เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อบ่ายวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
นิมิตภาวนา
(นางจันดี โลหิตดีพร้อมลูกหลานหมู่คณะ ต้นวิทยุเสียงธรรมและประชาชนจากทั่วสารทิศ กราบน้อมถวายปัจจัยบูชาธรรม บูชาธาตุขันธ์ บูชาคุณพระหลวงตา ทองคำจำนวน ๕๐ บาท ๗๗ สตางค์ เงินสงเคราะห์โลกจำนวน ๒,๖๒๙,๖๔๕ บาท เงินตึกสงฆ์อาพาธจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๒,๙๒๙,๖๔๕ บาท เงินดอลลาร์ ๖๔๓ ดอลล์ เงินออสเตเรีย ๑๐ ดอลล์ เงินยูโร ๒๐ ยูโร เงินสิงคโปร์ ๕๐ ดอลล์ เงินอินโดนีเซีย ๕,๐๐๐ รูเปีย และเงินลาว ๖๑,๐๐๐ กีบ กราบน้อมถวายส่วนองค์พระหลวงตาจำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท คุณแม่จันดี โลหิตดีผู้ถวาย)
วันนี้เป็นวันมหามงคลอันยิ่งใหญ่ หลวงตาเองได้ลงมานี้จะมาเทศน์ถึงสองครั้ง แต่มาครั้งแรกมีแต่คนทำบุญๆ เราก็เลยฟังดูคนทำบุญ เราเลยไม่ได้เทศน์สักคำ ตอนบ่ายมาอีก ตอนเช้าตอนหนึ่ง ตอนบ่ายนี่มาอีกเต็มศาลา ดูซิศาลาไม่ได้น้อยคน คนเต็มศาลา ศาลาหลังนี้ก็นึกว่ากว้างเกินไป แต่เวลานี้มาดูประชาชนกับศาลาหลังนี้ศาลานี้น้อยไป ประชาชนมากกว่า นู่นเดินอยู่ตามท้องไร่ท้องนาเข้ามาในนี้หมด คนเลยเต็มหมดเลยวันนี้
ท่านทั้งหลายได้มาสร้างบุญสร้างกุศลเป็นมหากุศลอย่างยิ่งแล้ววันนี้นะ ถึงสองครั้ง ตอนเช้านี่ครั้งหนึ่ง ตอนบ่ายนี้อีกครั้งหนึ่ง คนเต็มศาลาๆ ทุกครั้งไป น่าอนุโมทนา เทวบุตรเทวดาเขาก็อนุโมทนา อย่าเข้าใจว่าโลกอันนี้ไม่มีสัตว์นะ เราจะเหมาเอาแต่ว่าสัตว์โลกมีแต่มนุษย์ ยังมากกว่านี้ก็มีอย่างเต็มศาลานี้เห็นไหมละ โลกไหนเอามาแข่ง คนมาทำบุญให้ทาน วันนี้เป็นสองครั้งแล้ว
การทำบุญให้ทานนี้เป็นเรื่องการยิ่งใหญ่ เรียกว่ามหากุศล ทำบุญให้ทานทั่วโลกดินแดน วันนี้มีเต็มไปหมด ตอนเช้าก็มี ตอนเย็นก็มี นี้ละเป็นเนื้อนาบุญของท่านทั้งหลาย พอเอาออกจากมือปั๊บเราก็เป็นบุญเข้าสู่ภายในใจ เรายื่นลงจุดไหนแล้วก็ขาดละเป็นบุญภายในใจของเรา วันนี้มาเทเงินเต็มศาลาวัดป่าบ้านตาดนี้สองหนนะ ศาลาหลังนี้เดี๋ยวนี้เต็มขนาดนี้แล้วเมื่อเช้านี้เต็มขนาดไหน คนมากต่อมาก แต่ไม่ได้เทศนาว่าการอะไรให้พี่น้องทั้งหลายฟัง วันนี้ได้เทศน์เสียบ้างให้พอได้เข้าอกเข้าใจ
นี่เป็นวันสร้างบุญสร้างกุศล คนทุกทิศทุกทางมาเพื่อบุญเพื่อกุศลทั้งนั้น ท่านทั้งหลายมาก็หอบอารมณ์ของบุญจ้ออยู่ในหัวใจ พอมากลับไปแล้วบุญก็เข้าสู่ใจเต็มไปหมดนั่นละ นับว่าเป็นบุญกุศลมากวันนี้ ศาลาหลังนี้แน่นหมด เมื่อเช้านี้ก็แน่นศาลาหลังนี้ ได้ทำบุญแผ่ส่วนบุญทั่วโลกแดนธาตุ พวกสัตว์ทั้งหลายที่ตายไปแล้วมีญาติก็มี ไม่มีญาติก็มี แล้วก็มาสับปนกันกับคนมีญาติ พวกที่เขามีญาติเขามาทำบุญให้ทาน เขาแจกทานไปถึงญาติถึงวงศ์ของเขา ตัวที่ไม่มีญาติไม่มีใครมาทำบุญรู้สึกจะบกบาง น่าเสียดายเอามากทีเดียวนะ
วันนี้มีความปีติยินดีกับบุญของท่านทั้งหลาย จึงได้ฟังทั่วหน้ากันแล้ววันนี้ บุญๆ บาปที่จอมปราชญ์พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคำเดียวกัน ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ผู้ทำบุญไปสวรรค์ ผู้ทำบาปไปนรก มีสถานที่อยู่เหมือนกันหมดแล้ว เราได้สร้างก็ให้สร้างเสียให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา เวลาตายไปแล้วนี้หาอะไรเป็นสมบัติของตัวเองไม่ได้นะ เป็นลมเป็นแล้งไปหมดเพราะเราไม่ได้ทำ นี้ได้ทำทั่วหน้ากัน นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลของพี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราทั่วหน้ากัน แล้วมาทำบุญให้ทานอย่างนี้แล้วก็ขอให้ไปอุทิศส่วนกุศลอีกทีหนึ่ง สำหรับญาติทั้งหลายที่รอรับบุญกุศลจากท่านทั้งหลายที่มาบริจาคในวันนี้หรือวันก่อนนี้ก็มี ท่านเหล่านั้นจะได้อาศัยบุญนี้ละเหาะลอยขึ้นไปสวรรค์-พรหมโลก ถ้าแก่กล้ากว่านั้นถึงนิพพานเลย
ท่านบอกไว้ว่า สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน แล้วสัตว์ทั้งหลายทั่วๆไปก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง ท่านว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งสิ้น แล้วพวกเราทั้งหลายก็ขอแผ่ส่วนบุญกุศลให้ท่านผู้ไม่ได้มา ไม่ได้รับ เพื่อท่านเหล่านั้นจะได้รับบุญของท่านอุทิศให้เป็นความยิ้มแย้มแจ่มใส บางรายเลื่อนชั้นขึ้นไปหลายต่อหลายมากต่อมาก บางรายถึงนิพพานเลย เพราะบุญเราสร้างแล้วสร้างเล่าก็มาเข้าหัวใจของเรา บุญเข้าหัวใจแล้วไปละไปสวรรค์ชั้นไหนก็ไป ตั้งแต่มนุษย์นี้ขึ้นไปเรื่อย แล้วต่ำกว่ามนุษย์ก็มีอีกเยอะนะ เราอย่าประมาทว่าสัตว์ทั้งหลายมีน้อย คนเต็มศาลานี้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใต้ศาลานี้ยังมากกว่าเราอีก
นั่นละเรื่องจิตตวิญญาณไปเกิดที่นั่น สัมภเวสีไปเกิดที่นั่นไปเกิดที่นี่อยู่อย่างนั้นละ แม้ที่สุดในโรงพยาบาลผู้ที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลผู้ที่หายจากการรักษาก็เลื่อนชั้นขึ้นไป ถ้าผู้ไม่ได้ทำบุญกุศลเลยเลื่อนลง ไม่ได้เลื่อนขึ้นนะ เราสร้างบุญสร้างกุศลบุญกุศลติดแนบกับหัวใจเรา ไปที่ไหนไม่ต้องหารถหาราให้วุ่น บุญกุศลส่งเองๆ นะ ให้พากันจำเอาไว้ การกุศลที่พาพี่น้องทั้งหลายสร้างนี้เป็นมาแต่ดึกดำบรรพ์ พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าบาปมี บุญมี สัตว์ที่ทำชั่วบาปก็เป็นของคนนั้น ผู้ทำดีบุญเป็นของคนนั้น แบ่งสันปันส่วนอยู่ในตัวของบุญซึ่งเจ้าของทำขึ้นมาเองนั่นแหละ เวลานี้รู้ทั่วหน้ากัน
การสร้างบุญสร้างกุศลไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าหากว่ามันเป็นวิสัยที่ควรจะพูดได้หลวงตาจะพูดให้กระเทือนสามโลก แต่นี่มันไม่ใช่วิสัยจะพูดอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นสัตว์ไปลงนรกสักเท่าไรใครก็ไม่รู้ ลงมหาอเวจีอีกเท่าไรเราก็ไม่รู้ ไปสวรรค์ ๖ ชั้นใครก็ไม่รู้ จนกระทั่งถึงพรหมโลก ๑๖ ชั้นก็ไม่มีใครรู้ บุญกุศลของผู้นั้นหากพาไปเอง พาไปเอง นี่พวกเราทั้งหลายทำบุญกุศลนี้เพื่อเราด้วย เพื่อญาติมิตรสหายที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ให้ปู่ย่าตายของเรา มีมากมีน้อยก็รักบุญรักกุศล บุญไม่มีใครรังเกียจ มีแต่คนชอบทั้งนั้น แต่บาปคนกลัวแต่ชื่อว่าบาป แต่ชอบทำบาปมาก คนเช่นนั้นมักจะตกแต่นรก อันนี้ฟังเสียนะทุกคน ฟังอยู่เดี๋ยวนี้จ่ายมบาลเขาก็ฟัง จ่าสวรรค์จ่าพรหมโลกเขาฟังทั้งนั้นละ เราทำดีทำชอบจะเป็นของเราทั้งหมด มาด้วยกันต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ ไม่แย่งกันนนะ ไม่ขัดไม่แย้งด้วย ให้พากันจำเอานะ
วันนี้เป็นวันสร้างบุญกุศลอันใหญ่หลวง เมื่อเช้านี้ก็เต็มมากกว่านี้อีก ตอนนี้มีมากไปอีก เมื่อเช้าก็มาก ตอนเย็นนี้ก็มาก เป็นเขตแห่งชีวิตของมนุษย์จะได้รับตามการกระทำของตน เช่นวันนี้เป็นวันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้วงศ์ญาติผู้มีบุญมีคุณได้กันทั้งนั้นละ ไม่ใช่ได้แต่เรา พ่อแม่ปู่ย่าตายเราก็ได้เหมือนกัน พากันจำเอานะ
เราก็บวชมานาน ฟังนะคำนี้มีเด็ดๆ อยู่ในนั้นละ เราก็บวชมานาน ทีแรกก็ไม่อยากบวช ค่อยขยับจ่อเข้าไป ถึงกาลเวลาป่วยหนัก ป่วยหนักจริงๆ จนพ่อกับแม่มานั่งอยู่สองข้าง ที่ไม่ลืมเลยก็แม่นั่นละปากเปราะกว่าพ่อนะ มานั่งเทียบสองข้างเลย เราก็กำลังเป็นหนักในขณะนั้น แล้วกำลังอารมณ์ในการบวชนี่ก็เป็นหนักเหมือนกันหนุนเข้ามา หนุนเข้ามา คราวนี้คราวเราจะไปไม่รอด ถ้าวาสนาของเรายังมีอยู่จะพอสืบภพสืบชาติไปถึงชั้นสูงๆ บ้างก็ขอให้การเจ็บไข้ได้ป่วยเราซึ่งเป็นมากๆ ให้หายวันหายคืนไป พอว่าอย่างนั้นกลางคืนนั้นละพญายมบาลดึง ทางพญาแดนสวรรค์ก็ดึง สุดท้ายก็เลยได้มาทางแดนสวรรค์หรือแดนอะไรก็ไม่รู้นะ แต่มาทางแดนสวรรค์
ทีนี้เวลาบำเพ็ญเข้ามากๆ ดีอกดีใจตายแล้วนี้เราจะไปสวรรค์นะ รำพึงตัวเอง สวรรค์มี ๖ ชั้น อายุของเมืองสวรรค์เท่านั้นๆ ๆ เทียบกันเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ หมื่นๆ ปีของวันหนึ่งคืนหนึ่ง ไม่ได้ลงยิ่งหนักเข้าไปกว่านั้น รำพึงนะ ฟังให้ชัดนะคราวนี้ บวชคราวนี้เหมือนว่าเอาเป็นเอาตายเข้าว่า พ่อกับแม่นั่งอยู่สองข้าง จะไปพูดก็จะพูดไม่ได้แล้ว แม่ไม่ต้องพูดมากละแม่ น้ำตาแม่เร็วกว่าน้ำตาพ่อนะ พอเห็นลูกเป็นอย่างนั้นแม่ก็ร้องไห้อยู่ข้างๆ นั่นละ กำลังใจของเราก็มุ่งขอให้หายในคราวนี้เราจะออกบวช พอหายคราวนี้เราจะออกบวชเลย เราก็หายวันหายคืนจริงๆ นะ ไม่น่าพ้นคืนนั้นกลับหายวันหายคืน
พอหายวันหายคืนแล้วสายแห่งกุศลมากระตุกอยู่เรื่อย อย่างไรละว่าจะบวช หายแล้วทำไมไม่เห็นบวช ยอมรับทันทีเลย ยอมรับว่ายังไม่ได้บวชแต่จะบวชให้ได้คราวนี้ พอว่าอย่างนั้นการเจ็บไข้ได้ป่วยหายวันหายคืน ไม่กี่เดือนนะ เรื่องสะดุดจิตตายไปแล้วจะไม่ได้บวช ตายกับยังไม่ตายจะบวชหนักสองทาง การที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อจะบวช เพื่อจะบวช จากนั้นก็หายวันหายคืน นี้แหละจึงได้มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พ่อกับแม่นั่งอยู่สองข้าง เพราะเป็นหนักจริงๆ เป็นถึงขนาดพูดไม่ได้เลย ส่วนแม่น้ำตาพังนะแม่นะ พอเราตั้งสัจจอธิษฐานในจิตของเรา เพราะจิตมันไม่ป่วย จิตไม่เป็นภัยยะ มันเป็นแต่สังขารร่างกายนี้เท่านั้น เราก็ค่อยดีดเลยหายวันหายคืนอย่างรวดเร็ว คำที่ว่าหายแล้วจะบวชนั้นกระตุกเรื่อยนะ หายไข้มาแล้วยังกระตุกเรื่อย กระตุกเราก็ยอมรับ บอกว่าเราจะบวช ไม่ปฏิเสธ เลยได้ออกบวชจริงๆ เรื่องราวนะ
เราเป็นมากๆ พญามัจจุราชก็จ้อเข้ามา นายยมบาลหรือ...ไม่ทราบละ ต่างฝ่ายต่างจ้อเข้ามา สุดท้ายก็หายไข้ หายจากไข้แล้วการบวชนี้จ้อเข้ามาเลย กระตุกเรื่อย หายจากเป็นไข้แล้วว่าจะบวชทำไมไม่บวช ว่าอย่างนั้นนะ สายกุศลกระเทือนใจเจ้าของเอง ทางนี้ก็ยอมรับว่าจะบวชๆ ถึงวันแล้วจะบวช ให้เป็นอื่นไม่เป็นละ เพราะได้ยอมกับพญามัจจุราชมาครั้งหนึ่งแล้วแทบจะไปไม่รอด คราวนี้จะบวชกับสายใยแห่งการกุศลมันหนุนเรื่อยๆ ทางนี้สารภาพเรื่อยว่าจะบวชๆ จากนั้นพอหายไข้แล้วบอกแม่ว่าจะบวชละ แม่มีคำสัตย์คำจริงมาก ทั้งศรัทธามีพอๆ กันแม่กับพ่อไม่มีขัดแย้งกันเลย เรื่องบุญเรื่องบาปเสมอกัน
นั่นละพอจากลั่นคำแล้วเรียกว่าเปิดเลยนะ เพราะนิสัยนี้ไม่เหลาะแหละ จะทำทำ จะทำอย่างไรเอาทำๆ เป็นนิสัยจริงๆ จังๆ พอหายจากไข้แล้วเรื่องการบวชกระตุกเรื่อย กระตุกเรื่อย เลยลั่นคำออกมาละทีนี้ ลั่นคำออกมาให้แม่ฟัง นี่ตั้งใจว่าจะบวชหลายหน มันก็เคลื่อนคลาดไปเรื่อยๆ คราวนี้จะบวชให้แล้วนะ บอกแม่ พอบอกแม่จบลงแล้วแม่ก็รีบไปบอกพ่อ เพราะเห็นเรานิสัยอย่างนั้น นิสัยของเราเป็นอย่างไร ว่าจะไปไป ว่าจะอยู่ ว่าจะทำทำ ถ้าลงได้ลั่นคำแล้วขาดสะบั้น ทีนี้แม่ได้ยินว่าเราจะบวชให้แม่ร้องไห้ พ่อก็เหมือนกัน นี่พูดตอนพี่ชายบวชก่อนแล้ว มันสึกไปตกนรกหลุมไหนก็ช่างกับหัวมัน บักฮานี่ ฟังให้ดีนะ มันไปตกนรกหลุมไหนช่างกับหัวมัน
เวลาบวชพ่อเรียกลูกชายมาสอนมาสั่ง เธอได้บวชก่อนน้องแล้วรู้จักบริขารเกี่ยวกับการบวชจะเอาอะไรบ้าง แล้วหาของดีๆ มาให้น้องเรา น้องก็คือเรา ทีนี้พ่อกับแม่ก็ปรึกษากันให้เอาแต่ของดีๆ มาบวช เพราะเด็กคนนี้มันไม่ค่อยเหมือนใคร ถ้าว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น นี้มันลั่นคำลงแล้วว่าจะบวช เราเชื่อเสียเดี๋ยวนี้ว่าลูกคนนี้จะต้องได้บวช เพราะได้ยินคำพูดของเราจริงจังมาก จากนั้นเลยตกลงให้พี่ชายไปหาเครื่องบวชดีๆ เอาดีๆ นะ มึงๆ เคยบวชมาแล้วมึงรู้จักบริขารของพระบวชแล้วหาของดีๆ นะ น้องมึงมันไม่เหมือนมึงพูดเล่นอย่างนั้นละ พ่อพูดให้พี่ชายฟัง มันเอาจริงๆ นะ เครื่องบวชทั้งหลายต้องเอาดีๆ ทั้งนั้นละ มึงเคยบวชแล้ว พ่อไปหากับลูกนั่นละไป ได้แต่ผ้าดีๆ ของดีๆ ทั้งหมดเลย ไม่มีขัดข้อง
เริ่มมาก็มาบวช บวชก็ง่าย ง่ายมากทีเดียว เรียกว่าง่ายมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตั้งแต่บวชมาแล้วไม่เคยมีวันทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ใด ไม่เคยมีคดีอธิกรณ์ติดเนื้อติดตัวอะไรเลย เราบวชก็บวชง่าย อยู่ง่ายเรื่อยมา จนกระทั่งบัดนี้เขาเรียกว่าหลวงตาบัว บางคนเขาเรียกหลวงปู่บัว นอกนั้นหายไปหมด มันเฒ่ามันแก่แล้ว อย่างมาอยู่นี้ท่านทั้งหลายก็เห็นเฒ่าแก่มั้ยอีตาบัวนั่นน่ะ นี่ก็บวชมาตั้งแต่นั้นไม่เคยคิดเรื่องอยากสึก แต่ธรรมดาประเพณีคนไทยเราลูกผู้ชายเมื่อโตขึ้นมาแล้วให้ได้บวชเป็นพระเป็นเณรเสียก่อน จึงเหมาะสมกับประเพณีของคนไทยซึ่งเป็นชาวพุทธ
นี่บวชก็บวชง่าย อะไรก็ง่าย พ่อกับแม่เรียกว่าเทถุงเลย เงินมีเท่าไรๆ เอา อย่าเสียดาย ลูกคนนี้ถ้ามันได้พูดเรื่องนี้แล้วมันแน่แล้วตั้งแต่ยังไม่บวช มันจะบวชแน่ๆ ละ นี่ลั่นคำแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงวันเวลาปรึกษาหารือกันบอกรับกันว่าเอาบวชละ แล้วก็เข้าไปบวช ไปบวชไม่กี่วันจิตค่อยเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงไป บวชนี้จะไปสวรรค์ เราบวชแล้วนี้เราทำแต่บุญแต่กุศลเราตายแล้วจะไปสวรรค์ เวลาเราสึกๆไป ก็คือสึกเสียก่อนนั่นแหละ สุดท้ายก็ไปสวรรค์ นี่เรื่องของเจ้าของนะ
พอจากนั้นแล้วอ่านตำรับตำราทางด้านธรรมะ บวชแล้วเราต้องไปสวรรค์ อย่างไรก็ต้องไป เพราะการบวชที่จะให้ผิดกับสิกขาบทวินัยของพระไม่ให้มี เรามุ่งจะไปสวรรค์อย่างเดียว ครั้นต่อมาก็ไปไล่เรียงสวรรค์ สวรรค์มีกี่ชั้นแล้วในชั้นนั้นอายุเท่าไร ชั้นนั้นอายุเท่าไร เขยิบเรื่อย ว่าไปสวรรค์อายุสวรรค์ในชั้นนั้นๆ มีเท่านั้น ในชั้นนั้นมีเท่านั้น ถึงพรหมโลกก็ตายเหมือนกัน ไปที่ไหนที่ไม่ตาย ไปนิพพาน ยังไม่สึกอยากไปนิพพานแล้ว พอมาที่นี่ก็ไล่เจ้าของพอบวชแล้วสึกออกไปมันจะไปทำบาปทำกรรมอะไร มันคิดเอง ถามกันเข้าไป เจ้าของเองถามเอง เวลาไปสวรรค์ พรหมโลกอายุยืนกว่าเอาไปพรหมโลก แล้วที่ไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีก ไปนิพพาน ถ้าอย่างนั้นเราจะเป็นมหาเศรษฐีทั้งๆ ที่มีเงินสองสามบาทเอาไป กำลังใจจะไปให้ถึงนิพพานให้ได้ ส่วนเงินมีอยู่สองสามบาทมันจะแทนที่ความเป็นเศรษฐีได้หรือ มันก็แทนไม่ได้ ทีนี้มุ่งใส่นิพพานไปแล้วไม่กลับ ไม่กลับก็คือผู้สิ้นกิเลสนั่นแหละ ไปนิพพานได้ ยุติกันที่นั่น
พอยุติกันที่นั่นมุ่งใส่นิพพาน ไปนี้เรียนพอสมควรเสียก่อนแล้วออกปฏิบัติ จะกำจัดกิเลสให้สิ้นไปจากใจในการบวชคราวนี้ ทีนี้เลยไม่อยากสึก มีแต่ดูดดื่ม ไปสวรรค์-พรหมโลก-นิพพานๆ นานเข้าก็ดูดดื่มใส่นิพพานอย่างเดียว เราจะต้องให้ไปนิพพานในชาตินี้ ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เลย นี้เป็นเจ้าของตัดสินเจ้าของนะ ถกเถียงกันในใจดวงเดียว พูดทะเลาะกัน มันไม่อยากให้ไปมีนิดหน่อย อยากให้ไปนิพพานมีมาก มีมากเข้าทุกวันๆ เอาทีนี้ตัดสินใจไปนิพพาน พอออกบวชแล้วเรียนหนังสือ ๗ ปีหยุดจากการบวช ออกเลย นั่นละเรียน ๗ ปีออกบึ่งเข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเลยเชียว เข้าไปท่านก็ฟ้าดินถล่มใส่เลย ท่านเห็นความตั้งใจของเรา เทศน์นี่ โถ พิลึกพิลั่น
เราก็ไปพอใจตอนได้ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น พอใจที่สุดเลย ความเพียรไม่มีคำว่าถอย จากนั้นมาก็เอากันใหญ่เลย เราจะบวชจะไปนิพพาน อยากไปนิพพานๆ เอาให้เต็มเหนี่ยว สงสัยเราอยากไปนิพพานไม่ต้องกลับมาเกิดอีก อันนี้มันก็กระตุกขึ้นมาต้องเป็นคนสิ้นกิเลสซี ต้องเป็นอย่างไร ต้องเป็นพระอรหันต์ถึงจะไปนิพพานได้ พอเรียนจบไปหาหลวงปู่มั่น เบิกกว้างแล้วนะ ทางนิพพานเบิกกว้างพุ่งๆๆ ว่าจะให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ จะไปนิพพานในชาตินี้แล้วไม่กลับมาเกิดอีก นี้ที่สุดแห่งความคิดของเรา เวลาบวชอยู่ที่สุดคิดอย่างนั้นละ พอไปหาหลวงปู่มั่นแล้วทีนี้พุ่งใหญ่เลย มีแต่จะไปนิพพาน มีแต่จะเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น ไม่มีถอยนะ เรื่องความเพียรไม่ถอย เราก็ยอมรับว่านิสัยของเราไม่ใช่คนขี้ขลาดหวาดกลัว ไม่ใช่คนอ่อนๆ แอๆ ว่าตัดสินใจลงอย่างไรเอาอย่างนั้น ตัดสินใจเราจะไปนิพพาน นิพพานกับทางจงกรมติดกันไป หมอนห่างออกไป หมอนห่างออกไป เสื่อไม่ทราบมันขาดหรือไม่ขาด เจ้าของก็ดันเลยเชียวละ
นี่ละพูดเรื่องการที่ทำความเพียรแทบล้มแทบตายด้วยนิสัยจริงจังของเรา พอไปถึงพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแล้วยิ่งได้ฟังธรรมของท่านแล้วดูดดื่ม ดูดตลอดเวลา มีแต่จะไปนิพพาน มีแต่จะไปนิพพานอย่างเดียว ไปอยู่กับหลวงปู่มั่นพอใจทุกสิ่งทุกอย่าง จะว่าบอกนอนสอนง่ายก็ไม่ผิด เพราะเราศึกษาจริงๆ ดูทุกอย่างตั้งแต่ครูบาอาจารย์และพระเณรทั้งหลายเรื่อยมา จนกระทั่งป่านนี้ว่าจะไปนิพพาน จะไปหรือมันลืมแล้วก็ไม่รู้อีตาบัวนี่ ว่าจะไปนิพพาน พอฟาดกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยเอาจนกระทั่งฟ้าดินถล่ม ฟ้าดินถล่มอยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภา มันลืม แต่ฟ้าดินถล่มอยู่ตรงนั้น คำว่าฟ้าดินถล่มไม่มีขณะโลกกับธรรมจะเคลื่อนย้ายต่อกันอย่างไรรู้ในวันนั้น เหมือนฟ้าดินถล่มเลย
จากนั้นก็ลงมาอยู่ธรรมดา พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านก็ล่วงลับไปแล้ว เราก็ไปของเรา ความเพียรของเรามันไม่ได้ถอยนะ คือธรรมดาก็ไม่มีถอย เอาจริงเอาจังสมเจตนาจริงๆ เรียกว่าบ้าไม่ผิด มันบ้านิพพาน มันจะเอานิพพานให้ได้ จะให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ จะไปนิพพาน ใครไม่ไปเราจะไปคนเดียว ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหลานเหล่านี้จะไปนิพพานด้วยไหม ถ้าใครไม่ไปเราจะไปคนเดียวเรานะ พอถึงขั้นฟ้าดินถล่มหมด จิตใจจ้าขึ้นครอบโลกธาตุ นั่นละฟ้าดินถล่ม เราอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นวัดดอยธรรมเจดีย์เราจึงไม่เคยลืมบุญลืมคุณนะ ไปวัดดอยขึ้นไปไม่ได้ก็ไปอยู่แค่ศาลา มันขึ้นไม่ได้ มันเหนื่อย อยู่แค่ศาลามาหลายครั้งแล้วนะ ขึ้นไม่ได้ ใครก็เตรียมพร้อมที่จะเอาแคร่หรืออะไรมาให้เราขึ้นไปหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ ขอได้เพียงชื่อว่าวัดดอยธรรมเจดีย์ก็พอ อย่างนั้นละเรื่องราวการประกอบความเพียร
หลังจากฟ้าดินถล่มที่วัดดอยธรรมเจดีย์แล้วเราก็ไปเรื่อยอยู่ ไปก็ไปกราบที่เป็นที่ระลึกของเรา ไม่ลืมนะ ไปทีไรปั๊บไปกราบตรงนั้น กราบตรงนั้น จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ไปแต่ไม่ได้ขึ้นสูงๆ เหมือนแต่ก่อน นั่นละเรื่องการออกบวช ออกบวชทีแรกอะไรงามหมด ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ขึ้นชื่อว่าสาวๆ ชอบทั้งนั้นแต่ไม่หนักเหมือนความที่จะไปนิพพาน สะเทือนปึ๋งเข้าไปก็ซัดกันเรื่อยนะ อันนั้นลบอันนี้ขึ้น ซัดกันเรื่อยนะ แต่ที่ว่าข้าศึกจะเป็นที่ไหนนั่งอยู่ตามนี้ข้าศึกเข้าใจไหม เดี๋ยวนี้เลยเป็นเพื่อนกัน ไม่เป็นข้าศึกกับใคร เข้าใจแล้วนะนี่ นี่ละบวชมาถึง ๑๖ พรรษา ลืมพรรษาแล้ว (หลวงตาท่านหมายถึงตั้งแต่วันบวชพ.ศ.๒๔๗๗ จนถึงวันบรรลุธรรมพ.ศ.๒๔๙๓รวม ๑๖ พรรษา) เราก็จำไม่ได้ แต่จำได้แน่นอนว่าหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เพราะฉะนั้นเราไป......... มันคิดถึงบุญถึงคุณนะ ไปล่ะไปวัดดอยธรรมเจดีย์ เราไม่เคยพูดให้ใครฟังนะ ไปก็ไปธรรมดาๆ แต่ความลึกซึ้งกับสถานที่นั่นลึกซึ้งขนาดเรียกว่าฟ้าดินถล่ม เอาขนาดนั้นละ
ฟ้าดินถล่มทางวัฏจักร ความเกิดความตายนี้เรียกว่าตัดสินกันวันนั้น วันที่เท่าไร (วันที่ ๑๕ พฤษภาเวลา ๕ ทุ่มตรงเจ้าค่ะ) มันหลงๆ ลืมๆ ไป เรานึกว่าเรื่องใหญ่โตขนาดนี้มันก็ลืมไปได้ อย่าว่านะลืมได้หมด โดยเจ้าของเองเป็นมาให้เห็นแล้วอย่างไรมันก็ไม่ลืม ลืมหมด สถานที่เป็นอยู่ที่นั่นที่นี่จำได้ถนัดชัดเจนที่วัดดอยธรรมเจดีย์เท่านั้นเอง จากนั้นมาผาสุกเย็นใจ ถ้าหากจะพูดแบบนักปราชญ์ต่อนักปราชญ์พูดกัน ธรรมต่อธรรมพูดกัน แล้วธรรมท่านจะถามมาว่าที่อยากไปนิพพาน อยากเป็นพระอรหันต์ เวลานี้ท่านเป็นแล้วยัง ปัญหามากระทบเราเอง ทางนี้ไม่ตอบ ไม่ตอบหากยอมแล้วว่าอย่างนั้น เวลาตอบมันกระจายไปอีก ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันเฒ่าแก่แล้วละใครจะว่าไอ้บัวก็ได้ไอ้หมาบัว มันไม่มีความหมาย ไม่เป็นอะไร พรรษา ๑๖ นะ เป็นเรื่องกระเทือนใจ กระเทือนมาก ไม่นึกเลยว่ามันจะลืมได้นะ ลืมได้นะ แต่เหตุการณ์ที่มันกระเทือนไม่ลืมอันนี้ อันนี้ฝังลึกไม่ลืม
ได้พูดตอนสุดท้าย พูดสุดท้ายเข้ามาๆ หาอีตาบัว อีตาบัวเที่ยวกรรมฐานเข้าใจไหม เราไปผลาญหัวกิเลสขาดสะบั้นที่วัดดอยธรรมเจดีย์ วัดนี้จึงมีคุณแก่เรามาก ไปปั๊บมันสะเทือนแล้วๆ วัดดอยธรรมเจดีย์ แต่เวลานี้ไปหากไม่ขึ้น ญาติโยมพระเณรเตรียมพร้อมที่จะหาแคร่มาหามเราขึ้นไป หามขึ้นไปตอนที่กิเลสกับธรรมซัดกันมันคว่ำกันตรงไหนน่ะ ไม่บอก หากไปตรงนั้นแหละ จากนั้นมาแล้วก็สง่าผ่าเผย ยิ้มแย้มแจ่มใส ยืนเดินนั่งนอนสว่างจ้า ไม่มีอิริยาบถ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติจ้า นอนหลับก็จ้า ตื่นขึ้นมาก็จ้า เดินไปก็จ้า มันถึงนั้นมันจ้า มันจ้าอย่างนั้นละ การบวชเอาแทบเป็นแทบตายก็มายุติกันตรงนี้ละ จากนั้นมาก็ไม่มีงาน
ทำไมเราไม่มีงาน พระพุทธเจ้าหนึ่ง-พระอรหันต์หนึ่งมีสักกี่พระองค์ก็ตาม งานของท่านสิ้นเสร็จแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ งานประพฤติพรหมจรรย์สังหารกิเลสได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานอื่นใดที่จะหนักกว่านี้ไม่มี นั่น พระพุทธเจ้าเป็น..... อันนี้มันก็เข้ารอบเดียวกันปั๊บเลยไม่ต้องถามพระพุทธเจ้า องค์ไหนมาก็ไม่ต้องถาม เรียกว่ายุติ นี่เรียกว่าไม่มีงาน พระอรหันต์ไม่มีงาน งานก็เป็นงานธรรมดาอย่างนี้ละธรรมดา ไม่ใช่งานแก้กิเลส กิเลสสิ้นไปแล้วก็ไม่ทราบจะแก้อะไร เรียกว่าคนหมดงาน คนหมดงานคือผู้สิ้นกิเลสได้แก่พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ คนหมดงานเข้าใจไหม งานแก้กิเลสหมดโดยสิ้นเชิง แต่งานไปมาหาสู่อย่างนี้มีจนกระทั่งวันตาย ส่วนงานแก้กิเลสหมด ไม่มีงาน
เขาถามด้วยความเป็นธรรมเหมือนกัน ทางนี้จะตอบเป็นธรรมเหมือนกัน ท่านหาธรรมมาได้กี่ปีแล้ว ท่านหาธรรมหาอะไร หานิพพานว่าอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ท่านถึงนิพพานหรือยัง เราอยากตอบห้าปากตอบออกมา ห้าปากถึงแล้วๆ เข้าใจไหม มันเป็นอยู่ในจิต (ก่อนที่พระหลวงตาจะสำเร็จมีตาปะขาวทำนายหลวงตาว่าอีก ๙ ปีจะสำเร็จที่วัดป่าจักราชเจ้าค่ะ) ออกมาภาวนา มันสำคัญอยู่น่ะล่ะ เมื่อเวลาถึงขั้นแล้วออกๆ อย่างว่าไม่ผิด บอกว่า ๙ ปีสำเร็จ เรานั่งภาวนาตาปะขาวเดินเข้ามา เดินเข้ามาในนิมิตภาวนานี่แหละ มาก็มานับข้อมือ ๖ ๗ ๘ ๙ พอถึงข้อที่ ๙ มองหน้าเราปั๊บ พอมองดูหน้าปั๊บทางนี้รู้รับกัน อีก ๙ ปีสำเร็จ ทีนี้เวลาออกบวชไม่กี่วันว่า ๙ ปีเราก็พึ่งออกมาปฏิบัติ จิตของเราเป็นไฟอยู่มันจะสำเร็จอย่างไร คงจะเป็นปฏิบัติไปอีก ๙ ปีว่าอย่างนั้นนะ พอถึงปีนั้นปักแล้วนะ
อันนี้เราเคยพูดให้เพื่อนนักบวชด้วยกันฟัง นักบวชท่านเด็ดขาดเหมือนกันนะ พูดถึงเรื่องที่ว่าผมจะขายโง่ให้ท่านฟัง ผมภาวนาอยู่ที่ตรงนั้นๆ มีตาปะขาวเดินเข้ามาหา พอหยุดกึ๊กนับข้อมือ ถึงข้อที่ ๙ เงยหน้าขึ้นมาหาเรา ทางนี้ก็รู้กันรับว่า ๙ ปีสำเร็จ จะได้ว่าอีก ๙ ปีสำเร็จ จนกระทั่งได้เอาอันนี้ขายโง่ให้เพื่อนฝูงฟัง ถ้ามันได้รู้อะไรมันไม่มีสองนะ แต่นี้มันทำไมมันมีสองได้มันเป็นอย่างไร ว่า ๙ ปีสำเร็จผมปฏิบัติได้ ๙ ปีมันยังไม่สำเร็จ แต่จิตรู้สึกว่าเด่นๆ แต่นี้ไม่สำเร็จมันเป็นอะไร ท่านก็แก้ดีน่ะล่ะคำว่า ๙ ปีนั้นออกบวชปฏิบัติธรรมอยู่ ๙ ปีหนึ่ง แล้วปฏิบัติธรรมถึงปีที่ ๙ เป็นปีที่สำเร็จหนึ่ง ว่าอย่างนั้น เราไม่ลืมนะ จนกระทั่งถึงปีที่ ๙ มันยังไม่สำเร็จ แล้วไปขายโง่ให้เพื่อนฝูงฟัง เอ๊ ผมนี่เมื่อมันรู้อะไรภายในใจไม่เคยผิด อันนี้มันผิดได้อย่างไร ภาวนานี่ก็หวังพึ่งเป็นพึ่งตาย เชื่อๆ คำภาวนาขนาดนั้น แต่นี้ทำไมว่า ๙ ปีสำเร็จ
แล้วไปถามเพื่อนฝูงด้วยกัน ท่านบอกว่าคำ ๙ ปีนั้นตั้งแต่วันออกปฏิบัติมาถึง ๙ ปีสำเร็จ แล้วอันหนึ่งอีกมันมีข้อแม้อยู่นะ เราจึงลงใจกับผู้แก้ อันนี้พึ่งออกพรรษา มันยังไม่ ๙ ปี ๑๐ ปีอะไรเลย มันต้องถึงวันเข้าพรรษาหน้า เข้าพรรษาหน้าปุ๊บเมื่อไรปัญหานี้ก็ตกไป แสดงว่าจริง พอถึงนั้นปั๊บ ๙ ปีเต็มๆ เลย ผางขึ้นจริงๆ นะ นั่นเห็นไหมไม่มีผิดนะ ผางขึ้นเลยจริงๆ ไม่ผิดเลย ไปถามหมู่เพื่อนผมขายโง่ให้ท่านฟัง ผมว่าจะเป็นอย่างนั้นๆ ๙ ปี นี่มัน ๙ ปีแล้วมันไม่ได้เรื่องอะไร ครั้นเป็นมามันก็เป็นอย่างว่าจริงๆ มันเป็นดังที่ว่า ๙ ปีเป๋งเลย แน่ะมันก็แปลกอยู่น่ะละ ปัญหามันแยกได้ บวชมาได้ ๙ ปีสำเร็จหนึ่ง ตั้งแต่หยุดจากการเรียนออกปฏิบัติธรรม ๙ ปีสำเร็จ ถึง ๙ ปีออกปฏิบัติไม่ได้เรื่องอะไร ชักจะจืดๆ ในความรู้ของเราทำไมโกหกเรา ถ้าโกหกเราอย่างนี้แล้วมันจะโกหกคนโลกทั้งโลกทั้งแผ่นดิน เราว่าอย่างนั้น เจ้าของเองมันยังไม่กลัว
แล้วมาถามเพื่อนฝูงบอกว่า ๙ ปีสำเร็จ มันไม่สำเร็จ มันพึ่งย่างเข้า ๙ ปี พอจากนั้นไปถึงนั้นก็ผางเลย นั่น คือเราตีความหมายของเรา ปัญหาจะออกกลางๆ เวลามาพิจารณาทีหลังแล้วถูก ๙ ปีสำเร็จ ออกปฏิบัติ ๙ ปีสำเร็จท่านไม่ได้ว่า พอว่า ๙ ปีสำเร็จ เป็นอย่างนั้นละ หากถูกนะ ๙ ปีสำเร็จ เป็นอย่างนั้นละ นี่จวนจะตายแล้วถึงได้มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เดี๋ยวหลวงตาบัวตายแล้วศาสนาจะจมไปด้วยเหรอ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปเท่าไร สฺวากฺขาโต ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ทำไมจะมาโกหกเรา ท่านว่าเท่านั้นปีสำเร็จ เราก็ออกบวชมาได้ ๙ ปี ที่ว่า ๙ ปีออกปฏิบัติไปเลย ๙ ปีสำเร็จ อันนี้เราบวชออกมาแล้วจะเอา ๙ ปีเลยเป็นนิพพานมันก็ไม่เป็น
เรื่องนิมิตภายในนี่สำคัญมากนะ ในนิมิตภาวนามันได้รู้ได้เห็นอะไรเหมือนตีตราเลย ไม่มีเคลื่อน รู้ด้วยการภาวนานะ เราพูดเท่านั้นละ ไม่พูดมาก ไม่ใช่มันเลยนิพพานไปแล้วหรือ ไม่พูดมากแต่มันไม่ใช่เลยนิพพานไปแล้วหรือ
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ
|