎของธรรมไว้ กฎหมายพระกฎของธรรมคือความดีงามเอาไว้ ถ้าไม่มีแล้วไม่ได้เรื่องนะ จะแหลกเหลวไปหมดนะ ฆราวาสก็ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์โกโรโกโส ไม่มีขอบเขตเหตุผลอะไรเลย มีแต่ความเสียหาย ย่ำยีกันตลอด ฉิบหายป่นปี้ไปตามๆ กัน จะเสียหมดนะ ต้องให้มีกฎมีเกณฑ์บังคับบ้างมนุษย์เราแท้ๆ

ชาวไทยเราเป็นลูกชาวพุทธ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๘๐% ล่ะนะ เป็นลูกชาวพุทธ เดี๋ยวนี้มันกำลังขนย้ายจากชาวพุทธเราไป ไปตั้งบ้านใหม่เมืองใหม่ โยกย้ายไปตั้งบ้านใหม่เมืองใหม่เป็นลูกชาวผีไปแล้วนะ บ้านผีเมืองผี ลูกผีหลานผี ตำบลหมู่บ้านของผี ประเทศผีไปแล้วนะเดี๋ยวนี้ จะไม่เป็นประเทศไทยประเทศของลูกชาวพุทธแล้วนะ จำให้ดีคำนี้น่ะ เราพูดเรื่องอะไรก็ลืมไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ

วันนี้ก็จะพูดเพียงเท่านั้นเสียก่อนล่ะนะ นี่ก็ได้อ่านอยู่ทุกวัน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ ที่อ่านให้พี่น้องทั้งหลายทราบ นี้คือหัวใจของชาติไทยเรานะ อย่าพากันจืดจางว่างเปล่าเฉยๆ กินแล้วนอนกอนแล้วนินอยู่นะ นี่สรุปทองคำดอลลาร์วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ทองคำได้ขีดศูนย์ไปเลย เมื่อวานนี้ลบหายเงียบไม่ได้สักสตางค์เลย ดอลลาร์ได้ ๑๑ ดอลล์ เมื่อวานนี้นะ คือทองคำไม่ได้เมื่อวาน ประกาศให้ทราบตลอดมาทุกวัน ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงคราวนี้นั้นเป็น ๔ พันกิโล ที่มอบและฝากไว้แล้วทั้งสองรายการนี้รวมแล้วเป็น ๒๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากการฝากและมอบแล้วแต่ยังไม่ได้หลอม นั้นเป็นจำนวน ๒๐๓ กิโล ๕๐ บาท ๑๖ สตางค์รวมทองคำทั้งหมดได้ ๒๒๖๖ กิโล ยังขาดทองคำอีก ๑๗๓๔ กิโลจะครบจำนวน ๔ พันกิโล นี้ ๔ พันกิโลนี้ตั้งเป็นฐานเอาไว้นะ เรียกว่าขาดไม่ได้เลย

นี่หลวงตาได้ออกสนามแล้วนะ ออกสนามต้องออกสนามเพื่อรบ รบกับความจน รบกับความบกพร่อง ขาดจาก ๔ พันกิโลเท่าไรเอามาให้ได้จึงเรียกว่ารบ นี่ ๔ พันกิโลตั้งไว้ จากนั้นเราก็จะเพิ่มขึ้น ส่วน ๔ พันกิโลนี้ขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้ ออกสนามแล้วจะเอาให้ได้ เพื่อเป็นความแน่นหนามั่นคง และสง่าราศีแก่ชาติไทยของเรา ด้วยทองคำอย่างน้อยคราวนี้ให้ได้ ๔ พันกิโล กรุณาทราบตามนี้โดยทั่วกัน

วันนี้ท่านผู้ว่ามีธุระอะไรบ้างหรือว่ามาธรรมดา หรือมีธุระอะไรก็ให้ว่ามาเลย (ไม่มีครับไม่ได้มากราบท่านหลายวัน ๆ นี้พอว่างก็เลยมา) ก็เข้าท่าแล้ว มาเยี่ยมเป็นฐานะลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ มาอย่างนี้เป็นฐานะลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ธรรมดา มาในหน้าที่การงานวงราชการนั้นเป็นงานชาติบ้านเมือง เป็นอีกคนละประเภทเข้าใจไหมล่ะ อันนี้ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์

ตะกี้นี้เราพูดยังไม่จบถึงเรื่องที่ว่าเวลามันมืดมันมืด เวลามันค่อยสว่างค่อยสว่าง ถึงขั้นสุดท้ายเวลามันจ้านั่นน่ะสำคัญตรงนั้นนะ นี่ธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมจ้าครอบโลกธาตุ แต่นี้ธรรมจ้าครอบโลกธาตุก็เท่ากับพระพุทธเจ้านี้ ภาษาของเราภาษาตลาดเรียกว่า พระพุทธเจ้ามีตาคนเดียว แต่สัตวโลกตามืดบอดทั้งสามโลกธาตุ กามโลก รูปโลก อรูปโลก เป็นสัตว์ตาบอดทั้งหมด พระพุทธเจ้าตาดีพระองค์เดียว แล้วมองเห็นนี้จ้าไปหมด ทีนี้เวลาจะมาสอนโลก สอนโลกสามโลกธาตุมีแต่โลกตาบอด แล้วใครจะเชื่อถือพระพุทธเจ้าได้ว่า สิ่งที่ทรงสอนทั้งดีและชั่วนั้นว่ามี นี้ใครจะเชื่อถือได้ ก็เขาไม่เห็น ว่านี่นะ ก็ข้าไม่เห็นว่างั้น ไปถามคนใดก็ใช่แล้วๆ ข้าไม่เห็น ถามทั้งสามแดนโลกธาตุว่าข้าไม่เห็นด้วยกัน แล้วจะให้พระพุทธเจ้าเบาพระทัยได้ยังไง

