เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓
รื่นเริงในธรรมภาวนา
จิตใจมันรื่นเริงในธรรม รื่นเริงไม่มีจืดมีจางนะ รื่นเริงในธรรมและผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจิตใจรื่นเริงบันเทิงกับธรรมเหล่านี้ แต่มันก็จวนแล้วนะนี่ พูดตรงๆ อย่างนี้ละเรา คือมันจวนแล้ว มา มาแล้วนะมาเกิดเป็นหลวงตาบัวแล้ว ไม่นานละหลวงตาบัวก็จะไปล่ะ เข้าใจ หลวงตาจะจูงไปหมดศาลานี่ไปกับหลวงตา ให้หลวงตาไปหลวงตาจะจูงกันไปหมดทั้งศาลานี่ยังจะไม่ให้เราไปอีกหรือ เราบอกว่าหาไปก่อนแซงไปก่อน
(ที่หลวงตาพูดเมื่อสักครู่เหมือนที่พระผู้ใหญ่ถามหลวงปู่มั่น ว่าท่านไปอยู่นี่ท่านได้ฟังเทศน์บ้างหรือเปล่า หลวงปู่มั่นบอกฟังทุกวันเลย ตอนนี้หลวงตาก็เหมือนกัน) หลวงปู่มั่นท่านอยู่ถ้ำสาริกาตอนนั้นนะ อยู่บนถ้ำสาริกา จิตสว่างไสว ไม่มีอะไรจืดจางเลยในโลกนี้ท่านว่าอย่างนั้น พระท่านคิดถึงบุญถึงคุณ คิดไปถึงเจ้าคุณอุบาลี เวลานี้ท่านเจ้าคุณอุบาลีเป็นอาจารย์ของท่านนะ ท่านทำอะไรอยู่หนากำหนดจิตพุ่งไปวัดบรมนิวาส ท่านเองอยู่ถ้ำสาริกา ท่านพิจารณาแล้วจิตมันลงเต็มที่แล้วมันกระจ่างหมดเลย ท่านว่า ในจิตคิดถึงบุญถึงคุณท่านเจ้าคุณอุบาลี เวลานี้ท่านทำอะไรอยู่หนา ท่านส่งจิตปั๊บไป ทั้งความเคารพทั้งส่งจิตไปดู
ตอนนั้นท่านอยู่ถ้ำสาริกา ท่านเจ้าคุณอุบาลีอยู่กรุงเทพ ท่านเจ้าคุณเป็นอาจารย์ของเราท่านจะทำอะไรนา พิจารณาอะไรนา ท่านกำลังพิจารณา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ แล้วก็เรื่อย ทบทวนไปมาอยู่ พอได้เวลาท่านจดจำเวลาเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาท่านก็ไป ไปวัดบรมนิวาสหาท่านเจ้าคุณอุบาลี ส่งไปหาท่านเจ้าคุณอุบาลี พอไปก็ไปกราบเรียนถามท่านจริงๆ แต่ไม่ให้เวลานานกลัวท่านจะลืมก่อนท่านพิจารณาอะไรๆ อยู่ รีบเร่งมา พอออกจากถ้ำสาริกาก็ตั้งใจจะมากราบเรียนเรื่องธรรมของท่านเจ้าคุณอุบาลีเอง ให้ท่านได้ฟังจากปากจากคำของผู้เป็นลูกศิษย์จงรักภักดีคือหลวงปู่มั่นเรา พิจารณาอย่างนั้นๆ
เวลามาก็ถามท่านจริงๆ ท่าน โห ตื่นเต้นจริงๆ ท่านว่าตื่นเต้น ตื่นเต้นในท่านอาจารย์มั่นเรา..ท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านอาจารย์มั่นพอจิตท่านรวมแล้วท่านส่งไปดูท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเอาจริงเอาจัง ท่านหนักทางภาวนา แล้วก็ไปหาท่าน ท่านตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นกับหลวงปู่มั่นมากนะท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านตื่นเต้นมาก ท่านพิจารณาอย่างนั้นจริงๆ ท่านว่า เวลาเท่านั้นๆ อาจารย์มั่นไปเยี่ยมท่าน ท่าน(เจ้าคุณอุบาลี) ตื่นเต้นมากนะ (ท่านตบเข่าท่านบอกท่านมั่นสำคัญอยู่) เออใช่ ท่านมีความรื่นเริงในธรรม ท่านตบนี่นะ พอได้ฟังธรรมหลวงปู่มั่น เล่าเรื่องของท่านละให้ท่านฟัง ท่านตื่นเต้นมาก ตบเลย นั่นละความตื่นเต้นในธรรม ถ้าตื่นเต้นทางโลกก็เป็นอีกอย่างหนึ่งใช่ไหม ความตื่นเต้นในธรรมของผู้นั้น เล่าให้ฟังน่าฟังมากนะ (หลวงปู่มั่นมาถามเจ้าคุณอุบาลี และตรงตามหลวงปู่มั่นท่านจำเอาไว้ได้ วันเวลาตรง ท่านเจ้าคุณอุบาลีชอบใจ ท่านมั่นสำคัญอยู่) ท่านชอบใจจนกระทั่ง โอ้ๆ ท่านยินดีกับผู้ทำ เพราะท่านดำเนินอย่างนั้นจริงๆ
เวลาอยู่กับหลวงปู่มั่นเรานะคือจิตใจมันหมุนตลอดนะ เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ จับผิดจับถูก มันตื่นเต้นในธรรมของท่าน แล้วก็พอใจในการบำเพ็ญของตน ออกจากนั้นก็เป็นเราละทีนี้นะ บอกท่านว่าวันนี้จะไม่ฉันจังหัน กราบเรียนท่านตอนท่านออกจากห้อง วันนี้จะไม่ฉันจังหัน เราว่าอย่างนั้น พูดเท่านั้นละ แต่ท่านให้โอวาทสำคัญนะ การไม่ฉันจังหันด้วยการภาวนาเป็นความถูกต้องดี ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านว่าการไม่ฉันจังหันด้วยการภาวนาถูกต้องดี แต่ให้รู้จักประมาณในการฉันไม่ฉัน ท่านว่า
มาอยู่กับท่านผู้อย่างนั้นจิตใจมันตื่นเต้นตลอดนะเรา เป็นจริงๆ ความเพียรนี่ไม่ได้หยุดไม่ถอยเลย นั่งภาวนาฟาดตลอดรุ่งเลยเรา นั่งภาวนานั่งขัดสมาธิ เรียกว่าตลอดรุ่งเราก็เคยทำแล้ว เอาจริงๆ นะ นั่งภาวนาจนก้นแตก คือทีแรกก็ไม่แตกแต่มันเอากันเรื่อยน่ะซีตลอดรุ่ง นั่งภาวนาฟาดตลอดรุ่งๆ มันรื่นเริงบันเทิงในธรรมของท่านครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่มั่นเป็นต้นนะ มันรื่นเริงกับธรรม เหมือนว่านิพพานจับผิดจับถูก ทีนี้ใจมันขยับไม่ถอยนะ
เวลาไปภาวนามันรื่นเริงในธรรมภาวนา รื่นเริงในธรรมทั้งหลาย สุดท้ายรื่นเริงในการจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ มันพิจารณาไป นี่เรามาบวชนี้ตั้งใจต่อธรรมอย่างยิ่ง ต่อมรรคผลนิพพาน แล้วก็ปีติยินดีรื่นเริง บางคืนนั่งภาวนาตลอดรุ่งๆ อันนี้ก็ก้นแตกเหมือนกันนะ คือมันไม่นั่งตลอดรุ่งทุกคืน ครั้นเอาไปๆ เดี๋ยวก็ตลอดรุ่ง มันเพลินของมันนั่นละ ความเจ็บปวดแสบร้อนไม่ต้องบอกนะ นี่ก็ได้รบ ได้ฟังธรรมทุกขเวทนาในเวลาทุกขเวทนากล้าสาหัส ได้เอาทุกขเวทนาในขณะนั้นมาพิจารณาฟาดนั่งตลอดรุ่งเหมือนกัน นี่ก็ดี นิสัยเรามันเป็นนิสัยผาดโผนอยู่นะ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านรั้งไว้จะเป็นเปรยๆ รั้งให้เรารู้ เกี่ยวกับเรื่องภาวนา ท่านสอนอะไรมันจะผิดไปท่านเตือนๆ เรามันก็อย่างว่าด้วยมันบ้าภาวนาอยู่คนเดียวนั่นละ มันบ้าภาวนา อยู่ไหนก็เอาทั้งนั้นละพุ่งๆ เรื่องภาวนา
นี่ก็พูดเสีย เวลานี้เราก็จวนแล้วนะ จิตนี้ออกภาวนาทีแรกความอยากได้มรรคผลนิพพานมีกำลังมากนะ มันจะเจ็บปวดแสบร้อนขนาดไหนความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ในชาตินั้นจะให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นมันเร่งของมันพุ่งๆๆ อันนี้อันหนึ่งได้เห็นความรื่นเริงในธรรมของการภาวนาของตัวเองนะ จิตใจมันพุ่งๆๆ ทีนี้พิจารณาไปๆ นี่เรื่องภาวนานะ ผู้ที่ว่าภาวนาๆ ไม่ได้แจงความละเอียดให้สู่กันฟังเพราะมันไม่ได้ทำอย่างนั้นก็มีนะ ส่วนมากไม่ได้ทำอย่างนั้นแหละ เรานั่งภาวนา นี่มันลืมนะ นั่งภาวนาเอาตลอดรุ่งๆ เรา จึงว่าก้นแตกมันไม่ใช่นั่งคืนเดียว มันไม่ใช่นั่งติดกันนะ มันนั่งเดี๋ยวก็ตลอดรุ่งละ เดี๋ยวก็ตลอดรุ่ง เพราะจิตนี่มันพุ่งๆ ร่างกายจะเจ็บปวดแสบร้อนเท่าไรมันก็ไม่มีน้ำหนักยิ่งกว่าที่อยากหลุดพ้นจากทุกข์ จิตมันมีกำลังมันก็พุ่งๆ เอาถึงขั้นมันว่าง
พอพิจารณาไปเรื่องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ท่านให้พิจารณา อันนี้ท่านยกมาเป็นกลางๆ นะ บทเวลานักภาวนาถนัดอะไรจะเอาเกสา-โลมาหรือจะเอาหมดนขา ทันตา ตโจ ตลอดสรรพางค์ร่างกายก็เอา อำนาจจิตนี่สำคัญนะ ถ้าจิตลงได้เป็นนักสู้แล้วไม่ถอยนะ มันพุ่งๆ ฟาดเข้าไปถึงขั้นว่างละซี ทีแรกก็เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง บทเวลามันเป็นโดยหลักธรรมชาติของตัวเองที่ดำเนินตามที่ท่านสอนไว้นี้ กรรมฐานห้า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันก็เอาอันนี้มาพิจารณานะ พิจารณาทีนี้มันกระจายออกไปในร่างกายหมดทุกสัดทุกส่วน จิตมันยิ่งเพลิน จนโอ้ยนั่งภาวนาตลอดรุ่งเรื่อยเชียวนะ จนก้นแตก แต่มันไม่คำนึงอันนี้นะ เรียกว่าต้องขออภัยนะ มีเงินสองสตางค์สามสตางค์แล้วมุ่งจะเป็นเศรษฐีด้วยเงินสามสตางค์ เรายังคิดนะ ใจมันเอานะ จะมีสองสามบาทก็ตามนะ ว่าจะให้หลุดพ้นจากทุกข์ในชาตินี้ พ้นจากทุกข์ก็คืออรหันต์เลย
ภาวนาเอาจริงๆ นะ มันพุ่งๆ อยู่กับมรรคกับผล มันไม่ได้มาอยู่ในร่างกาย เวลามันนั่งภาวนาเหล่านี้ๆๆ เป็นข้อมือข้อนี้เหมือนมันจะหลุดจากขาดจากกันเดี๋ยวนั้นนะ มันปวดหมด เหล่านี้ปวดหมดเรานั่งภาวนา มันมาเจ็บมาปวดกระทั่งข้อมือนะ จิตยิ่งเพลิดเพลิน จิตในขั้นนั้นเข้าถึงขั้นว่างแล้วนะ ขั้นที่ท่านให้พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นขั้นเริ่มแรกของนักภาวนา เอาเรื่องภาวนาเลยนะ นี่ก็เอาอย่างนั้นละ เอาไปเอามามันเป็นขึ้นตามหลักธรรมชาติ ไม่ได้เป็นขึ้นด้วย ลืมแล้วพูดเรื่องอะไรเมื่อสักครู่ลืม (ร่างกายเจ็บปวดอย่างไรไม่คำนึงถึง) หมด ทุกข้อมือมันเจ็บมันปวด เราจะตามดูมันมันจะทุกข์ขนาดไหน โลกก็ถึงตาย อันนี้ยังไม่ตายมันทุกข์ขนาดไหนก็ซัดกัน โอ้รื่นเริงจริงๆ ภาวนา รื่นเริง
กลางคืนกลางวันอยู่กับภาวนา ถึงเวลาจะพักมันไม่อยากพัก พักนอนนะ มันหมุนติ้วๆ ๆ และเป็นไปตามนั้นละ ไม่ได้เป็นไปตามเราคาดนะ เป็นไปตามหลักธรรมชาติปัจจุบันๆๆ เวลามันทุกข์มากจริงๆ ทุกข์หมด เหล่านี้ๆ เหมือนจะขาดจากกัน ข้อเหล่านี้เหมือนจะขาดจากกัน มันเจ็บมันปวดมาก ทีนี้ความดึงดูดในธรรมมีน้ำหนักมากกว่านั้นอีกนะ นี่ละมันถึงฟัดกันไปใหญ่ นั่งภาวนาจนก้นแตก เราก็ต้องขออภัยนะ นิสัยหลวงตาเป็นนิสัยผาดโผน ผาดโผนแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าได้เอาอะไรทำอะไรเอาจริง อันนี้ก็เหมือนกันเรื่องภาวนาผาดโผน
อย่างไรก็ตามเถอะ มันไม่พ้นความพอใจของจิต จิตยิ่งดึงดูดเท่าไรนี้การภาวนามันยิ่งหมุนของมันนะ จะเจ็บจะปวดแสบร้อนอะไรจะแตกจะหักไปไม่สนใจ มันได้เอานั้นเป็นธรรมเทศนาอีกด้วยนะ ความทุกข์สัตว์โลกทุกตัวสัตว์เกิดมานี้เป็นทุกข์ทั้งนั้น ตอนเกิดมาเป็นทุกข์ มันตามพิจารณาถึงเรื่องความทุกข์ อันนี้ก็ผาดโผนเหมือนกัน คือมันเป็นนิสัยผาดโผน ถ้าได้เอาเอาจริง เป็นอย่างนั้นละ อยู่ที่ไหนวัดดอยธรรมเจดีย์ (หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ธรรมผุดขึ้นมามีจุดมีต่อมที่ไหนนั่นละคือตัวภพ หลวงตายังแก้ปัญหาไม่ตก) นั่นละคือความเพลินของจิต มันจะซอกแซกค้นหาอรรถหาธรรม มันจะซอกแซกจริงๆ นะ หากเป็นอัตโนมัตินะ อย่าเป็นแบบคาดนู่นคาดนี้ไม่ดี ทีนี้ให้เป็นไปตามอัตโนมัติ มันพิจารณาตรงไหนรู้ตรงไหนยิ่งรู้เข้าไป ลึกซึ้งเข้าไป จิตใจก็เพลินตลอดๆ
นั่นละเรียกว่าจิตใจเอาจริงเอาจัง จิตใจเอาให้เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม เหมือนเรามีเงินอยู่สามบาทสามสตางค์ก็ตาม ทีนี้มือเราคว้าใส่เศรษฐีธรรมเศรษฐีเงินอยู่ตลอดเลย คือใจนี่มันรุนแรงนะ รุนแรงคืออยากหลุดอยากพ้น ทีนี้จิตมันก็เป็นไปตามที่เราพิจารณาด้วยความพอใจนะ ถึงขั้นมันว่าง ให้มันเป็นเองอย่างนั้นซี มาพูดกันฟังธรรมดาด้วยความคาดความคะเนด้วยด้นเดาอย่างนี้ไม่ถูก ให้มันเป็นเองในจิตใจ มันถึงรื่นเริงบันเทิง แล้วไม่ว่าอัศจรรย์อะไรอยู่ในนั้นหมดนั่นละ มันว่างว่างจริงๆ หมดเลย จะพิจารณาอะไรก็ไม่มี มีแต่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ พิจารณาเข้าไป พิจารณาเข้าไปหาจิต
พอถึงจิตแล้วมันซ่าออกเลยละ กระแสของจิตมันออก โอ๊ยนี่ก็อัศจรรย์เหมือนกันนะเวลามันเป็น คือจิตตอนนั้นมันว่าง มองไปที่ไหนมันว่างหมดนะ ให้มันเป็นเองถึงถนัด เรามาพิจารณาว่าจิตเราทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมว่างไปหมดอย่างนี้ ไม่นานนี่ละธรรมท่านเตือน แต่เราจับผิด จับไม่ถูก ความที่อยากหลุดพ้นเราก็ว่าหลุดพ้นไปแล้วมันก็ว่างไปหมด อันนี้พิจารณาที่เจ้าของมันก็หมุนของมัน สุดท้ายเลยว่างไปหมดเลย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง มันเป็นทางเดิน บทเวลามันเป็นเองเป็นจริง ด้วยความเป็นเองจากการภาวนานี้มันเป็นอย่างถึงใจนะ เป็นแบบถึงใจ
อัศจรรย์เรื่องภาวนานี่ถึงขนาดยืนรำพึงอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนตีสี่ตีห้านี่ละเราเดินจงกรมอยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ พูดถึงเรื่องมาลงจุดต่อม คือมันว่างเสียหมดเลย ทีนี้จุดต่อมนั่นละตัวอวิชชา มันครอบจิตอยู่มันไม่เห็นนะ พอจิตมันว่างหมดมันอัศจรรย์ เหมือนว่าไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ พระธรรมท่านเลยเตือน พออัศจรรย์ใจเจ้าของที่กำลังว่างหมดเวลานั้น กำลังพิจารณาอยู่แล้วพระธรรมท่านเตือนขึ้นมา ถ้ามีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดก็คือจุดผู้รู้ ต่อมคือต่อมผู้รู้ ตัวนี้ละคือตัวการ พออันนี้พังแล้วหมด ว่างหมด ว่างข้างนอกข้างใน ว่างทั้งใจจากสิ่งทั้งหลาย ให้มันเป็นเองอย่างนั้นซิ อันนี้เอามาเล่าให้ฟังมีแต่เป็นเองๆ นะ ได้นำจากหัวใจมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ถึงขั้นมันว่างมันว่างจริงๆ
ทีนี้บทเวลามันเอาจริงๆ ที่ว่าว่างจริงๆ ตัวในตัวจิตมันยังไม่ว่าง แต่มันลืมตัวนี้เสีย มันเลยว่าว่างหมด แล้วธรรมท่านขึ้นมาถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ท่านให้ย้อนเข้ามาหาตัวจิตเข้าใจไหมล่ะ แต่เราไม่เข้า เราเพลินบ้าไปเลย มันตามเก็บนะเวลาพิจารณา บทเวลามันเป็นมันเข้าถึงอะไรไม่มี โลกอันนี้มีแต่เกิดกับดับ แย็บเกิดดับๆ ไล่ไปไล่มาก็เข้ามาหาจิตนี่ อะไรว่าเกิดอะไรว่าเกิดมันก็ดับด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ใจมันดับหรือไม่ดับ นั่นมันย้อนเข้ามาหาเจ้าของ อะไรก็เกิด อันนั้นก็เกิด อันนั้นก็ดับ แต่ใจนี่มันดับหรือไม่ดับนา มันจ่อเข้ามาหาตัวนี้นะ
ที่พระธรรมท่านเตือนก็คือว่ามันหลงความว่าง ทีนี้พอว่ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั่นละจุดตัวนี้ละตัวจะพาไปเกิด จะพาไปตาย ความหมายว่าอย่างนั้น แต่เราก็ยังมองไม่เห็นอีกละ ยังงงอยู่ ว่าถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เวลาค้นไปค้นมาก็ขยับหาเข้าจิตอย่างเดียว เกิดดับๆ อันนั้นเกิดอันนี้ดับ ตัวจิตนี้ตัวสร้างความเกิดความดับ มันย้อนเข้ามานี้ พอย้อนเข้ามาทีนี้เหมือนฟ้าดินถล่ม มันเข้ามาหาตัวมันหาจิต อยู่ๆ ดีๆ พังลงไปในนั้นในจิต เหมือนฟ้าดินถล่ม คืออวิชชาตัวพาเกิดพาตาย อวิชชาละพาเกิดพาตาย ตัวนี้ตัวสำคัญความหมายว่าอย่างนั้น แล้วมารู้อันนี้เสียทีนี้ พอรู้อันนี้อีกก็เป็นฟ้าดินถล่มอีกเหมือนกันนะ พอมารู้ว่าตัวนี้เป็นตัวสำคัญมันแตกกระจายออกไป ตัวนี้ตัวแตก ตัวอวิชชาพังจากใจทีนี้มันก็จ้าเลย อ๋อตัวปิดตัวบังจริงๆ คืออวิชชา
อวิชชาหมายถึงว่าความมืดมิดมันปิดอยู่ที่หัวใจ มืดมิดก็คือกิเลส พอแก้อันนี้แล้วมันพังหมด เรียกว่าอวิชชามันพังหมด พังหมดแล้วจ้าเลยทีนี้ อ๋อตัวนี้เองตัวพาให้เกิดให้ตาย มาถึงจุดนี้แล้ว มาถึงที่นี้พาให้เกิดให้ตาย อันนี้ก็เป็นฟ้าดินถล่มเหมือนกันนะ เวลาเข้ามาถึงตัวของมันจริงๆ มันสะเทือน ความแปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนฟ้าดินถล่มนะ ที่พูดเหล่านี้พูดด้วยการทำเองเป็นเองเห็นเองรู้เองนะ จนกระทั่งถึงถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ท่านจะให้ล้างภพชาติในตัวจุดตัวต่อมนั่นละ แต่เรายังไม่ล้างไม่อะไรๆ ยังงงอยู่ บทเวลามันผ่านปุ๊บเข้าไปถึงจุดนั้นแตกกระจาย อ๋อนี่จุดต่อมแท้ๆ อยู่ที่นี่ มันก็มารู้ที่ตรงนั้น
เข้าใจไหมละพวกนี้ มันเอาแต่หมอนเป็นคำบริกรรมน่ะซี มันไม่เอาความพ้นทุกข์เป็นคำบริกรรม ฟาดให้มันแตกกระจาย จิตแตกกระจายเรียกว่าโลกธาตุความเกิดตายแตกกระจายไม่มีเหลือ อย่างนั้นละภาวนา ท่านว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ บทเวลาไปถึงจุดที่ชอบชอบจริงๆ เราไม่ไปถึง ไปข้างๆ เคียงๆ ไป ไม่เข้าทาง บทเวลามันเข้าทางมันเบิกออกหมดเลย วันนี้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คงจะพอได้ความอยู่ นี้เรียกว่ายอดธรรม เวลามาเป็นเป็นที่หัวใจ มีเท่านั้นละ
(ลูกศิษย์กราบถวายปัจจัย) เราก็พูดตามความจริง ผู้ฟังก็ตามความจริง พร้อมกับความประกอบสิ่งประกอบส่งเสริมคนนั้นเท่านั้นบาท คนนี้เท่านั้นบาท
อันหนึ่งเราเคยพูดตอนมันเป็นขึ้นใหม่ๆ โอ๋จิตมันถอยกรูดเลยนะ ที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยไม่อยากสั่งสอนสัตว์ จนท้าวมหาพรหมมาอาราธนา ส่วนพระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วท่านท้อพระทัยแล้ว ท้าวมหาพรหมจึงมาอาราธนาว่า พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ, กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ, สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา, เทเสตุ ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาพระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ใหม่ๆ ยอมรับกันทันทีนะ เราพูดจริงๆ นะ เราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะคิดได้อย่างนั้นนะ คิดไปไหนอะไรก็หมดราคา ไม่มีอะไรมีราคา มีแต่ราคาชั้นเอกตั้งแต่จิตดวงนี้ละ จิตดวงนี้เข้าเป็นธรรมดวงนี้แล้วเป็นธรรมชั้นเอก คือจิตดวงนี้เข้าเป็นธรรมดวงเดียวกันเข้าใจไหม นั่นละจิตกับธรรมเวลาเข้าถึงตัวจริงๆ แล้วจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันนะ ไม่ได้มาจากนู้นจากนี้นะ
อย่างที่แสดงใหม่ๆ หลังเขาวัดธรรมเจดีย์นะ ที่ว่าขึ้นเสียเต็มที่ มันหมดเลย โห สัตว์โลกทำไมจมลงไปขนาดนี้ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงธรรมขนาดนี้จะสอนใครได้ จะสอนใครได้ ว่าอย่างนั้นนะ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้นพอไปเลย ว่าอย่างนั้นนะ เวลาเป็นขึ้นทีแรกธรรมอันนี้ไม่ควรแก่ใครทั้งหมด ควรแก่ผู้เป็นเราคนเดียว มันเป็นจริงๆ นะ เวลาพูดย้อนหน้าย้อนหลังมา ใครๆ ก็เป็นปุถุชนเหมือนกันนะ พระพุทธเจ้าเป็นปุถุชนยังสามารถเป็นอรหันต์ได้ เราเป็นคนคนหนึ่งเป็นปุถุชนหรืออยากเป็นพระอรหันต์ ถามย้อนพิจารณา ถ้าอยากเป็นก็เอาเข้าซิ ธรรมเพื่อผู้ปฏิบัตินี่นะ ไม่ได้ธรรมเพื่อผู้เอาหมอนมัดติดคอ ไม่ได้อยากภาวนาหมอนมัดติดคอ เอาให้จริงจังซิ
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|