ท้อพระทัยซิใช่ไหม ทรงเห็นผู้เดียวรู้ผู้เดียว ประกาศสอนโลกด้วยความจริงแต่พระองค์เดียว โลกทั้งหลายไม่ยอมรับความจริงเลย เขาปฏิเสธว่าเขาไม่เห็นเข้าใจไหม นี่ละกิเลสมันปิดตาโลกแบบนี้เอง ใครก็ลบหมดบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี ๆ เพราะฉะนั้นจึงต่างคนต่างกอบโกยเอาแต่สิ่งที่ชั่วช้าลามก เวลามันปิดไว้ไม่ให้เห็นแล้วมันยังดึงลงอีก ความอยากความทะเยอทะยานดึงลงๆ นี้ละไปหาทางที่ว่าไม่มีแล้วก็ไปเจอของไม่มีคือในนรกนี้ไม่มี มันสายไปเสียแล้วพอเจอเข้าแล้ว ให้พากันรู้เนื้อรู้ตัวแต่บัดนี้ นี้เปิดเต็มที่แล้วนะ เราจวนจะตายแล้ว

แต่ก่อนเราไม่เคยคิดเคยเห็น เราไม่เคยคาดเสียด้วยนะว่า การปฏิบัติจะรู้ได้แค่ไหน ๆ ก็ตามบุญตามกรรมไปเรื่อยๆ อย่างนั้นละ เพราะหูหนวกตาบอดไป บทเวลาฟาดเต็มเหนี่ยวแล้วมันจ้าขึ้นมาแล้วมันก็แบบเดียวกัน ไปสอนที่ไหนเขาก็จะว่าหลวงตาบัวนี้เป็นบ้า ๆ มันก็อ่อนใจล่ะซี เข้าใจไหม พูดให้ฟังเพื่อเป็นผลประโยชน์มันไม่ยอมรับผลประโยชน์เลย มันจะบืนลงแต่สิ่งที่พินาศฉิบหายนี่ พระพุทธเจ้าจึงอ่อนใจ แม้เราตัวเท่าหนูเราก็อ่อน เราพูดจริงๆ นะเราอ่อนใจ

เช่นอย่างเราช่วยชาติบ้านเมืองเวลานี้ เราไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องเลยนะ เพราะมันมีแต่มูตรแต่คูถความสกปรกโสมมด้วยความชั่วช้าลามกเต็มไปหมด ธรรมนี้สะอาดขนาดไหน แล้วจะไปคลุกเคล้ากับสิ่งสกปรกมันสมควรกันแล้วเหรอ นั่นซิ อันนี้เขาไม่สมควรก็ปล่อยไปเลยเป็นยังไง การปล่อยไปเลยอันนี้มันสกปรกโดยสิ้นเชิงหรือมันมีสารคุณฝังจมหรือสับปนกันอยู่ในสิ่งสกปรกเหล่านั้น ครั้นดูแล้วสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายไม่ได้มีสกปรกอย่างเดียว สิ่งที่ดีที่มันแทรกซึมเป็นแร่ธาตุต่างๆ อย่างนี้ยังมีแฝงอยู่นั้น ไม่มากมันก็มีอยู่งั้นทำไง มันก็ต้องได้คุ้ยเขี่ยขุดค้น ทั้งเหม็นก็ดม ขมก็กลืนกันไปอย่างงั้นใช่ไหมล่ะ ว่าดีว่าชั่วมันก็อยู่กับกองมูตรกองคูถ

ความดีมันมีอยู่ คนดีมีอยู่ในนั้นไม่ใช่ว่าจะชั่วไปหมด ถ้าพูดเฉพาะอย่างยิ่งเช่นเมืองไทยของเรา ไม่ใช่จะชั่วไปหมดเมืองไทย คนดียังมีอยู่เยอะ นั่นแหละแร่ธาตุต่างๆ ที่ฝังจมแทรกกันอยู่ในนั้น ที่จะคุ้ยเขี่ยขุดค้นอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เห็นไหมล่ะ หลวงตาบัวได้สมบุกสมบันลำบากลำบนก็เพราะคุ้ยเขี่ยหาสิ่งที่เป็นสาระนั่นเอง ถ้าไม่มีสาระอะไรเลยแล้วยุ่งมันอะไร เท่านั้นพอแล้วใช่ไหม แต่นี้มันก็ยังมีอยู่นั้นถึงได้บึกบึน เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พิจารณา เราจะเป็นแร่ธาตุประเภทไหนให้ฟิตตัวเอง ถ้าหากว่าเราเป็นแร่ธาตุที่จะพลิกให้มันดีก็ยังได้นี่นะ ดีกับเลวมันเป็นของคู่กันแก้ได้เข้าใจเหรอ เอาละทีนี้ให้พร เทศน์ว่าจบแล้ว มันก็ไม่จบอย่างนี้ละ มันไปของมันเรื่อย ๆ เอาละให้พร

นี่ละชุ่มเย็นเมืองอุดรเรา ได้ผู้ว่าดีๆ มาอย่างนี้มันหายากนะ หาคนดีหายาก ให้หาชั่วไม่ต้องหาที่ไหน หาเอากับเราก็ได้

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก